เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๒
ขั้นของจิตของธรรม
เมื่อวานไปไหน (ไปผาแดงครับ หลวงปู่ลี) วันนี้จะไปไหน ไปทุกแห่งที่กำหนดไว้ด้วยความเมตตาๆ เมื่อวานผาแดง ธรรมลี ได้เศรษฐีธรรมนะนั่น ใครไม่รู้ง่ายๆ เศรษฐีธรรม รู้มานานแล้วนะ ตั้งแต่ห้วยทราย ตอนนั้นความเพียรเร่งหมุนจี๋ รู้กันทันทีละ พูดทางดำเนินของจิตถึงไหนๆ รู้ทันทีๆ ขอให้ผู้ฟังรู้สูงกว่าเถอะผ่านไปตรงไหนรู้ทันทีๆ รู้กันอยู่ห้วยทรายท่านลี กำลังเร่งหมุนเลย
ถ้าหากว่าถึงขั้นที่จะออกแล้วไม่อยู่นะ กิเลสถึงขั้นที่อยู่ไม่ออก ไล่ไปวัดไปวานี่ โอ๋ย เหมือนไล่เข้าฟืนเข้าไฟ มันร้อน ไล่ลงเหวลงบ่อเร็วปุ๊บเลย ไล่เข้าวัดเข้าวาไม่ไป จิตผู้นี้เป็นอย่างนี้ เมื่อได้รับการอบรมจิตเข้าขั้นที่หมุนตัวแล้วเอาแล้วที่นี่หมุนสู่ธรรมไม่ถอย หมุนทั้งวันทั้งคืนจนไม่ได้นอน มันเป็นขั้นๆ ของจิตของธรรม ขั้นของกิเลสกิเลสหยาบขนาดไหนขี้เกียจ แม้ที่สุดไปวัดไปวาทำบุญให้ทานก็ไม่อยากทำ ขี้เกียจหมด ขั้นมันหนา ให้เข้าพุงเจ้าของเท่านั้นดี แบ่งให้ทานใครไม่ได้ นี่ขั้นมันเห็นแก่ตัวมาก กิเลสหนา ขั้นมากๆ เข้าไปทั้งกินทั้งทานทั้งอะไรเข้าไปๆ สุดท้ายเลยไม่สนใจกับเรื่องกินเรื่องอะไร มีเท่าไรโปะเลย เป็นอย่างนั้น
จิตเวลาก้าวเข้าสู่ทางด้านภาวนาเหมือนกัน เวลาล้มลุกคลุกคลานมันก็เอากันอยู่นั้นละ แต่เวลาก้าวออกแล้วก็คือออกๆ พอออกเต็มที่แล้วจนกระทั่งนอนไม่หลับ กลางคืนนอนไม่หลับ กลางวันยังจะไม่หลับอีก มันหมุนของมันเพื่อออกๆ เวลามันหมุนได้ที่ของมันที่จะออกแล้วไม่อยู่ อย่างไรก็ไม่อยู่ เป็นอย่างนั้นนะ จิตนี่พุ่งๆๆ คือมันเห็นช่องทางเหมือนว่าพระนิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆๆ นั่นละจับผิดจับถูก จะเป็นจะตายไม่รู้ละ ถ้าถึงขั้นนั้นแล้วเหมือนว่าพระนิพพานอยู่ชั่วเอื้อมนั่นแหละ หมุนติ้วเลย คนหนานรกอยู่ชั่วเอื้อมๆ พวกลูกศิษย์หลวงตาบัวนี่พวกนรกอยู่ชั่วเอื้อม นิพพานไม่เอา มันเป็นเพราะอาจารย์พาขี้เกียจท่า
การพูดอย่างนี้พูดตามเรื่องของจิตที่ดำเนินมาแล้วนะ พอถึงขั้นมันได้หลักได้เกณฑ์แล้วหมุนตลอด ไม่อยู่ จะเป็นจะตายไม่อยู่ เหมือนว่านิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆ จับผิดจับถูก อย่างนั้นความเพียรไม่มีเวลา กลางวันกลางคืนนอนไม่หลับ มันหมุนของมัน นี่ละธรรมเมื่อมีกำลัง เมื่อมีกำลังแล้วเป็นอย่างนั้น ถ้ากิเลสมีกำลังแล้วไปที่ไหนเอาเสื่อเอาหมอนมัดติดหลังติดคอไปด้วย ไปเดินจงกรมก็ไปปูเสื่อไว้เอาหมอนไว้นั่นด้วย นี่มันขั้นหนึ่งนะ ถึงขั้นมันจะไปไม่อยู่
นี่ละกำลังของจิต กำลังของธรรม กำลังของกิเลส ต่างกันอย่างนี้ กำลังของธรรมเมื่อมีกำลังมากแล้วมันไม่หลับไม่นอนเหมือนกัน หมุนตลอดเลย ถ้ากิเลสแล้วมีแต่กินไม่อิ่มนอนไม่อิ่มตลอด เป็นอย่างนั้น ขี้เกียจขี้คร้านอยู่นั้นหมดเลย คลังขี้เกียจอยู่นั้น คนคนเดียวนั่นแหละเวลาหมุนซักฟอกหลายหนพอได้ที่แล้วค่อยไปเอื่อยๆ แล้วก็พุ่งเลย จึงสอนให้ฝึกจิต จิตเป็นของฝึกได้ ฝึกลงทางต่ำต่ำไปเรื่อยๆ ที่เคยชินต่อการทำความชั่วช้าลามกไม่ได้ทำอยู่ไม่ได้ พวกฉกลักพวกขโมยไม่ได้ทำอยู่ไม่ได้ สร้างความดีก็เหมือนกัน ทางด้านจิตตภาวนาเมื่อถึงขั้นเข้าด้ายเข้าเข็มแล้วจะถอยไม่ได้เลย พุ่งๆ เลย เป็นอย่างนั้นละ
อันนี้เราผ่านมาหมดแล้ว อะไรผ่านมาแล้วก็พูดได้เต็มปาก พูดงูๆ ปลาๆ ผู้ฟังก็ไม่แน่ใจ เพราะเจ้าของไม่แน่ใจ ลูบคลำมาพูด ถ้าได้รู้จังๆ อยู่ในจิตแล้วพุ่งๆๆ เลย ไม่รอ ผู้ฟังก็ถึงใจ อย่างพ่อแม่ครูจารย์เทศน์นี่ โถ ๔ ชั่วโมง ไม่มีใครกระดิกพลิกแพลงตัวเลย เหมือนหัวตอ ท่านจบแล้วเรายังคอยฟังอีก นั่นละธรรมะ ถ้าออกมาจากหัวใจบริสุทธิ์แล้วล้วนๆ พุ่งออกมามีแต่ความบริสุทธิ์ ขั้นใดก็ตามๆ เป็นอย่างนั้นละ เป็นอยู่กับการฝึกของเราละ อย่างไรไม่ถอยเรื่องฝึก ฝึกไปฝึกมาก็มีทางไปได้ ถ้าไม่ฝึกเลยยิ่งหมอบยิ่งจมไปเลย ถ้าฝึกแล้วก็ค่อยคืบคลานไปได้ ต่อไปก็พุ่งๆ
รับชมรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM103.25 MHz
พร้อมเครือข่ายทั่วประเทศ
|