เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๑
เครื่องระงับจิต
ก่อนจังหัน
ให้พรก็ไม่มีเสียงทุกวันนี้ เสียงออกหูหมด ให้พรเสียงดังลั่นอยู่นี้ มันไม่ได้ออกนี้นะ บางทีช่วยกันทั้งสองหูด้วย บางทีมันออกหูเดียว บางทีฟาดช่วยกันทั้งสองหู ปากไม่มีเสียงเลย เป็นแล้วเดี๋ยวนี้ หูอื้อ ลมออกหู เวลามันชำรุดอะไรก็ชำรุดๆ ไปหมด ชำรุดไปทุกแง่ทุกอาการ เวลามันชำรุดเราถึงจะรู้ว่าอวัยวะนี้มันมีหลายชิ้นหลายอัน อันหนึ่งแสดงทางนี้ อันนั้นแสดงทางนี้ อันหนึ่งแสดงทางนั้น คืออะไรบกพร่องตรงไหนมันก็แสดงให้รู้ๆ ให้พร
หลังจังหัน
มันเป็นอย่างไรกุฏิเท่ากำปั้นนี้แต่เสียงดังลั่นทั่วประเทศไทยมันพิลึก กุฏิหลังนี้ ๒๕๐๔ ถมดิน ๒๕๐๕ เริ่มสร้าง เสร็จ ๒๕๐๖ ขึ้นกุฏิหลังนี้ นี้ขึ้นไม่ได้แล้ว มันกี่ปี ตั้งแต่ ๒๕๐๖ ขึ้น ๔๕ ปี นี่ละกุฏิหลังนี้ ทีนี้ขึ้นลำบากแล้ว เหนื่อย แต่ก่อนไม่เคยเป็นอารมณ์กับเรื่องการขึ้นการลง มาปีนี้เป็นแล้ว ขึ้นลงมันรู้สึกเหน็ดเหนื่อยๆ เข้าไปเป็นลำดับ
ที่เราอยู่เวลานี้ซึ่งเป็นวัดอยู่ขณะนี้ๆ แต่ก่อนเป็นดง เขาทำไร่ทำสวนเต็ม ต้นไม้เหล่านี้หมด ไม่มี ถูกเขาถากเขาถาง เผาแล้วทำเป็นไร่เป็นสวน นี่หมด บริเวณสร้างวัดนี้ เพราะคนทั้งบ้านใครก็มีไร่มีสวนอยู่แถวนี้ ทีนี้เลยกลายเป็นไร่เป็นสวนไปหมด เรามาพักอยู่ทางตะวันออกบ้าน ดูว่ามาจากทางสกลนครหรือมาจากทางจันท์น้า ลืม ผู้เฒ่าที่เป็นเจ้าของนาเจ้าของที่นี้ละออกไปนิมนต์เรามาอยู่ที่นี่ว่าสะดวกดี ที่นี่เราก็เคยอยู่แล้ว เพราะเป็นบ้านของเรา อันนี้ไม่ดีแกว่าสู้ทางนู้นไม่ได้ คือทางนั้นดีกว่า นิมนต์ไปดู แกก็พาเรามาดู ดีกว่านี้ ว่าอย่างนั้น เราดูแล้วแกก็นิมนต์ให้อยู่นั้นประจำเลยจนกระทั่งป่านนี้แหละ
แต่ก่อนไม่มีต้นไม้ คือมันเป็นสวนไปหมด ถูกถากถูกถางต้นไม้ขึ้นไม่ได้ ถูกเผาแล้วปลูกสิ่งต่างๆ ภายในสวนในไร่นั่นละ พอเรามาอยู่ที่นี่ต้นไม้มันก็ขึ้น ๒๔๙๘ มาอยู่ที่นี่จนกระทั่งป่านนี้ ดูต้นไม้มันใหญ่ขนาดนี้แหละ ๕๓ ปี ต้นไม้ใหญ่ขนาดนี้ สร้างวัดนี้ ๕๓ ปี ก็เลยเป็นวัดแน่นหนามั่นคง สะดวกสบาย ทำเลข้างในมีแต่ที่ภาวนาของพระ เราจึงไม่ให้เข้าไป ใครมาๆ ก็ให้อยู่บริเวณศาลา บริเวณที่โล่งนี้เท่านั้น นอกนั้นเป็นบริเวณภาวนาของพระ เต็มไปหมด ไม่ให้ใครเข้าไป
หากมีความจำเป็นสมควรที่จะให้เข้าไปก็มีพระนำหน้าไปเลย ไปเที่ยวดูทุกซอกทุกมุมเลย ถ้าธรรมดาไม่ให้ไป เป็นทำเลที่ภาวนาของพระ พระวัดนี้เป็นพระภาวนาล้วนๆ งานข้างนอกอะไรไม่ให้มายุ่ง คนก็ไม่ให้ไปยุ่งพระท่าน มาก็อยู่แค่บริเวณ ให้ออกๆ หน้าศาลาที่รับแขกอยู่ตรงนั้น ใครมาก็ยั้วเยี้ยๆ ไปตรงนั้นแล้วออกๆ ทางนี้ก็มีพระคอยดูแล พระเวร ดูจะเป็นอาทิตย์ละสององค์ๆ ในบริเวณรับผิดชอบ ในบริเวณศาลา-ครัวเหล่านี้จะเป็นหน้าที่ของพระสององค์ๆ ที่จัดไว้เป็นวาระละอาทิตย์หนึ่งเป็นผู้รักษา ใครมาจะต้องติดต่อกับพระ
ให้มาเท่านั้นพระท่านก็ภาวนาสะดวกสบาย ไม่ให้ยุ่งเหยิงวุ่นวายกับงานการใดๆ วัดเรานี้ชื่อว่าพระมากๆ แล้วจะไปวุ่นวายในการงานภายนอกเหมือนโลกทั่วๆ ไปนี้ไม่ วัดนี้สงบตลอด เรารักษาระดับแห่งการอยู่บำเพ็ญของพระไว้อย่างถูกต้อง ตามแนวทางที่ศาสดาสอนไว้ พระท่านจึงอยู่ข้างในเต็มไปหมด ไม่ให้ใครเข้าไป ให้มาถึงแค่นี้ๆ แล้วออกๆ ท่านภาวนา
จิตใจมันดีดมันดิ้นไม่มีอะไรเกินใจ จิตใจที่มีแต่กิเลสหุ้มห่ออยู่ภายในมันจะพาดีดพาดิ้น พาคิดพาปรุง ยุ่งเหยิงวุ่นวายตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นนอน ติดเครื่อง พอตื่นนอนเรียกว่าติดเครื่อง เครื่องยนต์ของกิเลส ฟาดเสียจนหลับนั่นแหละเรียกว่าดับเครื่อง ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับนอนกลางคืนเรียกว่าดับเครื่อง ถ้าไม่มีนอนหลับตายเลยมนุษย์ มันไม่มีที่ระงับ
ทีนี้ท่านภาวนาระงับจิตดวงมันดีดมันดิ้น ไม่มีอะไรจะระงับจิตดวงคึกคะนองนี้ได้ยิ่งกว่าธรรม ธรรมจึงเป็นอันดับหนึ่งปราบกิเลสตัวมันพาคึกพาคะนอง ไม่มีวันเป็นวันตาย กิเลสภายในใจจะระงับมันได้ด้วยการอบรมจิตใจภาวนา ฝึก เอาจนกระทั่งมันอยู่มันสงบ เมื่อเวลามันสงบมากๆ แล้วนั้นกายนี้เหมือนหัวตอ จิตจะไม่ดีดไม่ดิ้น แน่ว นั่นเรียกว่าจิตเป็นสมาธิ นั่งอยู่ที่ไหนเหมือนหัวตอ ไม่อยากคิดอยากปรุง ความคิดความปรุงเป็นการรบกวนจิตที่มีความสงบร่มเย็นเป็นสมาธิ ถ้าไม่มีสมาธิไม่ได้คิดไม่ได้ ดีดดิ้นตลอด สมาธิธรรมเป็นเครื่องระงับจิตให้อยู่สบายๆ
นั่นละท่านฝึกใจของท่าน ฝึกให้มันค่อยสงบลงก่อน คือมันวุ่นวาย ความวุ่นวายถ้าเป็นน้ำก็ขุ่นเป็นตมเป็นโคลนไปหมด จิตวุ่นวายก็เหมือนกับน้ำที่ถูกกวนตลอดเวลา หาความสงบเย็นไม่ได้ น้ำก็ไม่ใส ทีนี้พอระงับไม่ให้มีการยุ่งกวนแล้วน้ำก็สงบ นี่ไม่ให้มีอารมณ์กวนใจใจก็สงบ พอใจสงบแล้วใจก็เย็นๆ พอใจสงบเท่านั้นทุกอย่างสงบไปหมดโลกธาตุ ใจตัวเดียวนี้เป็นตัวสำคัญก่อเรื่องทั่วแดนโลกธาตุ ใจเขาใจเรา มีแต่ใจก่อกวนตัวเองให้เดือดร้อนวุ่นวาย โลกมีมากขนาดไหนหาความสงบไม่ได้ ถ้าไม่มีธรรมเป็นเครื่องระงับดับจิตตัวสร้างเหตุการณ์ต่างๆ อยู่ไม่หยุดไม่ถอยนี้ ต้องเป็นธรรมเท่านั้นระงับ พอระงับลงไปแล้วจิตก็สงบ สงบแล้วเย็น
พอสงบแล้วเย็นควรแก่การพิจารณาทางด้านปัญญา ทีนี้ก็ออกคิดทางด้านปัญญา กฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ทั่วแดนโลกธาตุ จิตจะวิ่งตามนี้ เพราะจิตไปติดไปเกาะสิ่งเหล่านั้น พอพิจารณาอันนั้นจิตก็ค่อยปล่อยเข้ามาๆ สงบร่มเย็นเรื่อยๆ จากนั้นก็พิจารณาทางด้านปัญญาแยกออกหมด แล้วปล่อยวางเรื่อยๆ ปล่อยวางสิ่งภายนอกหยาบๆ แล้วก็มาปล่อยวางความคิดปรุงของตัวเอง จนกระทั่งปล่อยวางหมดภายในจิตใจหมดโดยสิ้นเชิงไม่มีอะไรเหลือ
เช่นพระอรหันต์ท่านบรรลุธรรม คือดับกิเลสตัวคึกคะนองภายในใจไม่มีวันสงบให้สงบหรือตายลงไปเลย มุดมอดลงไปหมด จิตของท่านก็เป็นจิตธรรมชาติหรือเป็นจิตธรรมธาตุ จิตของพระอรหันต์นี่เป็นจิตธรรมธาตุ ถ้ามีชีวิตครองขันธ์อยู่ก็เรียกว่าเป็นพระอรหันต์บ้าง ผู้บริสุทธิ์บ้าง ถ้าเรียกตามหลักธรรมชาติกลางๆ ไม่มีร่างกายเข้าไปเกี่ยวข้องแล้วก็เรียกว่าจิตนี้เป็นธรรมธาตุ จ้าอยู่ตลอดเวลา นั้นละนิพพานเที่ยงอยู่ตรงจิตเข้าถึงธรรมธาตุ เมื่อถึงธรรมธาตุแล้วนิพพานไม่ต้องถาม เที่ยงหรือไม่เที่ยง ธรรมธาตุนี้แลคือนิพพาน ที่ว่านิพพานเที่ยงก็คือธรรมธาตุ
นั่นละจิต เมื่อสลัดสมมุติหมดความรับผิดชอบโดยสิ้นเชิงแล้วจิตก็เป็นธรรมธาตุล้วนๆ พอปล่อยธาตุขันธ์ซึ่งเป็นสมมุตินี้แล้วจิตก็เป็นวิมุตติล้วนๆ ไม่มีอะไรเข้าไปเกี่ยวข้องให้รับผิดชอบก็เป็นธรรมธาตุไปเลย จิตของท่านผู้รู้เป็นจิตธรรมธาตุ ปล่อยสังขารร่างกายจากความรับผิดชอบแล้วก็เป็นจิตธรรมธาตุ ธรรมธาตุนี้กลางๆ เลยที่นี่ นั่นละท่านว่านิพพานเที่ยงตลอดเลย ไม่มีกฎอนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เข้าไปเกี่ยวข้องเลย คือจิตนี้เป็นธรรมธาตุล้วนๆ แล้ว นั่นละท่านว่านิพพานเที่ยงตรงนั้นเอง
พิจารณาให้มันถึงนั้นแล้วกราบพระพุทธเจ้าสนิทหัวใจเลย ในโลกนี้ไม่มีใครที่จะสอนให้ถึงธรรมธาตุอันนี้ได้นอกจากพระพุทธเจ้าเท่านั้น นั่น ยอมรับหมด พระพุทธเจ้ามีกี่พระองค์กราบราบเลย มันลงขนาดนั้น ลงที่ใจดวงนี้ ใจดวงนี้กับพระพุทธเจ้าทั้งหลายคืออันเดียวกัน เมื่อจับนี้ปั๊บมันกระเทือนถึงกันหมด ไม่ต้องถามหาพระพุทธเจ้าองค์ไหนต่อองค์ไหน รูปลักษณะสัณฐานอะไรกิริยาอาการไม่มี มีแต่ความบริสุทธิ์ บริสุทธิ์วิมุตติหลุดพ้นจากสมมุติทั้งปวงแล้วก็เป็นจิตธรรมธาตุ นั่นละพระพุทธเจ้า-สาวกทั้งหลายเป็นจิตธรรมธาตุอย่างนั้น ท่านละขันธ์ที่เป็นสมมุตินี้ไปแล้วก็เป็นธรรมธาตุไปเลย
นี่ละการฝึกฝนอบรมจิตใจเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนะการฝึกใจ เลวที่สุดก็ไม่มีอะไรเกินใจ เลิศที่สุดก็ไม่มีอะไรเกินใจ เกี่ยวกับการบำรุงรักษาหรือทำลายตัวเอง ใครทำลายตัวเองอยู่ในตัวก็เลวลงๆ ใครมีการบำรุงรักษาจิตใจให้ดีก็เรียกว่าเสริมจิตใจให้ดีขึ้นๆ จนก้าวเข้าถึงธรรมธาตุ พระพุทธเจ้า-พระอรหันต์ท่านเป็นธรรมธาตุเหมือนกันหมด
ธรรมเหล่านี้ไม่ใช่สุดวิสัยของมนุษย์เรา ที่จะปฏิบัติให้รู้ตามเห็นตามจนถึงธรรมชาตินี้ อยู่ในวิสัยของผู้บำเพ็ญได้มากน้อย แล้วธรรมนี้จะเข้าเกี่ยวข้องไปเรื่อยๆ เมื่อบำรุงรักษาให้เต็มที่แล้ว จิตนี้ก็เลยกลายเป็นธรรมธาตุอยู่ในท่ามกลางแห่งธาตุขันธ์ ธาตุขันธ์เป็นธาตุขันธ์ จิตที่บริสุทธิ์แล้วรับผิดชอบเรื่องธาตุเรื่องขันธ์เพียงเท่านั้น พอธาตุขันธ์หมดสภาพพังลง อันนี้ก็ดีดผึงออกเป็นธรรมธาตุไปเลย
นั่นละธรรมพระพุทธเจ้าสอนจิตให้เลิศเลอขนาดนั้น ลงจิตถึงขั้นธรรมธาตุแล้วหมดปัญหาโดยประการทั้งปวง ในโลกธาตุที่เป็นแดนสมมุตินี้ไม่มีสมมุติใดเข้าไปเกี่ยวข้องได้เลย นั่นท่านเรียกว่าวิมุตติ จิตของท่านผู้สิ้นสุดจากเรื่องเหล่านี้แล้วก็เป็นจิตวิมุตติ บริสุทธิ์เต็มสัดเต็มส่วน นิพพานเที่ยงก็คือจิตดวงนั้น ถ้าไม่ฝึกมันก็ไม่ได้เรื่องได้ราว ต้องฝึก ทุกอย่างต้องฝึก ตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลานไป นานต่อนานไปมันก็ค่อยดีขึ้นๆ ก็กลายเป็นจิตที่บริสุทธิ์ได้
เมื่อจิตบริสุทธิ์หมดสิ่งก่อกวนทั้งหลายแล้ว นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ ก็อยู่ในนั้น นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง เป็นสุขเหนือสมมุติทั้งปวงก็คือจิตที่ฝึกฝนอบรมจนถึงขั้นบริสุทธิ์เต็มตัวแล้วก็เป็นนิพพานเที่ยงขึ้นมาที่ใจ ใจนั้นละคือนิพพาน นิพพานทั้งเป็นคือท่านผู้บริสุทธิ์ พากันปฏิบัติเอาบ้างซิ ไม่ปฏิบัติมันไม่เห็นนะ สิ่งเหล่านี้ไม่เหนือวิสัยของมนุษย์ไปได้ อยู่ในวิสัยของผู้รักใคร่ใกล้ชิดกับธรรมจะได้นำมาเป็นขวัญตาขวัญใจอยู่เป็นสุข
ถ้าไม่มีธรรมแล้วใครจะว่าใครมั่งใครมี มีความสุขความเจริญมากน้อยมันมีตั้งแต่ลมปาก ไม่ได้มีความจริง เพราะฉะนั้นคนมั่งคนมีกับคนทุกข์คนจนความทุกข์จึงเป็นเหมือนกันหมด ไม่มีใครยิ่งหย่อนกว่ากัน โลกมันหากมองข้ามไปว่าใครมั่งมีศรีสุขมีเงินมีทองข้าวของ มีบริษัทบริวารอะไรมาก ว่าผู้นั้นจะมีความสุขมาก ความจริงแล้วเหมือนกัน ตาสีตาสาอยู่ตามท้องนาเขาไม่ได้ทุกข์มากนะ เพราะความรับผิดชอบ-ความทะเยอทะยานเขาไม่ได้มาก ความรับผิดชอบ-ความทะเยอทะยานเป็นสิ่งก่อกวนส่งเสริมให้มีความทุกข์มากโดยลำดับเขาไม่มี พวกตาสีตาสาไม่มีนะ แต่พวกเศรษฐีมหาเศรษฐีมีด้วยกันทั้งนั้น กองทุกข์มากอยู่นั้น
ทีนี้เวลาอะไรมีก็ตามจิตเปิดออกหมดไม่เอา ดังพระยสกุลบุตรจะออกไปบวช พ่อแม่เอากองเงินกองทองมาตั้งไว้จนท่วมหัว เงินทองข้าวของ จะไปอะไรเราก็สมบูรณ์พูนผลทุกอย่างแล้ว ไปหาความสุขที่ไหนอีก นี่ไม่ใช่ความสุข นั่น มันอยู่ในกฎ อนิจฺจํ เหยียบย่ำทำลายให้เกิดความทุกข์อยู่ทั่วหน้ากัน ความสุขแท้ไม่ใช่อย่างนี้ ท่านก็ออกเลย อันนี้วุ่นวาย ที่นี่วุ่นวาย อะไรวุ่นวาย พอไปถึงพระพุทธเจ้า ท่านกำลังเสด็จจงกรมอยู่ พระยสกุลบุตรเข้าไป มาๆ ที่นี่ยส ที่นี่ไม่ยุ่งเหยิงวุ่นวาย ที่นี่เป็นสุขๆ สอนธรรม บรรลุธรรมปึ๋ง ได้สำเร็จอรหันต์ หมดความวุ่นวาย
ตั้งแต่นั้นมาพระยสกุลบุตรไม่เคยบ่นเป็นความยุ่งเหยิงวุ่นวายเหมือนแต่ก่อน ที่กอดกองสมบัติอยู่เลย เวลากอดกองสมบัติก็ว่าเป็นกองแห่งความสุข เป็นกองแห่งทุกข์ทั้งหมด เวลาเปิดเผยปล่อยอันนี้ออกหมดแล้วเป็นธรรมสมบัติ เป็นสมบัติของตัวเองล้วนๆ แล้วนั้นไม่มีความทุกข์ สบาย อย่างพระมหากัปปินท่านออกอุทาน ท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ตรวจไพร่ฟ้าประชาชนทั่วแผ่นดินหาความสุขไม่ได้ กลางคืนไปแบบหนึ่ง กลางวันไปแบบหนึ่ง ต้องใช้กิริยาปกครองบ้านเมืองรอบคอบขอบชิดต่อเขตแดนรับผิดชอบของตน ไม่ได้หลับได้นอน
ทีนี้พอออกไปบวชสละละวางหมดสิ่งเหล่านี้ไม่มีอะไรเหลือแล้ว อยู่ที่ไหนก็ว่างเปล่าๆ ไม่มีอะไรเข้ามายุ่งกวน ท่านก็ออกอุทานว่า สุขํ วต สุขํ วต สุขหนอๆ สุขํ วต สุขํ วต สุขหนอๆ คือไม่ยุ่งกับอะไรเลย จิตปล่อยวางโดยสิ้นเชิงก็เป็นความสุข สุขหนอๆ ไปที่ไหนพระมหากัปปินท่านมักจะอุทานอย่างนี้เสมอ พวกเราไปที่ไหนมีแต่ทุกข์หนอๆ ไปที่ไหนทุกข์หนอๆ ไปเล่นกับหมาก็ไปสร้างกองทุกข์ให้หมา ทุกข์หนอๆ เข้าไปในบ้านก็ไปสร้างกองทุกข์ให้พ่อบ้าน พ่อบ้านสร้างกองทุกข์ให้แม่บ้าน พ่อแม่กับลูกสร้างกองทุกข์ให้กัน มีตั้งแต่ทุกข์หนอๆ เต็มบ้านเต็มเมือง พวกนี้พวกสร้างกองทุกข์ ไปที่ไหนมีแต่ทุกข์หนอๆ หาความสุขไม่มี เป็นอย่างไรพวกเรามันเก่งไปทางอย่างนั้น สร้างกองทุกข์เก่งมาก สุขหนอๆ อย่างพระมหากัปปินไม่มีใครสร้างง่ายๆ แหละ เอาละพอ
รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
สถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
และเครือข่ายทั่วประเทศ
|