เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๓๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙
ให้มีธรรมเป็นเครื่องคุ้มครองรักษา
มืดแจ้งมีมาตั้งกัปตั้งกัลป์อย่างนี้ตลอด พูดตามหลักความจริงคือหลักธรรมท่าน จะขัดหูขัดใจของใครก็เป็นเรื่องหัวใจคน แต่หลักความเป็นจริงตรงแน่วไปเลยอย่างนั้น โอนโน้นโอนนี้ไม่ใช่ธรรม ต้องให้ตรงแน่วเรียกว่าธรรม ธรรมไปที่ไหนเสมอไปหมด ถ้าโลกไปที่ไหนมีเอนมีเอียง มีเข้าโน้นออกนี้ เข้าไหนออกไหนก็กระทบกระเทือนเรื่อยๆ ส่วนธรรมไม่เข้าไม่ออก ตรงแน่ว คนจะคิดเป็นความดีใจเสียใจได้เสียเป็นเรื่องของแต่ละคนๆ เรื่องธรรมเสมออย่างนี้
มัวเพลินแต่ปีใหม่ปีเก่านะล่ะ มันหลงไปได้ละคนเรา ว่าปีใหม่มันก็ตื่นปีใหม่ปีเก่า ตื่นมืดกับแจ้ง เจ้าของเก่าไปทุกวันๆ ไม่คิด ปีใหม่เป็นใหม่ที่ไหน เช่นวันปีใหม่นี้เจ้าของเก่าไปเรื่อย เข้าใจไหมล่ะ เก่าไปเก่ามาก็ตาย ก็มีเท่านั้น เจ้าของไม่คิด คิดย้อนหน้าย้อนหลังซิ ตื่นปีใหม่ปีเก่าไปเรื่อยๆ แหละ ไม่มองดูตัวหาวันดีไม่ได้นะคนเรา ต้องคิดถึงตัว ปรับปรุงตัวยังไง เคยเป็นมายังไง จะแก้ไขดัดแปลง ก็แก้ไขตรงนั้น มันดีตรงที่แก้เจ้าของ ถ้าไม่แก้ปีใหม่ปีเก่าอะไรนี้มันมีมาตั้งกัปตั้งกัลป์ รวมแล้วก็มีมืดกับแจ้งเท่านั้น ไม่เห็นมีอะไรแปลกต่างจากนี้
เรามันตื่นมืดกับแจ้งเป็นปีใหม่ปีเก่า ปีนั้นปีนี้ ไม่มาแก้ตัวเอง วันนี้ล่วงไปๆ เขาก็มีมืดมีแจ้งอย่างนั้นของเขา แต่ร่างกายของเรามันไม่ย้อนนะ มันหมุนของมันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายแล้วก็ตาย ตายก็จิตดวงนี้ไม่ตาย ร่างกายนี่ตายแตกสภาพลงไปเป็นดินเป็นน้ำเป็นลมเป็นไฟ ธาตุของเราขันธ์ของเรานี้มีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ อยู่รวมกัน มีใจเป็นผู้รับผิดชอบ พอร่างกายหมดสภาพแล้วใจก็ออกจากร่างนี้ไป
ทีนี้จะไปนี้ก็เหมือนเราจะไปปลูกบ้านใหม่เรือนใหม่ ต้องขึ้นอยู่กับทุนรอนของเรา ถ้าเรามีเงินมีทองมีสมบัติมาก เราจะปลูกบ้านให้หลังใหญ่กว่านั้นก็ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างรูปร่างกลางตัวของเรา จากมนุษย์ไปเป็นเทพเจ้าเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมไปก็ได้ เปลี่ยนจากนั้นลงไปเป็นเปรตเป็นผีเป็นสัตว์นรกไปก็ได้ จากใจดวงเดียวนี้แหละ เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนให้ปรับปรุงแก้ไขดัดแปลงใจที่เป็นของสำคัญ จะพาให้ดีให้ชั่วให้สูงให้ต่ำขึ้นอยู่กับใจ ใจเป็นผู้เคลื่อนไหว เคลื่อนไหวไม่ไปทางดีก็ไปทางชั่ว ไปกลางๆ มีน้อย ไปทางชั่วมีมาก นั่นละมันกดเราลงๆ
ใครอยากไปต่ำๆ อยากไปสูงๆ ฟากจรวดดาวเทียมแต่มันไปไม่ได้ เราไม่มีเครื่องยนต์กลไกเหมือนเขาไปจรวดดาวเทียม เราก็อยู่พื้นที่อย่างนี้แหละ ถ้าเรามีแล้วสูงกว่านั้นก็ได้ เลยจรวดดาวเทียมฟาดถึงนิพพานก็ได้ ขึ้นอยู่กับใจที่ปรับปรุงตัวเอง
คำว่าใจนี้มันมีอันหนึ่งที่เป็นข้าศึกของใจ ทางภาษาธรรมท่านเรียกว่ากิเลส ตัวเศร้าหมองมืดตื้อ ตัวเป็นภัยต่อจิตใจ ตัวฉุดตัวลากจิตใจให้หมุนไปในที่ต่างๆ ส่วนมากหมุนไปในทางที่ต่ำ ไม่ค่อยหมุนไปทางสูง ถ้ามีธรรมอยู่ในใจ มีนิสัยทางอรรถทางธรรมอยู่ในใจแล้วก็ขัดก็แย้งกันรบกัน ใจอยากทำชั่วอันหนึ่งกิเลสให้อยากทำชั่ว ใจที่มีธรรมก็ไม่ทำตาม กิเลสไม่อยากทำดีแต่ใจจะทำดี แก้กันอยู่อย่างนั้น
สิ่งที่พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงทำให้เราไหวตลอดเวลานี้ คือมีธรรมชาติหนึ่งเรียกว่ากิเลส มันอยู่ที่ใจ มันหมุนใจ หมุนอยู่อย่างนั้นไม่หยุดไม่ถอย ไม่มีอะไรมาแก้ในโลกนี้ ยาขนานใดไม่มี มีธรรมโอสถเท่านั้นแก้กัน ท่านจึงสอนให้ปฏิบัติธรรม รักษาธรรม เพื่อแก้ความไม่ดีของตัวเอง แก้ไปๆ ก็ค่อยดีไปๆ ถ้าไม่แก้ก็นับวันต่ำลงๆ ต่ำลงไปเท่าไรเจ้าของยิ่งหมดคุณค่าหมดราคา หมดไปทั้งเป็นเลย ยังเหลือแต่ร่างกระดูกกับลมหายใจครองกันอยู่เท่านั้น พอขาดแล้วตูมเลย
นี่ละถ้าให้เป็นไปตามสิ่งที่ต่ำ ได้แก่กิเลสมันฉุดลากลงไป เราบืนไปตามมันก็ลงไปตามมัน ถ้าเราฝืนมันเราก็ขึ้นมาได้ เช่นอย่างมาวัดมาวานี่ใจหนึ่งส่วนมากมันไม่อยากมา มันไม่อยากไป แต่ใจหนึ่งเป็นธรรม ไม่อยากไปก็จะไป นี่ละฝืนกัน เพราะฉะนั้นเราจึงมีส่วนดีได้มาติดตัวเรา เพราะการแย่งชิงกับความไม่ดีทั้งหลาย ที่ไปวัดไปวาฟังศีลฟังธรรมกิเลสมันไม่อยากไป แต่ธรรมะฝืนลากเอา ไม่อยากไปก็ไป ไม่อยากฟังก็ฟัง นี่เรียกว่าฝืนกัน
ทีนี้เราก็ได้อันนี้ละมาเป็นคุณสมบัติของเรา ส่วนที่มันฉุดลากไปตามอำนาจของมันนั้นมีแต่ฉุดลงไปทางต่ำๆ ไม่เกิดประโยชน์ เพราะฉะนั้นจึงต่างคนต่างแก้ไขดัดแปลงตนเอง อยากอะไรก็จะทำตามความอยากไม่ได้นะ ส่วนมากความอยากมีตั้งแต่ความต่ำทรามมันดึงลงไปเรื่อยๆ ในระยะที่จิตอยู่ในความต่ำทรามกิเลสหนาแน่นนี้ดึงลงทั้งนั้นแหละ ทีนี้เวลาเราอบรมมากเข้าไปๆ เฉพาะอย่างยิ่งผู้อบรมใจทางด้านจิตตภาวนาใจจะค่อยฟื้นตัวขึ้นมา จิตไม่เคยสงบเลยตั้งแต่เกิดมา แต่มาสงบได้ในเวลาภาวนา เห็นได้อย่างชัดเจน
นี่ละเป็นเครื่องสะดุดใจ ฝังลึก พออันนี้ลงฝังลึกในใจแล้วความดูดดื่มทางอรรถทางธรรมนี่มีขึ้นมา ความอยากบำเพ็ญคุณงามความดีนี้หนักขึ้นมาๆ ทางฝ่ายต่ำก็ค่อยเบาลง แต่ก่อนมันดึงลงๆ ทีนี้เวลาเราบำเพ็ญธรรมเข้ามาก เฉพาะจิตตภาวนาเป็นสำคัญมาก เห็นประจักษ์ใจเลย มันดีดมันดิ้นขนาดไหน เอากันลง ฝึกทรมานกันอย่างหนักทีเดียว ครั้นต่อไปอำนาจของกิเลสอ่อนลง อำนาจของธรรมสูงขึ้น ใจก็ได้รับความสงบร่มเย็น พอใจร่มเย็นก็ยิ่งเห็นคุณค่าของฟุ้งซ่านรำคาญ ที่กิเลสก่อกวนนั้นเข้าไปโดยลำดับลำดา จากนั้นจิตก็สงบเย็น เย็นเข้าไปเรื่อย
ถึงขั้นที่ธรรมมีกำลัง ความฉุดลากของกิเลสที่เป็นไปในทางต่ำนั้นจะค่อยเบาลง ความฉุดตัวเองขึ้นด้วยอรรถด้วยธรรมนี้จะหนักขึ้นๆ เมื่อหนักขึ้นมากๆ ทีนี้คำว่าหมุนลงไม่มี มีแต่จะหมุนขึ้นโดยถ่ายเดียว เป็นกับตายเอาชีวิตเข้าแลก จะให้พ้นจากความทุกข์ทรมานทั้งหลายด้วยความพากเพียรที่เห็นคุณค่าอยู่ประจักษ์ใจเวลานี้ จะเอาให้ได้ๆ ก็หนักขึ้นๆ ทีนี้เวลาธรรมมีมากเข้าบำรุงรักษาจิตใจ เหมือนว่าเป็นเครื่องป้องกันใจ เป็นกำแพงหนาแน่นอยู่ภายในใจ กิเลสแสดงออกมาไม่ได้ ถูกทำลายๆ จากธรรมทั้งหลายไปเรื่อยๆ
ต่อจากนั้นจิตก็ดีดเรื่อย คำที่ว่าจะลงต่ำไม่มี มีแต่จะหมุนให้สูงโดยลำดับ สุดท้ายก็นิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆ นิพพานคือความพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง ท่านเรียกว่านิพพาน แล้วเที่ยงด้วย จิตก็เลยคว้าผิดคว้าถูกอยู่ชั่วเอื้อมๆ เข้าไป นั่นละความเพียรที่นี่นะ คำว่ากิเลสมาแหยมไม่ได้นะ พอถึงธรรมขั้นนี้แล้วกิเลสมาแหยมไม่ได้ มีแต่จะขาดสะบั้นๆ นี่ละอำนาจของธรรมอยู่ในใจเรานั้นแหละ เราบำรุงขึ้นมา เมื่อมีกำลังมันก็ทำลายสิ่งที่เป็นภัยแก่ตัวเองมาแต่ก่อน ทำลายไปโดยลำดับลำดา จนกระทั่งสงบงบเงียบ ประหนึ่งว่าสิ้นสุดแล้วเรื่องสิ่งที่เป็นภัยทั้งหลาย เพราะอำนาจแห่งธรรมมีกำลังกล้า นี่คือการอบรมจิตใจ
เมื่อหนักเข้าๆ ใจมีแต่ความสง่างาม ความสง่างามกับความสุข ความแปลกประหลาดความอัศจรรย์นั้นมันไปด้วยกันๆ ความเลวทรามต่ำช้า ความทุกข์ความทรมานเป็นฝ่ายกิเลสมันจะเบาลงไปๆ ยกฐานะของจิตขึ้นด้วยธรรมๆ ดีดขึ้นเรื่อยๆ นั้นละที่ว่าท่านผู้มีความเพียรกล้า คือถึงขั้นนั้นแล้วมันหมุนไปเอง เวลากิเลสมันหมุนตัวของมันไปเองในหัวใจของสัตว์โลกนี่มันหมุนอยู่ทั่วทุกหัวใจ ไม่มีเว้นแม้ดวงเดียว มันจะหมุนของมันอย่างนั้น
เวลาเราได้รับการอบรมทางด้านศีลธรรมหนักเข้าๆ นี้ธรรมก็เข้ารักษาใจ ไม่ให้หมุนไปตามกิเลส ธรรมรักษาใจเข้าเรื่อย แน่นหนามั่นคงขึ้นไปเรื่อย สิ่งที่มาหมุนใจคือกิเลสเบาลงๆ ใจก็แน่นหนามั่นคง สง่าผ่าเผย แปลกประหลาดอัศจรรย์ขึ้นในตัวเองโดยลำดับลำดา นี่คือการบำเพ็ญธรรม จากนั้นทั้งโลกนี่ไม่มีอะไรอัศจรรย์ยิ่งกว่าใจดวงที่ได้รับการอบรมประจักษ์อยู่ในตัวเองเวลานี้เลย ทั้งสามโลกธาตุไม่มีอะไรเลิศเลอยิ่งกว่าใจที่ได้รับการอบรมด้วยธรรม
ธรรมกับใจกลมกลืนเป็นอันเดียวกันทีนี้อยู่ที่ไหนสง่างามไปหมด ภพนี้ภพหน้าภพไหนก็ตามชี้บอกอยู่ในใจที่เป็นดวงปัจจุบันสง่างามอยู่นั้น เวลานี้ก็อยู่ด้วยความสง่างาม ไปจะไปอับเฉาที่ไหน มันก็แน่ใจไม่มีคำว่าอับเฉา ชีวิตลมหายใจขาดก็ดีดผึงเลย ไปตามขั้นภูมิแห่งธรรมที่ตนได้บำรุงรักษาเอาไว้ นั่นละจึงมีว่าไปสวรรค์ชั้นนั้นๆๆ ไปพรหมโลกชั้นนั้นๆ คืออำนาจแห่งความดีงามของตัวเองที่ได้สร้างเอาไว้มากน้อยเพียงไร เช่น สวรรค์ ๖ ชั้น ตั้งแต่ชั้นจาตุมฯ ขึ้นไปถึงชั้นปรนิมมิตวสวัตดี ไปตามขั้นภูมิแห่งความดีงามของตน
กรรมนั่นละพาไปเอง สวรรค์ชั้นนั้นๆ เป็นอยู่ธรรมชาติ แต่ความดีงามนี่หนุนขึ้นไป ควรแก่สวรรค์ชั้นใดก็ไปชั้นนั้นๆ ตามบุญตามกรรมของตน ควรที่จะสูงกว่านั้นก็ไปเรื่อยจนกระทั่งถึงพรหมโลก จากนั้นแล้วก็ก้าวเข้าสู่นิพพาน อันนี้ความดีทั้งหลายยิ่งหมุนติ้วนะ ถึงขั้นที่จะให้หลุดพ้นนี้แล้วมีแต่หมุนติ้วๆ เพื่อออกโดยถ่ายเดียว เพื่อออกจากทุกข์ เพื่อเข้าทุกข์นี้แทบไม่มี หมุนเข้าเรื่อยๆ
สิ่งที่ฉุดลากให้จมอยู่ในกองทุกข์ก็คือกิเลส แล้วธรรมชาติที่ฉุดลากให้พ้นจากกองทุกข์ก็คือธรรม อยู่ในหัวใจดวงเดียวกันนี้แหละ ทีนี้เราบำรุงธรรมขึ้นให้มากๆ ธรรมยิ่งมีกำลังแก่กล้า ฉุดขึ้นไปเรื่อยๆ สุดท้ายนิพพานมีหรือไม่มีหนา นั่นหมดปัญหา เรียกว่านิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆ คือความพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิงนั้นละคือนิพพาน แล้วก็อยู่ชั่วเอื้อม อยู่ในหัวใจของเรา จิตมันก็คืบคลานๆ ไปชั่วเอื้อมๆ อยู่ตลอดเวลา สุดท้ายก็ดีดผึงได้เลย
ถ้าถึงนั่นแล้วหมดปัญหา อดีต-อนาคตไม่มี ภพหน้า-ภพหลังไม่มี การเกิดตายกองกันอยู่ในโลกธาตุของสัตว์ทั้งหลายนี้หมดโดยสิ้นเชิงภายในใจ แล้วก็มาสรุปความว่าสิ่งที่เลิศเลอคือใจเท่านั้น ไม่มีอะไรเลิศเลอยิ่งกว่าใจดวงนี้เมื่อได้รับการอบรมเต็มที่แล้ว และความเลวที่สุดก็ไม่มีอะไรเกินใจดวงนี้ที่ปล่อยตามยถากรรม อยากทำอะไรก็ทำๆ ส่วนมากมันเป็นส่วนต่ำ อยากออกมาปั๊บก็เป็นอยากทำความเสียหายแก่ตนเองทำลายตนเองไปโดยลำดับ จนกระทั่งหมดค่าหมดราคา ยังเหลือแต่ลมหายใจ ตายแล้วก็ตูมเลยๆ
นี่ปฏิเสธไม่ได้ เพราะสิ่งที่พาให้เป็นนั้นอยู่กับใจเรา กิเลสหนาแน่น-บาปหนาแน่นพาให้จม คุณงามความดีมีมากหนาแน่นขึ้น พาให้ฟื้นฟูขึ้นโดยลำดับ จนกระทั่งให้หลุดพ้นจากทุกข์โดยสิ้นเชิง เพราะความดีทั้งหลาย ท่านทั้งหลายพากันจำเอาไว้ การเทศนาว่าการสอนโลกเราก็ไม่เคยคิดเคยคาด ว่าเราจะได้สอนดังที่เป็นมาแล้วนี้ ถ้าทางโลกเขาเรียกว่าผาดโผนโจนทะยานมากหลวงตาสอนโลก การนำโลกก็รู้สึกว่าผาดโผนโจนทะยานไม่ใช่เล่นๆ แต่มันเป็นฝ่ายดี เป็นเรื่องเด็ดขาด เฉียบขาด ไม่ได้ว่าผาดโผนโจนทะยาน
คำว่าผาดโผนโจนทะยานมักจะนิยมถือกันว่าเป็นความชั่ว แต่นี้ทางความดีเลยเป็นเรื่องเด็ดเดี่ยวเฉียบขาด อย่างพาพี่น้องทั้งหลายดำเนินนี้ก็เหมือนกัน คิดเต็มหัวใจทุกอย่างก่อนที่จะพาพี่น้องดำเนินในทางใด เราไม่ไปปรึกษาหารืออะไรกับใคร นำพี่น้องทั้งหลายทั่วประเทศไทยให้ขึ้นจากความล่มจมนั้น ด้วยการพินิจพิจารณาโดยธรรมๆ ไม่ต้องไปถาม ไปศึกษากับใคร คิดได้มากน้อยช่องแคบช่องกว้างที่จะออกแง่ไหนมุมใดนั้น จะไปเองๆ แล้วแสดงออก หรือว่าเป็นการนำพี่น้องทั้งหลายไปในตัวนั้นก็ไม่ผิด เรื่อยมาอย่างนี้
อุบายเหล่านี้เราก็เคยปฏิบัติตัวของเราจนได้รอดพ้นจากทุกข์มาโดยสิ้นเชิง แล้วก็นำอุบายนี้มาสอนโลก โลกก็ค่อยเป็นไปด้วยความราบรื่นดีงาม อย่างที่ได้พาพี่น้องทั้งหลายนำชาติบ้านเมือง เราพาให้ท่านทั้งหลายล่มจมไปที่ตรงไหนบ้าง ที่หลวงตาพานำพี่น้องทั้งหลายทั้งประเทศนี้เป็นอย่างไร ขอให้นำไปพิจารณา ถ้าเป็นความผิดพลาดแล้วเมืองไทยเรานี้จมเพราะหลวงตาบัวองค์เดียวพาให้จม แต่นี้รู้สึกว่าเป็นบุญบารมีของเราค่อยฟื้นฟูขึ้นมาเป็นลำดับลำดา
ถ้าว่าทองคำเวลานี้ก็ได้ถึง ๑๑ ตันกับ ๔๐๐ กิโลกว่าแล้ว นี่ก็คือพลังแห่งความรักชาติ พลังแห่งความเชื่อถือพระพุทธศาสนา เชื่อถือคำสอนของพระพุทธเจ้า เชื่อถือครูบาอาจารย์ แล้วตะเกียกตะกายไปกับท่าน ก็เป็นการฟื้นฟูไปในตัวโดยลำดับ จนกระทั่งได้ทองคำในปัจจุบันนี้ถึง ๑๑ ตันกับ ๔๐๐ กิโลกว่าแล้ว เป็นอย่างไรเคยมีไหมล่ะ อยู่ๆ ได้ทองคำถึง ๑๑ ตันและ ๔๐๐ กิโล ก็มีแต่พากันจะจมๆ นี้ก็อาศัยอำนาจธรรมนั้นแหละพาฟื้นฟูประกาศก้องให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบว่า ตรงไหนบกพร่อง ตรงไหนหย่อนยานขอให้เคร่งให้ครัด ให้ดีดให้ดิ้น ให้หนักมือขึ้นไป แล้วก็ค่อยฟื้นขึ้นมา
ผลแห่งการฟื้นขึ้นมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ก็ได้ทองคำตั้ง ๑๑ ตันกับ ๔๐๐ กิโลกว่าแล้ว ถ้าว่าดอลลาร์ก็ได้ถึง ๑๐ ล้านกว่า นี่ที่เข้าคลังหลวงเรียบร้อยแล้ว นอกจากนั้นดอลลาร์ก็หมุนไปช่วยเงินไทย เงินไทยนี้ออกช่วยโลกแล้วไม่เพียงพอ เนื่องจากเราหยุดจากการเทศนาว่าการช่วยชาติแล้ว สมบัติเงินทองที่จะไหลเข้ามาช่วยชาติก็บกบางจนกระทั่งไม่มี แต่ผู้จำเป็นที่มาขอความช่วยเหลือมีมากขึ้นทุกวันๆ จำเป็นก็ต้องได้ช่วยเหลือกันอยู่อย่างนั้น แล้วไม่มีอะไรก็ไปคว้าเงินดอลลาร์นั้นละมา หยุดในการนำดอลลาร์เข้าสู่คลังหลวงได้เพียง ๑๐ ล้านกว่าเท่านั้น
จากนั้นก็หมุนมาช่วยเงินไทย ช่วยพี่น้องทั้งหลายมาจนกระทั่งบัดนี้ มีแต่สิ่งก่อสร้างเต็มบ้านเต็มเมือง เฉพาะอย่างยิ่งโรงพยาบาลเป็นร้อยๆ โรง ก็ออกจากหัวใจ สมบัติของพี่น้องทั้งหลายที่รักสงวนอย่างยิ่งนั้นเอง ถอดถอนออกมาจากความรักเป็นเงินเป็นทองข้าวของมาเสียสละ เราก็ได้ช่วยชาติบ้านเมือง โรงพยาบาลเป็นอันดับหนึ่ง โรงร่ำโรงเรียนอันดับต่อไป ที่ราชการต่างๆ นี้ทั่วประเทศไทยเราช่วยทั้งนั้น ดังที่พี่น้องทั้งหลายเห็น ใครมีความบกพร่องมีความจำเป็นที่ไหนๆ เราช่วยตลอด ไม่ต้องประกาศก็ทราบเอง ได้ช่วย
นี่ละมนุษย์ช่วยกันช่วยอย่างนี้ ธรรมช่วยโลกช่วยอย่างนี้เอง ในวัตถุหยาบๆ ช่วยอย่างละเอียดก็คือแนะนำสั่งสอนอบรมจิตใจให้ละเอียดลออ หน้าที่การงานก็จะราบรื่นดีงามขึ้นไป จิตใจที่เคยฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมไม่มีขอบเขตเหตุผลในการเป็นอยู่ปูวายการจับการจ่ายก็จะค่อยมีขอบมีเขตขึ้นมาโดยลำดับ เพราะธรรมเป็นเครื่องแนะนำสั่งสอน ตั้งแต่วันที่เราได้นำพี่น้องทั้งหลายออกช่วยชาติบ้านเมืองมา บรรดาพี่น้องทั้งหลายทั่วประเทศไทยจะคิดเป็นเสียงเดียวกัน ว่าเอาละเราจะนำ ต้องคิดถึงเรื่องสมบัติเงินทองมากกว่าอื่น แต่เราไม่ได้คิดสมบัติเงินทอง
เราคิดธรรมกับใจจะเข้าประสานกันแล้วจะฟื้นฟูจิตใจ ซึ่งเท่ากับฟื้นฟูคนทั้งประเทศ มีน้ำหนักมากกว่าสมบัติเงินทองนี้เป็นไหนๆ สุดท้ายก็เป็นอย่างที่ว่า ที่นำพี่น้องทั้งหลายด้วยเงินทองข้าวของเวลานี้ก็ค่อยยุติลงไปโดยหลักธรรมชาติของมัน ส่วนอรรถธรรมนี้กระจายออกไปเรื่อยๆ ไม่มีบกพร่อง กว้างขวางออกไป เรียกว่าทั่วประเทศไทยก็ได้เวลานี้
นี่ละฟื้นฟูด้วยธรรม ฟื้นฟูเข้าที่หัวใจ หัวใจเมื่อได้ตื่นเนื้อตื่นตัวแล้วทุกสิ่งทุกอย่างจะมีขอบเขตเหตุผล มีหลักมีเกณฑ์ การประพฤติเนื้อประพฤติตัว การกินอยู่ปูวายใช้สอยต่างๆ จะมีขอบเขตเหตุผล ไม่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมโดยถ่ายเดียวเหมือนแต่ก่อนที่ยังไม่ได้รับการอบรมธรรมะ ธรรมะเข้าสู่ใจย่อมมีขอบเขตเป็นลำดับ เวลานี้ธรรมะก็กระจายทั่วประเทศไทย วิทยุออกตั้งร้อยกว่าแห่งแล้ว ก็เพื่อปลุกใจประชาชน นี่ละการฟื้นฟูชาติไทยของเรา อันดับสำคัญก็คือธรรมะ
เมื่อธรรมะเข้าฟื้นฟูจิตใจทุกสิ่งทุกอย่างจะดีไปตามๆ กันหมด จมก็คือจิตใจพาให้จม ฟื้นฟูก็คือจิตใจพาให้ฟื้นฟู จึงต้องได้อบรมทางด้านจิตใจ เราก็นำมาตั้งแต่บัดนั้นจนกระทั่ง ๘ ปี ๙ ปีนี้แล้วช่วยพี่น้องทั้งหลาย ผลก็ปรากฏให้เห็นชัดเจน ว่าสมบัติเงินทองเข้าสู่ส่วนรวมมากน้อยเพียงไร นอกจากนั้นธรรมะกระจายออกทั่วโลกเมืองไทยเรา วิทยุตั้งร้อยกว่าแห่งเวลานี้ ใครอยู่ที่ไหนก็ตั้งขึ้นมา
วิทยุก็คืออบรมจิตใจที่มันมัวหมองมืดตื้อ ให้มีความสว่างไสวขึ้นมา เมื่อได้ฟังอรรถฟังธรรมแล้วจิตใจย่อมมีความสว่างไสว มองเห็นการณ์ไกลการณ์ใกล้ทุกอย่าง ถ้ามีแต่กิเลสมองเห็นแต่การณ์ใกล้ๆ พอทันมือคว้าเอา พอทันปากกลืนไปกินไป ยาพิษไม่ว่า กินลงไปตายก็ยอมตาย นี่เรื่องกิเลสพาให้กินให้กลืน แต่เรื่องอรรถเรื่องธรรมเลือกเฟ้นเสียก่อน ก่อนที่จะทำจะอยู่จะกินจะใช้จะสอยต้องพิจารณาเสียก่อน ไม่ใช่คว้ามับๆ นี่ละต่างกันอย่างนี้ ธรรมพาดำเนิน นี่ก็พาพี่น้องทั้งหลายได้ดำเนินมาโดยลำดับ เราก็เห็นได้ชัดไม่ใช่เหรอ ว่าเมืองไทยเราค่อยฟื้นฟูขึ้นด้วยอรรถด้วยธรรมมากมาย ส่วนด้านวัตถุก็ได้ทราบทั่วถึงกันแล้ว ค่อยเป็นค่อยไปอย่างนี้
นี่ละเมื่อมีธรรมเข้าเคลือบแฝง มีธรรมเข้าสนับสนุนแล้วถ้าเป็นรถก็มีเบรกห้ามล้อ มีคันเร่ง เร่งไปในทางที่ถูกที่ดีให้ทันกับเหตุการณ์ ทันกับความต้องการ หมุนพวงมาลัยไปเพื่อความแคล้วคลาดปลอดภัย ไปสายทางที่ถูกที่ดี พวกเหวพวกบ่อไม่ไป หมุนพวงมาลัยไปตามสายทางที่ปลอดภัย นี่ละธรรมพาหมุน ถ้าว่าเร่งก็เร่งความพากความเพียร ความอุตส่าห์พยายาม ประคับประคองชีวิตของเราซึ่งมีความบกพร่องต้องการอยู่ตลอดเวลา ต้องการอยู่กินหลับนอนขับถ่ายทุกอย่าง ต้องมากระเทือนกับเจ้าของ เจ้าของต้องวิ่งเต้นขวนขวายเพื่อรับเขา ไม่เช่นนั้นตายได้คนเรา ทุกอย่างเมื่อมีธรรมแล้วก็มีขอบเขตเหตุผล ให้พากันนำธรรมนี้ไปปฏิบัติ
เวลาจะหลับจะนอนอย่าหลับนอนแบบสัตว์นะ ให้หลับนอนแบบมนุษย์ชาวพุทธเรา ก่อนจะหลับนอนให้ได้กราบพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งเป็นองค์อันเลิศเลอสุดยอดในโลกทั้งสาม ไม่มีใครเสมอพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ไปได้เลย ให้ได้กราบนี้ เอาธรรมอันประเสริฐนี้เข้าสู่ใจก่อนจะหลับนอน แล้วก็ให้ระลึกถึงธรรมบทใดก็ได้ เช่นพุทโธ ธัมโม สังโฆ ตามแต่จริตนิสัยชอบ จนกระทั่งหลับกับธรรมบทนั้น
นี่เรียกว่าใจของเราหลับไปด้วยความเป็นมงคล ตื่นขึ้นมาก็ยิ้มแย้มแจ่มใส อะไรจะจนจะมีเราเกิดกับโลกอนิจจัง ต้องประสบพบเห็นด้วยกันนั้นแหละ แต่ว่าใจนี้ขอให้มีธรรมเป็นเครื่องคุ้มครองรักษาจะชุ่มเย็นไปตามๆ กัน จึงขอให้พี่น้องทั้งหลายจำเอาไว้ทุกคน นี่ก็เริ่มปีใหม่ปีเก่า วันพรุ่งนี้ก็จะปีใหม่มา ก็มืดกับแจ้งนั้นแหละ ดีกับชั่วมันอยู่กับเรา มันไม่ได้อยู่กับมืดกับแจ้ง ท่านทั้งหลายอย่ามองข้ามตัวเองไป มองข้ามเดือนนั้นปีนี้ ปีใหม่ปีเก่า มืดกับแจ้ง มองข้ามตนเองไม่ดี
ปีที่ผ่านมาแล้วเราปฏิบัติตัวอย่างไร ปีนี้จะปฏิบัติตัวอย่างไร ให้แก้ไขดัดแปลงตนไปในทางที่ถูกที่ดี นี่เรียกว่าคนรู้จักปีเก่าปีใหม่ ปรับตัวเข้าสู่ปีเก่าปีใหม่ให้มีผลประโยชน์แก่ตนเอง เป็นสิริมงคลแก่ตน ไม่เพียงว่าตื่นมืดกับแจ้งไป ปีใหม่ปีเก่าอย่างนั้นใช้ไม่ได้ จึงพากันจำเอานะ วันนี้เทศน์เพียงเท่านี้ เทศน์มากต่อมากก็แก่แล้วเวลานี้ เทศน์ได้ขนาดนี้ก็นับว่าได้อยู่นะ ต่อไปนี้มันจะเทศน์ไม่ได้ พอเทศน์ไปหูอื้อขึ้นมาๆ แล้วก็หยุด
เริ่มปีใหม่ละนี่ วันพรุ่งนี้ก็เป็นปีใหม่ มืดกับแจ้งพระอาทิตย์อันเดียวกันนั่นละ เราก็คนๆ เดียวกัน ปีเก่าปีใหม่ก็เรานี่ละเป็นผู้จะรับปีเก่าปีใหม่ สุขกับทุกข์ก็เราคนเดียวจะเป็นผู้รับ ปีเก่าเราก็รับ ปีใหม่เราก็รับทั้งสุขทั้งทุกข์นั้นละ จำเอาไว้นะ เอาละพอ ให้พร
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
|