อย่าให้ฟุ้งเฟ้อเกินตัว
วันที่ 31 ธันวาคม 2552 เวลา 8:20 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๓๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๒

อย่าให้ฟุ้งเฟ้อเกินตัว

       เราเป็นห่วงบรรดาพี่น้องทั้งหลายที่จิตใจมักจะห่างเหินจากศีลจากธรรม ไม่ค่อยมีศีลธรรมติดตัวไปเป็นคู่เคียงกันกับทางโลก ตามธรรมดาทางธรรมก็ให้มีสำหรับเป็นที่อาศัยของใจ ทางโลกเขาก็วิ่งเต้นขวนขวายทั่วหน้ากันนั่นแหละ ไม่บอกก็วิ่งเอง เพราะปากท้องบังคับ การเป็นอยู่พูวายทุกอย่างนี่ก็ต้องอาศัยเราเป็นคนขวนขวายหามา ให้ขวนขวายทางนั้นด้วยขวนขวายทางศีลธรรมด้วย ถ้ามีตั้งแต่ภายนอก ศีลธรรมไม่มีก็เป็นช่องโหว่แล้วไม่แน่นหนามั่นคง ทางจิตใจก็ให้มีศีลมีธรรมประจำตน ทางนอกก็มีหน้าที่การงานเป็นเนื้อเป็นหนัง อย่าโลเลโลกเลกใช้ไม่ได้นะ

         วันนี้ก็เริ่มขึ้นปีใหม่แล้ว วันที่ ๓๑ ปีใหม่ก็ไปจากคนเก่านั่นแหละ ที่จะปรับปรุงตัวเอง มันไม่ดีตรงไหนๆ ให้แก้ไขดัดแปลงเสียตั้งแต่บัดนี้ มืดกับแจ้งเรียกว่าปีใหม่ปีเก่าแล้วไม่มีความหมาย ความหมายต้องเอามืดกับแจ้งนั้นเข้ามาปรับปรุงตัวเอง ปีใหม่ปีเก่าก็คือตัวของเรา ให้แก้ไขดัดแปลง ไม่ดีตรงไหนให้พากันพินิจพิจารณา

ทุกวันนี้โลกมันเห่อเหิมมากเกินไป จนจะไม่มีศีลมีธรรมติดเนื้อติดตัวแล้วเวลานี้ ผู้ท่านมีศีลมีธรรมท่านพิจารณาอยู่ตลอดเวลา ดีไม่ดีท่านสลดสังเวชกับพวกสัตว์โลกทั้งหลาย ไม่ใช่เล่นๆ นะ ท่านพิจารณาโดยอรรถโดยธรรมอยู่ตลอดเวลา ท่านไม่ลืมเนื้อลืมตัว ท่านผู้มีธรรมไม่ลืมตัว ผู้ไม่มีธรรมนั่นละฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมเกินเนื้อเกินตัว การอยู่การกินการหลับการนอนการใช้สอยมักจะฟุ้งเฟ้อสำหรับคนไม่มีธรรมในใจ คนที่มีธรรมในใจแบ่งรับแบ่งสู้ อันนี้แบ่งไว้อย่างนั้น อันนั้นแบ่งไปอย่างนั้นๆ มีส่วนแบ่งอยู่ในตัวของเราผู้เป็นเจ้าของนั่นแหละ ถ้าไม่แบ่งเลยปล่อยให้กิเลสเข้าไปกินก็หมดเนื้อหมดตัว มีอะไรมีๆ เข้ามาเข้าพุงๆ พุงก็เท่านั้นละไม่ใหญ่โตนัก สุดท้ายก็หมดเนื้อหมดตัวไป ไม่ได้สารประโยชน์อะไรเข้าสู่ทางจิตใจ ทางด้านกุศลเลย

ให้พากันตั้งอกตั้งใจปฏิบัติ เรื่องศีลเรื่องธรรมนี่จอมปราชญ์ทั้งหลายยกยอสรรเสริญเทิดทูนมาเป็นเวลานานแล้ว แต่พวกกิเลสตัณหามันก็เหยียบย่ำตลอดเวลาในขณะเดียวกัน ไม่ว่าจะไปวัดไปวาสร้างคุณงามความดีทุกสิ่งทุกอย่างอ่อนเปียกไปหมด ถ้าจะทำความชั่วช้าลามกนี่คึกคักขึงขังตึงตัง ถ้าว่ารถก็ไม่ต้องติดเครื่องเลย เหยียบคันเร่งไปเลย เพราะมันเคยชินต่อความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมมนุษย์เรา อย่าให้เป็นอย่างนั้น

มีธรรมแล้วมีเบรกห้ามล้อ มีคันเร่งมีเบรกห้ามล้อ คันเร่งเร่งหน้าที่การงาน อันใดที่จะเป็นประโยชน์แก่ตนก็ให้รีบเร่งขวนขวาย อะไรไม่เป็นประโยชน์ให้ปัดออกๆ นั่นละผู้มีธรรมเป็นอย่างนั้น ผู้ไม่มีธรรมมีแต่ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมสุดท้ายก็ไม่ได้อะไรติดเนื้อติดตัวไป เกิดในภพใดชาติใดก็มีแต่ความแร้นแค้นกันดาร หาความสงบร่มเย็นภายในจิตใจไม่มี เพราะสร้างแต่ฟืนแต่ไฟเผาตนเองแล้วก็เผาคนอื่น ตายไปแล้วก็เอาฟืนเอาไฟนี้ไปเผาตน ตลอดถึงแดนนรกก็มีแต่ฟืนแต่ไฟของคนทำชั่วนั่นแหละ คนทำดีไม่มีแหละเรื่องฟืนเรื่องไฟ มีแต่ความชุ่มเย็นเป็นสุข

ขอให้รู้เนื้อรู้ตัวเสียทุกคนๆ อยู่ไปกินไปวันหนึ่งๆ มันก็เท่านี้แหละ มืดกับแจ้ง มืดกับแจ้งมีมาตั้งกัปตั้งกัลป์ ถ้าเราไม่ปรับปรุงตัวเองมืดกับแจ้งก็เป็นมืดกับแจ้ง ตัวเราก็จมอยู่ตลอดเวลา จะมืดไม่มืดก็ตามถ้าเราไม่ปรับปรุงแก้ไขตัวเอง ให้พากันปรับปรุงแก้ไขตัวเอง การอยู่การกินการใช้สอยต่างๆ อย่าให้ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมเกินเนื้อเกินตัว อันนั้นก็จะเอาอันนี้ก็จะมี เห็นเขามีก็อยากมี ทุกข์จนข้นแค้นก็ให้มีๆ ไม่ได้ก็ไปกู้ไปยืมเขามาแล้วเอาฟืนเอาไฟเข้ามาเผาตัวเองเข้าไปอีก ก็ยิ่งเป็นความเสียหายเข้าไป

เพราะฉะนั้นจึงพากันตื่นเนื้อตื่นตัวทุกคน มีเท่าไรใช้ตามเกิดตามมีนั่นแหละดี ดีกว่าไปติดหนี้ติดสินเขาพะรุงพะรัง ท่านบอกว่าความทุกข์ในโลกนี้ไม่มีอะไรเกินการติดหนี้ติดสิน ความสุขในโลกนี้ก็คือไม่มีหนี้มีสินติดตัว เป็นอิสระตลอดเวลา ท่านบอกอย่างนั้น ในธรรมท่านมี ผู้ติดหนี้ติดสินเป็นผู้หาบหามกองทุกข์ หาบหามไปตลอดเวลาหาความสุขไม่ได้ ผู้ไม่ติดหนี้ติดสินเป็นอิสระในตัวเอง อยู่ที่ไหนก็สะดวกสบาย มีมากใช้มาก มีน้อยใช้น้อย ไม่มีก็อยู่ไปตามสภาพของไม่มี ไม่มีที่จะเกินเหตุเกินผล นี่ละเรียกว่าธรรม

ธรรมท่านไม่ให้ตื่นเต้น อะไรมาสมัยนั้นสมัยนี้ สมัยไหนมันมีตั้งแต่มืดกับแจ้งนั่นแหละ ตัวที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองจากชั่วไปหาดีก็คือตัวของเรา จะหมุนตัวลงไปทางความชั่วก็คือตัวของเรา เพราะฉะนั้นจึงให้เปลี่ยนแปลงตัวเอง ไม่ดีตรงไหนให้แก้ไขดัดแปลง เราจะคอยให้คนอื่นมาดัดแปลงแก้ไขเราไม่ได้ ครูบาอาจารย์เป็นแต่ผู้แนะนำสั่งสอนเท่านั้น แต่ผู้ที่จะดัดแปลงแก้ไขตนเองให้เป็นคนดีมีความสุขความชุ่มเย็นใจก็คือเราที่ปฏิบัติตามท่านแล้วเราก็เย็นสบายๆ

สำหรับทางโลกมีโลกเข้ามาแฝง มีธรรมเข้าไปแฝงกันด้วย ถ้ามีแต่โลกล้วนๆ ก็เป็นฟืนเป็นไฟ มีเงินกองเท่าภูเขาก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เพราะจิตใจแห้งผากจากศีลจากธรรมซึ่งเป็นที่เก็บสมบัติเงินทองข้าวของบุญกุศล ให้เป็นที่ชุ่มเย็นแก่จิตใจของตน แล้วมันไม่มี มันไม่วิ่งเต้นขวนขวายในทางดี วิ่งเต้นขวนขวายหาแต่ทางความชั่วช้าลามก ครั้นตายไปแล้วก็จมๆ ท่านทั้งหลายว่านรกไม่มีเหรอ นรกใครเป็นคนแสดงไว้ตั้งแต่ต้น จอมปราชญ์นะแสดง ไม่ใช่คนโง่เง่าเต่าตุ่นหลับหูหลับตาอยู่ทั้งวันทั้งคืนอย่างพวกเรานะ ท่านจอมปราชญ์ทั้งนั้น ว่านรก-สวรรค์-พรหมโลกเหล่านี้มีแต่จอมปราชญ์ได้รู้ได้เห็นเรียบร้อยแล้ว ไปพบไปเห็นไปสัมผัสสัมพันธ์มาแล้วก็มาสั่งสอนบรรดาลูกเต้าหลานเหลนทั้งหลายให้รู้เนื้อรู้ตัว

นรกเป็นนรกมีแต่กาลไหนๆ อย่าไปลบล้าง สวรรค์ก็เหมือนกัน บาปบุญมีแต่กาลไหนๆ สำหรับผู้สร้างบาปได้บาปวันยังค่ำ ผู้สร้างบุญได้บุญวันยังค่ำ สร้างความดีได้ดี สร้างความชั่วได้ชั่ว อยู่กับเราเป็นผู้ขวนขวายผู้สร้างเอง ที่จะให้สิ่งเหล่านี้เกิดมาเฉยๆ ลอยๆ เป็นไปไม่ได้ มันขึ้นอยู่กับต้นเหตุคือผู้สร้าง สร้างความชั่วช้าลามก สร้างความดีงามใส่ตัวเองผู้นั้นก็จะเป็นผู้ได้รับความดีงาม ถ้าสร้างตั้งแต่ความชั่วก็จะได้รับแต่ฟืนแต่ไฟไปหมด ไม่ดี ให้พี่น้องทั้งหลายจำเอาไว้

วันนี้ก็เป็นปีใหม่ ก็คนเก่าของเรานี้แหละ ปีใหม่ก็ให้แก้ไขดัดแปลงตนเองให้เป็นคนใหม่ขึ้นมาในทางที่ถูกที่ดี นั่นเรียกว่าแก้ไขดัดแปลงปีใหม่ เปลี่ยนแปลงความประพฤติของตนที่ไม่ดีให้ดีเสียใหม่ ให้ดีเสียใหม่เรียกว่าดี ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงเลยวันไหนก็วันนั้นละ มืดกับแจ้ง-นรกอเวจี-สวรรค์-พรหมโลกมีอยู่ก็มีอยู่อย่างนั้นละ ไม่เกิดประโยชน์สำหรับผู้ไม่สนใจในสิ่งเหล่านั้น ตายแล้วก็ไปจมลงในนรก นรกมีหรือไม่มี เจ้าของนั่นละเป็นผู้จะไปตัดสินเวลาสายเกินไปแล้ว พอไปเจอเข้า อ๋อ สายเกินไปแล้ว เราจะมาคิดความหลังมันผ่านไปแล้วได้อย่างไร เราจะไปแก้ไขได้อย่างไร ให้แก้ไขเสียตั้งแต่บัดนี้

อย่าเอาความอยากมาเป็นประมาณนะ ความอยากนี้อยากไม่หยุดไม่ถอย อยากเอาให้ตายจริงๆ เอาให้ฉิบหายจริงๆ ละความอยากความทะเยอทะยาน ความหักห้ามความรู้จักความพอดี เหยียบเบรกห้ามล้อไว้ๆ อย่าให้มันผาดโผนโจนทะยานจนเกินไปมนุษย์เรา ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วก็ดี อยู่ในบ้านในเรือนก็อย่าให้ได้ทะเลาะกัน ระหว่างผัวกับเมีย พ่อแม่กับลูก เพราะตัวต้นเหตุคือพ่อกับแม่ไม่ดี ผัวไปทำเสียอย่างหนึ่ง เมียไปทำเสียอย่างหนึ่ง ครั้นเอามาแล้วก็เอาไฟมาเผากันให้ลูกตาดำๆ ได้ดู ลูกก็สลดสังเวชนะ เวลาไปเรียนหนังแส่หนังสือนี้ เอาตั้งแต่เรื่องของพ่อแม่ทะเลาะกันนั่นละไปคิดอยู่นั้น ครูสอนว่าอย่างไรไม่สนใจ สนใจตั้งแต่พ่อกับแม่ทะเลาะกันให้เห็นต่อหน้าต่อตา ลูกเช่นนั้นโศกเศร้าเหงาหงอย หาความเฉลียวฉลาดไม่ได้

เราต้องปรับปรุงตัวเราเองซึ่งเป็นต้นเหตุ ประพฤติตัวให้ดี เป็นพ่อที่ดี เป็นแม่ที่ดี ประพฤติปฏิบัติตัวให้ลูกได้ยึดเป็นคติตัวอย่างอันดีงาม สิ่งที่ไม่ดีอย่าไปทำ ลูกเป็นนักศึกษาอยู่กับพ่อกับแม่มาดั้งเดิมตลอดเวลา นี่เป็นหลักธรรมชาติ คือเป็นผู้ศึกษาจากพ่อจากแม่ ความเคลื่อนไหวไปมาอะไรจะออกจากพ่อจากแม่ ลูกจะยึดอันนี้เป็นหลักเป็นเกณฑ์เข้ามาหาตัวเอง ถ้าเป็นไฟก็เผาตัวเอง ถ้าเป็นของดีก็เป็นคติเตือนใจตนเองก็กลายเป็นลูกผู้ดีไป ถ้าลูกที่ชั่วมันไม่ฟังพ่อฟังแม่ มันก็ไปตามเรื่องของมัน พ่อแม่นี่เป็นสำคัญมาก เป็นอาจารย์ใหญ่ เป็นบุพพาจารย์ของลูกของหลานทั้งหลายนั่นละ เกิดมาความเคลื่อนไหวพ่อแม่นี่ลูกจะได้เห็นก่อนใคร เห็นเรื่องของพ่อของแม่

ให้เราปฏิบัติตัวให้ดีให้เป็นคติเครื่องเตือนใจ ไม่เช่นนั้นจะไม่เป็นประโยชน์อะไร ท่านทั้งหลายเห็นว่าธรรมพระพุทธเจ้าเป็นของเล่นเหรอ เป็นของจริงตั้งแต่เรื่องส้วมเรื่องถานที่ปฏิบัติกันอยู่ทุกวันนี้เหรอ ส้วมถานคือการปฏิบัติเหลวแหลกแหวกแนว เลอะเทอะสกปรก การปฏิบัติตัวเป็นส้วมเป็นถานเป็นอย่างนี้ การปฏิบัติตัวเป็นมรรคเป็นผลเป็นหอปราสาทราชมณเฑียรก็คือปฏิบัติตัวให้เป็นคนดี ทุกอย่างให้ดี บังคับตัวเอง ตื่นขึ้นมานี้เราจะทำอะไรให้เตรียมตัวเอาไว้ที่จะแก้ไขดัดแปลงสิ่งไม่ดีทั้งหลาย อย่าสักแต่ว่าตื่นแล้วเพ่นพ่านๆ หาความดีไม่ได้ เพราะไม่คิดไม่อ่าน คนที่คิดที่อ่านแก้ไขตัวเองตั้งแต่ตื่นนอนขึ้นมา อะไรไม่ดีไม่ทำๆ จนจิตใจมีความเคยชินคิดอะไรไม่ดีปัดออกๆ เอาแต่สิ่งที่ดีงาม จิตใจก็เป็นนิสัยติดตัว คิดตั้งแต่สิ่งดีงาม พูดแต่สิ่งดีงาม ทำแต่สิ่งดีงาม ก็เป็นสิริมงคลแก่ผู้ปฏิบัติได้นั้นแหละ ให้พากันจดจำเอา

อยู่เฉยๆ ไม่เป็นท่านะ ผู้ที่เลิศเลอคือพระพุทธเจ้า ท่านสลบสามหนการฝึกฝนตนเอง ก่อนที่ได้มาเป็นศาสดาของพวกเราทั้งหลายพระพุทธเจ้าทรงสลบสามหน จึงได้เป็นศาสดาสอนโลก เพราะกิเลสเหนียวแน่นที่สุด ดีไม่ดีมันเอาให้จมไปได้เลย ว่าจะทำความดีกลับไปทำความชั่ว จมไปเลย พระพุทธเจ้าไม่จม เอาตายก็ตายสลบๆ แต่การทำความดีเพื่ออนาคตข้างหน้าให้ดีทั้งตัวเขาตัวเราและสัตว์โลกต่อไปไม่ถอย ทำไม่หยุดไม่ถอยมันก็ค่อยดีขึ้นไป นี่ละคำว่าศาสดาองค์เอกก็คือผู้เป็นคติตัวอย่างของโลกทั้งการปฏิบัติตัวเอง ทั้งความเป็นอยู่ทุกอย่าง ไม่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม อยู่ด้วยความพอดิบพอดี อย่ามีตั้งแต่ความดิ้นรนกระวนกระวาย เห็นเขามีก็อยากมี เห็นเขาได้ก็อยากได้ ทุกข์จนข้นแค้นก็อยากได้ ไม่มีก็ไปหยิบยืมเขาบ้าง ติดหนี้ติดสินเขา เอาไฟเผาตัวเองเข้าไปอีก อย่างนั้นไม่ดีเลย ขอให้พากันคิด

มนุษย์เรานั่นละเป็นมนุษย์ประเภทที่หนึ่ง เป็นสัตว์ประเภทที่หนึ่งที่มีความคิดความอ่านแหลมคมยิ่งกว่าบรรดาสัตว์ทั้งหลาย ถ้ามนุษย์คือเราคิดไม่ได้แล้ว เอ้า ไปกราบหมาเสีย หมาอยู่ในวัดนี้ก็มีไปกราบที่ไหนก็ได้ สู้หมาไม่ได้นะ ความประพฤติความรู้ความเห็นอันดีงามซึ่งควรจะให้เป็นสมบัติของตนหาไม่ได้ ควรไปกราบหมาเสียดีกว่า ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วอย่าอยู่ให้หนักแผ่นดิน พากันเข้าใจเอานะ ให้ฝึกหัดตนเอง เอาละวันนี้พูดเท่านั้นละ เหนื่อยแล้ว

เราไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรทุกวันนี้ อ่อนลงทุกวันธาตุขันธ์ อ่อนลงๆ ร่างกายอ่อนแต่ใจไม่อ่อน เมตตาสงสารได้ตลอดไป แต่ร่างกายนี่อ่อน

(ยอดเงินรับบริจาคผ้าป่า ๘๔,๐๐๐ กอง สร้างตึกสงฆ์อาพาธ ๑๐ ชั้น โรงพยาบาลอุดรธานี ถึงวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๒ รวมเงินฝากผ่านธนาคารทั้ง ๓ ธนาคารเป็นเงินทั้งสิ้น ๓๐๓,๒๑๕,๗๓๖ บาท คิดเป็น ๑๕๑,๖๐๘ กองครับผม) พอใจ ให้พากันพยายามขวนขวายหา เพื่อหนุนชาติไทยเรา

เหนื่อยเราเหนื่อย แต่พูดจริงๆ ใจเราไม่ได้เหนื่อย หัวใจเราสว่างจ้าตลอดเวลา ฟังเสียนะวันนี้มันจวนจะตายแล้ว ไม่ได้มาอวดให้บรรดาลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายฟัง เวลาออกปฏิบัติแทบเป็นแทบตาย ทั้งจะสลบไสลนั่งภาวนา เดินจงกรมนั่งสมาธิ ฝึกหัดดัดแปลงการอยู่การกินการหลับการนอนฝึกหมดเลย เอาจนมันจะตายแล้วละ แล้วก็ได้ผลขึ้นมาเป็นที่พอใจ เวลานี้พอใจแล้วในการฝึกตัวเองไม่มีอะไรบกพร่อง พูดให้มันชัดเจน ตั้งแต่วันฝึกหัดมานี่ชาตินี้ละได้บวช การบวชเป็นสำคัญได้สร้างความดี จนกระทั่งถึงเข้าวงกรรมฐานหาครูบาอาจารย์ผู้ที่ดีๆ ก็เป็นเครื่องพยุงขึ้น ๆ สุดท้ายก็พอใจ

การปฏิบัติธรรมภายในใจนี้พอใจ ไม่มีที่ต้องติ ว่าตายแล้วจะไปลงนรกหลุมไหนไม่มี สวรรค์ชั้นใดๆ ขยับไปเรื่อยๆๆ เราไม่อยากพูดนะสุดขีด การปฏิบัติธรรมก็สุดขีดของความดีที่จะสถิตอยู่สำหรับผู้ทำความดี ไม่มีที่ต้องติ นี่ก็เพราะเอาให้จนกระทั่งถึงบางครั้งจะสลบไสลฝึกหัดตนเอง แล้วผลก็เป็นมาอย่างนั้น แล้วไม่เดือดร้อน อยู่อย่างนั้นละทุกวันนี้ไม่เดือดร้อน จะเป็นเมื่อไรก็เป็น จะตายเมื่อไรก็ตาย เราพอแล้วในหัวใจของเรา

ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันแล้วไม่ต้องห่วงอะไรทั้งนั้น ถ้าอันนี้ยังไม่พอ ธรรมกับใจยังไม่พอมีอะไรมาก็ตามจะกวนเจ้าของให้เดือดร้อนตลอดไป มีเท่านี้อยากได้เท่านั้น มีเท่านั้นอยากได้เท่านั้น เลยตายด้วยความอยาก ถ้ามีธรรมภายในใจแล้วจะนุ่มนวลและสงบร่มเย็นสบายเข้ามา ความอยากความหิวโหยเบาลงๆ จนกระทั่งความอยากไม่มี นั่นละการสร้างความดี จิตใจอิ่มบุญอิ่มกุศลอิ่มอรรถอิ่มธรรมแล้วพอ แต่จิตใจจะให้อิ่มด้วยอำนาจของกิเลสตัณหาได้ไม่พอๆ จนวันตายก็ไม่มีวันพอ ตายทิ้งเปล่าๆ ผู้เสาะแสวงหาความดีนั้นได้จนกระทั่งว่าพอ ไม่หาอีกแล้ว พอ พากันจำเอา

 

รับชมรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM103.25 MHz

พร้อมเครือข่ายทั่วประเทศ

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก