นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส (๓ หน)
วันนี้ได้มีโอกาสมาเยี่ยมพี่น้องลูกหลานทั้งหลาย ทั้งฝ่ายพระและฝ่ายอุบาสกอุบาสิกาฆราวาส เกี่ยวกับการบรรจุอัฐิของท่านอาจารย์จวน ซึ่งเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่นเราเหมือนกัน และเคยจำพรรษาด้วยกันที่บ้านหนองผือนาใน นอกจากนั้นก็ไปมาหาสู่กันอยู่โดยสม่ำเสมอเรื่อยมา จนกระทั่งท่านมาสถานที่นี่แล้วมรณภาพลงไป บรรดาท่านผู้มีจิตศรัทธาทั้งหลายมีคุณสุรีย์พันธ์เป็นประธาน ได้ขวนขวายก่อสร้างเจดีย์ทั้งหลาย เพื่อบรรจุอัฐิธาตุของท่านไว้ ให้สาธุชนผู้เคารพเลื่อมใสในศาสนาและในท่านเอง ได้กราบไหว้บูชาเป็นขวัญตาขวัญใจตลอดไปไม่มีที่สิ้นสุด
และวันนี้ก็เป็นโอกาสอันดีที่พี่น้องทั้งหลายจะได้ยินได้ฟังอรรถธรรมตามที่จะแสดงไปมากน้อย กรุณานำธรรมที่ได้ยินได้ฟังเหล่านี้ไปประพฤติปฏิบัติตัว เพื่อให้เป็นสารคุณอบอุ่นภายในจิตใจของเรา ซึ่งเกิดขึ้นจากการปฏิบัติธรรมไปโดยลำดับ จะสมชื่อสมนามว่าเราเป็นชาวพุทธ เราเป็นพระเป็นเณร ได้ปฏิบัติตามเสด็จร่องรอยแห่งพระศาสดาผู้ปฏิบัติอย่างดีเยี่ยมหาที่ต้องติไม่ได้ ผลคือได้ถึงความเป็นศาสดาองค์เอกไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนแล้ว
การที่เราจะปฏิบัติตนให้สมชื่อสมนามก็ต้องมีความตั้งอกตั้งใจ ฝ่ายอุบาสกอุบาสิกาผู้เป็นฆราวาสก็ให้ต่างทำหน้าที่ของตน ตามหลักศีลหลักธรรมที่ท่านแนะนำสั่งสอนไว้ อย่ามีความประมาทนอนใจเห็นว่าศาสนาไม่สำคัญ หรือเห็นว่างานสิ่งอื่นสิ่งใดสำคัญยิ่งกว่าศาสนธรรมหรือศาสนานี้ไปเสีย อย่างนั้นเป็นความไม่ถูกต้องกับเราที่เป็นพุทธศาสนิกชน คือผู้นับถือเคารพเลื่อมใสพระพุทธศาสนา
การปฏิบัติต้องเป็นเครื่องหมายอันสำคัญสำหรับชาวพุทธเรา ถ้ามีแต่ความนับถือศาสนาเฉย ๆ ไม่มีภาคปฏิบัติเจือปนอยู่เลยก็ไม่ค่อยเกิดประโยชน์เท่าที่ควร ต้องมีการปฏิบัติตัว เราจะได้เห็นผลประจักษ์ในตัวของเราเองทั้งฆราวาส ทั้งพระทั้งเณร ผู้ปฏิบัติตามศาสนธรรมของพระพุทธเจ้าโดยถูกทาง เฉพาะอย่างยิ่งทางด้านพระคือปฏิบัติตนตามหน้าที่ที่เราบวชในพระพุทธศาสนาแล้ว งานของพระก็คืองานบำเพ็ญคุณงามความดีเท่านั้น ดังครั้งพุทธกาลท่านพาดำเนินมา
ไม่ว่าตำรับตำราที่ไหน ๆ เท่าที่เรียนมา เราก็ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนจริง ๆ เพื่อจะได้รู้เหตุรู้ผลรู้ต้นรู้ปลาย รู้ความผิดถูกดีชั่วจากตำรับตำราแล้วเรานำมาประพฤติปฏิบัติจริง ๆ เมื่อได้ศึกษาเล่าเรียนมามากน้อยก็ได้นำมาปฏิบัติ จากนั้นก็มีลูกศิษย์ลูกหามาเกี่ยวข้องจนได้ ดังทุกวันนี้เต็มไปหมด ไม่ว่าฆราวาส ไม่ว่าพระว่าเณร จนหาเวลาเป็นของตัวไม่ได้ จึงได้นำธรรมะที่ได้ศึกษาเล่าเรียนมามากน้อยนั้นมาแนะนำสั่งสอน
ฝ่ายพระก็สอนแบบพระ ว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนพระท่านสอนอย่างไร ท่านสอนประชาชนท่านสอนอย่างไร มีแง่ต่างกันอยู่มากระหว่างการสอนพระกับสอนฆราวาส การสอนพระสอนเด็ดสอนเดี่ยวสอนจริงสอนจัง สอนเพื่อมรรคผลนิพพานจริง ๆ สมกับว่าพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า หรือศาสนธรรมของพระพุทธเจ้าคือตลาดสด ๆ ร้อน ๆ แห่งมรรคผลนิพพานเรานั่นเอง ไม่มีคำว่าครึไม่มีคำว่าล้าสมัย
ถ้าเทียบแล้วก็เหมือนกับการเสาะแสวงหารายได้มาเพื่อการเลี้ยงชีพของเรา สิ่งที่เราเสาะแสวงหาก็ดี ความหิวโหยหรือความจำเป็นในธาตุขันธ์ของเราก็ดี ไม่มีส่วนใดส่วนหนึ่งที่ว่าครึว่าล้าสมัย มีความเข้มข้นอยู่ในตัวของเราเช่นเดียวกัน เช่น ความหิวความโหย ความเจ็บไข้ได้ป่วย ที่จะต้องอาศัยสิ่งต่าง ๆ มาเยียวยารักษา ก็จะต้องมีอยู่ในตัวของเราของท่านทุกราย และการเสาะแสวงหาเพราะความจำเป็นนี้บังคับ เราก็ต้องเสาะต้องแสวงหา โดยไม่ได้คำนึงถึงความจำเป็นในธาตุในขันธ์นี้ว่าได้ครึได้ล้าสมัยไป
การเสาะแสวงหาสิ่งต่าง ๆ เพื่อเยียวยาธาตุขันธ์ของเรา เช่น หาเงินหาทองหาข้าวหาของ ที่วิ่งกันขวักไขว่ทั่วโลกดินแดนนี้ จึงต้องได้วิ่งกันอยู่ตลอดเวลาและยังจะตลอดไปด้วย ไม่มีคำว่าครึไม่มีคำว่าล้าสมัย เป็นความจำเป็นเสมอหน้ากันทั้งธาตุขันธ์ของเราผู้ต้องการ ทั้งการขวนขวายของเราที่จะหามาเยียวยาธาตุขันธ์ความเป็นอยู่ ให้สืบเนื่องกันไปจนถึงอายุขัยข้อนี้ฉันใด เรื่องกิเลสอาสวะซึ่งเป็นเครื่องบีบคั้นจิตใจของเราก็เป็นโรคประเภทหนึ่ง ไม่เคยครึไม่เคยล้าสมัย เคยมีมาดั้งเดิมและทำสัตวโลกทั้งหลายให้ได้รับความเดือดร้อนวุ่นวาย ให้ได้รับความทุกข์มากทุกข์น้อย จนถึงขั้นมหันตทุกข์ ก็มีจำนวนนับไม่ถ้วนนับไม่ได้ และเป็นอย่างนั้นอยู่เรื่อยมาไม่เคยได้ยินว่ากิเลสตัวใดครึ กิเลสตัวใดล้าสมัย ทุกข์ประเภทใดที่เคยเป็นมาแล้วและจะไม่เป็นต่อไปอีก เพราะครึเพราะล้าสมัยหมดสมัย ที่จะให้ทุกข์อย่างนั้นต่อไปอีกแล้วอย่างนี้ไม่มี
กิเลสต้องเป็นกิเลสโดยสม่ำเสมอ ความทุกข์ที่เกิดขึ้นมาจากสมุทัยคือกิเลสนั้นก็ย่อมเป็นทุกข์ ตามกำลังของกิเลสที่มีมากน้อย บีบคั้นอยู่อย่างนั้นเสมอไปไม่มีคำว่าครึว่าล้าสมัย การแก้ไขถอดถอนกิเลส ซึ่งเปรียบเหมือนกับหยูกยาหามาบำบัดรักษาโรคภัยไข้เจ็บของร่างกายของเรานั้นแล การนำธรรมะเข้ามาเยียวยารักษาจิตใจของเราก็เป็นเช่นนั้น จึงไม่มีคำว่าครึว่าล้าสมัย สิ่งทั้งหลายที่เราเสาะแสวงหานั้นก็ได้มาตามความสามารถของผู้เสาะแสวงหามา ทั้งทางโลกและทางธรรมก็เป็นเช่นเดียวกัน ไม่มีคำว่าครึว่าล้าสมัย
เมื่อกิเลสมีอยู่ตราบใด จะต้องนำทุกข์มาสู่เราอยู่ตราบนั้นมากน้อยตามอำนาจของกิเลส ที่นี่ธรรมะที่จะนำมาแก้ไขถอดถอนกิเลสหรือบรรเทากิเลสให้ลดน้อยถอยลงไป ก็เป็นความจำเป็นที่จะต้องวิ่งเต้นขวนขวาย ต้องเสาะแสวงหา ต้องประกอบความพากเพียรอยู่โดยสม่ำเสมอ เพื่ออย่างน้อยเป็นการบรรเทากิเลสไม่ให้รุนแรงเกินไป ทุกข์จะไม่ได้กำเริบมากตามกิเลส เพราะอำนาจแห่งธรรมเป็นเครื่องเยียวยารักษา หรือเพราะอำนาจแห่งธรรมเป็นเครื่องปราบปรามแก้ไขหรือถอดถอนให้หมดไปสิ้นไป
ดังครั้งพระพุทธเจ้าของเรานั้น ไม่ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ใด สาวกของพระพุทธเจ้าพระองค์ใดก็ตาม ล้วนแล้วตั้งแต่เกิดในท่ามกลางแห่งกิเลสอาสวะสิ่งสกปรกโสมม และทำความเดือดร้อนแก่สัตวโลกโดยทั่วหน้ากันมาทั้งนั้น เวลาท่านออกมาบวชนั่นละคือท่านเสาะแสวงหาอรรถหาธรรมเครื่องเยียวยารักษา เครื่องถอดถอนเครื่องปราบปรามกิเลส ไม่ลดหย่อนอ่อนข้อ คือไม่ท้อไม่ถอย ไม่ท้อแท้อ่อนแอ บรมศาสดาของเราผู้ทรงเป็นศาสดาเอกของโลก ท่านก็ทรงบำเพ็ญมาด้วยความขยันหมั่นเพียรที่หาใครเสมอเหมือนไม่ได้ แล้วนำธรรมะนั้นมาสั่งสอนบรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย มีภิกษุบริษัทเป็นต้น
การสอนภิกษุบริษัทท่านจะสอนเน้นหนักลงไปให้พอเหมาะพอดีกับสถานที่ที่จะฆ่ากิเลส ให้พอเหมาะพอดีกับงานที่จะฆ่ากิเลส ไม่ใช่สถานที่เป็นที่ส่งเสริมกิเลส ไม่ใช่งานที่เป็นเครื่องส่งเสริมกิเลส แต่เป็นสถานที่และงานการเพื่อฆ่ากิเลสทั้งนั้นที่ท่านมอบให้พระ ดังพระโอวาทที่ประทานแก่พระผู้บวชใหม่ทุก ๆ องค์ไม่มีเว้นแม้องค์เดียว เว้นแต่ผู้ที่ได้บวชในเอหิภิกขุอุปสัมปทาเท่านั้น ท่านประทานพระโอวาทในเวลาบวชแล้วเกี่ยวกับเรื่องสถานที่อยู่ที่บำเพ็ญ ที่รบรากับข้าศึกตัวสำคัญ ที่ยังเราให้เกิดแก่เจ็บตายเรื่อยมาเป็นมาไม่รู้กี่กัปกี่กัลป์ไม่มีการหยุดยั้งนั้น ว่าเป็นสถานที่เช่นไร
คือ รุกฺขมูลเสนาสนํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชา ตตฺถ เต ยาวชีวํ อุสฺสาโห กรณีโย บรรพชาอุปสมบทแล้วให้ท่านทั้งหลายจงทำความอุตส่าห์ อยู่ตามร่มไม้ รุกขมูลคือร่มไม้ในป่าในเขาตามถ้ำเงื้อมผา ป่าช้าป่ารกชัฏ และจงทำความอุตส่าห์พยายามอยู่อย่างนั้นตลอดชีวิตเถิด
สถานที่เช่นนี้แลเป็นสถานที่ยกตัวอย่างพระองค์เป็นประธาน หรือเป็นผู้รับรองหรือยืนยันเป็นองค์ประกันไว้เลยว่า ตถาคตได้ตรัสรู้ที่ร่มไม้คือใต้ร่มโพธิ์ ความเพียรตถาคตเป็นผู้บำเพ็ญจนกระทั่งถึงขั้นสลบไสล ไม่มีคำว่าย่อท้ออ่อนแอ สถานที่นี้เป็นสถานที่ชั้นเอกสำหรับผู้ที่จะรบรากับกิเลส จะได้ทำเต็มสติกำลังความสามารถ เพราะสถานที่ดังกล่าวนี้ไม่ใช่เป็นสถานที่ใคร ๆ จะสนใจ เพราะเป็นป่าเป็นเขาลำเนาไพร
เนื่องจากป่านั้นไม่เป็นภัยเหมือนป่าทั้งหลาย เช่นป่ามนุษย์หญิงชาย ป่าตลาดลาดเล เหล่านี้เป็นภัยได้สำหรับสมณะเรา แต่ป่าเช่นนั้นเป็นป่าที่สงบงบเงียบ มีแต่ป่าไม้มีแต่ภูเขา มีแต่เป็นเครื่องเตือนสติให้สะดุดใจอยู่เสมอ เพราะอยู่ในที่สงัด ประกอบความเพียรได้อย่างสะดวกสบายไม่มีใครมารบกวน นี่คือสถานที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่จะฆ่ากิเลสให้สิ้นซากไปจากจิตใจไม่มีภัยติดตัวอีกต่อไป
และงานเช่นไรซึ่งเป็นงานยอดเยี่ยม เป็นงานฆ่ากิเลส ท่านก็สอนไว้ตั้งแต่ต้นบวชเลยว่า เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เป็นต้น ว่าผมหนึ่ง ขนหนึ่ง เล็บหนึ่ง ฟันหนึ่ง หนังหนึ่ง แล้วก็ย้อนหน้าย้อนหลัง เรียกว่าอนุโลมปฏิโลม จากนั้นก็กระจายไปถึงอาการ ๓๒ เนื้อ หนัง เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า มีเต็มอยู่ในร่างกายของเรานี้ทุกร่างทีเดียว อันนี้เป็นสำคัญมาก ธรรมชาติของมันตามหลักความจริงนั้นไม่เป็นที่พึงปรารถนา แม้แต่ผิวเผินก็ไม่พึงปรารถนา
คือผิวหนังของเราก็มีขี้ไคลขี้เหงื่อฉาบทาอยู่หมดรอบทั้งตัวของเรา ตจปริยนฺโต มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบเท่านั้นจึงพอดูกันได้อยู่กันได้ ถ้าปราศจากหนังเสียอย่างเดียวเท่านั้นผู้หญิงก็ไม่มีผู้ชายก็ไม่มีความรักความชอบความติดพันกัน อันจะให้เกิดกิเลสประเภทต่าง ๆ ขึ้นมาเพราะเหตุนี้ก็ไม่มี ท่านสอนอย่างนี้ ให้ไปพิจารณาคลี่คลายดูตัวของเรานี้เป็นอย่างไร ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เหล่านี้มีสมบูรณ์บริบูรณ์อยู่ตามหลักธรรมชาติของเขา ซึ่งล้วนแล้วตั้งแต่เป็นของปฏิกูลโสโครกทั้งเขาทั้งเราเสมอหน้ากันไปหมด ไม่มีใครยิ่งหย่อนกว่าใครในความเป็นปฏิกูลโสโครกไม่พึงปรารถนา
แต่กิเลสมันพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงเอาสันเป็นคมไปเสีย แล้วก็เสกสรรปั้นยอว่าเป็นของสวยของงาม ว่าเป็นของจีรังถาวร ว่าเป็นสถานที่ให้รื่นเริงบันเทิงไปเสียหมด ทั้ง ๆ ที่ความจริงเป็นไปไม่ได้ แล้วธรรมชาติอันนี้มีความฉลาดแหลมคมละเอียดลออมาก ซึ่งพอที่จะทำสัตว์ทั้งหลายให้ติดได้ทั่วโลกดินแดน ยาอะไรขนานใดก็ตามวิชาใดก็ตาม เรียนมาจบไตรเพทหรือในสมัยปัจจุบันนี้จะว่าปริญญาตรี โท เอก หรือสูงยิ่งกว่านั้นก็ตามมาแก้ไม่มีทางตก นอกจากนำวิชาธรรมของพระพุทธเจ้ามาแก้เท่านั้น เริ่มตั้งแต่ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เป็นต้น พินิจพิจารณาทั้งภายนอกภายใน คลี่คลายย้อนหน้าย้อนหลังจนเป็นที่เข้าใจด้วยความชำนิชำนาญ ความจอมปลอมทั้งหลายที่กิเลสเสกสรรปั้นยอนั้นจะค่อยเสื่อมไปหายไปคลายไปเรื่อย ๆ และสุดท้ายก็ตกออกหมด เหลือแต่ความจริงล้วน ๆ
เมื่อเหลือแต่ความจริงล้วน ๆ จิตก็ถึงความเป็นอิสระ ถอนความกดถ่วงห่วงใย เพราะอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นนั้นเสียโดยสิ้นเชิง ภาระแห่งการแบกการหามการกังวลวุ่นวาย การยึดการถือกับสิ่งเหล่านี้ก็เบาไปตาม ๆ กัน และหมดโดยสิ้นเชิงเช่นเดียวกัน ทุกข์ก็หมดไป นี่คืองานแก้กิเลสของพระพุทธเจ้าที่ประทานให้บรรดาภิกษุบริษัททั้งหลาย จึงเรียกว่าประทานธรรมะต่างกันกับฝ่ายฆราวาส
สถานที่อยู่กับงานที่ทำนั้นแลเป็นสำคัญมาก ไม่ว่าอิริยาบถใดพระพุทธเจ้าจะทรงสั่งสอนด้วยความมีสติทั้งนั้น เดินจงกรมให้มีสติ นั่งอยู่ให้มีสติ ไม่ว่ายืนว่านอนเว้นแต่หลับเท่านั้นให้มีสติกำกับใจอยู่เสมอที่เรียกว่าเป็นความเพียร ๆ เราทำงานกับอาการใดแห่งธรรมก็ให้มีสติติดแนบอยู่นั้น เช่น เราบริกรรมพุทโธ ๆ เป็นต้น ก็ให้มีสติติดแนบอยู่กับคำว่าพุทโธ อย่าให้จิตคิดออกไปนอกลู่นอกทาง อันเป็นเรื่องของกิเลสคอยฉุดคอยลากอยู่โดยสม่ำเสมอไม่มีเวลาจืดจางเลย เผลอตัวเมื่อไรกิเลสต้องเอาไปต้มยำทั้งนั้น เพราะฉะนั้นจึงต้องมีสติเป็นเครื่องฉุดเครื่องลากกลับคืนมา และใช้ปัญญาพินิจพิจารณา
พระพุทธเจ้าท่านประทานพระโอวาทแก่ภิกษุสงฆ์ท่านประทานอย่างนี้ นอกจากให้อยู่ในป่าในเขา เวลามาสนทนาธรรมะธัมโมต่อกันและกัน ท่านสนทนาแต่เรื่องอรรถเรื่องธรรมที่จะถอดถอนกิเลสทั้งนั้น ดังสัลเลขธรรม ๑๐ ข้อ ท่านสอนพระ สัลเลขธรรม ๑๐ ข้อนั้นได้แก่อะไร นี่วันนี้จะบรรยายถึงเรื่องพระโอวาทที่พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนภิกษุบริษัทในครั้งพุทธกาลเป็นยังไง ได้รู้ได้เห็นตามที่ได้เรียนมามากน้อย ก็ได้นำมาชี้แจงให้บรรดาพระลูกพระหลานทั้งหลายได้ยินได้ฟัง ให้ถือเป็นคติตัวอย่างแล้วประพฤติปฏิบัติตาม
ข้อต้นอัปปิจฉตา ให้เป็นผู้มักน้อย อย่าพะรุงพะรังกับสิ่งนั้นสิ่งนี้วุ่นวายเหมือนทางโลกเขา มีมากก็ตามเอาแต่เพียงน้อย ๆ เท่านั้น จึงเรียกว่าอัปปิจฉตา มีความปรารถนาน้อย ปฏิบัติเอาแต่สิ่งที่จำเป็น นำแต่สิ่งที่จำเป็นมาฉันมารับประทานหรือมาใช้มาสอยเท่านั้น นอกนั้นไม่จำเป็น เป็นผู้มีความปรารถนาน้อยในวัตถุทั้งหลายปัจจัย ๔ จากนั้นก็ย่นเข้าไปถึงความมักน้อยในอารมณ์ ไม่ให้มีอารมณ์ยุ่งเหยิงวุ่นวาย เป็นเครื่องกวนจิตใจให้ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมแล้วก่อทุกข์ขึ้นมา
สันโดษ ถัดกันลงมา หย่อนกว่าอัปปิจฉตา ก็ว่าให้มีความยินดีเท่าที่มีอยู่เท่านั้น สิ่งใดมีอยู่เกิดมามีมาก็รับใช้รับสอยรับขบฉันตามธรรมชาติของมันที่มี ไม่ตำหนิสิ่งนั้นว่าไม่ดีตำหนิสิ่งนี้ว่าไม่ดี เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงปัจจัยเครื่องอาศัยให้เราได้อยู่วันหนึ่ง ๆ เพื่อบำเพ็ญคุณงามความดีสำหรับใจของเรา พูดย่น ๆ ลงไปก็คือบำเพ็ญเพียรเพื่อจะฆ่ากิเลสตัวเป็นข้าศึกอันใหญ่หลวง ให้สิ้นซากลงไปจากใจเรานี้เท่านั้น
ข้อที่สาม อสังสัคคณิกา ไม่คลุกคลีตีโมงกับทั้งหญิงทั้งชายนักบวชและฆราวาส มีความเป็นผู้ผู้เดียวอยู่ และเป็นผู้มีอารมณ์กับธรรมเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ยุ่งเหยิงวุ่นวายคละเคล้ากับผู้หนึ่งผู้ใด อยู่ด้วยความเป็นบุคคลผู้เดียว สองกับธรรมเป็นเครื่องบำเพ็ญนี้เท่านั้น ท่านเรียกว่าอสังสัคคณิกา
วิเวกกตา ชอบสถานที่วิเวกสงัด สถานที่ใดวิเวกสงัด คือสงัดทางกายก็ได้แก่ในป่าในเขาลำเนาไพร เพื่อให้สงัดเข้าไปหากิเลสภายในใจ ท่านเรียกว่ากายวิเวก จิตวิเวก อุปธิวิเวก ความสงัดทางกาย ไม่มีรูปเสียงกลิ่นรสเครื่องสัมผัสเข้ามารบกวนจิตใจ ใจย่อมไม่กระเพื่อม ใจย่อมไม่เดือดร้อนวุ่นวายระส่ำระสาย จิตก็เหมือนกันไม่ส่ายแส่ไปหาอารมณ์อันใด เพราะไม่มีสิ่งใดมาก่อกวน นี่เรียกว่าจิตวิเวก ความสงัดใจ ออกมาจากความสงัดกายที่ไปอยู่ในที่เปลี่ยว ป่าทั้งหลายอันเป็นที่เหมาะสมกับการบำเพ็ญเพียร แล้วก็อุปธิวิเวก ก็ย่นเข้าไปหาความสงัดจากกิเลสทั้งหลาย เพราะอำนาจแห่งความพากเพียรที่อยู่ในที่เหมาะสมนั้นแล
วิริยารัมภา ประกอบความเพียรอยู่ไม่หยุดยั้ง จนกว่ากิเลสจะพังจากจิตใจเสียเมื่อใด ไม่มีซากกิเลสตัวใดเหลืออยู่แล้ว นั้นแลเป็นที่เหมาะสมกับผู้มีความเพียร วิริยารัมภาคือประกอบความเพียรอยู่อย่างนั้นไม่ลดละ
ศีล ก็เป็นผู้มีความรักชอบ ความสงวนในศีลของตน ประหนึ่งว่าชีวิตยังไม่มีคุณค่าเท่าศีลที่ตนรักษาอยู่ แม้ชีวิตจะขาดไปก็ตามแต่ศีลไม่ยอมให้ขาด ท่านเรียกว่าเป็นผู้รักศีลรักธรรมของตัวเอง มีความรักความสงวน จิตใจย่อมมีความเยือกเย็นเป็นสุข ผู้มีศีลย่อมเป็นผู้อบอุ่น
สมาธิ การบำเพ็ญสมาธิก็ดังที่กล่าวแล้วเบื้องต้นว่า เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี้คือบทภาวนาเพื่อจะยังจิตใจของตนให้มีความสงบ เมื่อใจมีความสงบร่มเย็นมากน้อยเพียงไร ก็สามารถที่จะสร้างฐานแห่งความมั่นคงของใจขึ้น ในขณะที่สงบแล้วสงบเล่าหลายครั้งหลายหนนั้นแล จนกลายเป็นสมาธิขึ้นมา สมาธิ แปลว่า ความตั้งมั่น ความแน่นหนามั่นคงของใจ สงบคือสงบอารมณ์ต่าง ๆ ไม่คิดยุ่งเหยิงวุ่นวาย หลายครั้งหลายหนก็เข้าสู่สมาธิได้ นี่ท่านเรียกว่าศีลแล้วก็สมาธิ
จากนั้นก็ปัญญา นี่ธรรมท่านกล่าวไว้อย่างนี้ในสัลเลขธรรม ๑๐ ข้อ ปัญญา คือความพินิจพิจารณาคลี่คลายดูสกลกายของเราด้วยอสุภะอสุภัง ทุกฺขํ อนตฺตา จนกระทั่งมีความรอบคอบในสิ่งเหล่านี้ ถอดถอนกิเลสไปโดยลำดับตามความรอบคอบแห่งปัญญาของตน เมื่อปัญญามีความรอบคอบขอบชิดทันกับกลมายาของกิเลสทุกประเภทแล้ว กิเลสย่อมหลุดลอยไปก็ย่อมถึงวิมุตติ
ท่านว่าวิมุตติ คือความหลุดพ้นจากเครื่องผูกพันทั้งหลาย ก็คือกิเลสนั้นแลผูกพันไม่ใช่สิ่งใดมาผูกพัน
วิมุตติญาณทัสสนะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้วความรู้แจ้งชัด ทั้งรู้ทั้งเห็นภายในจิตใจของตนว่าหลุดพ้นแล้ว ย่อมปรากฏขึ้นในเวลาเดียวกัน
นี่เป็นสัลเลขธรรม ๑๐ ข้อที่พระครั้งพุทธกาลท่านสนทนากัน มาพูดกันพูดแต่เรื่องอรรถเรื่องธรรมเรื่องมรรคผลนิพพาน ไม่ได้พูดเรื่องบ้านเรื่องเมือง เรื่องซื้อเรื่องขาย เรื่องได้เรื่องเสีย เรื่องโลกสงสารใด ๆ ทั้งนั้น เพราะไม่ใช่หน้าที่ของพระ หน้าที่ของพระมีแต่การปฏิบัติบำเพ็ญ เพื่อถอดถอนหรือแก้ไขกิเลสออกจากใจ ด้วยความพากเพียรโดยธรรม ๑๐ ประการที่กล่าวนี้ นี่คือพระโอวาทอันเป็นแก่นของพระโอวาทที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนพระในครั้งพุทธกาล
องค์ใดไปอยู่สถานที่ใด ออกมาสนทนากัน เป็นยังไงเรื่องสมาธิ เป็นยังไงเรื่องปัญญา ไปอยู่สถานที่นั้นมีความเยือกเย็นเป็นสุขอย่างไรบ้าง เห็นเหตุเห็นผล มีความรู้แจ้งแทงตลอดไปมากน้อยเพียงใด ท่านจะสนทนากันตั้งแต่เรื่องอย่างนี้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อยู่คนเดียวก็ตามอยู่หลายคนก็ตามเวลามาสนทนากัน เป็นธรรมความเพลิดเพลินให้แก่กันและกันฟัง เรียกว่าธรรมสากัจฉา กาเลน ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ สนทนาธรรมะกันเป็นกาลเป็นเวลา ย่อมถือเป็นมงคลอันสูงสุด นี่คือธรรมที่ท่านสนทนากัน ท่านไม่ได้สนทนาแบบโลกแบบสงสาร ท่านสนทนาเรื่องอรรถเรื่องธรรมเรื่องมรรคผลนิพพาน เพื่อความพ้นทุกข์โดยถ่ายเดียวเท่านั้น จึงว่า เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ เป็นสิริมงคลอย่างยิ่งหรือสูงสุด
เพราะฉะนั้นจึงขอให้พี่น้องลูกหลานทั้งหลาย ได้นำอรรถธรรมเหล่านี้ที่หลวงตาได้แสดงให้ฟัง ตามที่ได้ศึกษาเล่าเรียนมามากน้อยนี้ไปประพฤติปฏิบัติ อย่าให้ร่อยให้หรอให้ขาดวรรคขาดตอน จนกระทั่งถึงขาดไปหมดไม่มีอะไรเหลือเลย เหลือตั้งแต่คัมภีร์ที่จดจำได้ ตำราทั้งหลายที่เรียนมา ส่วนมรรคส่วนผลไม่มีปรากฏภายในจิตใจนี้ ก็เรียกว่าเกินไปสำหรับพระเราผู้ปฏิบัติ เพราะฉะนั้นจึงให้เข้มข้นในทางด้านปฏิบัติ ถือหลักความพากเพียรเป็นสำคัญ เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา นี้คืองานของพระโดยตรง ไม่ใช่งานอย่างอื่นที่จะเป็นสง่าราศีแก่จิตใจของเรา นอกจากงานเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา อันเป็นงานฆ่ากิเลสปราบกิเลส ซึ่งเป็นตัววุ่นวายและพาทำความทุกข์ให้แก่เรา ให้สงบร่มเย็นลงมาโดยลำดับ จนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้นขึ้นมา
เพราะธรรม คำว่ามรรคผลนิพพานนั้น เป็นตลาดสดอยู่ในศาสนธรรมของพระพุทธเจ้าแบบสด ๆ ร้อน ๆ นี้แล เช่นเดียวกับที่เราเคยกล่าวแล้วตอนต้นนั้นว่า ไม่มีคำว่าครึว่าล้าสมัย ถ้าเราไม่เป็นพระเป็นคนที่ครึที่ล้าสมัยไปเสียอย่างเดียว เห็นสารธรรมว่าเป็นของปลอมไปเสีย เห็นของปลอมว่าเป็นสารคุณไปเสียเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นแล้วแม้จะอยู่ต่อพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าก็ไม่มีใครช่วยได้
ศาสนธรรมนี้ท่านแสดงไว้แล้วด้วยความถูกต้องแม่นยำไม่มีอะไรผิดพลาด เมื่อดำเนินตามแถวแนวที่พระองค์ทรงสั่งสอนไว้แล้วนี้ พระพุทธเจ้าจะยังทรงพระชนม์อยู่ก็ตาม ปรินิพพานแล้วก็ตาม ผู้ก้าวเดินตามหลักศาสนธรรมนี้ ก็คือผู้ก้าวเดินเข้าสู่มรรคผลนิพพานอยู่โดยดี เช่นเดียวกับครั้งพุทธกาลนั้นแล แต่ถ้าผู้เดินออกนอกลู่นอกทางไปกี่ก้าวก็ห่างไป ๆ กี่ก้าวกี่ชั่วโมงกี่ปีกี่เดือน ก็ยิ่งห่างไป ๆ นั่นแม้จะอยู่ต่อพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า ก็เท่ากับหันหลังให้พระองค์นั่นเอง ตกนรกอเวจีทั้งเป็นอยู่ต่อหน้าพระพุทธเจ้านั้นได้เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว
ถ้าเราทำความดีก็เช่นเดียวกัน จึงเรียกว่า สฺวากฺขาดต ภควตา ธมฺโม พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว หรือตรัสไว้ชอบแล้วนั้น ชอบทั้งที่พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ ชอบทั้งที่พระองค์ปรินิพพานนานแล้วเท่าไรก็ตาม ดังที่ท่านแสดงไว้ว่า ธรรมก็ดี วินัยก็ดี ที่เราแสดงไว้แล้วนี้แล จะเป็นศาสดาของเธอทั้งหลายเมื่อเราผ่านไปแล้ว คือเราตายไปแล้ว องค์แทนของท่านก็คือหลักธรรมหลักวินัย หลักธรรมหลักวินัยนี้เป็นธรรมชาติที่ตรงแน่วต่อจุดที่หมาย สวรรค์ก็ดี นิพพานก็ดี ไม่พ้นจากสวากขาตธรรมอันเป็นทางสายที่ตรัสไว้ชอบแล้วนี้เลย ตรงแน่วไปตามนั้น ผู้ปฏิบัติตามนี้จะไม่เป็นอื่น ต้องถึงจุดหมายปลายทางตามที่พระองค์ทรงสอนไว้แล้วนั้นแล เพราะฉะนั้นจงพากันตั้งอกตั้งใจ
เวลานี้ครูบาอาจารย์ทั้งหลายก็ยิ่งล่วงลับดับไปมากไป ๆ สิ่งที่เป็นภัยก็ยิ่งล่วงไหลเข้ามา ๆ เต็มวัดเต็มวา เราอย่าพูดว่าเต็มบ้านเต็มเมือง อันนั้นมันเต็มแล้ว ในวัดในวาของเราก็กำลังเริ่มเต็มขึ้นมา ๆ ล้วนแล้วตั้งแต่เป็นข้าศึก มองอันใดก็มีตั้งแต่ข้าศึกเต็มหูเต็มตา มีแต่เครื่องสังหารอรรถธรรม เครื่องสังหารตัวเรา แล้วเราจะหามรรคผลนิพพานมาจากที่ไหน ตัวเองก็ร้อนเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้อยู่ภายในจิตใจ คนอื่นมองดูก็ไม่น่าดู ฟังก็ไม่น่าฟัง เพราะพูดก็ไม่เป็นเหตุเป็นผลไม่เป็นอรรถเป็นธรรม เพราะไม่มีธรรมในใจออกมาพูด มองเห็นก็มีแต่กิริยาเหมือนลิงค่างบ่างชะนีในผ้ากาสาวพัสตร์ที่โพกศีรษะเราอยู่เท่านั้น ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เจ้าของก็ร้อน คนอื่นก็หาที่เกาะที่ยึดไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ไม่ผิดอะไรกับผู้เขาไม่บวช
อันผ้าเหลืองผ้ากาสาวพัสตร์นี้อยู่ที่ไหนก็มี ตามห้างร้านเต็มไปหมดไม่ขลัง ถ้าเราไม่ปฏิบัติตัวให้ขลังอยู่ภายในตัวของเรา คำว่าขลังนี้ขลังโดยธรรมไม่ใช่ขลังแบบโลก ๆ ที่เขาใช้กันอยู่นั้น คนนั้นขลังอย่างนั้น คนนี้ขลังอย่างนี้ องค์นั้นขลังอย่างนั้น องค์นี้ขลังอย่างนี้ ส่วนมากมักจะขลังไปทางแบบโลกแบบสงสาร ส่วนขลังพระพุทธเจ้านี้ขลังกิเลสหมอบราบไปทีเดียว จึงเรียกว่าขลัง ให้พากันตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ
ที่มาวันนี้ก็มุ่งต่อพระลูกพระหลาน ประชาชนทั้งหลายนั้นแลจึงได้มา ไม่เช่นนั้นก็มาได้ยากทุกวันนี้ ทั้งเฒ่าทั้งชราคร่ำคร่าลงไปทุกวัน การเทศนาว่าการก็หลุดไม้หลุดมือไปเรื่อย ๆ เทศน์ไม่เป็นเนื้อเป็นหนังเป็นเรื่องเป็นราวไปได้เลย ก็เพราะสัญญาคือความจำนี้มันเป็นขันธ์ เมื่อใช้ไป ๆ ก็เหมือนรถยนต์เรานี้แล เอาออกมาใหม่ ๆ ซื้อมาใหม่ ๆ วิ่งไปถึงไหนก็ได้อย่างใจหวัง แต่ครั้นใช้นานเข้าไป ๆ อันนั้นสึกอันนี้หรอ อันนั้นเสียแล้วไปซ่อม ซ่อมแล้วก็เสีย ๆ สุดท้ายขับไปเพียงสองสามชั่วโมงกลับมาเข้าอู่ ๓ เดือนก็ไม่ออก แล้วต่อไปเข้าไม่ออกเลย กลายเป็นเศษเหล็กไปได้ นี่ก็กลายเป็นเศษคนไปได้คือคนตาย เมื่อหนักเข้า ๆ ก็เป็นอย่างนั้น
เวลานี้ก็หมดไป ๆ ครูบาอาจารย์ที่เป็นที่เคารพเลื่อมใส เป็นที่ตายใจได้ ก็ยังเหลือแต่เรา อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ก็ให้พยายามนำมาใช้สำหรับตัวของเรา จะพึ่งแต่ท่านทุกแง่ทุกมุมเราก็เคยพึ่งมาแล้ว อยู่กับครูบาอาจารย์มาด้วยกัน ทีนี้เวลานี้จะมาเป็นตัวของตัวด้วยความพากความเพียร เป็นตัวของตัวด้วยความรู้ความเห็นในอรรถในธรรม เป็นตัวของตัวด้วยมรรคด้วยผล ด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา ด้วยวิมุตติหลุดพ้นภายในจิตใจนี้ ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ เพราะธรรมสอนเพื่อเป็นตัวของตัวแท้ ๆ ตัวเองพึ่งตัวเองพึ่งอย่างนี้ ได้รับคำสั่งสอนจากครูจากอาจารย์มาแล้วก็นำมาประพฤติปฏิบัติ
หนักก็ตามเบาก็ตาม ขึ้นชื่อว่ากิเลสนี้มักจะหนักอยู่เสมอ แต่ความเพียรเรามักจะอ่อนข้อย่อหย่อนอยู่เสมอ นี่ละมันถึงไม่ทันกัน แล้วสุดท้ายก็สร้างนั้นสร้างนี้ ยุ่งนั้นยุ่งนี้ นี้ไม่ใช่ทางของศาสดาที่พาสาวกทั้งหลายดำเนินมา ท่านพาสาวกทั้งหลายดำเนินมาจนเป็น สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเราจนกระทั่งทุกวันนี้ ท่านดำเนินด้วยวิธีธุดงคกรรมฐาน เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา โดยถือธรรม ๑๐ ประการนี้เป็นรากฐานอันสำคัญในหัวใจและข้อปฏิบัติ ท่านจึงเป็นผู้ทรงมรรคทรงผล
อันหน้าที่การงานทั้งหลายนั้นฆราวาสเขาก็ทำได้ยากอะไร เรามาบวชเป็นพระอย่าหาเรื่องยุ่งเหยิงเข้ามาก่อกวนจิตใจ เพราะการงานกับการภาวนานั้นเป็นข้าศึกกัน ถึงจะว่าสัมมากัมมันตะ การงานชอบ ชอบก็ตาม สำหรับการงานนั้นชอบทั่ว ๆ ไป แต่ที่จะเข้ามาเกี่ยวข้องกับวงปฏิบัติจิตตภาวนาเราแล้ว การงานอันนี้ก็เป็นมิจฉากัมมันตะได้ เพราะเป็นข้าศึกต่อจิตใจ
คนมีการมีงานก่อนั้นสร้างนี้มาก ๆ จะมีตั้งแต่เรื่องยุ่งเหยิงวุ่นวายภายในจิตใจ จนไม่มีเวลาที่จะคิดอรรถคิดธรรม นั่งสมาธิภาวนานิดหนึ่งก็ไม่ได้ คอยแต่จะล้มจะตาย ให้การให้งานแบบโลก ๆ เอาไปกินเสียหมดไม่มีอะไรเหลือเลย สุดท้ายก็มีแต่พระยุ่ง มีแต่พระวุ่นวาย มีแต่พระกวนบ้านกวนเมือง เพราะงานก่อสร้างเกี่ยวกับฆราวาส เราไม่ได้หาได้ด้วยตนเอง ต้องอาศัยคนอื่น มีอะไร ๆ เขามีมาได้ เราเองต้องอาศัยคนอื่น
เพราะสำหรับฆราวาสเขาเสาะแสวงหาของเขาเอง จะสร้างบ้านสร้างเรือน ตึกรามบ้านช่องกี่ชั้นกี่ห้องกี่หับก็ตาม มันเป็นของเขาที่หามาได้เอง แต่เราจะสร้างจะทำอะไรจะต้องวิ่งเต้นเกี่ยวข้องกับญาติกับโยม รบกวนคนนั้นรบกวนคนนี้ ชาวบ้านกับชาววัดเลยขุ่นเป็นตมเป็นโคลนไปด้วยกันหมด อย่างนี้ผิดกับหลักผู้ปฏิบัติศาสนธรรมเพื่อความสงบร่มเย็นภายในจิตใจ
ให้เห็นประจักษ์ว่าศาสนาพุทธของเรานี้เป็นโมฆะเหรอ ดังที่แสดงแล้วนี้ไม่เคยครึไม่เคยล้าสมัย เป็นตลาดสด ๆ แห่งมรรคผลนิพพาน ถ้าผู้ปฏิบัติให้เป็นตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนอยู่แล้วจะไม่เป็นอื่น เป็นอย่างนี้แน่นอน แต่งานการเหล่านั้นพระองค์ก็ไม่ได้ทรงแสดงไว้ว่าเป็นของเลิศของวิเศษอะไร
งานภายนอกนั้น ให้เป็นผู้มีงานน้อยที่สุด ท่านก็กล่าวไว้แล้ว ส่วนงานที่มากที่สุดก็คืองานภาวนา งานภายนอกอย่าเอามายุ่งเหยิงวุ่นวาย จะขัดกันกับทางด้านจิตตภาวนา เป็นข้าศึกต่อกัน
ถ้าลงเอางานเข้ามาเกี่ยวข้องแล้ว จิตต้องวิ่งไปหางานมากกว่าที่จะมาภาวนา สุดท้ายก็เข้าภาวนาไม่ได้ มีแต่จะวิ่งเต้นเผ่นกระโดด หาเรื่องนั้นเรื่องนี้มาก่อมากวน สุดท้ายก็เลยเป็นพระกรรมฐานหมาขี้เรื้อน หมาขี้เรื้อนเป็นยังไง อยู่เฉย ๆ ไม่ได้มันต้องเกาซิ เกานั้นเกานี้ สุดท้ายคันไม่คันก็เกาไปเรื่อย ไม่ได้ทำอยู่ไม่ได้มันรำคาญ ต้องวิ่งต้องหาเสาะนั้นเสาะนี้มาสร้างมาทำ นั่นละเรียกว่าเกาอยู่เรื่อย ๆ เกาไม่หยุดไม่ถอย เลยกลายเป็นพระกรรมฐานขี้เรื้อน หมาขี้เรื้อนเสีย แทนที่จะเป็น สรณํ คจฺฉามิ ของตัวเอง เลยเป็นหมาขี้เรื้อน สรณํ คจฺฉามิ ไปเสีย เราจะบวชมาเพื่อขี้เรื้อนนั่นเหรอ ต้องถามเราบ้างซิ อย่าให้คนอื่นไปถามมันไม่ถูก
ถ้าเราจะเป็นผู้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติกำจัดกิเลสของเราแล้ว งานเหล่านี้เป็นงานเช่นไร ให้เราถามเราเอง พระพุทธเจ้าท่านดำเนินยังไง สาวกท่านดำเนินยังไง จึงเป็น สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเรา ทีนี้เราจะให้เป็น สรณํ คจฺฉามิ ของตัวเองนี้ จะทำด้วยวิธีการใด ถ้าไม่ทำตามหลักที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้แล้ว ไม่มีทางอื่นที่จะเป็น สรณํ คจฺฉามิ ของตนได้เลย นี่เป็นของสำคัญ
เวลานี้พระกรรมฐานของเรามักยุ่งในการก่อการสร้าง ถือการก่อการสร้างเป็นสาระสำคัญมากยิ่งกว่าการเดินจงกรมนั่งสมาธิเพื่อมรรคผลนิพพาน ตามทางของศาสดาเสียแล้ว มีแต่เรื่องอันนี้ไปหมด วัดไหนถ้าไม่มีวัตถุเครื่องก่อสร้างหรู ๆ หรา ๆ เหมือนกับว่าไม่สมเกียรติหรือไม่มีศักดิ์ศรี เลยเป็นวัดอาภัพไปลักษณะนั้นแหละ ถ้าพูดให้ตรงกับความจริงแล้ว อันหรู ๆ หรา ๆ นั้นแหละคือตัวอาภัพ อิฐปูนหินทรายนั้นเหรอเป็นตัวมรรคผลนิพพาน พวกไม้พวกเหล็กนั้นเหรอเป็นตัวมรรคผลนิพพาน เป็น สรณํ คจฺฉามิ
ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ ท่านไม่ได้เป็นหินเป็นทรายเป็นอิฐเป็นปูน ทำเพียงอาศัยได้เท่านั้น พระพุทธเจ้าเสด็จออกทรงผนวชเป็นยังไง เสด็จออกจากหอปราสาทราชมณเฑียร เวลาเสด็จออกไปแล้วท่านไปสร้างหอปราสาทที่ไหนเราไม่เคยเห็นมี ในตำรับตำราก็แสดงไว้อย่างชัดเจน เข้าป่าทรงบำเพ็ญ ไม่คำนึงถึงเรื่องความทุกข์ความลำบาก ไม่คำนึงถึงเรื่องความเคยเป็นพระราชามหากษัตริย์มาก่อนเลย มุ่งแต่ที่จะได้ตรัสรู้ธรรมเป็นศาสดาของโลก ด้วยการฝึกทรมานวิธีต่าง ๆ จนกระทั่งสลบไสลไปถึง ๓ ครั้งเราก็เห็นด้วยกัน แล้ววาระสุดท้ายก็มาประทับอยู่ที่โคนต้นไม้คือต้นโพธิ์ บำเพ็ญอานาปานสติที่เห็นว่าได้เป็นหลักเป็นเกณฑ์มาตั้งแต่ครั้งเป็นพระราชกุมาร ที่พระราชบิดาพาเสด็จไปแรกนาขวัญนั้น ไปนั่งภาวนาอยู่ใต้ร่มหว้าแล้วเกิดสมาธิภาวนาขึ้นมาอย่างอัศจรรย์ จึงทรงระลึกย้อนหลังไป นำธรรมนั้นเข้ามา อานาปานสติในระยะท่านเป็นพระราชกุมารเจริญภาวนา
ท่านจึงเอานั้นมายึดเป็นอานาปานสติ ในวันเดือนหกเพ็ญ คืนเดือนหกเพ็ญ ที่ใต้ร่มโพธิ์ ถึงกับท่านอธิษฐานว่า สถานที่นี่ถ้าหากว่าไม่ได้ตรัสรู้เป็นสถานที่ตายของเราในที่เดียวกันนี้ คือ อธิษฐานไม่ทรงลุกจากที่นี้เลยถ้าไม่ได้ตรัสรู้ ต้องตรัสรู้เท่านั้นถึงจะลุกจากที่ ถ้าไม่ได้ตรัสรู้ที่นี่ก็เป็นที่ตายของเรา จะไม่ยอมลุกจะตายในสถานที่นี่ นั่นเราฟังซิพระพุทธเจ้าเด็ดไหม นั่นละ สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเรา ท่านเด็ดอย่างนั้นท่านจึงได้มาเป็นสรณะ นั่นละสถานที่เช่นนั้น ท่านจึงขึ้นต้นเลยว่า รุกฺขมูลเสนาสนํ คือที่นี่แล
ถ้าพูดภาษาของเราก็ว่า เราตถาคตได้ตรัสรู้ที่ร่มไม้นะ ไม่ได้ตรัสรู้ที่หอปราสาทราชมณเฑียร ถ้าได้ตรัสรู้แล้วเราไม่ได้ออกจากกรุงกบิลพัสดุ์ เราจะตรัสรู้ที่กรุงกบิลพัสดุ์ที่มีหอปราสาท แต่นี้พระองค์เสด็จออกเข้าป่าเข้าเขา ทรงบำเพ็ญพระองค์จนได้ตรัสรู้ขึ้นมาที่ร่มโพธิ์ ให้ยึดอย่างนั้นเป็นหลักเป็นเกณฑ์สำหรับผู้ที่จะปฏิบัติตน เพื่อให้กิเลสเบาบางหรือมีความสงบร่มเย็นพอเป็นพอไปในจิตใจ ไม่วุ่นวี่วุ่นวายเหมือนโลกเขาที่ไม่ได้อบรมเลย เราต้องได้สำเหนียกศึกษาพินิจพิจารณาอยู่เสมอในการปฏิบัติ
วันหนึ่ง ๆ ให้เสียเวล่ำเวลาไปโดยไม่เกิดประโยชน์นั้นมันมากต่อมากแล้ว สำหรับพระเณรเรา ไม่มีอะไรจำเป็นเลย งานการอย่างอื่นอย่างใดไม่เห็นมีความจำเป็น นอกจากการเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา ฆ่ากิเลสตัวเป็นภัยต่อหัวใจของเราอยู่เวลานี้เท่านั้น พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนอย่างนั้น และท่านทรงสร้างมาอย่างนั้น สาวกทั้งหลายก็สร้างมาอย่างนั้น สอนพวกเรามาอย่างนี้เหมือนกัน เราเตลิดเปิดเปิงไปที่ไหน ถ้าออกนอกลู่นอกทางแล้วความหวังก็ไม่มีแหละ หวังก็หวังเฉย ๆ ไม่มีสิ่งใดที่จะสมหวังและสนองความหวังไม่มี มีแต่ความหมดหวัง ๆ เท่านั้น นี่เป็นหลักสำคัญที่เราทั้งหลายจะได้นำไปประพฤติปฏิบัติ
วันนี้มาเทศน์สอนลูกสอนหลาน ให้เป็นข้อคิด ให้เป็นเครื่องระลึก เพื่อดำเนินตนให้เป็นสรณะของตนได้ สรณํ คจฺฉามิ ของตัวเราก็คือ ธมฺมํ ธรรมมีอยู่ที่ใจ ใจบริสุทธิ์แล้วเป็นสรณะของเราได้ สังฆะ ก็คือผู้ทรงธรรมบริสุทธิ์นั้นแล ก็คือตัวของเรานั้นแหละเป็น สรณํ คจฺฉามิ พุทธะ ความรู้อรรถรู้ธรรมก็ขึ้นในขณะเดียวกัน ธรรมเกิด ๆ ก็คือพุทธะนั้นแหละเกิดธรรม ผู้ทรงธรรมไว้คือใคร ก็คือเราเป็นผู้ทรงธรรม สังโฆ ก็ได้แก่ตัวของเรา สรณํ คจฺฉามิ ของเราก็แน่นหนามั่นคง
เมื่อทำสรณะของตนให้สมบูรณ์บริบูรณ์ภายในจิตใจแล้ว อยู่ไหนอยู่เถิดคนเรา ประหนึ่งว่าได้กราบพระพุทธเจ้าอยู่ทุกขณะ เฝ้าพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา ด้วยความบริสุทธิ์อันเป็นธรรมแท่งเดียวกัน ไม่มีสิ่งใดแปลกปลอมจากพระพุทธเจ้า จากสาวกทั้งหลายที่ท่านผ่านไปแล้ว ด้วยธรรมประเภทเดียวกันนี้ นี่แลที่ว่าผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต เริ่มเห็นไปตั้งแต่ความสงบ พระพุทธเจ้าก็เคยสงบมาแล้ว เริ่มเห็นไปตั้งแต่จิตเป็นสมาธิ จิตพระพุทธเจ้าก็เคยเป็นสมาธิมาแล้ว เริ่มเห็นไปตั้งแต่ขั้นปัญญาเป็นขั้น ๆ จนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้น เห็นตถาคตเต็มองค์ ด้วยความตรัสรู้ธรรมหรือความบรรลุธรรม ให้กิเลสมุดมอดไปหมดไม่มีสิ่งใดเหลือเลย นั่นเป็น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ของเราเต็มตัว และเรียกว่าเราได้เฝ้าพระพุทธเจ้าตลอดเวลา
หรือผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต ก็คือเห็นธรรมคือความบริสุทธิ์ในหัวใจของเรานั้นแล ไม่มีอะไรผิดแปลกต่างกันกับความบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้า ท่านกล่าวไว้เป็นบทบาลีว่า นตฺถิ เสยฺโยว ปาปิโย บรรดาผู้ที่บรรลุธรรมถึงขั้นบริสุทธิ์วิมุตติเต็มที่แล้ว ไม่มีผู้ใดรายใดที่จะมีความยิ่งหย่อนต่างกัน มีความเสมอภาคกันหมดเลย นี่แหละ สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเรา ให้พากันอุตส่าห์พยายาม
ถ้าลงปฏิบัติตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าที่เป็นสวากขาตธรรมนี้ยังจะไม่เห็นผลอยู่แล้วก็ให้เราเห็น เอาเราเป็นตัวพยานคนหนึ่ง ให้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติตามหลักที่ท่านสอนไว้แล้วนี้เถิด จะไม่เป็นอย่างอื่นเลย แต่ที่ความเถลไถลนั่นซิมันสำคัญ กิเลสตัวนี้สำคัญ มาบวชมันก็ไม่กลัว กิเลสไม่กลัวหัวโล้น ไม่กลัวผ้าเหลือง มันกลัวแต่ธรรมเท่านั้น เราจะเอาหัวโล้นเอาผ้าเหลืองมาครอบกี่ชั้นก็ตาม ผ้าสบง จีวร สังฆาฏิ เอามาหมดตึกหมดร้าน เอามาพันจนไม่เห็นเนื้อเห็นตัว ให้กิเลสกลัวมันก็ไม่กลัว มันยิ่งหัวเราะด้วยซ้ำ นี่มันมีตั้งแต่ผ้าเหลืองหมดทั้งตัว ธรรมนิดหนึ่งก็ไม่เห็นมีติดตัวเลยนี้มันยังไง สมณะโล้นหัวโล้นองค์นี้น่ะ มันจะว่าอย่างนั้นเสียด้วยซ้ำไป เพราะฉะนั้นให้เราระวังอย่าให้กิเลสมันหัวเราะตอนนี้นะ เอาให้กิเลสวิ่งเตลิดเปิดเปิงแตกแม่แตกลูกแตกบ้านแตกเมืองกันไปเป็นไร
พระพุทธเจ้าพระสาวกท่านฟาดลงไปจนกระทั่งกิเลสแตกบ้านแตกเมือง ไม่มีตัวใดที่จะกลับคืนมาครองหัวใจพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายได้อีกเลยจนกระทั่งปัจจุบันนี้ แต่ทำไมหัวใจของเราจึงเป็นส้วมเป็นถานให้มันขี้รดเยี่ยวรดอยู่ทั้งวันทั้งคืน ไม่สมควรเลย ก็ขี้โลภว่าไง มันก็รดอยู่ในหัวใจ ขี้โกรธมันก็รดอยู่ในหัวใจ ขี้หลงมันก็รดอยู่ในหัวใจของเรา มันรดอยู่ตลอดเวลานี่ เรามันเป็นส้วมเป็นถาน
พระกรรมฐาน คำว่ากรรมฐานนี้เลยกลายเป็นถานของกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลง ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง ขี้รดอยู่ทั้งวันทั้งคืน เรายังสบายอยู่เหรอเราเป็นส้วมเป็นถานเขา มันน่าทุเรศนะ
ขอให้ลูกหลานทั้งหลายนำไปคิด ที่เทศน์นี้เทศน์ด้วยความเมตตาสงสารเพื่อให้ได้คติตัวอย่าง นี่ได้ดำเนินมาก็เต็มความสามารถของตัวเอง เวลาประพฤติปฏิบัติก็ทำอย่างที่ว่านี่ไม่ใช่คุย เอาอย่างนี้จริง ๆ เป็นอย่างนี้จริง ๆ เวลาปฏิบัติบางครั้งถึงกับว่าจะเป็นจะตายจริง ๆ เอ้า ตายก็ตาย กิเลสไม่ตายเราตายเท่านั้น ถ้าบนเวทีก็ไม่ต้องมีกรรมการมาแยก มันจะยืดเวลาออกไปให้ตายช้า เอ้า ใครเก่งให้อยู่บนเวที ใครไม่เก่งให้พังเลย ตกลงเลย ตายเลย กิเลสกับเราต่อสู้กัน ระหว่างกิเลสกับธรรมต่อสู้กันบนเวที คือหัวใจของเรากับร่างกายของเรานี้ เอ้า ฟัดกันลงตรงนี้
เวลาหนักหนักจริง ๆ สู้กับกิเลส เพราะฉะนั้นจึงกล้านำธรรมทั้งหลาย ไม่ว่าเด็ดไม่ว่าขนาดไหน มาพูดให้พี่น้องลูกหลานทั้งหลายฟัง เพราะได้ดำเนินมาแล้วเต็มสติกำลังความสามารถ บางครั้งนึกว่าจะไม่มีเหลือเลยในชีวิตนี้ ถึงขนาดนั้น จึงไม่มีวันลืมเลยว่า การงานใดก็ตามในโลกนี้ที่เราได้เคยปฏิบัติมา ไม่ว่างานหนักงานเบาเราก็เคยผ่านมาพอสมควรเหมือนกัน ก็ไม่เห็นว่าเป็นงานหนักยิ่งกว่างานฆ่ากิเลส
งานฆ่ากิเลสนี้หนักจริง ๆ หนักยังไง คือไม่มีเวลาหยุดยั้ง ถ้าว่าตามีก็ดูไม่ได้ ไม่ได้ลืมหูลืมตาก็ถูก ถ้าจะดูก็ดูอะไร สิ่งที่เป็นข้าศึกดูไม่ได้ นั่นปัดกันแล้วตัดกันแล้ว สิ่งที่เป็นข้าศึกฟังไม่ได้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย อย่างนี้ อันใดที่จะไปเกี่ยวข้องกับข้าศึกปัดไว้ ๆ ชักไว้ ๆ รั้งไว้ ๆ บีบไว้บังคับไว้ตลอดเวลา จะไม่ทุกข์ยังไงคนเรา เขาติดคุกติดตะรางเขายังไม่ได้เป็นทุกข์ยิ่งกว่าเราเป็นเพศของพระฆ่ากิเลส เพราะกิเลสมันเหนียวแน่นมั่นคงมากที่สุด ความอ้อยอิ่งก็อยู่กับกิเลส ความฉลาดแหลมคมอยู่กับกิเลส ความเหนียวแน่นทุกอย่างอยู่กับกิเลส ความแยบคายทุกอย่างอยู่กับกิเลส ถ้าไม่มีธรรมเท่านั้นเอาอะไรมาฆ่ากิเลสไม่ลงในสามแดนโลกธาตุนี้ นอกจากธรรม เพราะฉะนั้นท่านจึงเรียกว่าโลกุตรธรรม ธรรมนั้นเหนือโลก เหนือโลกคืออะไร เหนือกิเลส มันถึงฆ่ากิเลสได้
เวลาเทศน์อย่ามาถ่ายรูปปิ๊ก ๆ แป๊ก ๆ มันยังไงกัน มันดื้ออะไรไม่เข้าท่า ไปไหนเห็นตั้งแต่เทวทัตมันยุ่งไม่เข้าเรื่อง ฟังก็ฟังบ้างซิมาหายุ่งเรื่องอะไร เอาละพอ เลยไม่ได้เรื่องได้ราว อย่างนี้ละถ้ามีคนมายุ่งไม่ได้นะ