ไปไหนมาไหนสติกับจิตให้ติดกันตลอด
วันที่ 8 มีนาคม 2551 เวลา 8:10 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๘ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๑

ไปไหนมาไหนสติกับจิตให้ติดกันตลอด

          เรานั่งรถไปตามถนนเราเห็นพระกรรมฐานพวกเราเองสะพายบาตร แบกกลด เดินธุดงค์ไปตามถนน เรานั่งรถไปแล้วดูมันมีตามสายทาง พระกรรมฐานท่านไปเที่ยว สะพายบาตรแบกกลดไป ทำให้คิดขึ้นทันที เพราะเจ้าของเคยปฏิบัติมาอย่างนั้น จากบ้านนี้ไปบ้านนั้น จากป่านี้ไปเขาลูกนั้น ทั้งวันก็ตามเป็นการเดินจงกรมตลอดเวลา เรียกว่าไม่ให้เสียเวลา เป็นการเดินจงกรมในนั้นเสร็จ ไปถึงก็ถึง แต่ความเพียรไม่เคยขาดวรรคขาดตอน

ทีนี้เวลาเห็นพระกรรมฐานท่านเดินธุดงค์ไปตามสายทาง เรานั่งรถไปทำให้เราคิด ท่านมาอย่างนี้ท่านคิดอย่างไรบ้าง หรือว่าเถ่อ มีแต่จะไปป่านั้นจะไปเขาลูกนั้นลูกนี้ จิตไม่ได้อยู่ปัจจุบัน ความหมายเอาอย่างนั้น จะไปไหนก็เดินจงกรมไปตลอด สติกับจิตไม่ปล่อยกัน นี่เรียกเดินธุดงคกรรมฐาน ถ้าว่าจะไปนู้นจิตมันไปอยู่นู้น ไม่ได้อยู่ในปัจจุบัน ตั้งแต่ก้าวจากนี้ไปถึงนู้นขาดความเพียรตลอด ไม่ได้ทำความเพียร ถ้าเป็นการเดินธุดงคกรรมฐานอยู่ที่นี่ก็มีสติ มีความเพียร ก้าวเดินออกไปเป็นเดินจงกรมทั้งนั้นตลอดเลย

คือที่พูดอย่างนี้มันฆ่ายากนะฆ่ากิเลส แหม ยากจริงๆ เรื่องความเผลอนี่มันจะมาทันทีๆ ตัดปั๊บๆ สตินี่คอยแต่จะล้มอยู่เรื่อยๆ ถ้าสติมีกิเลสไม่เกิด เผลอเมื่อไรเข้าเมื่อนั้น กิเลสเข้าทันทีๆ เพราะฉะนั้นสติจึงเป็นของสำคัญ จะไปไหนมาไหนสติกับจิตให้ติดกันตลอดเลย นี่ได้ก้าวมาตั้งแต่ออกปฏิบัติ เพราะฉะนั้นเห็นเพื่อนฝูงเดินภาวนาเดินธุดงค์สะพายบาตรแบกกลดไป จึงอดคิดไม่ได้ ท่านเดินไปแบบนี้ท่านมีสติหรือไม่ หรือท่านเล็งตั้งแต่เขาลูกนั้นป่านั้นไปอย่างนั้น หัวใจนี้ท่านไม่ดู ผิด กะปั๊บเราจะไปที่ใด ตั้งปุ๊บสติกับจิตติดกันไปเรื่อย เป็นความเพียรตลอดไป จะเป็นเวลานานไม่นานเท่าไร ไกลใกล้ก็ตาม แต่ความเพียรติดกับจิตไปตลอดๆ นั่นผู้ภาวนา ผู้ทำความเพียร

ว่าจะไปป่านู้นจิตไปอยู่นู้นแล้วเดินเป็นขอนซุงไปเลยใช้ไม่ได้ เมื่อไปตามทางเห็นพระธุดงค์พระลูกพระหลานนั้นแหละเดินสะพายบาตรแบกกลดไปนี้ นี่ท่านเดินไปนี้เป็นท่านเดินจงกรมหรือเดินเถ่อ เดินมอง เดินเล็งนู้นเล็งนี้ไม่ได้ดูปัจจุบันหรืออย่างไร นั่นมันอดไม่ได้ เพราะเราได้ทำทุกอย่างเต็มกำลังความสามารถในเรื่องความพากเพียร ไม่อย่างนั้นไม่ได้กิเลสเร็วที่สุด ตั้งแต่กิเลสขาดสะบั้นออกจากใจแล้วไม่ได้ระวังอะไรเลย พูดให้ชัดเจน มีแต่กิเลสเป็นภัยของจิตของธรรม ธรรมอยู่ภายในจิตกิเลสเข้าตีตลอดด้วยความพลั้งเผลอ ถ้าไม่เผลอกิเลสตีไม่ได้ สติมีอยู่กิเลสไม่เกิด เผลอแพล็บกิเลสเกิดทันที สร้างทางกิเลสเดินทางของกิเลสตลอดสายเลยด้วยความพลั้งเผลอ ถ้าไม่เผลอกิเลสไม่เกิด

โธ่ ฆ่ากิเลสมันของง่ายเมื่อไร จนกระทั่งเข้าถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัติ และก้าวเข้าสู่มหาสติมหาปัญญา อันนี้ยอมรับว่าไม่เผลอ อยู่อิริยาบถไหนไม่เผลอ ในระยะที่ตั้งตัวเพื่อเป็นหลักเป็นเกณฑ์นี้ยากมาก คอยแต่จะเผลอๆ ความเพียรขาดตลอดๆ ถ้าสติมีไม่ขาด เวลาสติกับปัญญาเป็นอันเดียวกันไปแล้วทีนี้ก็เป็นความเพียรไปตลอด แก้กิเลสไปตลอด จึงได้พูดเต็มปากในชาตินี้ชาติเป็นพระ เป็นชาติที่การงานทุกอย่างละเอียดลออมากที่สุด คือภาคออกปฏิบัติกรรมฐานภาวนาฆ่ากิเลส งานนี้เป็นงานละเอียดมากทีเดียว งานเหล่านั้นไม่ละเอียดนะ งานที่จะฆ่ากิเลส นี่เป็นงานที่ละเอียด ละเอียดเป็นลำดับลำดา

ถึงขนาดนั้นกิเลสมันจึงขาดลงไปได้ วันกิเลสขาดเราก็ได้พูดเต็มปาก เพราะเราทำอย่างเต็มใจของเรา เวลามันขาดนี่ก็เหมือนฟ้าดินถล่ม กิเลสกับจิตขาดจากกัน จากนั้นมาไม่มีอะไรเป็นภัย มีกิเลส ชี้นิ้วได้เลยว่ามีกิเลสเท่านั้น จะหยาบละเอียดขนาดไหนเป็นภัยของจิตตลอด พอขาดสะบั้นลงไปแล้วไม่มีภัย เราได้ทำเต็มเม็ดเต็มหน่วยทุกอย่างในชาติของพระนี้ เฉพาะอย่างยิ่งออกกรรมฐาน เวลาเรียนก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง แต่เวลาออกกรรมฐานแล้วทีนี้เรียกว่าขึ้นเวที เผลอไม่ได้ ถ้าลงขึ้นเวทีเหมือนนักมวยต่อกรกันบนเวที เผลอไม่ได้ เผลอเป็นถูกน็อกเลย สติปัญญากับกิเลสฟัดกันก็ต้องแบบเดียวกัน เผลอไม่ได้ๆ เลย เอาจนกระทั่งกิเลสพัง

ที่พูดนี้ได้ทำมาหมดแล้ว ไม่สงสัยในความเพียรของตัว ได้ทำมาหมดแล้ว เพราะฉะนั้นเวลาออกกรรมฐานพ่อแม่ครูจารย์ก็เสริมด้วยนะ ถ้าธรรมดาท่านไม่เสริม ที่มาลาไปเที่ยวถึงสององค์บ้างสามองค์บ้าง เหอขึ้นเลย มันจะไปตกนรกหลุมไหนอีกล่ะ ตั้งแต่อยู่ในวัดนี้ก็ตกนรกให้เห็นอยู่ต่อหน้าต่อตา แล้วออกจากนี้มันจะไปตกหลุมไหนอีกล่ะ แสดงว่าไม่เห็นด้วย ความสามารถที่จะรักษาตัวยังไม่มี เพราะฉะนั้นท่านจึงว่าอย่างนั้นก็แสดงว่ายังไม่ให้ไป

แต่เดชะนะสำหรับเราท่านคงเห็นความตั้งใจ เพราะเรามันจริงจังทุกอย่าง อยู่ในวงหมู่เพื่อนนี่เหมือนกัน พระเณร ก็เรานั้นแหละได้ควบคุมพระเณร อยู่หนองผืออยู่ที่ไหนกับพ่อแม่ครูจารย์มั่น ไม่พ้นที่เราจะได้ควบคุมดูแลหมู่เพื่อนตลอด ท่านก็เบาใจ เราจะเห็นได้เวลาเราจะลาท่านออกไปเที่ยวนี้ ดูอาการท่านไม่อยากให้ไป แต่ท่านเห็นประโยชน์ส่วนใหญ่ของเรา ที่ไม่อยากให้ไปก็เกี่ยวกับหมู่เพื่อน เราอยู่ที่นั่นเราไม่ได้ดูแต่ตัวของเรา ยังดูหมู่ดูเพื่อนอีก ท่านจะเห็นได้เวลาเราออกไปพระเณรอาจจะระเกะระกะให้ขวางหูขวางตาท่าน เวลาเราอยู่เป็นอย่างหนึ่ง ท่านคงจะคิดละ เพราะเวลาเราอยู่เราเข้มงวดกวดขันทั้งตัวเองทั้งหมู่เพื่อน เข้มงวดกวดขันตลอดเวลา

เวลาจะลาไปเที่ยวดูอาการของท่านไม่อยากให้ไป แต่ท่านเห็นประโยชน์ส่วนใหญ่ของเรา ท่านจำยอมให้ไป เป็นอย่างนั้นละ ถ้าไปกลับมาแล้วมีแต่หนังห่อกระดูกท่านก็ดู เอาจริงเอาจัง ความหมายก็ว่าอย่างนั้น มานี้มีแต่หนังห่อกระดูกบางทีท่านร้องโก้กเลย เราไม่ลืม เรามานั่งกราบปั๊บนี่ เฮ้ย ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ คือมันเหลืองหมดทั้งตัว มันอาจจะดีซ่านก็ได้ใช่ไหม คนที่ตัวเหลืองเหมือนทาขมิ้นน่าจะเป็นดีซ่าน นั่นละมันทรมานกัน พอลงมาท่านร้องโก้กเลย แต่ท่านก็พลิกทันที ท่านกลัวเราจะอ่อนเปียก สักเดี๋ยว อย่างนี้ละมันจึงเรียกว่านักรบ ท่านไปอย่างนั้นเสีย ท่านพลิกปุ๊บเลย คือตัวเหลืองมาเลย นี่ลงมาจากภูเขาเรายังไม่ลืม ที่เวลาตัวเหลืองมี ธรรมดาก็มี ผอมแห้งลงมา นี่เป็นประจำ แต่ตัวเหลืองนี้ไม่ค่อยมี เวลามีมันก็ให้เห็นชัดๆ ละ

นี่ละเรื่องประกอบความพากความเพียร คือนิสัยนี่มันจริงทุกอย่าง ถ้าว่าอะไรแล้วจริงทุกอย่าง ไม่มีคำว่าเหลาะแหละ ถ้าลงเด็ดเด็ดขาดสะบั้นไปเลยเทียว เวลาอ่อนก็อ่อน เวลาเด็ดก็เด็ด ถึงขั้นเด็ดนี้ขาดเหมือนว่าภูเขาทั้งลูกนี้ขาดไปเลย จิตเวลามันเด็ด นี่ละเด็ดฆ่ากิเลสก็ต้องเป็นอย่างนั้น ความเพียรออกจากพรรษา ๗ ถึงพรรษา ๑๖ เก้าปี นี่เรียกว่าตกนรกทั้งเป็น ๙ ปี ไม่มีเวลาผาสุกเย็นใจได้เลย ฟัดกับกิเลสเวลา ๙ ปีเหมือนตกนรกทั้งเป็น ไปองค์เดียวด้วย

ส่วนมากมักจะอดข้าวนะ คืออดข้าวนี่มันช่วยได้ดี พอหยุดจังหันสติจะดีขึ้นทันที อดมากเท่าไรสติยิ่งติดแนบกันไป ทีนี้เมื่อผลดีเห็นอยู่รู้อยู่เราก็จะไปเห็นอะไรแก่ปากแก่ท้องล่ะ ก็เรามาหาธรรมก็ต้องเห็นแก่ธรรมซิ เมื่อเห็นแก่ธรรมมันก็อดเรื่อย เป็นอย่างนั้นละ จนกระทั่งท้องเสียเรา คือมันเป็นนิสัยไม่ค่อยฉัน ถ้าฉันลงไปเหมือนกับว่ารถบรรทุกของหนักจะลักษณะอืดอาด พอหยุดฉันมันจะคล่องตัวๆ ไปเรื่อยๆ ละ

พรรษา ๑๖ หยุด คือไม่อดอาหารอีกแล้ว ตั้งแต่พรรษา ๗ ออกปฏิบัติถึงพรรษา ๑๖  การอดอาหารนี้เป็นพื้นเลยเชียว เพราะภาวนาดี พอพรรษา ๑๖ ไปแล้วก็หยุด ฉันธรรมดา  แต่ทีนี้ท้องเวลามันได้เสียเสียไปเรื่อยนะ เสียไปเรื่อยๆ เลย คือเวลาทำมันไม่ได้สนใจกับเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ยิ่งกว่าธรรม มันมุ่งต่อธรรม อดจะเป็นจะตายมันก็ไม่ค่อยสนใจ กำลังวังชานี้ฉันเมื่อไรมันมีขึ้นมาทันที เช่นเราเดินมาจากภูเขาจะลงไปบิณฑบาตยังไม่ถึงหมู่บ้านเขา ไปไม่ถึง ต้องพักนั่งอยู่กลางทางก่อนแล้วค่อยไป

ทีนีพอออกมาฉัน การฉันนี้เราเตรียมอะไรไว้แล้ว พวกธมกรก กรองน้งกรองน้ำอะไรไปไว้ที่เราจะลงมาจากในบ้านแล้วก็มาฉันที่นั่น ล้างบาตรเช็ดบาตรอะไรเรียบร้อย ตากผ้าอาบน้ำที่เช็ดบาตรแห้งแล้วขึ้นเขาเลย เวลาฉันเสร็จแล้วไปนี้เหมือนม้าแข่งกำลังมาทันที แต่กำลังของใจมันไปยากดีดยาก จึงต้องได้หนักทางกำลังของใจด้วยการอดอาหารบ่อยๆ ทำอะไรมันเป็นอย่างนั้นแหละ นิสัยอันนี้จริงจังมาก ไม่ได้เหลาะแหละ

เพราะฉะนั้นพระเณรในวัดนี้มาให้มองเห็นเก้งๆ ก้างๆ ไม่ได้นะ ถึงร่างกายจะอ่อนแอท้อแท้ทุกวันจิตมันไม่ได้ท้อ มองพับสัมผัสอะไรสติปัญญาจะไปพร้อมๆๆ เป็นหลักธรรมชาติ ร่างกายเดินสะเปะสะปะๆ ตามกำลังของคนแก่ก็ตาม แต่สติปัญญามันไม่ได้เป็น มันไม่มีวัย มันดีดของมันอยู่ตลอด มองเห็นอะไรเห็นแท้เห็นจริงด้วยสติปัญญาไปพร้อมกันๆ ไม่ได้เถ่อๆ มองๆ ไป สติปัญญาจะไปพร้อมกัน เช่นอย่างมองนั้นมองนี้สติปัญญาไปพร้อมกัน

อันนี้ก็ ๙ ปี ตกนรกทั้งเป็น ตั้งแต่พรรษา ๗ ถึงพรรษา ๑๖ ฟัดกับกิเลสเรียกว่าตกนรกทั้งเป็น หนักมาก แต่มันไม่เคยสนใจกับเรื่องความหนักความเบาของการประกอบความพากเพียร มันมุ่งต่อมรรคผลนิพพานเป็นหลักใหญ่ จะเป็นอะไรก็ตามมุ่งต่อมรรคผลนิพพาน แล้วจิตใจมุ่งอย่างเต็มที่ด้วยว่า อย่างไรในชาตินี้เมื่อได้เชื่ออรรถเชื่อธรรมเชื่อมรรคผลนิพพาน จากครูบาอาจารย์ที่ท่านเทศนาว่าการให้ฟังอย่างแน่ใจแล้วนั้น มันทุ่มเลยละที่นี่ ก็พ่อแม่ครูจารย์มั่นนี่ละให้ความมั่นใจทุกอย่าง เรื่องมรรคผลนิพพานเหมือนว่านี่น่าๆ อยู่อย่างนั้น

ทีนี้พอฟังแล้วมันก็เอาจริงเอาจัง มันถึงหนักมาก แต่ก็สมใจ สมเหตุสมผล เวลาเหตุทำหนักๆ ผลได้มาเป็นที่พอใจๆ จึงว่าเกิดมาชาตินี้สมมักสมหมายทุกอย่าง ไม่ปรากฏอะไรที่ยังบกพร่องในหัวใจเรา เราไม่มี พูดให้ชัดเจนให้บรรดาพี่น้องลูกหลานทั้งหลายฟัง ด้วยอำนาจแห่งความพากเพียรเป็นจริงเป็นจังได้ผลประจักษ์ใจอย่างนี้แหละ ทำอะไรอืดอาดเนือยนายโอ้ๆ เอ้ๆ ไม่ได้เรื่องนะ ฟาดอะไรลงไปให้มันขาดสะบั้นๆ ฟาดกิเลสก็ให้ขาดสะบั้นลงไปเลย ทีนี้มันก็ภูมิใจ เรียกว่าในชาตินี้ภูมิใจได้ออกมาปฏิบัติทางอรรถทางธรรมเต็มหัวใจ จนกระทั่งหายสงสัยในเรื่องจิตใจกับกิเลสไม่มีอะไรเข้ามา มีแต่ความบริสุทธิ์สุดส่วนเต็มหัวใจ อยู่ด้วยความพอแล้วด้วยความอัศจรรย์ ไม่ใช่พอธรรมดา พอแบบอัศจรรย์อยู่ภายในใจ

เพราะฉะนั้นใครจะมาติมาชมแบบไหนๆ ในโลกธาตุหรือว่าในธาตุในขันธ์ซึ่งเป็นสถานที่อยู่ของโลกธรรมนี้ไม่สนใจ มันผ่านข้ามไปหมด จิตอันนั้นข้ามสมมุติแล้วก็ข้ามโลกธรรมไป ถ้าจิตยังอยู่ในสมมุติยังต้องยอมรับโลกธรรมดีชั่ว สุขทุกข์ สรรเสริญนินทา ต้องยอมรับ แต่เมื่อจิตได้ผ่านไปแล้วไม่มีอะไรรับกัน เพราะอันนี้เป็นสมมุติ อันนั้นเป็นวิมุตติ นั่นเอาให้มันขนาดนั้นซิ นี่เราก็บอกชัดๆ การประกอบความเพียรสมมักสมหมายสมใจทุกอย่าง บอกว่าตายแล้วนี้จะไม่กลับมาเกิดอีก ชัดขนาดนั้นนะ

สนฺทิฏฺฐิโก รู้ผลงานของตนครั้งสุดท้ายว่าสิ้นสุดแล้ว วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ กตํ กรณียํ พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำก็คือการชำระกิเลสได้ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว งานอื่นใดที่จะยิ่งกว่านี้ไม่มี มันก็อยู่ด้วยความพอ พออันนี้เป็นพออัศจรรย์อยู่อย่างนั้นละ อย่างอยู่กับหมู่กับเพื่อนนี้ก็อยู่ไป แต่มันไม่มีอะไรกับโลกอันนี้ มันหมด กิริยาอาการอะไรมันก็อยู่ในสนามโลกธรรม ต้องถูกตำหนิติชมได้เป็นธรรมดา แต่ธรรมชาตินั้นผ่านหมดๆ แล้ว โลกธรรมซึ่งเป็นสมมุติมันเอื้อมไม่ถึง จิตที่เป็นวิมุตติแล้วไม่เกี่ยวกับอะไรในสามแดนโลกธาตุที่จะเข้าถึงไม่มี

(ลูกมาจากโคราช) โคราชนี่หลวงตาบัวอยู่ตั้ง ๕ ปีรู้ไหม พระโคราชรู้ไหม (ลูกไปที่วัดเขาใหญ่ญาณสัมปันโน ที่ตำบลโป่งตาลอง ลูกตามท่านไป ไปดูท่านไปชมบารมีท่านค่ะ) นี่ก็บารมีของเรา ให้ชมบารมีของเรา เข้าใจไหมล่ะ ที่เราสร้างนี้เป็นบารมีของเรา (หลวงตาเจ้าขาลูกอยากกราบเรียนว่า ลูกตั้งใจนั่งสมาธิอย่างที่หลวงตาบอก นั่งไปๆ มือลูกก็หายไป พอวันหลังมามือหายไปแล้วตัวก็หายไป เหลือแต่รูจมูกสองรู ลูกก็ดีใจ ทีนี้ลูกก็ตั้งอยู่ในความประมาทว่า เอ๊ะ ต่อไปมันคงจะหายไป แล้วคงจะเหลือแต่รูจมูก แล้วก็ไม่มีอะไรเลย เสร็จแล้วก็ยังหารูจมูกสองรูของลูกต่อไปไม่เจอเลยค่ะ แถมยังหลับในแล้วหัวไปฟาดโต๊ะอีกจนหัวแตก ลูกไม่อยากเป็นปทปรมะค่ะ)

(เขาอยากจะเป็นแบบเก่าที่ภาวนาเห็นเพียงรูจมูกสองรูแล้วกายหายไป) อย่าไปคิด มันจะเป็นแบบไหนก็ตาม อันนี้เป็นอุปสรรคเครื่องกีดขวางการภาวนาของเรา ที่มันเป็นอะไรๆ แล้ววันหลังไปเอามาเป็นอารมณ์ไม่ได้นะ เข้าใจไหม ให้ปล่อยๆ ให้เป็นปัจจุบันตลอด มันจะเป็นอะไรก็ตามเวลาเราภาวนานั้นยอมรับกันว่าเป็นในขณะนั้น พอปล่อยมันแล้วอย่าไปเป็นอารมณ์ ตั้งใหม่ขึ้นใหม่ ความตั้งเป็นปัจจุบัน เช่นพุทโธหรือธรรมบทใดก็ตามเป็นปัจจุบัน ไม่ต้องไปคิดอารมณ์ที่เป็นมาแล้วผ่านไปแล้ว แล้วมันจะเป็นของมันอีก เป็นอย่างนั้น เป็นแปลกกว่านั้น ทุกอย่างมันจะเป็นขึ้นในปัจจุบัน ไม่ได้เป็นขึ้นด้วยการคาดการหมายสิ่งที่ผ่านไปแล้วนะ ให้จำให้ดี (ลูกจะพยายามค่ะ)

พอพูดอย่างนี้เราก็ระลึกได้ที่พ่อแม่ครูจารย์ขนาบ ท่านพูดถึงเรื่องเขาใหญ่ที่ท่านภาวนาไป ผีมันแบกกระบองเหล็กมาจะมาฆ่าท่าน จิตของท่านสว่างจ้าครอบหมด แล้วมีผีใหญ่มา เราก็ฟังไปอย่างนั้นละ บทเวลามันมาเป็นเป็น เป็นแต่เพียงไม่เห็นผีใหญ่ เวลามันเป็นจ้าครอบไปหมดเลย ก็มาเล่าให้ท่านฟัง ท่านฟังท่านก็อนุโมทนาสาธุการด้วยความพอใจ ส่วนผีใหญ่ไม่พบก็บอกไม่พบ แล้วทีหลังจะให้มันเป็นอย่างนั้นอีก ขึ้นไปเล่าถวายท่านว่ามันไม่เป็นอีก ท่านขนาบเอาเสียมันเป็นบ้าเหรอ มันเป็นมันก็เป็นไปแล้ว ไปยุ่งอะไร ท่านดุเราไม่ลืมนะ

คือเวลามันลงมันลงอย่างนั้นจิต จิตครอบไปหมดเลย แต่ไม่มีผีใหญ่เหมือนพ่อแม่ครูจารย์ มันเป็นแล้วให้ผ่าน อย่าไปเอามาเป็นอารมณ์ ผิด มันจะเป็นอย่างไรก็ตามให้เป็นปัจจุบันๆ พอผ่านแล้วแล้วไป แล้วปัจจุบันตั้งขึ้นมามันจะรู้จะเห็นแปลกๆ ต่างๆ ไปเรื่อยๆ เอาสิ่งที่ผ่านมาแล้วมาเป็นอารมณ์ ให้เป็นประโยชน์ไม่เป็น

 

รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน  FM 103.25 MHz

จากเครือข่ายทั่วประเทศ

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก