ฝึกยากที่สุดไม่มีอะไรเกินฝึกจิต
วันที่ 20 มกราคม 2551 เวลา 8:15 น. ความยาว 28.5 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๑

ฝึกยากที่สุดไม่มีอะไรเกินฝึกจิต

         จิตเป็นของฝึกได้ ฝึกให้อ่อนโยนนิ่มนวลที่สุดไม่มีอะไรเกินจิต แข็งแกร่งเป็นฟืนเป็นไฟก็ไม่มีอะไรเกินจิต จิตนี้ให้เป็นไฟก็ได้ ให้เป็นน้ำเย็นก็ได้ ให้พากันฝึก ถ้าฝึกให้อ่อนนิ่มแล้วก็เย็นไปหมด จิตมันแข็งจริงๆ เป็นไฟเผาไหม้ตัวเองแล้วก็ออกไปเผาผู้อื่นอีก ถ้าจิตมีความเย็นแล้วเป็นเครื่องดึงดูด เย็นในตัวเองนิ่มในตัวเองแล้วเป็นเครื่องดึงดูด ให้จิตใจผู้เกี่ยวข้องมีความนิ่มนวล

เราเคยฝึกที่เป็นพื้นฐานเบื้องต้นอยู่วัดโยธานิมิตร เวลาเราไปเป็นนาค นอนอยู่ในโบสถ์กับท่านพระครู ท่านนอนอยู่ทางหลังพระประธาน พวกเราเป็นนาคนอนอยู่หน้าโบสถ์ ตอนเช้าเห็นท่านออกไปเดินจงกรมตั้งแต่เช้า ตีสี่ตีห้าท่านออกไปเดินจงกรม  เราก็คอยสังเกตดูท่าน พอบวชแล้วก็ไปเรียนการเดินจงกรมภาวนากับท่าน เพราะเห็นท่านเดินให้ดู ท่านบอกว่าให้เอาพุทโธนะ เดินจงกรมหรือนั่งภาวนาก็ให้เอาพุทโธ เราก็เอาพุทโธแหละ ท่านว่าอย่างนั้น

นี่หมายถึงว่าบวชแล้วใหม่ๆ ไปเรียนภาวนากับท่าน ท่านก็บอกพุทโธย่อๆ เอาพุทโธนะ ท่านบอกว่าท่านก็เอาพุทโธ เรามาภาวนาก็ไม่เคยคาดเคยคิด มันเป็นขึ้นในหลักธรรมชาติของมัน ตกกลางคืนตามธรรมดาเรานอน..ถ้าหยุดเรียนหนึ่งชั่วโมงเอาไว้สำหรับภาวนา เวลาไปบวชใหม่ๆ ภาวนา เช่นจะนอนตีหนึ่งอย่างนี้หกทุ่มหยุดเรียนหนังสือ อีกหนึ่งชั่วโมงฝึกหัดภาวนา แล้วทำไปๆ บทเวลามันจะเป็น เราไม่เคยคาดเคยคิดมันเป็นเอง ไม่เคยคิดไว้ก่อนว่าจะเป็นอย่างไรต่ออย่างไร

เวลาภาวนาเวลาจิตจะรวมนะ คือจิตมันส่ายของมันไม่มีขอบเขต เหมือนเราตากแหเอาไว้ ทีนี้พอเราภาวนาคำว่าพุทโธๆ เหมือนกับจับจอมแหดึงเข้ามา แล้วตีนแหก็หดย่นเข้ามาๆ พอตีนแหย่นเข้ามา คือกระแสจิตหดเข้ามาๆ ก็เป็นจุดสนใจเลยจ่อละที่นี่ สติจ่อๆ พอหดเข้ามาเรียกว่าดึงจอมแหเข้ามาเป็นกองแห ทีนี้พอกระแสของจิตซึ่งเป็นเหมือนตีนแหมันหดเข้ามาๆ เข้ามาถึงจุดที่ว่าเป็นกองแห คือเป็นจุดรวมของผู้รู้ในใจ พอมันรวมกึ๊กเท่านั้น โถ มันขาดสะบั้นไปหมดนะ นี่ละสิ่งที่ไม่เคยเป็นเคยมี ไม่ได้คาดได้คิดเอาไว้เป็นเอง มันอัศจรรย์จริงๆ

นี่ละบวชใหม่ เหมือนเราดึงจอมแห กระแสของจิตหดเข้ามาๆ พุทโธเหมือนจอมแห จับพุทโธถี่ยิบ อันนั้นหดเข้ามา พอมาถึงตัวพุทโธแท้ๆ แล้วหยุดกึ๊กเลย แล้วขาดไปหมดเลย โห อัศจรรย์ จนกระทั่งทุกวันนี้ยังไม่ลืมนะที่มันเป็นในเบื้องต้น ซึ่งเราไม่เคยคาดเคยคิดเอาไว้เลย มันตื่นเต้น มันอัศจรรย์อะไรตื่นเต้นบอกไม่ถูก ความอัศจรรย์ความตื่นเต้นเลยไปเขย่าจิตที่รวมเข้าไปนั้นให้ถอยออกมา ทีนี้ทำทีไรมันก็ไม่ได้

ตอนเรียนหนังสืออยู่ ๗ ปี จิตรวมอย่างนี้ได้สามหน นั่นละจับอันนี้เอาไว้ เวลาออกปฏิบัติก็จับอันนี้เลยที่นี่ให้ได้ ให้ได้สืบต่อกันโดยลำดับ คราวนี้เป็นคราวที่เราภาวนาล้วนๆ แล้วไม่มีงานการอะไรเข้ามาเกี่ยวข้อง จะเอาพุทโธ นี่ละหลักใจของเรามีแต่พุทโธนะ รวมได้ เวลาออกไปจริงๆ เอาจริงๆ รวมได้ รวมได้ติดต่อกันไปเรื่อยๆ แล้วอัศจรรย์เรื่อย เพลินกลางคืนกลางวัน นี่ละจิตกับธรรมเวลาเข้าไปสัมผัสสัมพันธ์กันจริงๆ แล้วมันจะรื่นเริงในหัวใจดวงเดียวนี้ โลกนี้เหมือนไม่มี มันรื่นเริงอยู่ภายในโดยเฉพาะๆๆ

นี่ละเราฝึกหัดภาวนาเบื้องต้นเป็นอย่างนั้น มันลืมวันลืมคืนลืมปีลืมเดือน มันเพลินอยู่ในนี้ละ มันรื่นเริงในจิต นี่ละออกไปฝึกหัดภาวนาทีแรกเป็นอย่างนั้น พอออกจากกรุงเทพฯก็ไปอำเภอจักราชไปจำพรรษาที่นั่น เร่งความเพียรใหญ่เลยพรรษานั้น จิตก็เจริญ ทีนี้เพราะเราไม่เคยรู้จักวิธีรักษา จะเสื่อมหรือเจริญอะไรก็ไม่รู้จักวิธีรักษา แล้วมาทำกลดหลังหนึ่งอยู่ที่บ้านตาดนี่ละ อยู่ในป่า จิตรู้สึกว่าเข้าได้บ้างไม่ได้บ้าง รีบร้อยกลดเรียบร้อยแล้วไปเลย จิตเสื่อมไปเลย เจริญแล้วเสื่อมๆ ที่นี่เป็นอย่างนั้น

ร้อนมากนะจิตเสื่อมนี่ ร้อนที่สุดเลย ตั้งแต่เรายังไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรก็เป็นธรรมดา เหมือนเขาหาเช้ากินเย็น แต่ผู้ที่เป็นเศรษฐีเคยมีเงินเป็นล้านๆ แล้วล่มจมลงด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งนี้ทุกข์มากยิ่งกว่าตาสีตาสาอยู่ตามท้องนานะ นี้จิตเราเสื่อมทุกข์ขนาดนั้นละ มาตั้งใหม่ เสื่อมได้ปีกับห้าเดือน ทุกข์มากที่สุดเลยนะจิตเสื่อม ความเสียดายจิตที่เป็นแล้วมันไม่ได้กลับมา ทางความเพียรก็เร่ง เร่งเท่าไรมันเจริญแล้วมันก็เสื่อม เจริญแล้วก็เสื่อม ปีกับห้าเดือนถึงตั้งได้

ทุกข์มากเหมือนกันจิตเสื่อม ทุกข์มากจริงๆ หัวอกนี้เหมือนจะพัง มันร้อนเป็นฟืนเป็นไฟ อยากได้จิตนั้นกลับมาแต่มันไม่ได้ซี มันก็ร้อน ปีกับห้าเดือนถึงตั้งได้ ไปกังวลอยู่กับความเสื่อมความเจริญของเจ้าของนี้ก็เป็นกองทุกข์มาก เวลามันเจริญแล้วไม่อยากให้มันเสื่อม มันเสื่อมต่อหน้าต่อตานี้เป็นทุกข์มาก ต้องได้ปล่อย ทีนี้ปล่อย บทเวลาจะตั้งได้ปล่อย ความเจริญความเสื่อมที่มันพัวพันกันอยู่ สร้างความกังวลและความทุกข์ให้แก่ใจนี้ปล่อยทิ้งหมด

ทีนี้เอาแต่พุทโธเป็นคำบริกรรมกับสติติดกัน เอามันจะเสื่อมไปไหนให้มันเสื่อม ว่าอย่างนั้นนะ คือทำอย่างไรมันก็เสื่อม พอไปถึงนั้นอยู่ได้สองคืนหรือสามคืนเสื่อมๆ นี่ก็เป็นทุกข์มากเหมือนกัน ตั้งใหม่ ปล่อย ความเสื่อมความเจริญไม่เอามาเป็นกังวล ทีนี้จะจับพุทโธกับสติให้ติดกัน เอา เสื่อมให้เสื่อมไป เจริญก็เจริญไป แต่อย่างไรพุทโธกับสตินี้ให้ติดกัน เป็นคำบริกรรมตลอด แล้วมันก็ขึ้น เอา ขึ้น ปล่อย จะเสื่อมเสื่อมไป พุทโธเป็นคำบริกรรมกับสตินี้ไม่ยอมปล่อย เข้าไปถึงนี้แล้วไม่เสื่อมนะ ปล่อยหมด แต่คำว่าพุทโธเป็นคำบริกรรมกับสติไม่ให้เสื่อม แล้วตั้งได้ นั่นละตั้งได้ตั้งแต่นั้นละมาเรื่อย ตั้งได้เรื่อยเลย

จากนั้นก็เอาใหญ่แหละ ความเพียรเอาใหญ่เลย พอตั้งได้แล้วก็นั่งตลอดรุ่งไม่ใช่เล่นนะ ฟาดนั่งหามรุ่งหามค่ำ มันเป็นอย่างไรมันถึงเสื่อมนักหนา เวลาได้แล้วเอากันอย่างหนัก นั่งตลอดรุ่งเลย ไม่เสื่อม ค่อยก้าวขึ้นเรื่อยๆๆ ตั้งแต่นั้นมาไม่ปรากฏว่าเสื่อมอีก ไม่เสื่อม ความเพียรก็เร่งหนักๆ นั่งฟาดตลอดรุ่งนั่งภาวนา เลยได้ เจริญขึ้นเรื่อยๆ ได้ ต้องใช้ความพิจารณานะ มันเสื่อมมันเจริญเพราะเหตุผลกลไกอะไร ต้องใช้ความพินิจพิจารณา ไม่เช่นนั้นก็ไปไม่รอด มันเสื่อมอยู่จนได้ ต้องใช้ความพิจารณาและปฏิบัติตามการพิจารณา การปฏิบัติให้เป็นปัจจุบัน คิดตั้งแต่ต้นเรียบร้อยแล้วก็ก้าวตามนั้นให้เป็นปัจจุบัน มันก็เจริญเรื่อยๆ จากนั้นมาไม่เสื่อมอีก

การภาวนาก็ยากเหมือนกัน โหย หนักมาก ภาวนานี้หนักมาก ปีพรรษา ๑๐ นั่นละปีที่หนักมากที่สุด อยู่บ้านนามน นั่นละปีเร่งกันใหญ่ เรายังไม่ลืม พรรษา ๑๐ นั่งตลอดรุ่ง จนกระทั่งพ่อแม่ครูจารย์ท่านรั้งเอาไว้ คือนิสัยเรามันนิสัยผาดโผนทำอะไรเอาจริงเอาจังมาก ท่านก็รั้งเอาไว้ คือเวลานั่งตลอดรุ่งเมื่อไรไปเล่าถวายท่านฟัง เหมือนนักมวยแชมเปี้ยน เวลาขึ้นไปหาท่านเหมือนผ้าพับไว้ แต่เวลาใจที่ออกตอนภาวนากลางคืนรู้เห็นอย่างไร นี่ละกราบเรียนท่านตอนนี้ผึงๆ เลย ไม่สะทกสะท้าน อยากเล่าถวายท่าน มันขัดข้องตรงไหนให้ท่านบอกท่านเตือน นั่นละก้าวได้ปีนั้นละ

การภาวนาเอาเสียจนทะลุเลย นั่นเห็นไหม ตั้งแต่อย่างนี้แหละล้มลุกคลุกคลานไปอย่างนี้ เอาไม่หยุดไม่ถอยๆ ล้มลุกคลุกคลานก็ไม่ถอยกัน ซัดกันเรื่อยไปเลย เอาจนทะลุได้เลย บทเวลามันทะลุนี้มัน โห เหมือนฟ้าดินถล่ม จิตเวลามันทะลุมันพ้นไปได้จากสมมุติทั้งหมด ผ่านได้ ร่างกายนี้จนพุ่งเลยนะ มันกระเด็นของมัน ระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกัน เวลาขาดสะบั้นจากกันแล้วนี้ร่างกายนี่พุ่งตัวเลย ที่วัดดอยธรรมเจดีย์เราไม่ลืม

นั่นละวาระสุดท้ายของกิเลสกับจิตขาดสะบั้นจากกัน ร่างกายนี้พุ่งตัวเลย มันรุนแรงอะไรไปถึงร่างกาย นั่นละที่ว่าฟ้าดินถล่ม เขาไม่ได้ถล่มละฟ้าดิน แต่มันเป็นอยู่ในระหว่างกายกับจิตมันสะเทือนมาก มันพุ่งตัวของมัน นั่นละผ่านได้ รุนแรงมากนะกิเลสมันพัวพันจิตใจมากี่กัปกี่กัลป์กว่าจะถอดถอนออกได้นี้ โถ ไม่ใช่ของเล่น เวลามันออกจากกันได้จริงๆ แล้วร่างกายนี้กระเด็นเลย พุ่งแรงมาก จากนั้นมาก็เป็นอันว่าหมดปัญหากัน มันเป็นระยะๆ การภาวนา

นั่นละวาระสุดท้ายตอนที่ว่าร่างกายมันพุ่ง คือกิเลสกับจิตขาดสะบั้นจากกันในเวลานั้น ยังจำไม่ลืมนะเรา เวลา ๕ ทุ่ม วันที่ ๑๕ พฤษภา ๒๔๙๓ เวลา ๕ ทุ่มพอดี อยู่หลังวัดดอยธรรมเจดีย์ นี่ละเวลาระหว่างสมมุติกับวิมุตติขาดจากกัน ร่างกายนี้กระเด็นเลยเชียวนะ ไม่ใช่เล่นๆ เราอยู่ธรรมดานี่มันรุนแรงอะไรก็ไม่ทราบนะจนร่างกายกระเด็นขึ้น จากนั้นก็เรียบไปเลย หมด ไม่มีอะไรมากวนใจ หมดโดยสิ้นเชิง เวลาจะหมดรุนแรงขนาดนั้นนะ มันเขย่ากันเสียจนร่างกายกระเด็นเชียว

จากนั้นมาแล้วก็เงียบเลย ที่นี่กิเลสเป็นอันว่าหมดโดยสิ้นเชิง ไม่มีอะไรเหลือ เหลือแต่ธรรมชาตินี้ที่แสดงเต็มเหนี่ยวแล้วก็มีแต่จ้าครอบโลกธาตุไปเลย จากนั้นมาก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ก่อนที่จะถึงนี้มันแทบเป็นแทบตาย หนักมากทีเดียวการภาวนา ทีนี้เมื่อมันเรียนธรรมสุดขีด เรียนกิเลสสุดขีด เรียนธรรมสุดขีด รู้กันสุดขีดแล้วทีนี้ไม่มีอะไรกวนกัน หมด กิเลสตัวไหนที่จะแย็บขึ้นมาก็ไม่มี หมด ก็มีแต่ใจกับธรรมเป็นอันเดียวกันแล้วเป็นความสว่างไสวอยู่ภายใน จ้าอยู่ตลอดเวลา

นั่นละอำนาจแห่งการอบรมจิต ดังที่เล่าให้ฟังเอาตัวจริงออกมาเล่านะ ไม่ได้เล่างูๆ ปลาๆ ลูบๆ คลำๆ มาเล่า เล่าตามหลักความเป็นจริงที่มันเป็นขึ้นอย่างไรในหัวใจเจ้าของเอง จากนั้นมามันก็จ้าตลอดเลย ไม่มี นี่ละการฝึกจิต แต่ฝึกยากที่สุดไม่มีอะไรเกินฝึกจิตนะ กิเลสมันเหนียวแน่นมากทีเดียว ฝึกยากมาก ทุกข์มากทีเดียว แต่เวลาได้แล้วเป็นอย่างนั้น เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านั้น เราพูดเราเทศน์อะไรนี้เราไม่ได้สงสัย คือเราผ่านมาแล้วทุกอย่าง เราพูดพูดด้วยความอาจหาญชาญชัย ไม่สะทกสะท้าน ไม่มีคำว่าลูบๆ คลำๆ คือเป็นขึ้นมาอย่างไรพูดตามหลักความเป็นจริง พูดได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยเลย

 

รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน  FM 103.25 MHz

และเครือข่ายทั่วประเทศ

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก