เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๖ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๑
เรียนสรีรศาสตร์ด้านธรรมะ
(หลวงตาสูบบุหรี่) สูบบุหรี่นี้หลวงพ่อกอง อยู่วัดโยธานิมิตร ท่านมีนิสัยตลก ตลกไม่หัวเราะนะ ขึงขังดี นิสัยแกตลกแต่ไม่หัวเราะ สำคัญอันนี้ อายุเท่ากันกับเรา แกบวชเป็นเณรมาก่อน ก็บวชเป็นพระด้วยกัน อายุเท่ากัน อย่างนี้ละมันเป็นตามนิสัย เป็นเอง มันขลังอยู่ในตัว ท่านรู้สึกมีขลังๆ ไม่หัวเราะนี่สำคัญ เราสูบบุหรี่อย่างนี้ไป แกบวชแก่กว่าเรา ๑ พรรษา เกิดปีเดียวกันแต่เรายังไม่ได้บวช พอบวชไปนั้นเราก็ไปสูบบุหรี่ ทีนี้ท่านบวชก่อนเราพรรษาหนึ่ง เราบวชใหม่ไม่รู้เรื่องซิ พูดหน้าตาเฉยเสียด้วยนะ ไอ้พระใหม่นี้น่ะ พูดเคร่งขรึมเสียด้วย บวชมานี้มันสูบบุหรี่ไปกี่มวนแล้ว มันได้มีพินทุอธิษฐานไหม โอ๊ย จะพินทุอธิษฐานอะไรประสาบุหรี่ โอ๊ย ตายมันต้องอาบัติมาตั้งแต่วันบวช มันกี่วันมาแล้วบวชใหม่นี่
หือ สูบบุหรี่จะต้องพินทุอธิษฐานด้วยเหรอ โอย ตายๆๆ ทำท่าด้วยนะ จนเราร้อนเราเข้าใจว่าเป็นความจริง โธ่ๆๆ ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร บวชมาได้หลายวันแล้วสูบบุหรี่หมดไปกี่มวน มันไม่เคยพินทุอธิษฐานเลย มันหาบอาบัติตั้งแต่บวชมา ว่างั้นนะ เราก็เลยร้อนเป็นฟืนเป็นไฟ จากนั้นก็ถามละที่นี่ แล้วคำพินทุอธิษฐานว่าไงล่ะ เพียงเท่านี้มันก็ไม่ได้ เอาอีกแหละ ขู่อีก บทเวลาจะพูดมันขบขัน มันน่าตีหน้าผากจริงๆ บทเวลาจะพูด มันขู่พอแล้ว คำพินทุอธิษฐานมีว่าอะไร อิมัง ควันถมดัง อธิษฐามิ เราโมโห คนหนึ่งจริงจัง แกพูดหน้าตาเฉยนะ
แกเสียแล้วแหละ อายุเท่ากัน ชื่อกอง มันเป็นตามนิสัยนะ เวลาพูดนี้เหมือนจริงเหมือนจัง ไม่หัวเราะนี่สำคัญ พูดเหมือนเอาจริงเอาจังจนผู้ฟังเข้าใจไปด้วยว่าเป็นความจริง ความจริงมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น มันพูดตลกเล่น คำพินทุอธิษฐานของหลวงตากองเอามาขู่เรา อิมัง แปลว่า นี่ อิมัง ควันถมดัง อธิษฐามิ ควันถมจมูก อธิษฐามิ เท่านี้มันก็ไม่ได้ โธ้ มันน่าโมโห
แกตายแล้วแหละ แกมาหานี้แกพักอยู่บ้านหนองตูม มีครอบครัวเหย้าเรือนแล้วลาไปบวช กลับมาบั้นปลายนี้มาขอผ้าในวัดเรานี้ เพราะผ้ามันไม่อดเราก็ขนให้ ท่านจนตกใจเหมือนกันนะที่เห็นกองผ้าเรามาให้ โฮ้ ให้อะไรนักหนา มีเท่าไรก็ให้แหละ ไม่มีก็ไม่ให้เราก็ว่างั้น ตั้งแต่นั้นมาก็เลยตายจากกันเลยตั้งแต่วันท่านมาขอผ้า เราเอาผ้าให้ท่านมาก กองพะเนินเชียว ทั้งผ้าสำเร็จรูป ทั้งผ้าไม้อะไร แล้วมีอะไรว่ามา
เราพูดกลางๆ พูดเป็นอรรถเป็นธรรม ไม่เอนไม่เอียง ไม่เหยียบไม่ยกยอ พูดตามหลักความจริง บางคนที่เคยมีนิสัยหยิ่งในตัวเองอยู่แล้วก็จะลืมตัว เรามักเตือนเสมอ หมอนี้ห่างจากพุทธศาสนามากกว่าเพื่อน บรรดาวงราชการต่างๆ หมอรู้สึกจะห่างเหินศาสนากว่าบรรดาประชาชนทั้งหลาย ถ้าเป็นกิริยาที่แสดงออกหมอไม่ค่อยไปเกี่ยวข้องกับวัดกับวา อาจจะหยิ่งในเจ้าของว่าเรียนพวกสกลกายซึ่งเป็นหลักวิชาของหมอ เรียนมาเพื่อแก้โรคแก้ภัย ต้องมีความรู้ทางสรีรศาสตร์ได้ดีหมอ แต่ความรู้นี้เพื่อแก้โรคแก้ภัย ไม่ได้แก้กิเลส มันต่างกันอย่างนี้ เรียนแยกแยะสกลกายทุกสัดทุกส่วนออกมาวิจัยเรียบร้อยแล้ว มันเกี่ยวกับโรคชนิดใด จะควรแก้ไขดัดแปลงด้วยยาชนิดใด หมอจะต้องเรียนไปทางนี้ เป็นแก้โรค
แต่พุทธศาสนาเรียนรู้หลักสรีรศาสตร์แก้กิเลสตัณหา ซึ่งเป็นสิ่งที่เหนียวแน่นมาก สัตว์ทั้งหลายไม่รู้เลย เรียนสรีรศาสตร์แยกแยะสิ่งเหล่านี้จนกระทั่งจิตใจถอนออกถึงความบริสุทธิ์ มันต่างกัน พวกสรีรศาสตร์ที่หมอเรียนเรียนเพื่อแก้โรคแก้ภัยไข้เจ็บไปอย่างนั้น เป็นฝ่ายของหมอ แต่เรียนเพื่อแก้กิเลสตัณหาออกภายในจิตใจนี้เป็นความรู้ทางหลักพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าโดยแท้ ส่วนมากเขาจะไม่เข้าใจ
ใครไปเรียนหมอมาแล้วก็เรียกว่าผ่านทางสรีรศาสตร์ มันเป็นสรีรศาสตร์ผ่านเกี่ยวกับเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ ไม่ได้ผ่านหัวกิเลสตีหัวกิเลสขาดสะบั้นออกจากใจเป็นความบริสุทธิ์ขึ้นมาเช่นพระพุทธเจ้า พระสาวกทั้งหลาย นี่ท่านผ่านอย่างนี้ เรียนสรีรศาสตร์ต่างกัน เรานี้พูดไม่ได้เป็นการกระทบกระเทือนกันนะ เดี๋ยวเขาจะหาว่าดูถูกเหยียดหยามกัน เราไม่หา เราเอาความจริงมาพูด
หลักพุทธศาสนาที่เรียนสรีรศาสตร์ เพื่อแก้กิเลสตัณหาอาสวะอยู่ภายในจิตใจ ซึ่งมันเกี่ยวข้องกับร่างกาย เป็นความผูกพันจิตใจให้เกิดกิเลสตัณหามากขึ้น เช่นหมอคนหนึ่งมีเมียกี่คนก็ได้ อย่างนั้นนะ ถ้าเรียนสรีรศาสตร์ทางด้านธรรมะแล้วปัดออกหมด ไม่มีอะไรเหลือเรื่องกิเลสตัณหาเหล่านี้ มันต่างกัน
อันนี้ต้องเป็นภาคปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้แล้วมาปฏิบัติ มันถึงจะรู้หลักความจริงได้ เพียงเรียนเฉยๆ ไม่ได้เรื่องได้ราวละเรียนเฉยๆ เรียนไม่แก้กิเลส ท่านสอนเพื่อแก้กิเลสแต่เรียนไม่แก้กิเลส ถือการศึกษาเล่าเรียนมาเป็นความรู้ของตนเองแล้วเย่อหยิ่งจองหองไปเสีย ผิดทาง เป็นอย่างนั้น หลักพุทธศาสนานี้เป็นจริงๆ เวลาปฏิบัติไปถึงไหนๆ นี้ความจริงจะออกแสดง ออกแสดงให้เห็นประจักษ์ในตัวเอง ไม่ว่าใครนะ ไม่ว่าพระไม่ว่าฆราวาสถ้าเรียนเรื่องกรรมฐานพิจารณาสกลกายนี่สำคัญมากนะ
พอพิจารณาสกลกายมันมีความชำนิชำนาญในการพิจารณา อยู่ในขั้นใดเวลาพิจารณา สิ่งที่เข้ามาสัมผัสมันจะเข้ามากระเทือนกับความรู้ที่เรียนมา เช่นผู้พิจารณากำลังพิจารณาร่างกายของตัวเองเป็นซากอสภ เป็นหนังห่อกระดูกหรือเป็นกระดูกเป็นร่างกระดูก ทีนี้เวลาเห็นคนผ่านมาสัตว์ผ่านมาใครผ่านมาเป็นร่างกระดูกไปตามๆ กันหมด นี่เป็นอย่างนั้น คือมันชำนาญภายในใจเห็นข้างนอกมันก็เลยเป็นอันเดียวกัน
ยกตัวอย่างเช่นพระองค์หนึ่งท่านเดินจงกรม ท่านพูดอย่างเป็นธรรมตรงไปตรงมานะ ท่านเดินจงกรมคือกำลังอยู่ในขั้นนั้น ขั้นพิจารณาเรื่องกระดูก หนังห่อกระดูกหลุดลอยออกไปๆ เห็นแต่โครงกระดูกๆ ดูเจ้าของ แล้วพอดีมีผู้หญิงคนหนึ่งเดินผ่านมานี้ท่านกำลังเดินจงกรมอยู่ เขาเดินผ่านไปนี้แล้ว มันก็เป็นแบบเดียวกันกับของท่าน ผู้หญิงคนนั้นกับท่านเป็นร่างกระดูก เป็นโครงร่างของกระดูกเหมือนกัน
ไม่นานนักสามีเขาก็ตามมา ท่านก็พูดตรงดีนะ สามีเขาตามมา เห็นผู้หญิงผ่านไปนี้ไหม ไม่เห็น เห็นแต่โครงกระดูก ท่านว่านะ เขียนในตำรา ไม่เห็น เห็นแต่โครงกระดูก เขาก็ถามเป็นโครงกระดูกอย่างไร โอ้ ก็เหมือนคุณเหมือนเรานี้แหละ โครงกระดูกอยู่ในนั้น หนังห่อไว้เฉยๆ นี่ละในตำราบอก บทธรรมที่ท่านแสดงอย่างนี้มี ส่วนมากท่านไม่ค่อยแสดง ท่านให้เกียรติโลก ธรรมะท่านไม่ค่อยแสดง
แต่นั้นท่านพูดตามหลักความเป็นจริง โครงกระดูกก็บอกโครงกระดูกไปเลย ที่ท่านรู้ท่านเห็นท่านเพื่อให้เกียรติแก่โลก เห็นผู้หญิงคนนี้ไปไหน เห็นไปนี้เท่านั้นพอ เขาถามแบบโลกเขาเข้าใจไหม ท่านก็ตอบแบบโลกเขาไปเสีย นี่เขาถามแบบโลกท่านตอบแบบธรรม เขาถามเห็นผู้หญิงผ่านไปนี้ไหม ไม่เห็น เห็นแต่กองกระดูก นี่ท่านตอบแบบธรรม ถ้าท่านตอบแบบเขาแล้ว เห็นไปนี่ละผ่านไปนี้ เท่านั้นก็พอ คือแยกแยะ เข้าใจไหมล่ะ เป็นอย่างนั้น ในตำรามี มันเป็นจริงๆ มองดูอะไรมันเป็นแบบเดียวกันกับเราพิจารณาเรื่องของเรา มันเป็นแบบเดียวกันหมด
ดังที่ว่าพิจารณาเรื่องอสุภะอสุภังร่างกายของเรามันเป็นโครงกระดูก เป็นหนังห่อกระดูก สิ่งปฏิกูลโสโครกเต็มเนื้อเต็มตัวเรานี้ มองดูใครมันก็แบบเดียวกัน ถ้าเราจะพูดตามหลักพิจารณาของธรรมมันก็เป็นแบบเดียวกัน มีสัตว์มีบุคคลที่ไหน มีแต่หนังห่อกระดูกแดงโร่ เป็นอย่างนั้นนะ แต่เวลาท่านพูดท่านไม่เอานี้มาพูด ท่านก็พูดแบบโลกเขาเสีย มันต่างกันอย่างนี้ละ
เรื่องความแยบคายของธรรม ที่จะนำมาใช้ให้เหมาะสมกับสังคมเขานิยมกันอย่างไร ๆ ท่านก็แยกแยะออกมาพูด ถ้าพูดตามธรรมแล้วก็ผึงเลย เห็นผู้หญิงผ่านไปนี้ไหม ไม่เห็น เห็นแต่กองกระดูก นี่เป็นธรรม แต่โลกมันฟังไม่ได้ เพราะโลกกับธรรมมันเป็นข้าศึกกัน ในตำรามี เราเอามาแยกมาแยะดู แล้วเราพิจารณามันก็เป็นอย่างนั้น แต่เวลาเขาพูดจาพาทีกันก็พูดแบบหญิงชายธรรมดาเรา ถ้าพูดแบบธรรมก็มีแต่หนังห่อกระดูกไป คือท่านแยกออกพูด
นี่กำลังให้เขาลอกคลองหน้าวัด เขาเรียกห้วยหมากแข้ง มันผ่านกลางเมืองอุดร ห้วยนี่นะ เขาเรียกห้วยหมากแข้ง นี่กำลังลอก เพื่อให้ได้น้ำที่สะอาดใช้ เพราะต่อไปนี้จะมีฝายน้ำล้น ฝายน้ำล้นจะกักน้ำได้สูง เราจึงได้ทำความสะอาดข้างหน้าให้เรียบร้อย แล้วน้ำนี้ก็จะสะอาด เราจึงให้เขาทำทางหน้าวัดนี้ เมื่อเช้านี้ก็ไปดูอยู่ ให้พร
รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
จากเครือข่ายทั่วประเทศ
|