ให้นึกพุทโธไปเต็มรถๆ
วันที่ 4 พฤศจิกายน 2550 เวลา 15:00 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อเย็นวันที่ ๔ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๐

ให้นึกพุทโธไปเต็มรถๆ

          เราจะห่มผ้าไว้เสียก่อนมันเริ่มหนาวแล้ว ดัดสันดานมันอยู่ในป่าในเขา เราไม่เคยมีผ้าห่มนะ อยู่ในป่าในเขาหนาวขนาดไหนให้มีแค่จีวร สังฆาฏิ สบงก็นุ่งไว้ จีวรกับสังฆาฏิพับใส่กันเท่านั้นพอ ได้เท่านั้นละ นอนไม่หลับก็ไม่นอน ไม่เคยมีผ้าห่มติดตัวนะ

(วัดโพธิสมภรณ์ได้แจ้งยอดเงินคงค้างในการสร้างพระบรมธาตุเจดีย์ ณ วัดโพธิสมภรณ์ เพื่อให้หลวงตาพิจารณาช่วยเหลือ ) บืนเรื่อย เงินมีหรือไม่มีก็ตามบืนเรื่อย เรื่องรายจ่ายให้เราตามจ่ายมันก็ไม่ไหวแหละ ทำอะไรเกินเหตุเกินผล อย่างมหาปานสร้างตึกหลังหนึ่งเท่าไร เจ้าของก็มาล้มตายลงในปัจจุบัน พอดีท่านเจ้าคุณวัดโพธิก็เลยเป็นผู้รับภาระแทน ท่านไม่มีทางไหนก็วิ่งมาหาเรา ติดหนี้เขาอยู่ ๙ ล้าน ตกลงก็เรียกว่ามาขอเรา เราก็ให้ ๙ ล้านไปเลยอย่างนั้นแหละ ครั้งก่อนดูว่า ๕ ล้านเราก็ให้ไปเลย คราวนี้มาขออีก ๙ ล้าน เราก็ให้ไปเลย แล้วคราวนี้ขออะไรอีกล่ะ

(เป็นอันเดียวกันกับที่ท่านเจ้าคุณมาขอ ให้พ่อแม่ครูจารย์ไปทอดกฐินเพื่อเจดีย์อันนี้ ในส่วนที่ยังขาดอยู่ประมาณ ๖ ล้านกว่า) นั่นแล้วเราก็มีแต่หัวล้านเท่านั้นแหละจะให้ว่ายังไง เราไม่ได้สร้าง แต่เอาเงินไปช่วยคนอื่นสร้าง คนอื่นสร้างตลอดมา เราไม่เคยสร้างอะไร แต่ครั้นเป็นหนี้มาหาเราๆ ให้เราไปช่วยสร้างๆ เป็นแต่อย่างนั้น (ขาดจำนวนนี้ครับผม ๖,๓๐๗,๙๘๕ บาท ๑๕ สตางค์ ที่สร้างไปแล้วประมาณ ๑๘ เปอร์เซ็นต์ อันนี้เขาถ่ายรูปมาให้ดูครับผม)

ไม่ทราบว่าสร้างอะไรนักหนา สร้างหัวใจไม่ยอมสร้าง เป็นบ้ากับด้านวัตถุ เราเคยพูดเสมอ พระพุทธเจ้าเลิศด้วยธรรมในหัวใจ ไม่ได้เลิศด้วยวัตถุ สาวกทั้งหลายก็เหมือนกัน ท่านเลิศด้วยธรรมภายในใจ ด้วยการประกอบความเพียร ไอ้เราไปเลิศทางด้านวัตถุ อิฐปูนหินทรายมาก่อ เกาในที่ไม่คัน ขัดกันอยู่ตลอดเวลาอย่างนี้ ก็ไม่พ้นที่จะมากวนเราอย่างนี้แหละ เราไม่ค่อยนิยมนักนะวัตถุ พูดจริงๆ มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว นิยมตั้งแต่ฟัดกิเลสให้มันขาดสะบั้นจากใจนี้จ้าตลอดเวลา นี่ๆ จ้าอยู่ตลอดเวลานะนี่ พูดให้มันชัดเจนอย่างนี้ มันอับเฉาที่ไหน ยืนเดินนั่งนอนจ้าตลอด ไม่มีอิริยาบถอันนี้ พูดให้มันชัดๆ นี่เราสร้างหัวใจ

สร้างอันนี้มันได้อะไร หาเกาแต่ที่ไม่คัน ถลอกปอกเปิก เกากันไปเรื่อย โอ๊ เป็นแต่อย่างนั้นละโลกทุกวันนี้ ศาสนาวัตถุไม่ใช่ศาสนธรรม เป็นศาสนวัตถุ ยุ่งตั้งแต่วัตถุภายนอก ภายในใจไม่ได้นำเข้ามาเกี่ยวข้องนะ พระพุทธเจ้าเกี่ยวข้องพัวพันอยู่กับหัวใจต่างหาก นี้พวกเรามันเก่งกว่าครู หาเกาในที่ไม่คัน ถลอกปอกเปิกไปหมดเลย พูดตรงไหนขัดตรงนั้นๆ ขัดหูคน แต่ไม่ขัดธรรม ที่เราพูดไม่ขัด นี่ก็ฟาดกิเลสขาดสะบั้นออกจากใจ จ้ามาได้ ๕๖-๕๗ ปี พูดให้มันชัดเจนเสีย วันที่ ๑๕ พฤษภา ๒๔๙๓ นับมาซิ นั่นละกิเลสขาดสะบั้นออกจากใจโดยสิ้นเชิงไม่มีอะไรเหลือ จิตจ้าตั้งแต่บัดนั้นมา ไม่ปรากฏกิเลสตัวไหนเท่าเม็ดหินเม็ดทรายที่เข้ามาผ่านให้ได้ชำระกันอีก ไม่เคยมี พูดให้มันชัดเจนอย่างนี้ นี่ละชำระใจเป็นอย่างนั้นนะ นี่เกาตั้งแต่ภายนอก เกาในที่ไม่คัน นี่ไม่เกา ที่ไม่คันไม่เกา มันคันตรงไหนซัดตรงนั้นเลย

เพราะฉะนั้นการประกอบความเพียร ใครมายุ่งเราไม่ได้นะ เราไปแต่เราคนเดียว ตั้งแต่ฟังเทศน์ของหลวงปู่มั่นเสร็จเรียบร้อยแล้ว เป็นที่ลงใจแล้วนี้ฟัดกันเลยเชียว ประกอบความเพียรไปองค์เดียวๆ ตลอด ตกนรกทั้งเป็นอยู่ ๙ ปี ที่ฟัดกับกิเลส ไม่มีงานใดเข้ามาแทรกเลย มีแต่งานฆ่ากิเลสอย่างเดียว ตั้งแต่ตื่นนอนจนค่ำๆ งานใดไม่ให้มี ไปหาอยู่แต่ในป่าในเขาองค์เดียว ไม่ได้มีการมีงานใดเลย ไม่เอา ไม่เอาทั้งนั้น นี่มันนิสัยอย่างนี้ ว่าอะไรเป็นอันนั้น ไม่เคยมีอะไรเข้ามาแทรก ว่าอะไรเป็นอันนั้น จริงตลอดๆ

การประกอบความเพียร ก็ตั้งแต่ฟังเทศน์พ่อแม่ครูจารย์อย่างถึงใจแล้วก็ เอาละที่นี่ ตั้งแต่นั้นไปเป็นนรกทั้งเป็นไปเลย เอ้าเป็นก็เป็น ตายก็ตาย ไม่มีคำว่าถอยกันระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกัน ไปองค์เดียวๆ ตลอด ป่าช้าอยู่กับเรา ได้หาป่าช้าที่ไหนล่ะ ป่าช้าอยู่กับเรา เป็นกับตายจะรู้ที่ใจ ซัดกันเลย เป็นเวลา ๙ ปี เห็นไหมล่ะ เราเอาจริงจังอย่างนั้นนะ ฟัดกับกิเลส หลังจากฟังเทศน์อย่างถึงใจจากพ่อแม่ครูจารย์มั่นเราไปแล้ว ซัดกันอยู่ถึง ๙ ปี ไม่ใช่เล่นๆ นะ ไปคนเดียวๆ ตลอดเลย

งานไม่ให้มี มีไม่ได้ เราไม่เคยมีงานอะไรเข้ามาแทรก งานจับนั้นจับนี้ ทำนั้นทำนี้เพื่อแก้รำคาญการภาวนา ไม่มี ไม่ให้มีอะไรมาแก้รำคาญเพื่อหาทางออกให้กิเลสเหยียบหัวใจไม่มี มีแต่ฟัดกันตลอดๆ เลย เราทำมาอย่างนั้น เพราะนิสัยเรามันจริง จริงจริงๆ ว่าอะไรจริงทั้งนั้น ฟัดกับกิเลสก็จริงตลอดเลย ไม่มีงานใด ไปคนเดียวๆ ป่าช้าอยู่กับเราเท่านั้นละ ซัดกันเลย

เก้าปี ตั้งแต่วันออก ได้ ๗ พรรษามาฟังเทศน์ท่าน จนกระทั่ง ๑๖ พรรษา ๙ กับ ๗ เป็น ๑๖ ปี นี่ละกิเลสได้ม้วนเสื่อลง ในวันที่ ๑๕ พฤษภา ๒๔๙๓ วันนั้นเป็นวันกิเลสม้วนเสื่อขาดสะบั้นลงหลังวัดดอยธรรมเจีย์ เวลา ๕ ทุ่มพอดี พอเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราดูนาฬิกา เสร็จเรียบร้อยคือเหมือนฟ้าดินถล่ม มันรุนแรงมากระหว่างกิเลสกับธรรมขาดสะบั้นจากกันนี้ประหนึ่งว่าฟ้าดินถล่ม กระเทือน ตัวเรานี้จนพุ่งเลยเชียว นี่ละเหมือนฟ้าดินถล่มมันอยู่ภายในกาย ไม่ได้อยู่ดินฟ้าอากาศ เขาก็เป็นของเขาธรรมดา แต่กายกับจิตเวลากิเลสได้ขาดจากกันนี้รุนแรงมากสำหรับเรานะ พุ่งเลยเชียว ร่างกายนี้กระเด็นขึ้นเลยเชียว โถ ขนาดนี้เชียวเหรอ

ตั้งแต่นั้นมาเงียบเลยกิเลส ไม่ปรากฏว่าได้ฆ่ากิเลสตัวใดอีก หมดโดยสิ้นเชิง นั่นจึงเรียกว่าหมด หายสงสัย สนฺทิฏฺฐิโก ขั้นสุดยอดตัดสินกันในเวลานั้น ตั้งแต่บัดนั้นมาเป็นเวลา ๕๖-๕๗ ปีนี้แล้วมัง กับกิเลสตัวนี้ ไม่มีอะไรเข้ามาผ่านในใจดวงนี้ ส่วนกิริยาอาการนี้เหมือนโลกทั่วๆ ไป มันอยู่ในท่ามกลางโลกธรรม ร่างกาย กิริยาอาการแสดงยังไงๆ ควรติก็ติได้ ควรชมก็ชมได้ เพราะอยู่ในท่ามกลางโลกธรรม กิริยาอาการของร่างกายเป็นสมมุติด้วยกัน เห็นกัน รู้กัน ได้ยินกัน ติกันได้ ชมกันได้ แต่ส่วนจิตใจนั้นหมดโดยสิ้นเชิงตั้งแต่บัดนั้น ไม่มีอะไรที่จะไปตำหนิติเตียนได้เลย พูดฟังให้ชัดเสีย กิริยานี้ติได้ชมได้ เขาไม่พอใจเขาก็ติ เขาพอใจเขาก็ชม เป็นเรื่องลมปากต่างหาก ไม่ใช่เรื่องจิตใจโดยเฉพาะ

โถ ฆ่ากิเลสของง่ายเมื่อไร ไม่มีอะไรจะทุกข์มากยิ่งกว่าการฆ่ากิเลส งานการทั้งหมดเราประมวลมาแล้ว งานฆ่ากิเลสเป็นอันดับหนึ่ง ไม่มีงานใดที่จะหนักมากยิ่งกว่างานฆ่ากิเลส หนักมากจริงๆ พอได้ขาดสะบั้นลงไป ท่านเรียกว่า วุสิตํ พฺรหมฺจริยํ คือกิเลสม้วนเสื่อเวลานั้นหมด ตั้งแต่นั้นมาไม่ปรากฏว่าได้ฆ่ากิเลสตัวใด ชำระกิเลสตัวใด ไม่มีเลย เงียบเลย นั่นจึงว่า วุสิตํ ภายในจิตใจหมด เรื่องการติการชม ติไม่ถึง ชมไม่ถึง ชมก็ชมอะไร คำว่าชมว่าดีๆ ไม่ดีเท่าธรรมชาตินั้น ธรรมชาตินั้นเลิศเลอยิ่งกว่าอะไร ไปชมก็ชมแค่นี้ ไปตำหนิก็ตำหนิอยู่ต่ำๆ ชมก็ชมอยู่ต่ำๆ ไม่ได้เลิศเลอเหมือนธรรมชาติที่ถูกชมนั้น ที่ถูกชมนั้นเลิศเลอสุดยอดแล้ว จึงรับอะไรไม่ได้ คำติคำชมอยู่ใต้ทั้งนั้น มันตกออกไปของมันเอง ธรรมชาตินั้นพอ ใครจะชมไม่ชมก็เท่านั้นแหละ

การฆ่ากิเลสหนักมาก เรายอมรับว่าหนักมากทีเดียว งานการของเราที่ดำเนินมานี้ยังไม่เคยเห็นงานใดที่จะหนักมากยิ่งกว่างานฆ่ากิเลส ทางร่างกายก็เหมือนกัน ร่างกายนี้ดูเหมือนพรรษา ๑๑ หนักมากที่สุด พรรษา ๑๑ เราไม่ลืม นั่งตลอดรุ่งๆ จนก้นแตก หนักทั้งร่างกายหนักทั้งจิตใจ กลางวันไม่นอน ไม่นอนเลย ถ้ามันง่วงนอนก็อาบน้ำเสีย ไม่อย่างนั้นเข้าป่าเสีย คือตั้งสัจจะอธิษฐานไว้ในพรรษา ไม่ยอมนอนกลางวัน เว้นแต่คืนไหนเราได้นั่งตลอดรุ่ง คืนนั้นตอนกลางวันนอนพักให้ ถ้าไม่ได้นั่งตลอดรุ่งหรือไม่ได้ทำความเพียรตลอดรุ่งแล้ว กลางวันไม่นอน คือตั้งสัจจะไว้เลย ว่ายังไงเป็นอย่างนั้น

เราถ้าพูดถึงเรื่องสัจจะนี้จริงมากทีเดียว เจ้าของเองก็ข้ามไม่ได้สัจจะของเจ้าของ ถ้าลงตั้งจุดไหนถ้าไม่เหนือกว่านี้ลบล้างไม่ได้ ต้องให้เหนือกว่านี้ ลบล้างอันเก่านี้ได้ ถ้าไม่เหนือลบไม่ได้ นั่นละคำสัตย์ เอาจริงเอาจังมากทีเดียว นิสัยนี้รู้สึกว่ามันจะผิดคนทั้งหลายอยู่มากสำหรับนิสัยเรา คือความจริงนี่ละสำคัญมาก เด่นมากความจริง เจ้าของไม่กล้าลบล้าง คำสัตย์คำจริงเจ้าของได้ตั้งไว้ยังไงแล้วไม่กล้าลบล้าง ถ้าความจริงอันนี้ไม่เหนือกัน ถ้าความจริงอันนั้นเหนือกว่าอันนี้ ลบล้างอันนี้ออกได้ ถ้าเสมอกันลบล้างไม่ได้ เป็นคำสัตย์คำจริง เอาอย่างนั้นจริงๆ

ทำความเพียรมานี้พรรษาที่ ๑๑ เป็นพรรษาที่หนักมากที่สุด ในบรรดาความเพียรที่เกี่ยวกับร่างกายและจิตใจไปด้วยกัน ร่างกายนี้ก็นั่งเสียจนก้นแตก ไม่ทราบว่ากี่คืน นั่งตลอดรุ่งๆ ก้นแตก ทีแรกมันออกร้อนนะก้น ไม่ใช่มันแตกทีเดียว นั่งไปทีแรกมันออกร้อน พอออกร้อนมากๆ พอคืนต่อไป ความออกร้อนนี่มันจะแผดเข้าไป มันก็ทำให้พอง ให้ก้นพอง ทีนี้เรานั่งไม่หยุดละซี ต่อจากพองแล้วมันก็แตก จากแตกแล้วก็เลอะ นี่ละมันแตกเพราะเหตุนี้เอง

มันค่อยเลื่อนของมันไป ทีแรกออกร้อนก่อน ไม่แตก นั่งตลอดรุ่ง ออกร้อนก้นเหมือนไฟลน ออกร้อนหนักเข้าๆ มันก็พอง จากพองมันก็แตก จากแตกมันก็เลอะ เพราะนั่งตลอดรุ่งไม่ถอย จนก้นแตก ทำความเพียร เพราะฉะนั้นจึงกล้าพูดได้ทุกอย่างตามที่เราได้ทำมา ไม่มีคำว่าแยกแยะไปไหนจากหลักความจริงที่เราได้ทำมา เราทำอย่างนั้น

ทำความเพียรตั้งแต่ต้นไป เรายังไม่เคยได้ตำหนิเลยว่าเราย่อหย่อนความเพียรตอนไหน ตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลาน มันก็บืนของมันเต็มกำลัง ตอนนั้นล้มลุกคลุกคลาน ยังไม่ได้หลักได้เกณฑ์ มันก็บืนของมันเต็มเหนี่ยว พอได้หลักได้เกณฑ์มันก็ยิ่งบืนหนักเข้าๆ ยิ่งจิตมีหลักมีเกณฑ์เท่าไรก็เลยไม่นอน สุดท้ายต้องบังคับให้นอน กลางคืนกลางวัน ไม่เช่นนั้นมันจะไม่นอน มันหมุนขนาดนั้นละความเพียร ถึงเวลาจิตที่มันหมุนเข้าสู่ธรรมแล้ว ยังไงมันก็ไม่ถอย ตายเอาดาบหน้าเลย ที่จะให้ถอยมาไม่มี นี่ละจิตที่มันได้หลักได้เกณฑ์ เหมือนว่านิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆ นี่ละรุนแรงมากนะความเพียร ต้องได้บังคับ

บังคับให้นอนก็บังคับเฉยๆ ไม่ได้นะ คือจิตนี่มันจะพุ่ง พุ่งต่อความเพียรตลอด ต้องบังคับด้วยพุทโธดังเคยพูด เอาพุทโธมาบังคับ คือเวลาเราห้ามไม่ให้มันหมุนต่อความเพียรอันนี้มันรุนแรง เราต้องเอาพุทโธมา เอาพุทโธมาตั้งกึ๊กแล้วก็นึกพุทโธๆ ให้จิตติดอยู่กับพุทโธ ไม่ให้ออก คือมันพุ่งๆ นะ อำนาจของสติปัญญาที่มันรุนแรง มันรุนแรงมาก เราจะห้ามเฉยๆ ห้ามไม่อยู่ ต้องเอาพุทโธมาห้าม พุทโธมาห้ามยังไง ให้อยู่กับพุทโธคำเดียว ทั้งๆ ที่พุทโธเราตั้งเป็นรากเป็นฐานเบื้องต้น ครั้นต่อมา ตอนท้ายๆ นี้พุทโธต้องมาเป็นหลักอีก ตั้งพุทโธไว้แล้วก็พุทโธๆ ถ้าเผลอไม่ได้นะ ปั๊บออกแล้ว พุ่งออกแล้ว จับพุทโธให้แน่นๆ ก็ค่อยสงบลงๆ

พอได้พุทโธให้จับอยู่กับพุทโธ ไม่ให้ออก พุทโธแล้วแน่ว พอจิตรวมสงบแน่วลงด้วยพุทโธแล้วนี้เหมือนถอดเสี้ยนถอดหนามนะ การงานทั้งหลายที่หมุนตัวเป็นเกลียวอยู่นั่นน่ะ สติปัญญาฟัดกับกิเลสนั้น มาเข้าพุทโธแล้วหยุดนิ่งเลย ทีนี้จิตก็แน่วลงเหมือนถอดเสี้ยนถอดหนาม ได้กำลังพอสมควรแล้ว แต่ต้องได้บังคับเอานะ ไม่งั้นมันจะพุ่งออกทางด้านสติปัญญา ต้องบังคับไว้ จนกระทั่งมันได้พอตัว เอาละสมควรที่จะฟัดเหวี่ยงกันได้แล้ว ได้กำลังทางพักตัวพอสมควรแล้ว พอปล่อยดีดผึงเลย พุ่งๆ มันจะตายจริงๆ กลับมาพุทโธ

เอาพุทโธเท่านั้นรั้งเอาไว้ ไม่งั้นเอาไว้ไม่อยู่ เอาอะไรมารั้งก็ไม่อยู่ ถ้าลงสติปัญญาขั้นนี้ได้ออกแล้วรั้งไม่อยู่ นี่เคยรั้งแล้ว ไม่มีวิธีใดที่จะรั้งอยู่ มารั้งกันกับพุทโธ เอาพุทโธจับติดปั๊บไม่ให้ออก พุทโธๆ อยู่นี่ละ เดี๋ยวก็แน่ว สงบ สงบแน่วแล้วก็เหมือนถอดเสี้ยนถอดหนาม กำลังวังชากระปรี้กระเปร่าขึ้นมาเต็มที่ พอเห็นว่าสมควรแล้วก็ปล่อย พอปล่อยนี้ก็พุ่งเลยเชียว มันก็ได้กำลังอีกทางด้านสติปัญญา เพราะมีดก็ลับหินเรียบร้อยแล้ว เจ้าของก็ได้พักผ่อนมีกำลังวังชา ทีนี้ฟาดกิเลสขาดสะบั้นๆ ต่างกันนะ เวลามันเต็มที่แล้วต้องเข้ามาพักๆ

นี่ละนักปฏิบัติ นี่เราผ่านมาแล้ว ได้พูดเต็มตามที่เราเป็นมา ต้องได้พักด้วยพุทโธ เวลาสติปัญญามันพุ่งมากๆ นี้ ต้องเอาพุทโธมัดเอาไว้ ให้อยู่กับพุทโธๆๆ วันนี้พักไว้ก่อน พุทโธ พักไว้ก่อน มีอะไรจะค่อยพูดกันอะไรๆ ก็ให้พูดกัน

(คณะศรัทธาจากสมุทรสาครร่วมทำบุญ) โอ๊ มาหลายแห่งหลายหนนะวันนี้ ไปทอดกฐินวัดไหนๆ มาไม่รู้วันนี้เต็มไปหมด ไปทอดวัดไหนมั่งๆ เอาบุญเอากุศลเอาเสียให้เต็มเหนี่ยว เวลาดิ้นกับโลกมันก็ดิ้นเต็มเหนี่ยว เลยเต็มเหนี่ยวจนจะตายก็มี เข้าใจไหม นอนไม่หลับ มันดิ้นเต็มเหนี่ยว เลยเหนี่ยวไปเลยจนนอนไม่หลับ มันจะเป็นบ้า นี่เราดิ้นกับบุญกุศล เอ้าดิ้นลองดู บุญกุศลจะพาคนเป็นบ้าให้เห็นเสียที พระพุทธเจ้า สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเราไม่เห็นเป็นบ้า สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเราไม่เห็นท่านเป็นบ้า ท่านสอนโลก พวกเรานี้มันไม่มี สรณํ คจฺฉามิ ของตัวเอง มีแต่บ้าเต็มบ้านเต็มเมือง ใช้ไม่ได้นะ เอาพุทโธเข้ามายึดเกาะซิ วันนี้มามาก นู่นเต็มไปหมดเลย

วันนี้ไปสกลนครก็แน่นอยู่ที่วัดสุทธาวาส เต็มไปหมด มาทอดกฐินทั้งนั้น กฐินวัดนั้นวัดนี้แล้วก็มาวัดสุทธาวาส ทอดวัดนั้นวัดนี้แล้วก็มา วัดนั้นวัดนี้แล้วก็มา พอดีเราไปเป็นจังหวะที่กำลังรวมตัวมา เต็มวัด มาถามแล้ว ไปทอดกฐินทางนั้นมาทางนี้มาๆ ไม่ใช่มาทางเดียวกัน เต็มวัด ไปกราบพ่อแม่ครูจารย์ที่พิพิธภัณฑ์วันนี้ เต็มเลย วัดสุทธาวาสเต็มหมดวันนี้คน มาจากกฐินที่นั่นที่นี่ๆ มารวมกันอยู่เวลานั้นเต็มหมดเลย

มาจากจังหวัดใดบ้างล่ะ (สมุทรสาครค่ะ) สมุทรสาคร เมืองอุดรแตกนะ สมุทรสาครมาเหยียบ เมืองอุดรแตกคราวนี้ละ ตั้งแต่ตั้งเมืองอุดรมา เมืองอุดรไม่เคยแตกให้เห็นเสียทีน่ะ หลวงตาบัวเป็นคนเมืองอุดรจะตั้งรับ เอาให้เมืองสมุทรสาครแตกกลับบ้าน พอเสร็จจากนี้จะต้องกลับบ้าน กลับไปที่อื่นไม่ได้ เอาตรงนี้ละ

บรรดาพี่น้องทั้งหลายมาตักตวงเอาบุญเอากุศลในวันนี้ ทอดกฐินนะ ได้บุญกุศลเต็มหัวใจแล้วไปเบาหวิวเลย ไม่ต้องวิ่งต้องเดินละ รถเขาวิ่งเอง เรานั่งบนรถยนต์ เรานั่งพุทโธไปนะ ให้พุทโธสบายๆ เย็นสบาย ได้พุทโธเต็มหัวใจเรา ไปเบาหวิวเลย นี่มาครบกันหมดแล้วนะ หรือกำลังมา (กำลังมาเรื่อยๆ ครับ กำลังมาครับ) สมุทรสาครหรือว่าจังหวัดไหนบ้างมารวมกัน (สมุทรสงครามด้วย) สมุทรสาคร สมุทรสงคราม อยู่แถวนั้น เราไปหมดแล้วแหละ ดูเหมือนว่าจะไปเทศน์หมด สมุทรสาครก็เทศน์ สมุทรสงครามก็เทศน์ จังหวัดไหนเทศน์หมดเลย ทั่วประเทศไทย เราเทศน์ทั้งนั้นละ สมุทรสาครก็ไปเทศน์มาที่สนามใหญ่เขา

ถ้าเป็นสมบัติเงินทองแล้วทางภาคอีสานนี้จน ต้องให้ทางภาคอื่นมาหนุนๆ เช่นอย่างกฐินนี้มีแต่ภาคอื่นๆ มาช่วยหนุนทางภาคอีสาน ภาคอีสานจนด้วยเงินทองข้าวของ แต่ธรรมนี้ค่อนข้างจะดีอยู่ คำว่าค่อนข้างจะดีคือมีหัวหน้า ทางภาคอีสานมีหัวหน้า หัวหน้าคือกรรมฐาน กรรมฐานมีอยู่ทุกแห่งทุกหน ครูบาอาจารย์ทั้งหลายมีรากฐานอยู่ทางภาคอีสาน หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น นี่ละกระจายวงกรรมฐานครูบาอาจารย์ทั้งหลายออก จึงมีครูบาอาจารย์อยู่ทั่วๆ ไป ทางภาคอีสานค่อนข้างดีอยู่ เพราะมีครูบาอาจารย์คอยแนะนำสั่งสอนอยู่เรื่อยๆ

ประชาชนที่มีพระอยู่ตามวัดต่างๆ ในวงกรรมฐาน ยังพอรู้จักเดียงสาอะไรกันบ้าง ถ้าอยู่นอกๆ ไปอย่างนั้นก็เลอะเทอะเหมือนกัน ถ้าอยู่ใกล้วัด วัดที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมันเกรงใจท่านนี่นะ ไม่กล้าเพ่นพ่านๆ นัก ผิดกันนะ ไปเพ่นพ่านไม่ได้ท่านเขกเอาเข้าใจไหมล่ะ ก็มีแต่ลูกศิษย์ของท่าน มีใครมาประกาศตนว่าเป็นอาจารย์ของท่านล่ะ ก็มีแต่ลูกศิษย์ของท่าน ท่านก็เขกได้ละซี ถ้าเก้งก้างๆ แล้วท่านเขกเอาๆ ลูกศิษย์กรรมฐานจึงรู้สึกว่าเรียบร้อยอยู่

วัดป่าบ้านตาดดังอยู่นะดังทั่วประเทศไทย บริเวณที่คนเข้ามาเกี่ยวข้องก็มีแค่บริเวณศาลาเท่านี้แหละ คือไม่ให้เข้าไปข้างใน ข้างในเป็นบริเวณพระทำความเพียร คนจะมาได้แค่นี้ มารอบๆ บริเวณศาลานี้ก็ออกๆ ข้างในเป็นบริเวณที่พระท่านทำความเพียร ในป่านี่เป็นทำเลของท่าน เราห้ามเข้าๆ ทั้งหมดเลย พระวัดนี้ไม่น้อยนะ ตั้ง ๕๐ กว่า เรารับได้เท่านั้น ถ้าจะรับมากกว่านั้นยิ่งมาก แต่รับได้เท่านั้น นี่ก็ตั้ง ๕๘ องค์อยู่ในวัดนี้เวลานี้ และยังเข้ามาเรื่อยๆ

เนื้อที่ของวัดนี้ดูเหมือนจะเป็น ๓๐๐ ไร่กว่า คืออันนี้มัน ๑๖๐ กว่าไร่ อยู่ข้างนอกก็ ๑๖๐ กว่าไร่ เป็น ๓๐๐ ไร่กว่า วัดนี้กว้างอยู่ พระมีอยู่ทั่วไป ข้างนอกก็มี ข้างนอกสงัดดี พระท่านอยู่ทางโน้น มีเยอะนะ ข้างนอกนี่ทำเลนี้ก็ไปให้คนเสีย สร้างเข้าไปข้างในเป็นทำเลของพระทั้งหมด ข้างในวัดนี้เป็นของพระทั้งนั้น บริเวณจากศาลานี้เข้าไปเป็นทำเลของพระทำความเพียรทั้งนั้นแหละ

มาวัดป่าบ้านตาดจะเห็นแค่ศาลานะ ไม่ได้เห็นลึกเข้าไป คือลึกเข้าไปเป็นป่า เป็นทำเลพระท่านภาวนา จากบริเวณศาลานี้เข้าไปเป็นทำเลภาวนาทั้งนั้น เราไม่ให้ใครเข้าไป เป็นทำเลท่านเดินจงกรม ท่านนั่งสมาธิภาวนา ทางจงกรมเป็นแถวเลย ท่านอยู่ในป่า ท่านภาวนา ข้างนอกนี่สำหรับรับแขก มาถึงแค่ศาลา บริเวณนี้ออกๆ ไม่ให้เข้าไปข้างใน ถ้าเป็นกรณีพิเศษ พระท่านก็นำไปเอง ไปดู ถ้าไม่ใช่พิเศษก็ไม่ให้เข้า

วันนี้ท่านทั้งหลายมาบำเพ็ญกองการกุศล ตั้งแต่ตื่นนอน ตั้งแต่ความดำริเกิดขึ้นเป็นกุศลเรื่อยๆ มา ดำริว่าจะไปทำบุญวัดนั้นวัดนี้ นั่นละบุญกุศลเกิดขึ้นจากใจตั้งแต่บัดนั้นมาจนกระทั่งบัดนี้ สร้างกุศลภายในจิตใจ เจตนาเป็นกุศลมาตลอด นี่ได้แสดงออกมาเป็นการถวายกิริยา แสดงในวันนี้ จากการดำริคิดไว้มาหลายวัน อันนี้เป็นกุศลมาก พี่น้องทั้งหลายมาได้บุญได้กุศลเต็มหัวใจ

ให้กลับกันด้วยความสวัสดี แต่อย่าลืมพุทโธ ในรถคันหนึ่งๆ นั้นไม่เคยมีพุทโธติดรถ วันนี้ให้พุทโธเต็มรถ หัวใจดวงใดก็ให้นึกพุทโธๆ หรือธัมโม หรือสังโฆก็ได้ ให้เต็มรถไปวันนี้ รถคันนี้มันว่างมานานแสนนาน ไม่เคยมีพุทโธ ธัมโม สังโฆติดเลย วันนี้ให้พุทโธ ธัมโม สังโฆ บทใดก็ตามติดรถไป ให้เต็มรถเลยนะวันนี้ บรรทุกธรรมติดรถไปเลย ให้เต็มรถ อย่าขี้เกียจ ใครไปนี่ให้นึกพุทโธไปเต็มรถๆ ไปเลย รถคันนี้ว่างมานาน หัวใจพี่น้องทั้งหลายก็ว่างมานาน วันนี้หัวใจให้เต็มด้วยพุทโธ หรือธัมโม หรือสังโฆ รถก็ให้เต็มด้วยคนที่มีพุทโธ ธัมโม สังโฆนะ เข้าใจแล้วเหรอ ต่อไปนี้จะให้พร

พูดท้ายเทศน์

จิตไม่มีหลักยึด จิตไขว่คว้า ไม่มีหลักยึด จิตไขว่คว้า ไม่มีกฎเกณฑ์ เหมือนว่าวเชือกขาดบนอากาศ ว่าวเชือกขาดบนอากาศนี่ไขว่คว้าหัวปักลงมา จิตใจที่ไม่มีหลักยึดคือธรรมก็เหมือนกัน ไม่มีหลักยึดแล้วจิตมันไขว่คว้า หัวปักลงเหมือนว่าวเชือกขาดบนอากาศ เป็นอย่างนั้น จึงควรให้มีหลักยึดให้ดีนักปฏิบัติเรา ไม่มีธรรมเลยว่าเป็นชาวพุทธๆ หาธรรมภายในใจพอเป็นหลักยึดไม่มี เสียตรงนี้ละ ให้มีหลักยึดซิ

พระเราอยู่เงียบข้างใน ไม่ให้มาวุ่นกับใคร ให้มาแต่ผู้ต้อนรับแขกคนพอประมาณ ท่านจัดกันไว้ ให้มาต้อนรับแขกคนพอประมาณ นอกนั้นไม่ให้ออกมายุ่ง ท่านภาวนาของท่าน เราก็เห็นใจท่านเหมือนกัน เวลามีแขกคนมามากๆ ก็ไม่พ้นที่พระจะได้ออกมาต้อนรับ มามากมาน้อยพอสมควรแก่แขกคนจะมา จะจัดยังไงต่อยังไง พระท่านจะจัดกันออกมา มาดูแลครัว มีประจำไว้ ๒ องค์ในครัว เวลาคนมีมากก็ออกมาช่วยกัน จัดนั้นจัดนี้ เสร็จแล้วท่านก็เข้าภาวนาของท่าน

วัดนี้เป็นวัดที่สงัดมาก เราสงวนทางด้านจิตตภาวนา ไม่ให้อ่อนลงเลย ไม่ให้อ่อน มากขนาดไหนก็ให้มีการประพฤติปฏิบัติทางจิตตภาวนาเสมอกันหมด ถือทางความสงบสงัดเพื่อความพากเพียรเป็นสำคัญกว่าเรื่องอื่นๆ เพราะฉะนั้นวัดนี้จึงไม่ค่อยมีพระมาจุ้นจ้าน อยู่ข้างในหมดเลย เราจะให้ออกมาแต่ที่จำเป็นๆ ที่ควรจะมาจัดนั้นจัดนี้ดูแล ท่านจะจัดกันออกมา นอกนั้นไม่ให้ออก ให้อยู่ภาวนาภายใน

จิตนี้เวลาภาวนาดีๆ มันของง่ายเมื่อไร ใครไม่เคยเห็นความอัศจรรย์ในโลกนี้ ถ้าไม่ได้ภาวนาจนกระทั่งวันตายก็ไม่มีทางจะรู้จะเห็น ความอัศจรรย์อยู่ที่ใจนะ เพราะความทุกข์มหันตทุกข์อยู่ที่ใจมาตลอดแล้ว ส่วนสุขบรมสุขนี้ยังไม่เคยมี ต้องมีด้วยอรรถด้วยธรรม ได้แก่จิตตภาวนา จิตตภาวนานี่สำคัญมาก เวลาได้ออกกระจ่างนี้แล้วจ้าไปหมดเลย จิตนี้ของง่ายเหรอ ที่มืดดำกำตาก็มีแต่เรื่องกิเลสปกคลุมเอาไว้ พอเปิดกิเลสออกมากน้อยจะค่อยส่งแสงสว่างออกๆ เปิดจ้าออกหมดเลย เปิดกิเลสออกหมด จ้าเลย

จิตสว่างอยู่แล้วตามหลักธรรมชาติของตน มีแต่เครื่องปิดบัง ปิดบังหุ้มห่อไว้ มองอะไรก็ไม่เห็น แต่พอเปิดอันนี้ออกด้วยจิตตภาวนาชำระจิตใจ จิตจะสว่างไสวออกมาๆ ออกมานี้จ้าไปหมดเลย นั่น ให้พากันจำเอานะ เรื่องภาวนาไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย คนไม่เคยภาวนาก็ไม่เห็นอะไรเป็นของอัศจรรย์ นอกจากผลหมากรากไม้ มะขามป้อม สมอ คว้ามับๆ เหมือนลิงเท่านั้นเอง ส่วนอรรถส่วนธรรมนี้ไม่รู้ คว้าไม่ถูกและไม่คว้า

ผู้ทรงอรรถทรงธรรมท่านคว้าแต่อรรถแต่ธรรม สิ่งเหล่านั้นท่านไม่ยุ่ง พอพูดอย่างนี้ก็มาสัมผัสกับอีตาคนหนึ่ง แกมาพูดมีลักษณะเป็นนิสัยอย่างนั้นละ แกเป็นนิสัยอย่างนั้นมา เอามะขามป้อม สมอมาเต็มกระสอบนะ กึ๊กๆ มา มาจอดกึ๊กนี่เลย พอดีเราลงมาจากนู้น เราก็มาถึงนี้พอดี มาถึงระยะเดียวกันกับรถแกมาจอด แกก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร พอเรามาถึงนั้น เขาก็ลงรถกึ๊ก นี่มะขามป้อม สมอ จะให้เอาลงไหน แกพูดแบบคึกคักอย่างนี้ละ ตามนิสัยของแก ไม่ระวัง เพราะแกก็ไม่รู้ว่าพระนี้เป็นพระมาจากไหน เป็นใคร

เราก็มีเครื่องต้อนรับไว้เรียบร้อยแล้ว ต้อนรับกิริยาอย่างนั้น มะขามป้อมสมอนี่จะเอาลงไว้ที่ไหนแกว่างั้น คึกคัก เราก็ตอบ นู่นเอาไว้โรงปอบ ตอบรับกันนะ นู่นเอาไว้โรงปอบ โรงปอบไหนแกว่า นี่โรงปอบมะขามป้อม สมอ เราว่างั้น ตอนบ่ายๆ ปอบจะมา แกดูเรา เราเดินเฉยไปเลย พูดเท่านั้นละ ไม่พูดมาก คือตอนบ่ายๆ ปอบมะขามป้อมสมอจะมาที่นั่น พอว่า แกก็ดูเรา ดูเราก็เฉยไปเลย กลับมาหายเงียบ เห็นแต่มะขามป้อมสมอ อยู่ที่ครัวไฟ แกว่านี่มะขามป้อมสมอจะให้เอาลงไหน คึกคักนะ นู่นเอาไว้โรงปอบเราว่างั้น ตอบรับกันเข้าใจไหม เราก็ทำท่าเฉยเหมือนหลวงพ่อหลวงตา เขาไม่รู้ว่าเราเป็นใคร

เขาถามคึกคักมาอย่างนั้น เราก็ตอบแบบคึกคักเหมือนกัน มะขามป้อมสมอนี้จะเอาไว้ที่ไหน แกว่างั้น คึกคักขึ้นมา นู่นเอาไว้โรงปอบเราว่างั้น โรงปอบที่ไหนแกดูเราอีก นั่นปอบมะขามป้อมสมอนั่นแหละ ตอนบ่ายปอบจะมาที่นั่น แกยิ่งจ้องเรานะ ยิ่งจ้อง ตอนบ่ายปอบจะมาที่โรงนี้ แกก็ดูเรา พอพูดแล้วเราหนีเลยไปเลยเฉย กลับมาไม่เห็นแก เห็นแต่มะขามป้อมสมอ แกอาจจะเอาไปคิดอยู่นะ เอ๊ หลวงตานี้มายังไงนะ แกไม่รู้ว่าเราเป็นสมภารวัด สมภารวัดนี่มันมียาอยู่เต็มย่ามอันนี้ ควรจะออกขนานไหน ควรจะออกแก้ยังไงๆ มันเต็มย่าม เข้าใจไหมล่ะ

พอออกมาแง่นี้มันก็รับแง่นี้ปั๊บๆ อย่างที่ว่ามะขามป้อมสมอจะเอาลงไหน โน่นโรงปอบ แน่ะ แก้กันแล้ว โรงปอบที่ไหน นู่น แกก็งง นั่นละโรงปอบ ตอนบ่ายปอบจะมาที่นี่ แกยิ่งงงนะ ว่าตอนบ่ายปอบจะมาที่นั่น แกยิ่งงง พอเราพูดแล้ว เราเดินเฉยไปเลย แกก็มองดูเรา แกก็ขนมะขามป้อมสมอลง พอเรากลับมาจากน้ำบ่อ หายแล้ว เห็นแต่มะขามป้อมสมออยู่โรงปอบ พูดอย่างนั้นก็พูดนะ เฉย

เวลาจะใช้แบบนั้นกิริยาท่าทางต้องเปลี่ยนหมด มันมียาอันนี้เต็มตัวมานี่เข้าใจไหม สะพายเต็มย่ามมานี้ ควรจะออกไม้ไหนๆ มันจะออกของมัน ออกแบบเฉยๆ แบบงงงันก็มี ไม่เคยออก ออกๆ แล้วแต่มันควรจะออกแบบไหน ออกได้ทั้งนั้น แบบเฉยด้วยนะ ไม่ได้ใช้กิริยาอย่างนี้ เวลานี้จะใช้แบบนี้ ปั๊บออกแบบนี้เลย ออกแบบนี้เฉยเลย เขาก็งงละซิ หือ หลวงตานี้มาจากไหน เขาคงจะว่า จากไหนก็โคตรพ่อโคตรแม่มึงถามหาอะไร เข้าใจไหม กูก็มีโคตรมีแซ่เหมือนมึง มึงมาถามหาอะไร เป็นอย่างนั้นละ จึงขบขัน ขบขันจริงๆ

กิริยาที่จะใช้กับคน มันหากมีของมัน เวลาจะใช้ คนมาแบบนี้ใช้แบบนี้ คนนี้มาแบบนี้ใช้แบบนี้ ใช้แบบนี้ไปเรื่อยๆ อย่างนั้นละ ไม่เอาแบบเก่ามาใช้ ไม่ทันกาล ต้องเอาหลายแบบเพราะคนมาหลายแบบ เราจะเอาแบบเดียวมาใช้ไม่ทัน ต้องเอาหลายแบบ บางทีเขาก็จะว่าเราเป็นบ้า ว่าก็ช่างซีปากเขา เราไม่ได้เป็นบ้า เป็นกิริยาเราต้อนรับแขกต่างหาก แขกชนิดไหน แขกเหมือนบ้าเราก็ตอบเหมือนบ้า แขกเหมือนคนดีเราก็ตอบแบบคนดีไป เป็นอย่างนั้น

พอพูดแล้วเราหายแล้วนะนั่น เขาไม่หายนะ เขาจะเอาไปขยี้ขยำ เอ๊ะ ทำไมท่านพูดอย่างนั้นทำไมท่านพูดอย่างนี้ ยุ่งเป็นบ้ากัน เราพูดแล้วหายแล้ว หายเงียบไปเลย ไม่มีอารมณ์ พูดเฉยๆ ไม่มีอะไรติดใจ ไม่ว่าพูดดีพูดชั่ว พูดเด็ดพูดอะไร พอพูดปั๊บๆๆ ตกไป หายไปพร้อมๆ หมดอารมณ์ เราหายแล้ว เขายังไม่แล้ว เขาจะเอาไปขยี้ขยำอยู่นั่น แหลก ช่างหัวเขาซี คนละแบบกับเรา แน่ะ ก็เป็นอย่างนั้นแหละ เอาละที่นี่ พอสมควรแล้ว

 

รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

สถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน  FM 103.25 MHz

และเครือข่ายทั่วประเทศ


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก