เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๔ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๑
จิตเป็นธรรมธาตุ
ก่อนจังหัน
ฉันจังหันนี้พระหนุ่มพระน้อยรู้สึกจะวุ่นวายนะ พระธรรมดาหมายถึงพระแก่ไม่วุ่นวาย พระหนุ่มพระน้อยนี้ฉันลงไปยังไม่ถึงไหนองค์นั้นอิ่มองค์นี้อิ่ม องค์นั้นออกองค์นี้ออก สุดท้ายเจ้าของไม่อิ่มก็ต้องออก อายเขาเข้าใจไหมล่ะ เคยเป็นมาแล้ว องค์นั้นอิ่มองค์นี้อิ่มมาทางนี้ยังไม่ได้อิ่มอะไรเลย อายซิ ออก ออกไปแล้วมันก็ไม่อิ่ม แต่มันหากเป็น ก็ดีอย่างหนึ่งใจนะอายเขาอายเพื่อนฝูง หมายถึงกรรมฐานนะ
หลังจังหัน
สัตว์โลกนี้มีอุปนิสัยหนาบางต่างกัน ดังที่ท่านแสดงไว้ว่า อุคฆฏิตัญญู วิปจิตัญญู เนยยะ ปทปรมะ คือปทปรมะนี้หมดหวัง ถ้าเป็นคนไข้ไปก็เข้าไปห้องไอซียู จากห้องไอซียูก็ไปเลย ไม่ฟังเสียงหมอเสียงยา พวกปทปรมะพวกหนาที่สุด คนเราก็มีนิสัยต่างกัน แม้เราแต่ละคนดูตัวเองก็รู้สึกว่ามันเปลี่ยนของมันได้ด้วยการฝึกอบรม เปลี่ยนได้ๆ ท่านบอกไว้ก็ไม่เห็นผิดพระพุทธเจ้าแสดงไว้นะ อุคฆฏิตัญญู พร้อมที่จะบรรลุธรรมถึงความพ้นทุกข์อย่างรวดเร็ว วิปจิตัญญู รองกันลงมา เนยยะนี่อยู่กึ่งกลาง ทั้งจะไปทั้งจะอยู่ มีผู้แนะนำสั่งสอนบึกบึนก็ไปได้ เนยยะ แปลว่าผู้ควรแนะนำสั่งสอนหรือชักจูงไปได้ ให้ลงก็ได้ ให้ขึ้นก็ได้ แต่ปทปรมะแล้วหมด เหมือนคนไข้ที่ไปก็เข้าห้องไอซียู ออกจากห้องไอซียูก็เข้าโลง นี่ประเภทหนักมาก
จิตของเราก็เหมือนกัน ทีแรกนี้เป็นประเภทปทปรมะนู่นละ ถอยออกมาก็มาเนยยะ คือฝึกเข้าไปๆ ค่อยรู้เรื่องรู้ราวเข้าไป จากนั้นก็ขึ้นมาหานี่ละ บรรลุธรรมเร็วเข้าเป็นลำดับๆ จากการฝึกฝนจิตใจมีความคล่องแคล่วแกล้วกล้าแล้วหมุนตัวไป จนกลายเป็นหมุนตัวไปเอง เราจึงได้นำมาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง นี้เราก็ไม่เคยคิด ในตำรับตำราจะมีหรือไม่มีเราก็ไม่ค่อยเห็น ไม่ค่อยสนใจ แต่มาปฏิบัติตัวเองนี้ถึงมารู้ ที่ว่ากิเลสมันหมุนหัวใจสัตว์โลกอย่างนี้ตลอดมาโดยอัตโนมัติของมัน จะอะไรๆ ก็ตาม ตาหูจมูกลิ้นกายสัมผัสสัมพันธ์อะไรกิเลสจะทำงานๆ เพื่อวัฏวนของจิต แต่ก่อนเราก็ไม่ได้คิด คือมันเป็นอย่างนี้ด้วยกันสัตว์โลก
กิเลสทำงานบนหัวใจสัตว์ เรียกว่าทำงานเพื่อความหมุนเวียนเกิดแก่เจ็บตายไม่มีสิ้นสุด ทีนี้พอมีธรรมเข้าไปๆ ห้ามล้อให้ช้าลงๆๆ แล้วหดย่นเข้ามาในภพชาติของตนๆ นั่นน่ะ มันบอกอยู่ในตัวของมันเอง จนกระทั่งมันหมุนเร็วละที่นี่ นี่ถึงขั้นการบำเพ็ญสติปัญญาโดยอัตโนมัติ ทีนี้หมุนตัวตลอด หมุนกลับนะ คือกิเลสมันหมุนมัดๆๆ เมื่อได้รับการอบรมจนกระทั่งถึงขั้นที่หมุนกลับนี่ละมันไปของมันเองนะ มันจึงได้ย้อนกลับมา อ๋อ นี่กิเลสทำงานบนหัวใจสัตว์ หมุนเวียนเข้าไปเพื่อความเกิดแก่เจ็บตายไม่มีสิ้นสุดมันเป็นอย่างนั้น
เราจะรู้ได้ชัดเวลาจิตเรามีกำลังความสามารถเป็นลำดับลำดาแล้ว มันหมุนกลับของมัน หมุนแก้ๆๆ เป็นอัตโนมัติเหมือนกัน อยู่ที่ไหนหมุนตลอดหมุนกลับ เวลามันหมุนเพื่อล่มจมมันก็หมุนของมันไปอย่างนั้น เวลาหมุนกลับนี้ก็แบบเดียวกัน เคยบอกแล้วอยู่คนเดียวอยู่กับใครไม่ได้ต้องอยู่คนเดียว ทั้งวันทั้งคืนระหว่างจิตกับกิเลสกับสติปัญญาหมุนกันนี้ไม่มีเวลาว่างเลย จนกระทั่งบางคืนนอนไม่หลับ กิเลสกับธรรมฟัดกัน นี่ถึงขั้นมันฟัดฟัดอย่างนั้นนะ ลงทางจงกรมไม่รู้จักขึ้นจนก้าวขาไม่ออก คือมันหมุนอยู่ภายใน มันไม่ได้ออกข้างนอกว่าเช้าสายบ่ายเย็นอะไร อันนี้ทำงานภายใน เหมือนนักมวยเข้าวงในกันกรรมการไปยุ่งไม่ได้ อันนี้ก็เหมือนกัน
นี่ละเวลาปฏิบัติมันก็รู้ตัวเองแต่ก่อนกิเลสมันหมุนมัดๆ ทีนี้พอธรรมมีกำลังแล้วหมุนกลับๆ เร็วเข้าๆ จนกระทั่งขาดสะบั้นไปเลยกิเลสทั้งมวลไม่มีเหลือ จ้าขึ้นมา นั่นเรียกว่าหมดแล้ว มันรู้ชัดๆ ในภาคปฏิบัติของผู้ปฏิบัติ เพราะฉะนั้นการอบรมจึงเป็นของสำคัญมาก จิตใจจะปล่อยไว้เฉยๆ ไม่มีการอบรมมีแต่การพอกพูนตัวเอง มันก็หมุนเข้าไปเรื่อยที่นี่ พอกพูนตัวเอง ทีนี้เวลาธรรมมีกำลังมันหมุนกลับของมัน หมุนกลับถึงขนาดที่ว่ากลางคืนนอนไม่หลับ กลางวันยังจะไม่นอน มันหมุนของมันตลอด ทีนี้หมุนกลับนะ นั่น เป็นอย่างนั้น
เห็นชัดๆ ในผู้ปฏิบัติถึงธรรมขั้นนี้เป็น อยู่ที่ไหนมันไม่ว่างเวลามันหมุนกลับ ธรรมะตีกิเลสหมุนกลับ แม้ที่สุดฉันจังหันอยู่นี่มันจะทำงานของมัน มันไม่ได้สนใจกับอาหารการกินรสชาติอะไร มันจะหมุนของมันอยู่ลึกๆๆ หมุนอยู่อย่างนั้นตลอด เหมือนกับกิเลสหมุนหัวใจ เราอยู่เฉยๆ คิดไปเรื่องใดมีแต่เรื่องกิเลสเต็มหัวใจ แต่เจ้าของไม่รู้ๆ เวลาธรรมะประเภทนี้เข้าเทียบกันแล้วมันเข้าใจ เวลาหมุนกลับมันก็หมุนแบบเดียวกัน หมุนติ้วๆๆ ตำรับตำราท่านพูดไว้คงเส้นคงวาไม่ผิด มันผิดอยู่กับผู้ปฏิบัติ
จิตนี้เวลาเป็นกิเลสแล้วสัมผัสสัมพันธ์อะไรเป็นกิเลสทั้งนั้น เป็นตลอด นี่ก็เป็นหลักธรรมชาติของมันเอง เราไม่รู้ แต่เวลาจิตมันมีกำลังเข้ามาแล้วทีนี้มันหมุนกลับของมัน ละเอียดขนาดไหนตามต้อนเผากันแหลกๆ เลย นี่อำนาจของการฝึกฝนทรมานตนเป็นอย่างนั้น จนกระทั่งถึงขั้นที่ว่านอนไม่หลับก็มี มันหมุนของมันเพื่อแก้กิเลส หมุนกลับ กลางคืนนอนไม่หลับแล้วกลางวันยังจะไม่หลับอีก นี่มันหมุนกลับของมัน
ทีนี้เวลาสุดท้ายพอกิเลสม้วนเสื่อไปหมดแล้ว ผลของมันจะจ้าขึ้นมาภายในใจ เปิดโล่งหมดเลย ทีนี้มันก็รู้ชัดเจนว่าที่มันมัวหมองมืดตื้อที่ไหนๆ มีแต่กิเลสครอบหัวใจ นั่นบอกแล้ว พอกิเลสลงจากหัวใจมากน้อยๆ จนกระทั่งสิ้นสุดแล้วจิตนี้จะจ้ามาโดยลำดับ จ้าตลอด ท่านว่านิพพานเที่ยง คือธรรมชาตินี้มันเป็นธรรมธาตุภายในจิตของผู้บำเพ็ญที่บรรลุธรรมสูงสุดแล้ว เป็นธรรมธาตุอยู่ภายในจิต ว่าจิตบริสุทธิ์ก็ว่าได้ ถ้าว่าจิตธรรมธาตุสนิทใจมากนะเรา จิตนี้เป็นธรรมธาตุแล้วสนิทใจ
นี่ละไม่สูญ สูญไปไหน ตกนรกหมกไหม้กี่กัปกี่กัลป์ทุกข์ขนาดไหนยอมรับว่าทุกข์แต่จิตไม่ยอมสูญ เวลาพลิกตัวกลับมาทางดีแล้วก็เหมือนกัน หมุนเข้าไปจนกระทั่งถึงที่สุดของวัฏวน ขาดสะบั้นไปหมดแล้วจิตเลยกลายเป็นธรรมธาตุ นั่นสูญที่ไหนล่ะ จิตนั้นเป็นธรรมธาตุแล้ว หรือว่านิพพานเที่ยง ธรรมธาตุนั้นแหละนิพพานเที่ยง ไม่สูญ จิตดวงนี้ไม่มีสูญ สุดท้ายก็ไปลงธรรมธาตุ คือหมดทุกสิ่งทุกอย่างแล้วจิตก็เป็นธรรมธาตุขึ้นมา
นี่ละการฝึก พระพุทธเจ้าฝึก ตรัสรู้ธรรมแล้วสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบหมดที่นี่ ตามขั้นของธรรมของกิเลสที่จะแก้กันโดยลำดับลำดาจนกระทั่งถึงที่สุด ธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้วทั้งนั้นๆ เลย มันไม่มีผู้ปฏิบัติ ในตำรับตำรามันก็มีแต่ตำรับตำราตัวหนังสือ อ่านแล้วเลยกลายเป็นหนอนแทะกระดาษไป มันไม่ได้สนใจมาแก้กิเลสตามธรรมที่สอนไว้ในตำรา ถ้าปฏิบัติตามนั้นมันจะหนีไปไหนน่ะกิเลส แน่ะ
ทำอะไรลงไปได้ประจักษ์กับใจแล้วมันหายสงสัยนะ ท่านจึงเรียกว่าสนฺทิฏฺฐิโก รู้ผลงานของตนเป็นลำดับลำดา ตั้งแต่จิตเริ่มสงบเย็นใจเข้าเป็นสมาธิแล้วออกทางด้านปัญญาหมุนตัวแก้กิเลส จนกระทั่งกิเลสขาดสะบั้นลงไป สุดยอดของจิต สุดยอดของธรรม จะเรียกว่าจิตนั้นเป็นธรรมธาตุก็ไม่ผิด นั่นละสุดที่ไปที่มาของจิตดวงนี้ลงอยู่ในธรรมธาตุ ลงอยู่นั้น ทีนี้ธรรมธาตุนี้ก็ไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลา กฎอนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตาเข้าไปยุ่งไม่ได้ เหนือแล้วนั่น เหนือกฎอนิจฺจํ หมด นั่นละท่านว่านิพพานเที่ยง คือจิตดวงนี้เที่ยง จิตดวงนี้เป็นธรรมธาตุแล้วเที่ยง
ให้มันเห็นชัดๆ อย่างนั้นการปฏิบัติ ถ้าลงเห็นชัดเข้าไปแล้วความเพียรไม่ต้องบอก ต้องบังคับให้หลับให้นอน มันหมุนของมัน กลางวันมันก็ไม่หลับ กลางคืนก็ไม่หลับ มันดูดมันดื่มในจิตที่จะให้หลุดพ้นไปเสียเดี๋ยวนี้ๆ อย่างนั้น เพราะฉะนั้นมันถึงมีกำลังกล้าถึงขนาดนอนไม่หลับ มันไม่สนใจจะนอน มันมุ่งแต่ที่จะแก้กิเลส
สมัยปัจจุบันนี้ส่วนมากก็มีอยู่พระป่า พูดตามหลักความเป็นจริง ไม่ได้เหยียบย่ำทำลายยกยอผู้ใด เอาหลักความจริงมาพูดตามที่เราได้ผ่านมากับตัวเองกับเพื่อนกับฝูงภาคปฏิบัติด้วยกัน ใครพูดเป็นเสียงเดียวกัน เพราะกิเลสกับธรรมอยู่ในหัวใจดวงเดียวจะเจอกันที่นั่นๆ สิ้นสุดก็สิ้นสุดกันที่นั่น ทีนี้เวลาจิตหมดหมดสมมุติ คำตำหนิติชมอะไรหมด ความตำหนิติชมอะไรเป็นสมมุติทั้งหมด เวลาผ่านนี้ไปแล้วมันเป็นคนละโลกไปแล้ว มันไม่เป็นอันเดียวกัน
ที่จะรับกันอยู่ก็มีแต่ธาตุขันธ์ ที่เคยพูดเสมอว่าธาตุขันธ์ของเรานี้มันเป็นสนามของโลกธรรม ๘ ตำหนิติชม ได้มาสูญไปนี้อยู่ในวงนี้ อันนี้เรื่องธาตุเรื่องขันธ์ซึ่งเป็นสมมุติมันก็เป็นแบบเดียวกัน จิตนี้ผ่านไปหมดแล้ว กฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ไม่มีในจิตดวงนั้น นั่นละท่านว่านิพพานเที่ยง หรือว่าธรรมธาตุ จิตถึงขั้นธรรมธาตุแล้วเป็นอย่างนั้น
วันนี้ก็เท่านั้นละ เราก็จะไปธุระของเรา ไปเรื่อย สงสารโลกไม่ใช่อะไรนะ ไปทุกวันมีแต่ความสงสาร ให้พร
รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
สถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
จากเครือข่ายทั่วประเทศ
|