เรื่องภาวนาจะบกพร่องไม่ได้
วันที่ 27 มีนาคม 2551 เวลา 8:10 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๑

เรื่องภาวนาจะบกพร่องไม่ได้

ก่อนจังหัน

          วัดป่าบ้านตาดนี่พระไม่เคยฝึกเรื่องความแร้นแค้นกันดาร มานี้มีแต่อาหารทับหัวอกๆ ธรรมเลยเกิดไม่ได้ ให้พิจารณาตัวเอง ไม่พิจารณาไม่ได้ มันเหลือเฟือ ธรรมเจริญในที่ขาดแคลนกันดาร ไม่ได้เกิดในที่เหลือเฟือ ที่ไหนขาดแคลนกันดารธรรมจะเกิดที่นั่น ครูบาอาจารย์ที่ได้มาสั่งสอนพวกเรามีแต่พวกรอดตายมาทั้งนั้น เวลาท่านฝึกท่านท่านไม่ได้สนใจกับเรื่องการอยู่การกิน พอมีลมหายใจได้เท่านั้นพอ นั่นละธรรมเจริญที่ตรงนั้น เหลือเฟือนี้ไม่ได้เจริญนะธรรม ผู้ไม่รู้มันไม่รู้จริงๆ จึงต้องเตือน ผู้ไม่เข้าใจไม่เข้าใจ

          พอพูดอย่างนี้ก็ระลึกถึงพ่อแม่ครูจารย์มั่นเรา ท่านไปภาวนาอยู่ทางบ้านนาหมีนายูง ไปอยู่กับเขา เขาเข้าใจกันว่าพระธรรมกรรมฐานท่านฉันแต่ถั่วแต่งา ท่านไม่ฉันเนื้อฉันปลาอะไรๆ ทั้งนั้น ท่านฉันแต่ถั่วแต่งา นี่พ่อแม่ครูจารย์เล่าให้ฟังนะ คือเวลาพูดผ่านไปตรงนั้นท่านก็เล่า ทีนี้เมื่อเขาไม่มีถั่วมีงาเขาก็มีแต่ข้าวเปล่าๆ ให้ฉัน ท่านว่า ก็ฉันแต่ข้าวเปล่าๆ ไปอย่างนั้น เขาไม่มีถั่วมีงา น่าฟังนะ คือท่านพูดไปเฉยๆ เวลาเรื่องผ่านไปท่านก็พูดไป เราผู้ที่ฟังอยู่ข้างหลังทุกอย่างมันเข้าในหัวใจนี้หมด ท่านพูดอย่างสบายๆ

          พระเท่าไรลืมแล้ว (๓๔ ครับผม) การภาวนาต้องถือเป็นสำคัญนะ สำหรับวัดป่าบ้านตาดเราถือเรื่องการภาวนาเป็นสำคัญมากทีเดียว อะไรจะขาดจะเหลือก็ตามเถอะแต่เรื่องภาวนาจะบกพร่องไม่ได้ การภาวนาสำคัญมาก เราก็ไม่ค่อยมีเวลาสั่งสอนพระ เพราะงานอะไรก็มารวมอยู่ที่เรา เลยไม่ค่อยมีเวลาสั่งสอนพระโดยเฉพาะ สั่งสอนก็เป็นแกงหม้อใหญ่ไปเลย ใครฉลาดก็ยึดเอา ใครไม่ฉลาดก็สักแต่ว่าฟังไปอย่างนั้นละ ไม่เกิดประโยชน์อะไร

หลังจังหัน

          เราเคยสังเกตกำลังวังชาของเรา บวชไปอายุ ๒๓ กำลังทุกอย่างเต็มหมดเลย อายุ ๒๓ นี้กำลังเต็มที่ การกินไม่รู้จักอิ่ม จนโมโหให้ตัวเอง เป็นนะ อายุ ๒๓ นี่ดูดดื่มเต็มที่ อะไรๆ มาดีหมดเลย อายุ ๒๓ กำลังขึ้นเต็มที่ ฉันจังหันไม่รู้จักอิ่ม คือท้องมันเต็มแล้วทางปากมันยังอยาก มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ปากยังอยาก ท้องเต็มจนไม่มีอะไรจะใส่แล้ว ปากยังอยาก เอาข้าวเปล่าๆ มาให้กินลองดูมันเป็นอย่างไรมันยังหิวอยู่หรือ ข้าวเปล่าๆ มาใส่หวานนะ ข้าวเปล่าๆ มีรสหวาน เรามาสังเกตดู

นั่นละตอนอายุ ๒๓ ตอนได้โมโหหงุดหงิดกับตัวเองว่าเราก็จะมาฝึกอบรมกับศีลกับธรรม การอยู่การกินไม่รู้จักพอไม่รู้จักอิ่ม ไม่ใช่การอบรมศีลธรรม ว่าให้เจ้าของ อายุ ๒๓ นี้ละเต็มที่เลย ฉันจังหันไม่รู้จักอิ่ม เต็มท้องแล้วมันยังอยาก เอาข้าวเปล่าๆ มาให้ฉันมันหวานไปเลย โถ คือสังเกตลิ้นของเจ้าของตอนอายุ ๒๓ นี้ กำลังเต็มที่ การกินอะไรๆ นี้ดื่มเต็มที่

พอเลยจากนั้นไปแล้วก็ไม่ค่อยผาดโผนเท่าไรนัก ปีอายุ ๒๓ รู้สึกว่าผาดโผนมาก จนเจ้าของเกิดความหงุดหงิดในใจ อดบ้างมันเป็นอย่างไรน้า ไม่ฉันเลย โถ ตัวสั่นไปเลยนะ มันกำลังดูดดื่มเต็มที่ ทดลองดูกำลังหิวนี้ไม่ฉัน ไม่ฉันตัวสั่นไปเลยนะ เราทดลองดู อายุ ๒๓ นี่ธาตุขันธ์ดูดดื่มเต็มที่ ๒๔ มันก็ค่อยเสมอๆ ไป แต่อายุ ๒๓ รู้สึกว่าผาดโผนมากทีเดียว จนเจ้าของเกิดความหงุดหงิด

ฉันจังหัน อ้าว องค์นั้นอิ่มออกมา องค์นี้อิ่มไป องค์นี้อิ่มไป ยังอยู่สองสามองค์ยังไม่อิ่ม อายหมู่เพื่อนนะ ไม่อิ่มก็ออก ออกไปมันก็ไม่อิ่ม จำได้ไม่ลืมนะ หงุดหงิดให้เจ้าของ มันกินอะไรนักหนาก็กินมาตั้งแต่วันเกิดแล้วทำไมมันไม่อิ่มไม่พอสักที ว่าอย่างนั้นนะ อดลองดูมันจะเป็นอย่างไร ทดลองดูอดวันหนึ่ง ปรากฏว่าตัวสั่นไปเลย โถ พิลึก นี่ในขั้นเริ่มแรกที่กำลังวังชาเรามันเต็มที่อายุ ๒๓

จากนั้นพอเรียนหนังสือถึงจุดมุ่งหมายแล้วก็ออกปฏิบัติ ทีนี้ฟัดกันเลยละ เรื่องความหิวความโหยอย่างที่ว่านี่มาผ่านไม่ได้เลย กำลังของจิตที่มุ่งต่ออรรถต่อธรรมมุ่งต่อมรรคผลนิพพานมันรุนแรงกว่าความหิวโหยเหล่านี้ อันนี้โผล่หน้าขึ้นมาไม่ได้ ซัดกันเลยๆ ตั้งแต่ออกปฏิบัติไม่ค่อยฉันจังหัน มันค่อยรู้เรื่องรู้ราวกัน ๖ วัน ๗ วันฉัน อดไปได้ถึง ๗ วันเรานะ ไม่มากกว่านั้น คือ ๗ นี่วันไม่ฉันเลย นอกจากนั้นก็ลดลงมาเป็นธรรมดา เพราะอดบ่อยๆ อดอาหาร

เพราะอดอาหารภาวนาดี สติสตังดี นอนก็ไม่มาก ภาวนาสติดี มันมักจะอดเป็นประจำ เพราะฉะนั้นจึงไม่ได้อดมาก ประมาณ ๔-๕ วันฉันทีหนึ่งๆ อย่างนั้น ตอนต้นๆ ถึง ๗ วัน ทดสอบดูทุกอย่าง ทีนี้เวลาเป็นพื้นฐานจริงๆ ก็อยู่ใน ๔-๕ วัน ย่นลงมา ๓ วัน ๔-๕ วัน ๓ วันนี่ละ อดอาหารภาวนาดี สติดี นอนน้อยมาก อดอาหารไปหลายวันเท่าไรความง่วงเหงาหาวนอนไม่มีนะ มันเป็นเพราะอาหาร อาหารถ้ามีกับดีๆ แล้วเก่งนะ กล่อมได้เลย

ทดสอบเจ้าของเรื่อย คือการทำอะไรเราก็ดีอันหนึ่งนะ คือไม่ใช่สักแต่ว่าทำ สังเกตเรื่อย สังเกตผลเรื่อยไป ไม่ได้สักแต่ว่าทำ เห็นเพื่อนฝูงทำก็ทำไป นี่ใช้ปัญญาพิจารณาไปตาม จึงได้เห็นความได้ความเสียของการอดการฉัน ที่อดมากสุดเราก็เพียงแค่ ๗ วัน ๔-๕ วันนี่เป็นประจำ สูงได้เพียงแค่เจ็ดวันๆ ไม่สูงกว่านั้น แล้วก็ย่นลงมา ๖ วัน ๕ วัน การภาวนา เหล่านี้อยู่ในป่าในเขานะ อยู่ในป่าในเขาทั้งนั้น ไม่ฉัน เพราะฝึก ความมุ่งมั่นในธรรมมันแรงกล้า สามารถที่จะฝึกหัดสิ่งเหล่านี้ให้คล้อยตามธรรมได้

เราอดไม่เคยเลย ๗ วัน เพียงแค่ ๗ วัน ไปถึงแค่นั้นๆ จากนั้นก็ย่นลงมาๆ แต่มันก็ท้องเสียได้นะ ท้องเราเสีย คือมันอดอยู่เรื่อยๆ ฉันได้สัก ๒-๓ วันอดอีกแล้วอย่างนั้นนะ บางทีฉันไป ๓-๔ วันอดอีกแล้วๆ ทีนี้นานเข้าๆ ท้องเสียนะ นี่ละการฝึกตนเพื่ออรรถเพื่อธรรมได้ฝึกมาอย่างนั้น ครูบาอาจารย์ทั้งหลายท่านก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าฉันเต็มอิ่มแล้วภาวนาดี มันมักจะหลับครอกๆ ไม่ค่อยได้เรื่องนะ มีอดมีอิ่มบ้าง อดมากภาวนาดี ให้เขียมๆ อาหารไม่ให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย

เราอยู่กับพ่อแม่ครูจารย์มั่นในวงคณะมากๆ นี้ไม่ได้อด แต่ฉันแค่ ๖๐% เท่านั้นไม่ให้อิ่ม คือภาระมันเกี่ยวกับหมู่กับเพื่อนมาก ไปที่ไหนมักจะมีนะเราคอยดูหมู่เพื่อน เจ้าของจึงไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ทีนี้เวลาออกไปเอาละที่นี่ จะกี่วันก็ช่างมัน การฝึกเจ้าของทางด้านจิตตภาวนา..เวลาออกภาวนาอาหารนี่รู้สึกว่าน้อยมากทีเดียว ไม่ให้มากกว่านั้นภาวนาไม่ดี อาหารฉันก็ฉันเขียมๆ ไม่ให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย

ส่วนมากไปคนเดียวมักจะอดนั่นแหละ ไม่ฉันแต่น้อย อดเลย มักจะอดแต่ไม่มาก อย่างมากก็ ๗ วัน ๕ วัน ๖ วัน นานๆ เข้าก็ ๓ วัน ๔ วัน เพราะมันอดอยู่เรื่อยๆ ถึงขนาดนั้นท้องยังเสียได้นะ เสียท้อง เวลาอดไปนานๆ เป็นเพราะเหตุไรไม่รู้นะท้องเสียได้ นี่ละการฝึกการทรมานตัวเอง แล้วนิสัยเรามันมักจะผาดโผนเสมอ ทำอะไรนี้มันจริงจัง ความจริงนี่สำคัญมากทำให้ผาดโผนนะ

พ่อแม่ครูอาจารย์ทั้งๆ ที่ท่านก็สอนเพื่อให้เด็ดเดี่ยว แม้เช่นนั้นท่านยังรั้งเอาไว้รั้งเรา คือท่านรู้นิสัยเราผาดโผน บางทีท่านก็ยกม้ามาเป็นข้อเปรียบเทียบ ม้าตัวคึกตัวคะนองไม่ยอมฟังเสียงการฝึกของเจ้าของ สารถีฝึกม้าเขาต้องฝึกกันอย่างหนัก ว่าอย่างนั้นนะ ไม่ควรให้กินหญ้าไม่ให้กิน ไม่ควรให้กินน้ำไม่ให้กิน ฝึกเต็มที่ จนกระทั่งม้านี้ค่อยลดพยศลงๆ การฝึกเขาก็ลดลงตามสัดตามส่วน ท่านพูดกลางๆ อย่างนั้น จนกระทั่งม้านี้ใช้การใช้งานได้แล้วการฝึกเช่นนั้นเขาก็ระงับไป ฝึกพอประมาณ ท่านพูดเรื่องม้า

แต่เรายังไม่ถึงใจอยากให้ท่านหันหน้ามานี้ ไอ้หมาตัวนี้มันฝึกอย่างไรนาฝึกเจ้าของ อยากให้ท่านว่าอย่างนั้น เพราะนิสัยเรามันผาดโผน ว่าอะไรมันเอาจริงจังมากทีเดียว นี่ท่านก็รั้งเอาไว้ ถ้าว่านั่งตลอดรุ่งนี่ก็ซัดเสียจนก้นแตก นี่ท่านก็รั้งเอาไว้ เวลาสรุปผลแล้วดี ได้ผลดีเป็นที่พอใจ ไม่ได้คิดอะไรด่างพร้อยภายในใจว่าความเพียรเราขี้เกียจขี้คร้านท้อแท้อ่อนแอไม่มี มีแต่อย่างนั้นละๆ ได้รั้งเอาไว้ๆ เวลาได้ผลการกระทำมาบวกกันเข้าเป็นคุณนะ  มาหยุดเลยก็ตอนพรรษา ๑๖ พรรษา ๑๖ นี้หยุดคือไม่อดอาหารเลยพรรษา ๑๖ ตั้งแต่นั้นมาท้องก็เลยเสียมาเรื่อยๆ เพราะมันอดมาตั้งแต่เราเริ่มออกปฏิบัติ ทีนี้เวลามาฉันเป็นปรกติท้องก็เลยเสียมาเรื่อยๆ ละเรา

นี่ก็เพราะการฝึกจนท้องเสีย เวลามันถ่ายนี่ถ่ายออกหมดเลย พอตะวันบ่ายท้องจะร้องลั่นโก้กเก้กๆ พอตกกลางคืนมาถ่ายออกหมดเลย ที่สำคัญก็ไปอยู่ในป่าเสือละซี เวลาถ่ายก็ต้องออกไปอย่างนั้น เสือมันเต็มป่าเต็มดงกลัวมันจะงับไปกิน แต่ไอ้นี้มันก็ไล่ต้องได้ไป เป็นอย่างนั้นละฝึกเจ้าของ เราพอใจในการฝึกตัวเอง ฝึกทางด้านปฏิบัติจิตตภาวนานี้หนักมากทีเดียว

เพราะฉะนั้นเวลาดูหมู่ดูเพื่อนนี้หลับหูหลับตาดูเอานะ เราดูหมู่ดูเพื่อนเผลอสติหรือไม่เผลอสติ มีท่าทางของนักรบหรือไม่มี หรือเซ่อๆ ซ่าๆ ดูพับมันรู้นะ เพราะเราฝึกมามันไม่เป็นอย่างนั้น มีแต่ท่าจ้อตลอดเวลาเลย สติสำคัญมาก แล้วก็ได้ผลอย่างนั้นละได้ผลเรื่อยมา ฟาดขาดสะบั้นลงไปกิเลสกับจิต เราไม่ลืมวันที่ ๑๕ พฤษภา ๒๔๙๓ เวลา ๕ ทุ่มพอดี อยู่หลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ นี้ไม่มีวันลืม เพราะตอนนี้ตอนฟ้าดินถล่ม ระหว่างวัฏจักรกับวิวัฏฏจักรขาดสะบั้นจากกัน นั่นละไม่ลืมนะ กิเลสขาดสะบั้นลงในวันนั้น ในวันที่ ๑๕ พฤษภา ๒๔๙๓ เวลา ๕ ทุ่มพอดี รู้เจ้าของเวลากิเลสกับจิตฟาดกันขาดสะบั้น ไปด้วยอำนาจแห่งความเพียรของธรรมทั้งหลายก็ไม่ลืมเหมือนกัน

ทำเหยาะๆ แหยะๆ มันไม่ได้ละนิสัยเรา ถ้าหากว่ากิเลสไม่ตายเราก็ต้องตาย คือมันถอยกันไม่ได้เลย ถ้าลงได้ออกทางด้านภาวนาแล้วหมุนติ้วตลอด อยู่เฉยๆ งุ่มๆ ง่ามๆ ไม่ได้นะ เพราะฉะนั้นมองดูพระดูเณรต้องหลับหูหลับตาดูเอา ทั้งๆ ที่ท่านก็ตั้งใจอยู่ตามกำลังของท่านนั่นแหละ แต่ดูแล้วมันขวางตากับความเพียรของเราที่เคยหมุนติ้วๆ มา มันเป็นอย่างนั้นนะ

ทีนี้กิเลสมันก็ขาดสะบั้นลงด้วยความเพียรหมุนติ้วๆ นะ มันไม่ได้ขาดลงด้วยความโง่เง่าเต่าตุ่น ไปเซ่อๆ ซ่าๆ ไม่มีสติสตัง มันขาดลงด้วยนักมวยจ้อกันต่อยกันเข้าวงในกันซัดกัน กรรมการเข้าไปยุ่งไม่ได้ นี้ก็เป็นแบบกรรมการยุ่งไม่ได้ เวลามันหนักมันหนักจริงๆ แล้วประกอบกับนิสัยนี้จริงจังด้วย ผาดโผนด้วย เวลาซัดกับกิเลสนี้ก็มีแต่ว่าทีนี้จะเอากับกิเลสละ ถ้ากิเลสไม่ตายเราต้องตาย เป็นคู่ต่อสู้กันบนเวทีคือความเพียร เอาเท่านั้นละ ถ้ากิเลสไม่ตายเราเท่านั้นตาย ที่จะให้ยกมือยอมแพ้นี้ไม่ยกไม่มี ตายก็ให้หามลงเปลไปเลย ซัดกัน นี่ก็เป็นเวลา ๙ ปี ซัดกับกิเลสประเภทนี้เรียกว่าตกนรกทั้งเป็น

พรรษา ๗ ออกปฏิบัติ รับโอวาทจากพ่อแม่ครูจารย์มั่นเรียบร้อยแล้วออกปฏิบัติ ถึงพรรษา ๑๖ ตัดสินใจกันลงได้ ขาดสะบั้นกิเลสไม่มีเหลือในใจ จนกระทั่งบัดนี้ไม่เคยปรากฏว่ากิเลสตัวใดได้โผล่หน้าขึ้นมา ความโลภก็ดี ความโกรธก็ดี ราคะตัณหาก็ดี ความหงุดหงิดภายในใจก็ดี หมดโดยสิ้นเชิง นั่นจึงเรียกว่ามันหมด ทำอะไรๆ ให้โกรธให้เคียดให้แค้นอย่างนี้ไม่มี จึงเรียกว่ากิเลสหมด ถ้ามันยังมีอยู่ไม่เรียกว่าหมด ถึงกิริยาอาการจะแผดเผาเหมือนฟ้าดินถล่ม แต่มันกลายเป็นพลังของธรรมไปเสีย ไม่ใช่พลังของความโมโหโทโส มันเป็นพลังของธรรมไป ไม่ได้เป็นพลังของกิเลส เอาให้มันถึงขนาดนั้น

นี้ก็ได้พอใจทุกอย่าง เกิดมาในชาตินี้เรียกว่าสมใจทุกอย่างแล้ว ไม่ปรากฏว่ามีอะไรบกพร่องในตัวของเรา หมด ถ้าว่าความเพียรก็อย่างว่าเลย กิเลสไม่ตายเราก็ตาย เวลาออกความเพียรเป็นอย่างนั้นตลอด สุดท้ายกิเลสก็ตาย ม้วนเสื่อลงในวันที่ ๑๕ พฤษภา ๒๔๙๓ นั่นละกิเลสม้วนเสื่อ ตั้งแต่บัดนั้นมาไม่ปรากฏกิเลสตัวใดจะโผล่หน้าออกมา จะว่าสบายก็สบายกับความสิ้นกิเลส ความสบายกับความพอกพูนกิเลสมันต่างกันนะ ความพอกพูนกิเลสรายได้รายรวย ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม เป็นบ้ากับรายได้รายรวยรายฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมมันมีทุกข์ติดตามไปด้วย ความเพลินในธรรมทั้งหลายที่กิเลสสิ้นไปแล้วไม่มีอย่างนั้น นั่นละการปฏิบัติธรรม

นี่เราก็ได้ทำเต็มเม็ดเต็มหน่วย เอาจริงเอาจัง สมใจที่ได้ฟัดกับกิเลส เพราะได้ตั้งจิตไว้แล้วพอเรียนจบตามคำอธิษฐานไว้ คือให้ได้เปรียญสามประโยค เรียกว่าเป็นแบบแปลนแผนผังได้ดี ไม่จนตรอก เรียนถึงสามประโยคนักธรรมเอกพอเป็นแบบแปลนแผนผังได้แล้ว การออกฟัดกับกิเลสคือออกแนวรบก็เครื่องมือครบ เครื่องมือครบแล้วเอาละทีนี้ได้เลย มันก็เหมาะแล้ว นักธรรมก็นักธรรมเอก เปรียญสามประโยค สมใจที่เราตั้งเอาไว้แล้ว ทีนี้ก็มีแต่ฟัดกับกิเลส ไม่ต้องห่วงใยว่าเรียนมากเรียนน้อย

นี่ก็เอากิเลสขาดสะบั้นลงไปเลย ไม่มีกิเลสตัวใดเหลืออยู่ภายในใจ นั่นเห็นชัดว่าสิ้นกิเลสสิ้นอย่างไร ท่านผู้สิ้นกิเลสท่านสิ้นอย่างไร พระอรหันต์ท่านเป็นพระอรหันต์ประเภทใดดูหัวใจท่านก็รู้ ท่านไม่ต้องถามกัน พระอรหันต์ท่านสิ้นกิเลสไม่ไปทูลถามพระพุทธเจ้า ทั้งๆ ที่ศึกษาอบรมกับพระพุทธเจ้าแทบเป็นแทบตาย บทเวลากิเลสขาดสะบั้นออกจากใจแล้วเป็นสนฺทิฏฺฐิโกขั้นสุดท้าย ไม่มีกิเลสตัวใดติดหัวใจเลย สนฺทิฏฺฐิโกผลงานสมบูรณ์แบบแล้ว สาวกก็ไม่ไปทูลถามพระพุทธเจ้าว่าข้าพระองค์สิ้นกิเลสแล้วยัง ไม่มี รู้ตัวเองๆ นั่นเวลาฝึก

นี่ก็ได้ฝึกเต็มเม็ดเต็มหน่วย หายสงสัยในการฝึกตัวเอง มีตั้งแต่สอนโลกเท่านั้น จะเป็นจะตายแล้วจะไปภพใดชาติใดหายสงสัยหมด นี่จึงเรียกว่าพอแล้ว ใจกับธรรมเป็นอันเดียวกันแล้วไม่มีที่สงสัยว่าตายแล้วจะไปเกิดที่ไหนๆ ก็ไม่มี ไม่เป็นห่วงเป็นใย ปัจจุบันบริสุทธิ์เต็มที่ๆ อยู่ฉันใด ปัจจุบันก็เป็นปัจจุบันเรียกว่านิพพานเที่ยง ปัจจุบันอยู่ตลอดไปเลย ไม่มากลายเป็นอดีตอนาคตไปได้ เป็นปัจจุบันตลอด ฝึกให้เต็มที่แล้วเป็นอย่างนั้นละฝึกจิต

ก็เดชะเกิดมาในชาตินี้สมบูรณ์แบบแล้วเรา ไม่มีอะไรที่จะมาเพิ่มเติมอีกแล้ว ว่าเรายังบกพร่องตรงไหน ที่จะมาเป็นภัยต่อตัวเองเพราะความบกพร่องนั้นมีตรงไหน ไม่มี หมด สมบูรณ์แบบแล้ว อย่างนั้นซิทำให้มี เหมือนกับเรารับประทานเวลาหิวก็หิวจนตัวสั่น เวลามันอิ่มมันก็อิ่มอย่างนั้นแหละ นี่พอกับธรรมทั้งหลายก็พอ ประกอบความพากเพียรเพื่ออะไรอีกไม่มี ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันแล้วความเพียรเพียรเพื่ออะไร นอกจากอยู่ไป ขันธ์นี้วิบากขันธ์แล้วก็เป็นวิหารธรรม ประกอบความเพียรโดยการเปลี่ยนอิริยาบถต่างๆ เพื่อบรรเทาธาตุขันธ์ให้อยู่พอเหมาะพอดี ยืนพอดี เดินนั่งนอนพอดี เท่านั้นเอง

กับการพิจารณาในธรรมทั้งหลาย อันนี้ไม่สิ้นสุด เรื่องพิจารณาธรรมทั้งหลายจากหัวใจดวงนี้จะออกทุกแง่ทุกมุม นอกจากไม่พูดเท่านั้น อยู่ที่ไหนออก พอสัมผัสพับมันจะถึงกันแล้ว รู้แล้วๆๆ มันรวดเร็ว ร่างกายจะไปสะเปะสะปะก็ตาม งุ่มๆ ง่ามๆ ก็ตาม จิตไม่ได้เป็น จิตไม่มีวัย พุ่งๆ สว่างกระจ่างแจ้งตลอดเวลา นี่คุณค่าของการฝึกหัดจิตใจเมื่อได้เต็มที่แล้วหาที่ต้องติไม่ได้ กิเลสเป็นตัวพาให้เกิดให้ตายในภพน้องภพใหญ่ พอกิเลสสิ้นลงไปแล้วไม่ต้องถามเรื่องป่าช้าการเกิดตายหมดแล้ว สิ้นไปแล้ว

ให้พากันตั้งใจปฏิบัติ ได้มากได้น้อยก็เป็นกำลังของเรา เป็นความดีงามของเรา อย่าสักแต่ว่ากินแล้วนอน กอนแล้วนิน เพลินเป็นบ้าไปกับโลก ความจมมันอยู่ข้างหน้าๆ เราไม่ดู พวกเสี้ยนพวกหนามพวกฟืนพวกไฟมันติดไปกับความเพลิดเพลิน ความล่มความจมของเจ้าของโดยไม่รู้สึกตัว นี่ความลืมตัว ฝึกหัดเจ้าของให้เป็นคนดีซิ ความดีหาได้ ความชั่วหาได้ อยู่ในคนๆ เดียวนี้ละ เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านั้น

กุฏินี้เขาจะทำข้างล่าง ขึ้นข้างบนลำบากเดี๋ยวนี้ ไม่เคยคิด อยู่กุฏิหลังนี้มาตั้งแต่ปี ๒๕๐๕ สร้าง ๒๕๐๕ นี่ ๒๕๕๑ มาระยะนี้ขึ้นกุฏิจะไม่ไหวแล้ว อ่อน เลยตกลงจะทำข้างล่างอยู่ ขึ้นลำบาก จะไม่ขึ้น มาก็ปั๊บเข้าใต้ถุนกุฏิ นอนอยู่นั่น เป็นตายก็อยู่นั้นเลย ไม่ขึ้นต่อไป นี่ละธาตุขันธ์มันบ่งบอกแล้ว บวชวันที่ ๑๒ พฤษภา ๒๔๗๗ นั่นละบวชมา ๗๔ ปี อ่อนขนาดนี้ ขึ้นกุฏิไม่ได้แล้ว จะลงข้างล่าง กำลังจะให้พระท่านทำที่พักข้างล่างให้ ออกนี้ไปเลยๆ ไม่ขึ้น เวลานี้ขึ้นลำบากแล้วนะ รู้ ลำบาก เพียงขึ้นจากนี้เหนื่อยหอบเลยนะ มันหอบเลย ขึ้นปุ๊บปั๊บๆ ขึ้นไปหอบ มันเมื่อยมันเพลีย เอาละทีนี้ให้พร

 

รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

สถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน  FM 103.25 MHz

และเครือข่ายทั่วประเทศ

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก