เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดโพธิ์ชัย
บ้านสามผง ต.สามผง อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม
เมื่อบ่ายวันที่ ๓๐ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐
การสร้างความดีอย่าไปถอย
ขึ้นมานั่งเฉยๆ ไม่ใช่นั่งเทศน์นะ เอะอะก็จะมาจ่อฟังแต่เทศน์ ผู้เทศน์มันจะตายแล้วรู้ไหมล่ะ ไอ้ผู้ฟังมันฟังได้สบายๆ หลับไปก็ฟังได้ ฟังไปทั้งหลับทั้งตื่นนั่นแหละ ผู้เทศน์มันต้องตื่นอยู่เรื่อยถึงเทศน์ได้ ถ้าหลับมันเทศน์ไม่ได้นะ มันยังไงนี่ พอเห็นขึ้นธรรมาสน์ ท่านจะเทศน์แล้วๆ ขึ้นเฉยๆ เป็นไรไป ตั้งแต่ลิงเขาขึ้นถึงปลายไม้เขาก็ยังขึ้นได้ เราเป็นคนแท้ๆ ทำไมขึ้นนี่ไม่ได้มีอย่างเหรอ วัดสามผงเราเคยมาหลายหนแล้วละ จำไม่ได้แล้ว ต้นไม้ก็ใหญ่โตเหมือนอย่างวัดเรา วัดเราก็ใหญ่โตต้นไม้เปลี่ยนแปลงไปหมด อันนี้ก็เปลี่ยนเหมือนกัน
วัดสามผงนี่เราเคยเข้าเคยออกไม่รู้กี่ครั้งกี่หนแล้ว เขาเรียกวัดป่าสามผง เราเคยไปเคยมาเคยเข้าเคยออกอยู่ตลอด ตั้งแต่เที่ยวกรรมฐานเที่ยวมาทางนี้นะ ตอนนั้นท่านอาจารย์บุญมาท่านอยู่ที่นี่ เราเที่ยวไปมาบ่อยๆ แถวนี้ เที่ยวกรรมฐานแถวนี้ไปหมดละ มาถึงแล้ว ไม่ใช่มาแล้วเตรียมเทศน์เลยนะ เราขึ้นมานั่งเฉยๆ คนทั้งหลายเขายังนั่งได้ เราทำไมนั่งเฉยๆ ไม่ได้ พอนั่งปั๊บก็จะให้เทศน์ปุ๊บเลยเหรอ
(ได้เวลาสมควรแล้ว กระผมนายอาจ นพจันทร์ ขออาราธนานิมนต์ท่านอาจารย์หลวงตาได้แสดงธรรมโปรดแก่ญาติโยม ตามสมควรแก่เวลาและธาตุขันธ์ขององค์หลวงตาครับ) เอ้อ พอดี พูดถูกต้องดี สมควรแก่เวลาและธาตุขันธ์ ถ้าเอาเวลามาใส่ไม่ได้ (อยากจะให้เมตตาเอามือแตะอันนี้ให้หน่อยครับ) ไหนๆ เอามาดู เอาขึ้นมานี่.ศิลาฤกษ์อาคารหอพระไตรปิฎก หอสมุดประชาชนวัดโพธิ์ชัย บ้านสามผง ต.สามผง อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม วางโดยพระธรรมวิสุทธิมงคล ท่านอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน วันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๕๐ วันคล้ายวันเกิดของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ครบรอบ ๑๓๗ ปี ๙ เดือน ๑๐ วัน ๒๐ มกราคม ๒๔๑๓ และของท่านพระอาจารย์เกิ่ง อธิมุตตโก ครบ ๑๒๐ ปี (๓๐ ตุลาคม ๒๔๓๐) เอ้อ เอาละ
ขึ้นธรรมาสน์ก็ไม่รู้ว่าจะเอาคำไหนมาเทศน์ ข้อยจะเอานิทานหลวงพ่อกับจัวน้อย มาเว้าให้พวกเจ้าฟังเด้อ ฮู้จักบ่จัวน้อย เณรน้อยนั่นละ เขาเรียกจัวแต่ก่อน เจ้าหัวจัว เดี๋ยวนี้ก็เป็นพระเป็นเณรเปลี่ยนชื่อไปแล้วแหละ เวลาเขานิมนต์ไปเทศน์ หลวงพ่อนั้นจนตรอกจนมุม จะทำยังไงเณร เขานิมนต์เราไปเทศน์ แล้วเราจะทำยังไง พูดปรึกษาเณรน้อย เณรน้อยก็ โอ๊ย มันจะยากอะไร เดินไปตามทางนี้ก็ได้กัณฑ์เทศน์จะยากอะไร แล้วทำไงต้องบอกเรานะ ตามทางมันมีที่ไหนมีกัณฑ์เทศน์ที่ไหนให้บอกเรา เอ้อ จะบอกว่างั้น
เณรพาเดินตามทางไปจะไปเทศน์ เก็บกัณฑ์เทศน์ไปตามทาง เข้าใจบ่ล่ะ เก็บกัณฑ์เทศน์ไปตามทาง พอไปก็ได้ยินเสียงนกทามันฮ้อง มันขันซิ ว่าตักก้อก้อ ๆ ตักกะลาทาทา นี่กลอนหนึ่งแล้วนะหลวงพ่อ เณรบอก ตักก้อก้อ นี่มันแม่นนกทา แล้วทีนี้ผ่านไปข้างหน้าเห็นพวกไก่ป่า เขาก็บินตามประสาเขานั่นละ พอบินผ่านหน้าอันนี้เป็นกัณฑ์ที่สองแล้วนะ ตักก้อก้อมันแม่นนกทา บินไปมามันแม่นไก่ป่า เข้าใจไหมล่ะ ครั้นเดินไปอีกไปเห็นนกเขียนบินผ่านฟ้า บินผ่านฟ้ามันแม่นนกเขียน ได้สามเท่านั้นละไปขึ้นธรรมาสน์ พอขึ้นธรรมาสน์แล้วก็เริ่มเทศน์ เขาก็วางกัณฑ์เทศน์ไว้ข้างหน้า
นี่เราบ่เห็นมีกัณฑ์เทศน์อยู่ข้างหน้า หือ มันเป็นยังไง บ้านสามผงนี่ขาดกัณฑ์เทศน์อยู่ข้างหน้า เข้าใจบ่ เขาวางกล้วยหอม กล้วยง้าว กล้วยไข่อยู่ข้างหน้า เข้าใจบ่ หลวงพ่อนี่ก็ขึ้นเทศน์ ก็ขึ้นตักก้อก้อมันแม่นนกทา ครั้นบินไปมามันแม่นไก่ป่า บินผ่านฟ้ามันแม่นนกเขียน แล้วไปเห็นกล้วยซิเต็มอยู่หน้าบ่อนเทศน์ ใผทานกล้วยส้วยลงๆ (เรียวแหลม) ใผทานถุง สักกะโยง(กระโดดสูง) ขึ้นฟ้า มันมีถุงอยู่นั้น กล้วยก็มีอยู่นั่น พอว่าอย่างนั้นแล้วเขาก็ขนกล้วยหนี เขาก็เอาถุงไว้นั่นละ ทีนี้เสียดายกล้วยซิหลวงพ่อเข้าใจบ่ ใผทานกล้วยส้วยลงๆ ใผทานถุง สักกะโยงขึ้นฟ้า ก็เลยจะเอาถุงละที่นี่ อยากจะสักกะโยงขึ้นฟ้า ว่างั้นเถอะ บ่มีปีกก็ช่าง ขอให้ได้ถุงก็พอ เข้าใจบ่ล่ะ
พอว่าทานกล้วยส้วยลงๆ เขาก็ขนกล้วยหนีละซิที่นี่เอาแต่ถุงไว้ แต่เสียดายกล้วยซิหลวงพ่อ โอ้ กล้วยง้าวกล้วยหอมบ่เป็นหยัง มันเป็นแต่ชังตั้งแต่กล้วยตีบน้อย.ก็ได้ขนกล้วยคืนมาอีกเข้าใจบ่ สุดท้ายผู้เฒ่าได้ทั้งกล้วยง้าวกล้วยหอม ได้ทั้งถุง เข้าใจบ่ แต่หลวงพ่อบัวมื้อนี้จักสิได้อันใด๋ บ่ได้อันใด๋ เข้าใจหรือยัง แล้วแต่อะไรมันมาผ่านหน้า มื้อนี้หลวงตาเอามันหมดละมื้อนี้นะ บ่ได้กำหนดว่ากล้วยง้าวกล้วยหอม ถุงสักกะโยงขึ้นฟ้งขึ้นฟ้า ขึ้นบ่ขึ้นก็ช่างเถอะ ขออย่ามาผ่านหน้านะ ได้เต็มพุงก็ไปเลย เข้าใจบ่ เหาะบ่เหาะก็ช่างหัวมันเถอะ เข้าใจบ่
บ้านสามผง เราเคยมาเที่ยวอยู่หลายครั้งหลายหนแล้วเที่ยวกรรมฐาน มันก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ อย่างนี้ละ มันนานเด้ ต้นไม้อะไรก็เปลี่ยนแปลงไปหมด วัดป่าสามผง แต่ก่อนเป็นอย่างหนึ่ง เดี๋ยวนี้เป็นอีกสภาพหนึ่งจำไม่ได้ละ มันเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ วันนี้มาก็พูดไปเรื่อยเทศน์ไปเรื่อย กล้วยง้าว กล้วยหอม สักกะโยงขึ้นฟ้า คือถุงพาขึ้นเข้าใจไหม กล้วยง้าว กล้วยหอมมันส้วยลงๆ ถุงมันสักกะโยงขึ้นฟ้าเทศน์ให้ฟัง เข้าใจบ่
วันนี้คนก็มากด้วย เต็ม ข้างหลังก็เยอะข้างหน้าก็เยอะ ข้างหลังมีพระ ข้างหน้าก็มีประชาชนจำนวนมากมาย โดยศรัทธาญาติโยมบ้านสามผงเรา ตั้งขึ้นเพื่อเป็นมหากุศลผลประโยชน์แก่บ้านและประชาชนทั่วๆ ไป วันนี้เป็นวันการกุศลที่ท่านทั้งหลายได้มาบำเพ็ญ หลวงตาก็อุตส่าห์มาจากวัดป่าบ้านตาด มาถึงที่นี่เป็นเวลา ๒ ชั่วโมงกับ ๔๐ นาที ไม่ใช่เล่นๆ นะ ออกจากวัดมาถึงที่นี่ เดินทางด้วยรถยนต์ มา ๒ ชั่วโมงกับ ๔๐ นาทีนับว่าไกลพอประมาณ ทางมันมาขลุกขลักเอาตอนบ้านข่าเข้ามานี่ละ ทางโน้นก็เรียบๆ มา วันนี้ก็ได้มาเยี่ยมบรรดาพี่น้องทั้งหลาย
แต่ก่อนหลวงตาบัวก็เคยมาเที่ยวทางสามผงไม่รู้กี่ครั้งกี่หน มาเที่ยวกรรมฐานนั่นแหละ สมัยนั้นท่านอาจารย์บุญมาท่านยังอยู่ที่นี่ สมัยที่เรามาเที่ยวที่นี่ ท่านอาจารย์บุญมาอยู่ที่นี่ ได้มาพักอยู่ที่นี่บ่อยๆ วัดป่าสามผงเรา วันนี้ก็ได้มาอีกในงานที่พี่น้องทั้งหลายตั้งเป็นมหากุศลขึ้นมา แล้วนิมนต์หลวงตามาฉลองความดีงามของท่านทั้งหลายที่พากันบำเพ็ญในคราวนี้ นับว่าเป็นมหากุศลเป็นมหามงคลแก่พี่น้องทั้งหลายเป็นอย่างมากทีเดียว
การกุศลผลบุญอย่าให้ห่างจากใจ สิ่งอื่นสิ่งใดจะมีมามากน้อยอย่าลืมบุญลืมกุศล อย่าลืมศีลลืมธรรม ศีลธรรมเป็นสิ่งสำคัญมากเป็นเครื่องประดับน้ำใจ มีศีลธรรมประดับใจจะทุกข์จะจนก็พออยู่พอไปคนเรา เงินทองกองเท่าภูเขา ไม่มีศีลธรรมภายในใจเลย เรียกว่าอยู่ด้วยความเหือดแห้ง หาความสุขความสบายใจไม่ได้ ขอให้ท่านทั้งหลายจดจำให้ดี ข้างนอกกองธาตุขันธ์ของเราก็มีปากมีท้องมีความจำเป็น มีการเป็นอยู่พูวายเป็นธรรมดา ก็ให้พากันวิ่งเต้นขวนขวายด้วยความสุจริตธรรม แล้วเพื่อปากเพื่อท้องของเรา ทางภายในจิตใจก็ขอให้บำเพ็ญ
ไปที่ไหนอย่าลืมคำว่าพุทโธ ๆ คำว่าพุทโธนี้เป็นคำของศาสดาทุกๆ พระองค์ อยู่ในคำว่าพุทโธคำเดียวนี้หมด พอเราว่าพุทโธเท่านั้นกระเทือนถึงพระพุทธเจ้าทั้งหลายทั่วแดนโลกธาตุ เพราะพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้แล้วตรัสรู้เล่า หลายครั้งหลายหนหลายองค์หลายท่าน มีจำนวนมากมาย พอเราระลึกถึงพุทโธคำเดียวเท่านี้ ก็เป็นมหามงคลแก่จิตใจของเราอย่างมากทีเดียว อย่าพากันลืมพุทโธนะ ไปที่ไหนจะทุกข์จะจนก็ตาม ใจอย่าจนจากศีลจากธรรม มีพุทโธเป็นต้น นั้นเป็นของดีนะ
พระพุทธเจ้าเลิศเลอก็คือธรรมเป็นเครื่องส่งเสริมพระองค์ บำเพ็ญจนได้ตรัสรู้เป็นศาสดาสอนโลกขึ้นมา มีจำนวนไม่น้อย พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ๆ ล่วงไปแล้วจำนวนไม่น้อยนะ และนี้ยังจะมาตรัสรู้ต่อไปอีก ท่านบอกไว้เพียงย่นย่อ เช่นจากนี้แล้วก็จะมีพระอริยเมตไตรยมาตรัสรู้เป็นองค์สุดท้ายในภัทรกัปนี้ จากนี้แล้วก็จะมีพระพุทธเจ้ามาอีก ท่านเรียงลำดับไว้พอประมาณว่า ๑๐ พระองค์ องค์นี้ผ่านไปองค์นั้นมาตรัสรู้ๆ เปลี่ยนกันมาเรื่อยๆ ทายกันมาเรื่อยๆ เพื่อสอนประชาชนโปรดสัตว์โลกที่มีความทุกข์จนข้นแค้นด้วยศีลด้วยธรรม วัตถุสิ่งของเงินทองมีไม่อด อยู่ที่ไหนเต็มไปด้วยวัตถุสิ่งของเงินทอง หาจนวันตายก็ตายทิ้งเปล่าๆ สิ่งเหล่านั้นไม่หมด
แต่บุญกุศลไม่มีในใจนี้ ถึงจะมีมากน้อยเพียงไรก็เรียกว่าคนเหือดแห้งภายในใจ ไปที่ไหนเหือดแห้ง คนไม่มีธรรมในใจไปที่ไหนเกิดที่ใด มีตั้งแต่ความเหือดแห้งภายในจิตใจ เกิดชาติใดเป็นชาติที่เหือดแห้ง ภพใดภพเหือดแห้ง เต็มไปด้วยทุกข์ๆ ใครอยากไปเกิด เพราะฉะนั้นเมื่อเราไม่อยากไปเกิดในภพที่เหือดแห้งกันดารไม่มีความสุขความสบายแล้ว ให้พากันสร้างบุญสร้างกุศลให้มีความชุ่มเย็นไปด้วยบุญด้วยกุศล เกิดในภพใดชาติใดจะชุ่มเย็นภายในจิตใจ ถ้าไม่มีบุญมีกุศล ไม่มีธรรมในใจแล้ว ภพชาติของเราไม่แน่นอนนะ
มันเกิดได้ทุกแห่งทุกหนจิตดวงนี้ มันไม่ตายจิตดวงนี้ แม้จะไปตกนรกหมกไหม้ตั้งกี่กัปกี่กัลป์ก็ยอมรับว่าทุกข์ ทุกข์มากทุกข์น้อยเพียงไร สัตว์นรกจมอยู่ในนรกนั้นยอมรับกันว่าเป็นทุกข์ๆ แต่ไม่ยอมฉิบหายคือใจ ใจนี้ไม่มีคำว่าตาย คำว่าตายกับใจดวงนี้ไม่มี สมมุติว่าตกนรกหมกไหม้กี่กัปกี่กัลป์ ก็ไปเสวยกองทุกข์อยู่ในนั้น ทีนี้โลกนี้เป็นโลกอนิจจัง ไม่เปลี่ยนช้าก็เปลี่ยนเร็วเปลี่ยนมาเรื่อยๆ เมื่อพ้นจากนรกขึ้นมาก็เรียกว่าเปลี่ยนมาเรื่อยๆ
มาเป็นมนุษย์แล้วสร้างคุณงามความดีเข้าใส่ตัวเอง ก็กลายเป็นจิตใจที่มีศีลมีธรรม ใจมีความสุขความเจริญขึ้นโดยลำดับลำดา เอาจนกระทั่งสุดขีดจนกลายเป็นใจของพระพุทธเจ้าของพระอรหันต์ไปแล้ว เป็นใจที่หลุดพ้นจากทุกข์ นั้นท่านเรียกว่าธรรมธาตุ ภายในจิตใจของท่านผู้สิ้นกิเลสแล้วคือจิตนั้นเป็นธรรมธาตุ นี่ก็ไม่ตาย กลายเป็นธรรมธาตุไปเลย ตั้งแต่ไหนแต่ไรจิตไม่เคยตาย สุดท้ายก็กลายเป็นธรรมธาตุครอบโลกธาตุอยู่นี้แหละ นี่คือธรรม ธรรมภายในใจ
ท่านผู้ใดก็ตามเมื่อได้บรรลุธรรมขั้นนี้ขึ้นแล้วจะรู้ตัวเองว่า จิตนี้เป็นธรรมธาตุแล้วอยู่ในร่างกายอันเน่าเฟะนี่ละ ร่างกายมันเน่าเฟะ ทุกสิ่งทุกอย่างในร่างกายหาชิ้นดีไม่ได้เลย มีตั้งแต่ความเน่าเฟะความสกปรกรกรุงรัง แต่ใจที่มีธรรมภายในตัวเองนั้นเป็นธรรมธาตุ สะอาดแบบอัศจรรย์ ให้พากันสั่งสมความดีงามทั้งหลายเข้าสู่ใจของตน ไม่เช่นนั้นจะตายทิ้งเปล่าๆ
เราเกิดมานี้เกิดมาจากภพใดชาติใดเราไม่รู้ แต่เกิดทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าเกิดมาจากภพใดชาติใดเป็นสัตว์ตัวใด เป็นสัตว์นรกอเวจี เปรตผีหรือเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมใดมาเกิด มาจากทุกแห่งทุกหนที่มาเกิดเป็นมนุษย์อยู่เวลานี้น่ะ ไม่ใช่มาที่แห่งเดียวนะ มาจากภพชาติต่างๆ ชาติต่ำชาติสูงแล้วแต่กรรมของตัวเองจะพาไปต่ำไปสูง รวมตัวแล้วพอดูได้ก็คือเกิดเป็นมนุษย์ด้วยกัน ดังที่เราเห็นอยู่เวลานี้ นี่เราเป็นมนุษย์ มันเคยเกิดเคยตายในภพใดชาติใดกำเนิดใด นรกอเวจีที่ไหน เมืองพรหมโลกหรือสวรรค์แดนใดก็ตาม เราก็มารู้เวลาเรามาเกิดเป็นมนุษย์นี้ เมื่อเกิดเป็นมนุษย์ก็รู้ดีรู้ชั่ว รู้ผิดรู้ถูก รู้บาปรู้บุญคุณโทษ ประโยชน์หรือไม่ใช่ประโยชน์ต่างๆ แล้วให้พากันงดเว้นในสิ่งไม่ดีทั้งหลาย ที่เราทราบแล้วให้ปัดออกๆ ให้สร้างตั้งแต่ความดีงามเข้าสู่จิตใจของเรา
จิตใจที่มีความดีงามเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงแล้ว จะเป็นจิตใจที่ยิ้มแย้มแจ่มใสเบิกบาน ภพของจิตใจที่มีคุณธรรมหล่อเลี้ยงแล้วจะไปเกิดในภพที่ดี อย่างน้อยก็มนุษย์ ผู้มีศีลมีธรรมน่ากราบไหว้บูชา มากกว่านั้นก็จะได้ไปเกิดเป็นเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมเป็นลำดับลำดา เมื่อสูงสุดที่สร้างความดีงามได้เต็มหัวใจแล้วก็ผ่านขึ้นถึงนิพพานเท่านั้น เมื่อถึงนิพพานแล้วเป็นบรมสุข ไม่ต้องกลับมาเกิดแก่เจ็บตายอีก เหมือนโลกทั้งหลายและเหมือนเราๆ ท่านๆ นี้ที่เคยเกิดแก่เจ็บตายจนนับไม่ถ้วน
พอบุญกุศลเต็มหัวใจแล้วถึงขั้นดับภพชาติ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา เป็นต้น ได้ขาดสะบั้นลงไปจากใจแล้ว ภพชาติไม่มี เหลือแต่ธรรมทั้งแท่งท่านเรียกว่าธรรมธาตุ อันนี้แหละที่เรียกว่านิพพานเที่ยงก็ไม่ผิด เรียกว่าธรรมธาตุก็ได้ นิพพานเที่ยงก็ได้ ใจดวงนี้ไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลา กฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เข้าไปเกี่ยวข้องเลยจึงเรียกว่านิพพาน นอกนั้นมีกฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ความไม่แน่นหนาถาวรครอบงำอยู่จนได้ๆ ไม่ช้าก็เร็วครอบงำกันอยู่เสมอ อยู่อย่างนั้นเรื่อยมาในโลกธาตุนี้ เว้นท่านผู้ที่บำเพ็ญกองการกุศลผลบุญให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย จนกระทั่งจิตถึงขั้นบริสุทธิ์แล้วเรียกว่านิพพานเที่ยง จิตนี้เป็นธรรมธาตุ ผู้นี้เสวยบรมสุขโดยถ่ายเดียวเท่านั้น ความทุกข์แม้เม็ดหินเม็ดทรายไม่เข้าไปเกี่ยวข้องเลย
จึงขอให้พากันบำเพ็ญกองการกุศลผลบุญที่จะเป็นประโยชน์แก่เรา ดังท่านทั้งหลายมาบริจาคมากน้อยนี้ วัตถุนี้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นได้ จะไปทำอะไรก็ได้วัตถุทานของเรา เงินทองข้าวของที่นำมา เราไปทำประโยชน์อะไรก็ได้ แต่ส่วนบุญส่วนกุศลที่เราเป็นผู้บริจาคนั้นย้อนกลับมาเป็นของเราโดยทั่วหน้ากัน ไม่มีที่ใครจะมาขอแบ่งสันปันส่วนเอาได้เลย เป็นบุญของเราโดยแท้ จึงขอให้พากันสร้างบุญสร้างกุศล บุญกุศลนั้นไม่หายไปไหนแหละ ใจไม่ตายบุญกุศลก็ไม่ตาย ติดแนบอยู่กับใจ
เมื่อมีบุญมีกุศลมากขึ้นๆ ภพชาติที่อยู่ที่เสวยของเราก็ดีขึ้นๆ สุดท้ายก็ผ่านหมด ภพชาติดีชั่วอะไรขึ้นชื่อว่าสมมุติ แล้วมันก็มีสุขมีทุกข์อยู่ในนั้น ตามขั้นภูมิของมัน แล้วตัดขาดออกหมดเหลือแต่จิตที่บริสุทธิ์ล้วนๆ แล้วก็นิพพานเที่ยงอยู่ที่หัวใจของท่านผู้สิ้นกิเลสอันเป็นตัวสมมุติพาผันแปรตลอดเวลา ได้แก่กิเลสนั่นแหละรบกวนมากที่สุด ให้สัตว์โลกได้รับความลำบากลำบนทุกอย่างก็มีแต่กิเลส พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปจากใจแล้วเท่านั้น ไม่มีอะไรกวนใจ เหลือแต่ธรรมธาตุ แม้แต่อยู่ในร่างกายที่ท่านยังไม่ตายยังไม่นิพพานก็เป็นธรรมธาตุครองร่าง คือกองกระดูกในตัวของบุคคลแต่ละคนๆ อันนั้นเป็นธรรมธาตุอยู่ภายในแล้ว ให้พากันสร้างบุญสร้างกุศลให้ดี
พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ตรัสไว้เป็นแบบเดียวกัน ไม่มีองค์ใดที่โกหกหลอกลวงโลก ในบรรดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายมีมากมีน้อยเพียงไร ตรัสรู้ขึ้นมาแล้ว แสดงธรรมสอนโลกเป็นสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบๆ เหมือนกันหมด เราขอให้ปฏิบัติตนให้เป็นคนดี เดินตามรอยพระพุทธเจ้า จะเท่ากับเราตามเสด็จพระพุทธเจ้าทุกฝีก้าวนั้นแล ยืนก็นึกถึงพุทโธ เดินนึกถึงพุทโธ นั่งนึกถึงพุทโธ นอนระลึกถึงพุทโธจนกระทั่งหลับ นี่เรียกว่าตามเสด็จพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา เวลาตายก็ติดแนบกับพระพุทธเจ้าไปเลย ไปสู่สุคติโลกสวรรค์เป็นอย่างน้อย ถ้าชำระจิตใจของตนให้บริสุทธิ์เหมือนพระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลายแล้ว ตายแล้วก็นิพพานไปเลยเท่านั้น
เพราะคำว่าสวรรค์ คำว่าพรหมโลก นิพพานไม่ใช่เป็นธรรมครึ ธรรมล้าสมัย ธรรมพอดีกับสัตว์โลกที่ทำกันอยู่ทุกวันนี้ ใครทำกรรมชั่วขนาดไหน ผลชั่วก็ติดอยู่กับคนนั้นขนาดนั้น ใครทำกรรมดีขนาดไหน ผลดีก็ติดอยู่ภายในใจขนาดนั้น ใครทำดีสุดยอด ผลดีอันสุดยอดก็เข้าสวมที่ใจ กลายเป็นใจที่บริสุทธิ์พุทโธขึ้นมา เป็นใจที่ว่าหายห่วงแล้วเรื่องความเกิด ตาย แบกภพแบกชาติในชาติใดๆ ขาดสะบั้นไปหมด เวลาธรรมได้ชำระกิเลสตัวพาให้เกิดให้ตายได้ขาดสะบั้นลงไปจากใจ ให้พากันบำเพ็ญให้ดี
ธรรมเหล่านี้เป็นธรรมเหมาะสมตลอดเวลา อกาลิโก ไม่มีคำว่าครึว่าล้าสมัย ทำบาปเป็นบาปทันที ทำบุญเป็นบุญทันที ท่านเรียกว่าอกาลิโก ไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลามาลบล้างได้เลยถ้าทำลงไป ทั้งดีและชั่ว ใครทำเป็นของคนนั้น ทำชั่วได้ชั่ว ทำดีได้ดี ให้พากันอุตส่าห์พยายามตั้งอกตั้งใจ ที่ท่านว่านรกก็ดี สวรรค์ก็ดี พรหมโลกก็ดี นิพพานก็ดี เป็นธรรมที่ทันกับเหตุกับผลอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ธรรมครึธรรมล้าสมัย เห็นไม่เห็นก็ตาม เหมือนอย่างต้นไม้และหัวตอ คนตาบอดเดินไปก็ชนเอาๆ
จะเหมาว่าเราไม่เห็นจึงชนอย่างนี้ก็ไม่ได้ เพราะเราตาบอดเราก็ไม่เห็น ผู้ตาดีเขาหลีกกันทั่วโลกดินแดน เขาปลอดภัยๆ แต่เราตาบอดคนเดียวก็โดนเอา สองคนโดนเอา สามคนโดนเอา เป็นทุกข์ไปด้วยกันทั้งหมดคนตาบอด คนตาดีหลีกไปได้ทั้งนั้น ไม่มีใครมาโดนต้นไม้หรือหัวตอเหล่านี้ ให้เราคัดเลือกให้ดี ใจบอดมันชอบจะทำตั้งแต่ความชั่วซึ่งเป็นเหมือนหัวตอ แล้วก็ไปโดนเอาหัวตอ โดนเอาขวากเอาหนามที่จะมาเป็นภัยแก่ตนเอง ให้หลีกเว้นออกไปด้วยความดีของเรา
อันใดที่ดีให้พากันเสาะแสวงหา อันใดชั่วไม่ดีแล้วก็ให้พากันละกันปล่อยวาง ปล่อยวางหมดโดยสิ้นเชิงแล้วจะรู้ประจักษ์ใจเหมือนพระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ท่านรู้ ท่านรู้ประจักษ์ภายในจิตใจ ดังที่พระพุทธเจ้าท่านแสดงประกาศให้เป็นสักขีพยานหรือให้เป็นที่มั่นใจแก่พวกเบญจวัคคีย์ทั้งห้า ท่านว่า ญาณญฺจ ปน เม ทสฺสนํ อุทปาทิ ญาณคือความรู้ความเห็นอันเลิศเลอได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราตถาคต อกุปฺปา เม วิมุตฺติ ความหลุดพ้นของเราไม่มีการกำเริบแล้ว อยมนฺติมา ชาติ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา ที่มาเกิดอีกมีชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว ตั้งแต่นี้ต่อไปเราจะไม่มาเกิดให้ได้รับความทุกข์เหมือนดังที่เคยเป็นมาอีกต่อไปแล้ว
นี่เป็นพระวาจาของพระพุทธเจ้าที่แสดงให้เบญจวัคคีย์ฟัง และพระอัญญาโกณฑัญญะก็ได้ดวงตาเห็นธรรมคือหลักความจริงว่า ยงฺกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นย่อมดับเป็นธรรมดา นี่ท่านแสดงทางปริยัติ ท่านพูดกลางๆ เป็นคำสุภาพ ไม่ได้เหมือนทางภาคปฏิบัติ ทางภาคปฏิบัติรู้เห็นขึ้นนี้เรียกว่าสะดุดอย่างแรง สะดุดใจอย่างแรง พูดอุทานออกมาก็อย่างถึงใจ อย่างที่ว่า ยงฺกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ ทางปริยัติท่านพูดเป็นกลางๆ ว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นย่อมดับเป็นธรรมดา
แต่ธรรมะที่เกิดขึ้นจากภาคปฏิบัติของผู้บำเพ็ญทั้งหลาย สะเทือนใจอย่างหนัก การแปลจึงเน้นหนัก ยงฺกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ สิ่งใดก็ตามเกิดแล้วดับทั้งนั้น นี่ภาคปฏิบัติที่ท่านรู้เห็นขึ้นภายในใจ ปฏิเสธได้หมด สิ่งใดก็ตามเกิดขึ้นแล้วดับทั้งนั้น สิ่งใดที่ไม่ดับคือธรรมที่ท่านรู้ขึ้นเวลานั้นเป็นเครื่องรับกันนั่นละ อย่างน้อยก็โสดาขึ้นไป โสดาคือกระแสของพระนิพพานพาดพิงถึงแล้ว ธรรมชาตินี้ไม่ดับ สิ่งใดก็ตามเกิดแล้วดับทั้งนั้น แต่อันนี้ไม่ดับ นี่เป็นเครื่องยืนยันกัน
นั่นละธรรมของพระพุทธเจ้าท่านแสดงไว้ พระอัญญาโกณฑัญญะก็ได้อุทานขึ้นมาเป็นสักขีพยานในธรรมทั้งหลาย ตั้งแต่บัดนั้นจนกระทั่งมาบัดนี้ ธรรมนี้ไม่เคยครึเคยล้าสมัย กิเลสก็เหมือนกัน ไม่มีคำว่าครึว่าล้าสมัย ทำชั่วได้ชั่ว ทำดีได้ดีด้วยกันทุกคน ให้พากันอุตส่าห์พยายามทำดี การทำความดีนี้มักจะได้ฝืน ไม่ฝืนไม่ได้ กิเลสเอาไปกินหมด ความขี้เกียจขี้คร้านความท้อถอยอ่อนแอ ความไม่เชื่อบุญเชื่อกรรม กลืนไปกินหมด แล้วสร้างตั้งแต่สิ่งที่จะเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ตนนั่นแหละ ตายแล้วก็จมกันๆ ทั้งๆ ที่ว่านรกไม่มี ผู้ที่ว่านรกไม่มีนั้นละตัวเก่ง ที่มันจะไปตกนรกหลุมที่ลึกที่สุด พวกเขาก็คือตัวเก่งๆ ตัวว่านรกไม่มี ผู้ที่เชื่อว่านรกมีจะไม่ทำความชั่วอันเป็นทางไปนรก จะทำตั้งแต่ความดีงามก็ไปสู่สวรรค์ชั้นพรหม สุดท้ายก็ไปนิพพานได้ จงพากันตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ
วันนี้บรรดาพี่น้องทั้งหลายได้รวมศรัทธากันมาบริจาคทาน ให้เป็นการกุศลมหากุศลแก่เราทั้งหลายเอง และเป็นคติตัวอย่างแก่กุลบุตรสุดท้ายภายหลัง เขาจะได้ถือเป็นแนวทางดำเนินเพื่อความดีงามต่อไป เราทั้งหลายที่ดำเนินก็ขอให้ดำเนินต่อๆ ไป เอาจนสุดขีดหมดลมหายใจแล้วค่อยหยุด การสร้างความดีอย่าไปถอย สร้างความดีสร้างเท่าไรยิ่งดีๆ พระพุทธเจ้าท่านเคยเป็นพระพุทธเจ้าเมื่อไร พอตรัสรู้ผางขึ้นมาเท่านั้น พระองค์ไม่ต้องไปถามใครเลย เป็นศาสดาโดยสมบูรณ์ในขณะนั้น เรียกว่า สนฺทิฏฺฐิโก ทรงเห็นผลงานของพระองค์อันสุดยอดในขณะนั้นทันที
สาวกทั้งหลายก็เหมือนกันเป็น สนฺทิฏฺฐิโก เห็นผลงานของตนขั้นสุดยอดแล้ว ก็พ้นแล้วจากกองทุกข์ทั้งมวลไม่ต้องกลับมาเกิดอีก นี่เรามาปฏิบัติตัวของเรา ผลงานของเราที่เกิดจากความดีงามได้มากน้อยเพียงไร เราจะเป็น สนฺทิฏฺฐิโก รู้ในตัวของเราเองๆ จนกระทั่งผลงานเต็มที่แล้ว เราก็เป็น สนฺทิฏฺฐิโก รู้ผลงานของตนโดยสมบูรณ์ จงพากันตั้งอกตั้งใจนะบรรดาพี่น้องทั้งหลาย
วันนี้หลวงตาก็ได้ถือโอกาสมาเทศนาว่าการ การเทศนาว่าการนี้เราอยากจะพูดตามหลักความจริง เราไม่ได้พูดเพื่อโอ้เพื่ออวด เพื่อโกหกมายาท่านทั้งหลาย การเทศนาว่าการในประเทศไทยเรานี้รู้สึกจะเป็นหลวงตาบัวละเป็นธรรมถึกเอก เทศน์ทั่วประเทศไทยตลอดมา ตั้งแต่เริ่มเข้ามาช่วยชาตินี้ก็ไม่ใช่น้อยๆ จังหวัดไหนๆ เทศน์หมดเลย ก่อนหน้ามานั้นก็เทศน์มากขนาดไหน มาระยะนั้นก็เทศน์ จากระยะนั้นมาจนขณะนี้ก็ยังเทศน์ เทศน์มากต่อมาก เทศน์เต็มเม็ดเต็มหน่วย เทศน์สอนตนได้แล้วเทศน์สอนคนอื่นก็เต็มเม็ดเต็มหน่วย นี้พูดตามหลักความจริง เราเทศน์สอนตนได้แล้ว
เราไม่มีทางสงสัยในเรื่องความเกิดตายของเรา ไม่มีอะไรมีน้ำหนักต่างกัน เกิดแล้วก็ตาย ตายแล้วก็เกิด เป็นเรื่องของสัตว์ เราจะมีเพียงครั้งเดียวนี้เท่านั้น จะไม่มีต่อไปอีก.นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว ต่อไปอีก ชาติของเราที่มาเกิดทับกันอยู่นี้จะไม่มี นี่รู้มาจากใจด้วย สนฺทิฏฺฐิโก เราปฏิบัติธรรมมาตั้งแต่ออกบวช วันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๔๗๗ นั้นเป็นวันบวชของเรา กิริยามารยาท ความรู้ความเห็นที่เคยเป็นมาจากฆราวาส อันหาเขตหาแดนไม่ได้ตีเข้ามาสู่ธรรมสู่วินัย เดินตามรอยของศาสดา
คือ พระธรรมพระวินัยนั้นแลเป็นศาสดา เดินตามรอยท่านมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ เราไม่เคยปลีกแวะจากร่องรอยที่ศาสดาสอนไว้ด้วยสวากขาตธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้ว ผลก็ปรากฏเป็นลำดับลำดามา ในเบื้องต้นก็เรียนเหมือนโลกเขาทั้งหลายเรียน เพื่อจดเพื่อจำเพื่อเป็นแบบแปลนแผนผัง จากนั้นก็ยึดเอาแบบแปลนแผนผังออกมาเป็นข้อปฏิบัติ มีหลวงปู่ใหญ่คือหลวงปู่มั่นเราเป็นโรงงานใหญ่ คอยแนะนำสั่งสอนตลอดเวลา เราก็ออกปฏิบัติด้วยความมุ่งมั่น เพื่อแดนพ้นทุกข์โดยถ่ายเดียวเท่านั้น มันเน้นอยู่ในใจไม่เคยลดละ จะทุกข์ยากลำบากขนาดไหนก็ตาม แต่ความมุ่งมั่นจะให้ถึงพระนิพพานในชาตินี้เป็นความหนักแน่นตลอดในหัวใจ
จะยากลำบากขนาดไหน ความมุ่งมั่นอันนี้ไม่เคยย่อหย่อนเลย ไม่เคยอ่อนแอ ดำเนินไปจนกระทั่งเต็มกำลังความสามารถ ถึงขนาดที่ว่าหมดแล้วเรื่องความสงสัย วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ กตํ กรณียํ พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว งานที่ควรทำคือการฆ่ากิเลสซึ่งเป็นเรื่องยากที่สุด โลกไม่อยากฆ่ากัน แต่ธรรมฆ่าลงไปจนประพฤติพรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว ฆ่ากิเลสขาดสะบั้นลงไปจากหัวใจแล้ว บัดนี้ไม่มีภพชาติต่อไปอีก ได้ประกาศป้างขึ้นมาในหัวใจ พูดให้มันชัดๆ ให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ในผลงานปัจจุบันมีหรือไม่มี
พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วสอนโลกไว้ด้วยสวากขาตธรรมว่าตรัสไว้ชอบแล้ว เราปฏิบัติชอบตามที่ท่านสอน ความรู้ชอบหรือไม่ชอบมาประจักษ์อยู่ในใจของเราแล้วว่า บัดนี้เราจะไม่กลับมาเกิดแล้ว ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา ได้ประจักษ์แล้วเวลานี้ จึงมาแนะนำสั่งสอนพี่น้องทั้งหลายด้วยความเมตตาสงสาร หายห่วงเรื่องความเป็นของตัวเอง ไม่มี ความเป็นของตัวเองจะเป็นจะตาย ตัวเองตายแล้วจะไปตกนรกหลุมไหน ไปสวรรค์นิพพานชั้นไหน ไม่สนใจ ความพออย่างอัศจรรย์อยู่ในหัวใจ หัวใจกับธรรมเป็นอันเดียวกันแล้วเป็นที่พอใจ
เราสอนโลกด้วยความเป็นที่พอใจในหัวใจของเรา ไม่ได้สอนแบบลูบๆ คลำๆ อย่างนั้นอย่างนี้ เราเชื่อมั่นว่านรกมีหรือไม่มี หมอบราบเลย สวรรค์มีหรือไม่มี หมอบราบเลย นิพพานมีหรือไม่มี หมอบราบ ประจักษ์แจ้งด้วยหัวใจของเราเอง จะไปงมเงาที่ไหนล่ะ นี่ละธรรมะที่มาสอนพี่น้องทั้งหลาย สอนด้วยความจริงจัง ด้วยความรู้จริงๆ เห็นจริงๆ จากการปฏิบัติจริงๆ ไม่เหลาะแหละ ธรรมะเป็นธรรมะไม่เหลาะแหละ ใครปฏิบัติตามก็รู้เห็นตามกำลังของตนโดยลำดับจนพ้นทุกข์ได้ นี่ก็ปฏิบัติตนเต็มกำลังความสามารถของตนจนหายสงสัย เรื่องเกิดเรื่องตายหมายป่าช้าต่อไปอีก เราบอกว่าเราไม่มี หมดแล้วสิ้นแล้วในชาตินี้ จะเกิดเพียงชาตินี้ชาติเดียวเท่านั้น ประจักษ์
นี้เป็นการคุยโม้โอ้อวดท่านทั้งหลายหรือ เราหาแทบเป็นแทบตาย เอาความดีประมาณสัก ๕ บาทมาให้ท่านทั้งหลายได้ชมบ้าง ในความดีของเราที่ได้ผลมานี้ แล้วพอใจไหมล่ะ หรือว่าหลวงตาบัวนี้โอ้อวด หลวงตาไม่ได้โอ้อวด เวลาลูบเวลาคลำ ล้มลุกคลุกคลานก็เอาจนน้ำตาร่วงบนภูเขาก็มี สู้กิเลสไม่ได้เราก็เคยพูดให้บรรดาพี่น้องทั้งหลายฟัง เอาจนกระทั่งน้ำตาร่วงบนภูเขา คือสู้กิเลสไม่ได้ ตั้งสติพับล้มผล็อยๆ
โรงงานใหญ่ก็คือพ่อแม่ครูจารย์มั่น เข้าหาท่านอบรมแล้วกลับออกมาล้มทั้งหงายๆ หงายไม่ใช่หงายธรรมดา หงายหมาเสียด้วย ถ้าหงายแมวมันตบได้นะ มันตบก็เจ็บเหมือนกัน แมวตบ แต่หมาตบไม่เจ็บ นี่เราเป็นแบบหงายหมา ในขั้นนั้น แล้วฟิตเข้าไปๆ ไม่หยุดไม่ถอยด้วยความมุ่งมั่น ก็ค่อยก้าวขึ้นมา พลิกขึ้นมาได้พลิกตัวขึ้นมาได้ ต่อไปก็ฟาดกิเลสให้มันหงายหมาๆ ไปเลย สุดท้ายเอากิเลสให้ขาดสะบั้นไปจากใจ ทรงความบริสุทธิ์เต็มหัวใจแล้วถามหานิพพานทำไม นิพพานอยู่ที่ไหน ก็อยู่กับความบริสุทธิ์ของใจ ความเลิศเลออยู่ที่นั่นหมด ว่านิพพานก็อยู่ที่นั่น ว่าธรรมธาตุก็อยู่ที่นั่นหมดแล้ว ถามหาอะไร
นี่ได้ทรงไว้หมดแล้วในธรรมทั้งหลายที่กล่าวนี้ จึงได้มาสั่งสอนบรรดาพี่น้องทั้งหลายด้วยความเมตตาสงสาร เราสอนด้วยความสัตย์ความจริงตามที่ได้รู้ได้เห็นภายในใจ เราไม่มีอดีต อนาคต ปัจจุบันก็รู้เท่าทัน ความบริสุทธิ์ไม่มีอดีต อนาคต กฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เข้าไม่ถึงธรรมชาติที่บริสุทธิ์สุดส่วนแล้ว นอกนั้นกฎอนิจจังเข้าครอบงำทั้งนั้น นี้ครอบไม่ได้ ก็ได้นำมาสอนพี่น้องทั้งหลาย ให้อุตส่าห์พยายามตั้งอกตั้งใจปฏิบัติ
ธรรมของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ธรรมโมฆะ ธรรมที่ทันสมัย ทันกิเลส ฆ่ากิเลสให้ตายได้เช่นเดียวกับครั้งพุทธกาล ธรรมเครื่องมือฆ่ากิเลสก็เป็นอันเดียวกัน กิเลสก็ประเภทเดียวกัน เอาธรรมประเภทที่พระพุทธเจ้าเคยฆ่ากิเลส และสาวกทั้งหลายเคยฆ่ากิเลสมาฆ่ากิเลสก็ฆ่าได้ด้วยกันนั้นแหละ ให้พากันตั้งอกตั้งใจฆ่ามันลงไป ความขี้เกียจขี้คร้านความไม่เอาไหนนี่คือตัวกิเลส ดีไม่ดีว่านรกไม่มี สวรรค์ไม่มีนี้ก็คือตัวกิเลสตัวมืดบอดที่สุด ออกจากนั้นก็ว่าตายแล้วสูญ ตัวนี้ยิ่งหนามาก ตายแล้วสูญแต่มันไม่สูญ มันมาตกนรกหมกไหม้อยู่คือผู้ว่าตายแล้วสูญนั่นละ พากันจำเอานะ
เทศนาว่าการเทศน์ไปเทศน์มา รู้สึกว่าเหน็ดเหนื่อยในธาตุในขันธ์ บรรดาพี่น้องทั้งหลายที่มาทำบุญให้ทานในวันนี้ก็ได้ฟังทั่วถึงกัน การฟังอรรถฟังธรรมได้บุญได้กุศลอย่างลึกซึ้งภายในจิตใจ การบริจาคทานก็เป็นบุญประเภทหนึ่ง การได้ยินได้ฟังเสียงอรรถเสียงธรรมเข้าสู่จิตใจ เพื่อนำไปปฏิบัติให้เป็นที่ซึ้งของใจก็เป็นผลอีกประเภทหนึ่งอย่างอัศจรรย์ การแสดงธรรมก็เห็นว่าสมควรแก่กาลเวลาและธาตุขันธ์ จึงขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ
รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
สถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
และเครือข่ายทั่วประเทศ |