รากฐานแห่งพุทธศาสนาคือจิตตภาวนา
วันที่ 13 พฤศจิกายน 2550 เวลา 8:10 น. ความยาว 49.13 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๐

รากฐานแห่งพุทธศาสนาคือจิตตภาวนา

         สวดมนต์นี้สติสำคัญนะ ถ้าสติอยู่กับคำสวดมนต์ คำสวดมนต์ก็เลยกลายเป็นคำบริกรรมภาวนาไปในตัว มีสติสวดมนต์ภาวนาถูกต้องทั้งสอง นี่ก็เคยพูดดูเหมือนจะมีเขียนออกเป็นตัวหนังสือก็มีละมังที่ไปอยู่บ้านโคก พ่อแม่ครูจารย์มั่นท่านสวดมนต์ เราเดินจงกรมได้ยินเสียงท่านสวดพุมๆๆ จิตมันก็ซอกแซกอยากรู้อยากเห็นว่าท่านสวดมนต์นี้ท่านสวดบทใดบ้าง เพราะการสวดมนต์เราก็เรียนมาเหมือนกัน ที่ท่านสวดนี้ท่านสวดบทใดบ้างนะ พุมๆๆ นี่ละที่ว่าท่านกั้นห้องอยู่ ศาลาเล็กๆ แล้วก็กั้นห้องอยู่นี้ เราก็เดินเข้าไปฟัง

พอเข้าไปใกล้ทีไรหยุดทุกที พอเข้าไป หยุดแล้วเงียบเราก็ยังไม่รู้สึกตัวนะ แล้วถอยออกมาก่อน ความมุ่งหมายก็คือว่าท่านสวดมนต์บทใดบ้าง ว่างั้นนะความหมายน่ะ ครั้นเข้าไปแล้วเงียบก็เลยถอยออกมา ครั้นออกมาไม่นานแหละออกมาทางจงกรมเรา เราเดินจงกรมนี้พอได้ยินเสียงอยู่เพราะมันสงัด ได้ยินเสียงถึงสามหน พอไปทีไรท่านเงียบนะ ถอยออกมา ครั้งที่สามนี้ถึงตื่นตัว ครั้งที่สามท่านเงียบอีก พอสะดุดใจ เอ๊ นี่ไม่ใช่ท่านรู้เราแล้วหรือ พอว่างั้นถอยกรูดเลยไม่เข้าอีก พอเราออกมาท่านก็สวดอีก

ตอนเช้าคอยดูอากัปกิริยาการแสดงออกของท่าน โอ๋ย ท่านรู้จริงๆ เวลาเปิดประตูห้องท่านเราก็เข้าเอาบริขารนั้นนี้ออกมา วันนั้นตาท่านจ้องจับเรา เพราะเราก็วัวหลังหวะอย่างว่าแหละต้องได้ระวัง ตาท่านจ้องเสียด้วยเราก็เลยไม่ลืม ท่านสวดอะไรๆ ก็มันอยากรู้อยากเห็น ไปศึกษา จะว่าโง่หรือไม่โง่ก็แล้วแต่จะพิจารณา มันอยากรู้อยากเห็นอะไรต่ออะไร ที่ท่านสวดนั้นท่านสวดอะไรบ้างสวดมนต์

คือการสวดมนต์นี้เราก็เรียนมามากต่อมาก เพราะไปอยู่หลายวัด ไปวัดนี้เขามีกฎกติกา ที่มาอยู่วัดนี้ต้องให้สวดมนต์ได้นั้นๆ ก่อนถึงจะเรียนอะไรก็เรียน ถ้าไม่ได้นี้ไม่ได้ ไม่ตกลงให้เรียน ก็ต้องเรียนให้ได้ ไปวัดนั้นมีข้อตกลงก็เรียนอีก สุดท้ายก็ได้มากซิเรา นั่นละเวลาท่านสวดมนต์พุมๆๆ จึงอยากฟังว่าท่านสวดอะไรบ้างน้า จะว่าดื้อหรือไม่ดื้อคือมันอยากทราบ พอสะดุดใจว่า เอ๊ะ นี่ไม่ใช่ท่านรู้เรื่องเราแล้วหรือ เผ่นเลย ตั้งแต่นั้นไม่เข้าไปอีก ตอนที่เข้าไปนี้มีแต่อยากรู้อยากเห็นว่าท่านสวดมนต์อะไร เพราะท่านสวดนานนะสวดมนต์ พ่อแม่ครูจารย์มั่นสวดนานสวดมนต์ จากนั้นก็เงียบท่านภาวนา

คำว่าภาวนาของท่านผู้สิ้นกิเลสแล้วกับพวกเรานี้ต่างกันมากนะ ท่านผู้สิ้นกิเลสแล้วท่านภาวนามีความหมายหลายอย่าง จากการภาวนาก็พิจารณา แน่ะ ลึกตื้นหยาบละเอียดหาประมาณไม่ได้ในจิตดวงนี้ ที่จะรู้จะเห็นจะพิจารณาเรื่องอะไร ไปอยู่บ้านโคกที่ด้อมๆ ไปฟังท่านสวดอะไร ตั้งแต่นั้นมาไม่ไปอีกเลย เข็ด กลัว กลัวย้อนหลังเข้าอีกด้วย เพราะเห็นฤทธิ์เดชของท่านแล้วเวลาไปอยู่กับท่านท่านเป็นยังไง ความละเอียดแหลมคมทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับท่านทั้งหมด แล้วท่านทำไมจะไม่รู้เราหลับหูหลับตาเซ่อๆ ซ่าๆ เข้าไปหาท่าน ท่านทำไมจะไม่รู้ ความหมายว่าอย่างนั้น เพราะฉะนั้นมันถึงกลัวย้อนหลังซิ

พ่อแม่ครูจารย์มั่นเวลาท่านพูดเราอดหัวเราะไม่ได้ คือท่านพูดธรรมดาๆ สิ่งที่น่าขบขันน่าหัวเราะนี้ท่านไม่ได้หัวเราะนะ ท่านพูดธรรมดาๆ ไปอย่างงั้นละ ไอ้เรานี้มันจะตายอกจะแตก มันอดหัวเราะไม่ได้ กลั้นเอาไว้ว่างั้นเถอะ ท่านพูดอะไรๆ แล้วก็นิสัยนี้ด้วยเรา จะว่าดื้อหรือไม่ดื้อ หรือว่าสอดว่าแทรก ว่าโง่หรือฉลาด มันก็ยากอยู่นะ สำหรับเราเองที่จะรู้สิ่งนั้นสิ่งนี้ ท่านพูดท่านพูดเฉยๆ ไอ้เรามันมีอะไร มันพูดยากนะเรา มีทั้งจริงทั้งเล่น ตลกขบขัน ลึกตื้นหยาบละเอียดอรรถธรรมมันอยู่ในนั้นหมดเลย แย็บออกมาทางไหน มันก็เป็นทางนั้นๆ ไป

เรื่องบิณฑบาตนี้เราได้เตือนพระ บิณฑบาตถ้าองค์ไหนไปติดกับท่าน เราจะเตือนเวลาเราไม่อยู่ ให้รู้จักวิธีปฏิบัติต่อท่าน คือท่านจะมีธรรมของท่านเป็นประจำ เวลาไปบิณฑบาต เดินไปๆ ท่านเห็นสัตว์ตัวใด ท่านจะพูดเรื่องสัตว์ตัวนี้สัตว์ตัวนั้น เรื่องนั้นเรื่องนี้ต่อเรื่องนั้นต่อเรื่องนี้ไปเรื่อยๆ เป็นนิสัยของท่าน นั้นเป็นธรรมนะนั่น เป็นอยู่ภายใน เวลามันมาเป็นในเรา ไม่ใช่วัดรอยนะ มันเป็นจริงๆ เรา แต่พอดีมันรู้ไว้ก่อนแล้ว รู้ก่อนหน้าที่เราเป็นอย่างงั้น มันมีนิสัยบอกอยู่ เลยบอกให้หมู่เพื่อนฟัง

สั่งหมู่เพื่อนเสมอ เวลาท่านไปท่านพูดเรื่องอะไรๆ นี้ให้ฟัง ท่านพูดเรื่องธรรมะของท่านต่างหาก ท่านไม่ได้พูดอะไรกับเรา เห็นหมูท่านพูดเรื่องหมู เห็นหมาพูดเรื่องหมา เห็นวัวเห็นควาย เห็นเด็กเห็นผู้ใหญ่ถ้าผ่านมานี้ ท่านจะพูดเรื่องคนนั้น พอจากนี้ก็ต่อเรื่องนั้น เจอคนนั้นเจอสัตว์ตัวนั้น ท่านจะเอาเรื่องคน สัตว์ตัวนั้นคนๆ นั้นต่อไปเรื่อยๆ มันเป็นอยู่ในใจของท่าน เป็นธรรมของท่าน เราได้เตือนหมู่เพื่อนเสมอ เวลาไปกับท่าน ท่านพูดบางทีเป็นเชิงถามนี้ อย่าไปตอบง่ายๆ นะ

ถ้าพูดเป็นเชิงถาม ก็ให้นิ่งเฉยๆ ถ้าหากว่าท่านจะถามจริงๆ ท่านจะย้ำหรืออย่างหนึ่งท่านหันหน้ามาปุ๊บ หือ อย่างนั้นใช่ไหม ซ้ำเข้าอีกเป็นลักษณะตั้งใจถามจริงๆ เราจะตอบบ้างก็ได้ แต่อย่าตอบมาก ถ้าท่านพูดเป็นเชิงถามเราอย่าไปตอบนะ เรื่องพ่อแม่ครูจารย์มั่นท่านเป็นอย่างงั้น คือมันเป็นอยู่ภายใน อันนั้นเราก็พอจับเงื่อนได้บ้างแล้วตั้งแต่เราปฏิบัติอยู่นั้น เพราะฉะนั้นถึงได้เตือนหมู่เพื่อนว่า เวลาท่านพูดเรื่องอะไรๆ เรื่องสัตว์เรื่องบุคคล สัตว์ตัวใดรายใดบุคคลผู้ใดนี้ เวลาท่านพูดเป็นเชิงถามอย่าไปตอบง่ายๆ นะ เป็นเรื่องธรรมะของท่านฉากมาผ่าน เป็นลักษณะที่ว่าพอถามก็ถามบ้าง ผ่านไป อย่าตอบนะเราว่างั้น นั่นละธรรมะท่านเป็นอย่างงั้น อันนี้มันพอจับได้ เราก็ไม่เคยพูดอย่างนี้ ธรรมะที่มันออกรับเรื่องราวและสัตว์และบุคคลรายใดมันเป็นอยู่ภายใน มันออกรับกันๆ

เพราะฉะนั้นเราถึงได้เตือนหมู่เพื่อน เวลาไปกับท่าน ท่านจะพูดเรื่องของท่านไป แต่เรื่องของท่านนั่นคือเรื่องของธรรม โดยอาศัยสัตว์บุคคลใดเข้ามาผ่าน นำเรื่องนั้นมาพูดต่อไป แล้วเวลาท่านถามอย่าตอบง่ายๆ นะเราบอก ถ้าหากว่าท่านจะตั้งใจถามจริงๆ ท่านจะซ้ำว่า หือว่างั้น หรือบางทีท่านหันหน้ามาจ้อง หากจะควรตอบในเวลาเช่นนั้น ก็ให้ตอบเสียเพียงย่อๆ อย่าตอบมากเราว่างั้น

จอมปราชญ์สมัยปัจจุบันนี้ก็คือพ่อแม่ครูจารย์มั่นเรา บอกได้เลยว่าจอมปราชญ์ สมัยนู้นสมัยนี้สมัยปัจจุบัน เนื้อธรรมจึงไม่มีคำว่าอดีตอนาคต เป็นธรรมด้วยกัน ใครนำใครรู้ใครเห็นใครนำมาพูดก็เป็นเรื่องถูกต้องด้วยกัน ยิ่งเป็นพ่อแม่ครูจารย์มั่นด้วยแล้ว โอ๊ สำคัญมาก ท่านพูดไปนี้ท่านจะไม่นิ่งนะ ไปนี้ไปเจอหมา ท่านจะนำเรื่องหมามาพูด พูดเป็นธรรมไปนะ คอยฟังอยู่ข้างหลัง เราคอยฟัง เป็นธรรมเป็นคติสอนพวกหลัง ข้างหลังก็มีเป็นเรื่องธรรมเกิดขึ้นเฉพาะ ประกอบกันกับเหตุการณ์นี้ก็มี

เราจึงได้เตือนหมู่เพื่อน เวลาเดินตามหลังท่านไปนี้ หากท่านถามฉากมาอย่างนี้ เรียกว่าพอฉากมาควรถามก็ถามเสียบ้างอย่างงี้ อย่าไปตอบง่ายๆ นะเราว่า ถ้าท่านจะถามจริงๆ ท่านจะย้ำ เช่นหือ แล้วท่านจ้อ หากจะตอบก็ตอบเสียบ้างนิดหน่อย เราบอกเพราะเรื่องของท่านกับเรื่องของเรามันต่างกัน เรื่องของท่านเป็นเรื่องธรรมล้วนๆ เรื่องของพวกเรานี้มักจะพูดว่าเรื่องกิเลสล้วนๆ มันเข้ากันไม่ได้ เวลาธรรมะมันเปิดมันถึงรู้ชัด ธรรมะเปิดภายในใจ เปิดจากด้านจิตตภาวนา ด้านพิจารณาใคร่ครวญเรื่องอรรถเรื่องธรรม

สิ่งที่ปิดธรรมก็คือกิเลส ไม่ใช่อะไร กิเลสนั่นละปิดธรรมมากน้อย มันปิดอยู่ในหัวใจ เหมือนว่าอากาศมันไม่เปิดเผยคือมันมีเมฆมีหมอก แล้วมันไม่แจ้งไม่ชัด ถ้าอากาศเปิดเผย ตะวันจ้าๆ นี้มันเห็นอะไรชัด อันนี้จิตใจก็แบบเดียวกัน กิเลสมันเป็นเมฆเป็นหมอกเหมือนว่าปิดบังใจอยู่เรื่อยๆ ทีนี้พออันนั้นออกแล้วมันจ้าเลย จ้าอย่างนี้พูดไม่ถูกนะ จ้าอย่างไม่มีกิเลสปิดบัง พูดไม่ถูก แต่รู้ไม่ผิด เวลาจะพูดออกมาเหมาะสม ไม่เหมาะสม มันหากรู้เอง สำหรับผู้รู้ที่จะควรพูดหนักเบามากน้อยหรือไม่พูด ท่านจะรู้ของท่านเอง

อย่างพ่อแม่ครูจารย์มั่น ท่านพูดของท่านไป แต่ก็เดชะอยู่ อันนี้มันก็มักจะแย็บๆ จะรู้ลู่ทาง เพราะฉะนั้นจึงได้เตือนหมู่เพื่อนเสมอ เพราะเราเคยตามหลังท่านไป ท่านจะมีถามเรื่อย หืออันนั้นใช่ไหม เรานิ่งฟัง เป็นแต่เพียงว่าพอเดินฉากไป ควรจะถามก็ถามเสียบ้างเท่านั้น หากว่าจะถามจริงๆ ท่านจะจ้อหรือท่านจะย้ำ อย่างงั้นละ จิตของท่านผู้สิ้นกิเลสแล้วกับจิตของพวกเราๆ ท่านๆ มันเป็นจิตส้วมจิตถาน จิตของท่านเป็นจิตอรรถจิตธรรม ถ้าว่าตู้ก็ตู้ธรรมะบริสุทธิ์ล้วนๆ ภายในใจ ตู้เรามันตู้มูตรตู้คูถอยู่ในส้วมในถาน เข้าใจไหม มันผิดกันนะ

เวลามันได้เป็นขึ้นในจิตแล้ว ท่านว่า สนฺทิฏฺฐิโก พระพุทธเจ้าประกาศลั่นมาแล้วเป็นพระองค์แรกแน่นอนทุกอย่าง สนฺทิฏฺฐิโก รู้ผลงานของตัวเอง ผลงานได้หนักเบามากน้อยลึกตื้นหยาบละเอียดแค่ไหน จะเป็น สนฺทิฏฺฐิโก เป็นเครื่องตัดสิน รู้ๆ ผลงานของตัวเอง เวลาถึงขั้นที่สุดยอด เป็น สนฺทิฏฺฐิโก ขั้นสุดยอดมันก็ประกาศขึ้นมาแล้วจะถามใคร เป็นอย่างนั้นละ

จิตเท่านั้นควรแก่ธรรม และในขณะเดียวกันมันก็เป็นภาชนะของกิเลส จะว่าควรแก่กิเลสเราก็ไม่อยากพูด เพราะจิตนี้มันสูงได้ แล้วจะไปใส่กับอันต่ำๆ นี้ก็ไม่อยากจะพูดนะ แต่มันเข้ากันได้อยู่ เวลามันเปิดออกมาอย่างนี้ กิเลสทั้งหลายมันเป็นเหมือนมูตรเหมือนคูถ ธรรมเป็นเหมือนน้ำดับไฟ ดับลงไปแล้วไฟก็ดับลงไป สงบลงไป จิตใจก็สว่างจ้าไปเรื่อยๆ อย่างนั้นนะ

เรื่องภาวนาไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยภาวนา สาวกทั้งหลายเป็นสรณะของพวกเราด้วยภาวนา มันลงในจุดนี้ๆ เพราะฉะนั้นพุทธศาสนาของเรา รากฐานแห่งพุทธศาสนาก็คือจิตตภาวนา ธรรมะทั้งหลายจะเกิดขึ้นจากจุดนี้ๆ จนสว่างจ้าไปหมดก็ออกจากจุดนี้ ที่ไม่เคยภาวนาหรือภาวนาก็เอาเสื่อเอาหมอนมัดติดหลังติดคอมันไม่ได้เรื่องนะอย่างนั้น มองไปที่ไหนเห็นแต่เสื่อแต่หมอน มองหาคนไม่เห็น เห็นแต่เสื่อแต่หมอนมัดติดหลังติดคอไป คนทั้งคนไม่เห็น เห็นแต่เสื่อแต่หมอน อันนี้เห็นแต่ความขี้เกียจขี้คร้าน ความไม่เอาไหน ความเผอเรอต่างๆ ไม่มีธรรม สติธรรมเป็นต้นฝังอยู่ในจิตพอจะเป็นเครื่องกระจายออกแห่งความรู้ทั้งหลายบ้างเลย มันก็ไม่รู้นะ

สตินี้เป็นของสำคัญมาก ตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลาน สติต้องฝึกให้ดี จากนั้นไปก็เป็นสติปัญญาอัตโนมัติ ถึงขั้นมหาสติมหาปัญญา ทะลุถึงจิตหลุดพ้น ไปตั้งแต่สติล้มลุกคลุกคลาน สตินี้จำเป็นตลอด แม้แต่ทำกิจนอกการในอะไร สติมีอยู่ สัมปชัญญะมีอยู่ ก็ไม่ค่อยผิดพลาด ผิดก็มีน้อย ถ้าแบบทำเอาตามอารมณ์นี้มีแต่เรื่องของกิเลส ผิดพลาดเสียแทบทั้งนั้นแหละ จึงต้องใช้ความพิจารณาทุกคนๆ ที่พูดนี้ ต่างคนต่างมาศึกษาด้วยกันให้นำคติธรรมไปพินิจพิจารณาตัวเอง

ไอ้เรื่องความคิดมันจะคิดของมันตลอด พอมีเรื่องมาสัมผัสมันจะนำเข้ามา เพิ่มงานของตัวเองที่เคยคิดอยู่แล้วเข้าไปอีก เข้าไปๆ ถ้าเป็นลักษณะปากเปราะอย่างนี้มันจะออกรวดเร็ว แล้วกระทบกระเทือนคนนั้นคนนี้ไป คำพูดของเจ้าของที่ออกไปด้วยความไม่พิจารณาถือเป็นเพชรเป็นพลอยไปหมดนะ เป็นของดิบของดีของถูกต้องไปหมด ทั้งๆ ที่มันผิดไปเรื่อยๆ  ถ้าใช้ความพิจารณาเสียก่อน ควรพูดค่อยพูด ไม่ควรพูดก็เก็บความรู้สึกไว้เสีย ส่วนมากให้เก็บความรู้สึกไว้ก่อนก่อนที่จะนำออกพูด ดี ไม่ค่อยผิดพลาด

ถ้าเอะอะก็เปาะแปะๆ ออกมามีแต่ผิดทั้งนั้น ทะเลาะกันก็ง่ายคนที่ไม่เก็บความรู้สึก ถ้าเก็บความรู้สึกแล้วทดสอบความคิดอ่านของเจ้าของ ควรพูดหรือไม่ควรพูด ถ้าไม่ควรพูดก็เก็บไว้เสียๆ อย่างนั้นไม่ค่อยผิด จะพิจารณาธรรมภายในก็ใช้ความคิดอย่างนี้แหละ พินิจพิจารณาหลายรอบหลายตลบทบทวนไม่ค่อยผิด ถ้าเอะอะออกๆ ส่วนมากมักจะผิดทั้งนั้น ให้พากันจำเอานะนักภาวนา

แล้วอยู่ด้วยกันทะเลาะกันได้ง่ายด้วยนะ เอะอะก็จะเอาตามใจเจ้าของชอบ ใจเขาก็ใจ ใจเราก็ใจ มีความรู้สึกผิดถูกชั่วดี รับความกระทบกระเทือนดีชั่วได้เช่นเดียวกัน เมื่อเป็นเช่นนั้นมันก็รับความสุขความทุกข์จากกันได้ ต้องพิจารณาเสียก่อน เอาละวันนี้ไม่พูดอะไรมาก

(มาจากศรีราชาเจ้าค่ะ ถวายเช็ค ๕,๐๐๐ แล้วก็ทอง ๒ บาทเจ้าค่ะ) ศรีราชงราชา บางพระเราไปหมดแล้วแหละเหล่านี้ ไปเสียแหลกเลย อย่าว่าธรรมดา บอกว่าไปเสียแหลกเลย ทั่วประเทศไทยไปได้หมด เกี่ยวกับเรื่องการเทศนาว่าการช่วยชาติบ้านเมืองของเรา มันก็ไปกว้างขวาง คิดดูซิอย่างสนามหลวง ก็มีพระองค์ใดขึ้นไปเทศน์สนามหลวง หลวงตาบัวยังไปเทศน์จนได้เห็นไหมล่ะ เทศน์เสียเป็นชั่วโมง ๒๓ นาที เราไม่ลืมนะ ตอนนั้นมาครบ ชาติก็คือนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี นี่ชาติ ศาสนาก็คือพระเต็มเป็นพันๆ มาคอยฟังเทศน์วันนั้น มหากษัตริย์ก็คือฟ้าหญิง เสด็จมานั่งปั๊บ ประทับ นู่นที่เขาจัดไว้ต้อนรับท่านอยู่นู้น ท่านก็ประทับที่นู่น ก่อนเทศน์นะ พอเราขึ้นเริ่มขึ้นธรรมาสน์ปั๊บ ท่านจะปั๊บมานั่งนี่เลยฟ้าหญิงนะ

เทศน์ที่สนามหลวงก็ไม่เทศน์เผ็ดร้อนอะไรมากนัก คือดูแกงหม้อใหญ่หม้อเล็ก การเทศนาว่าการเราพูดจริงๆ เราไม่เคยว่าคนชั้นใดภูมิใดที่จะมาฟังธรรม ธรรมนี้จะควรแก่คนชั้นนั้นชั้นนี้หรือไม่ ไม่เคยคิดนะ ธรรมนี้เหนือตลอดเวลา แต่ที่จะกระจายออกมาให้เป็นประโยชน์แก่โลกนั้นต้องคำนึงถึงสังคมที่เข้ามาเกี่ยวข้อง จะควรได้รับธรรมประเภทใดเป็นประโยชน์แก่กำลังของตน นั่นละจะออกตามนั้นๆ เพราะฉะนั้นการเทศนาว่าการสนามหลวงจึงไม่มีคำว่าเผ็ดร้อน เข้ากันได้อย่างสนิทเลยก็คือแกงหม้อใหญ่ เทศน์แกงหม้อใหญ่ ชั่วโมง ๒๓ นาที มีแต่แกงหม้อใหญ่แทบทั้งนั้น

ถ้าว่าพระก็ไม่ใช่พระกรรมฐาน ที่ท่านตั้งใจฟังอรรถธรรมเพื่อแก้กิเลสจริงๆ มานั่งฟัง ก็เป็นพระทั่วๆ ไป ไม่น้อยนะเต็มหมด ทีนี้พระเหล่านี้กับธรรมประเภทไหนจะควรกัน มันก็ควรกับไปทางแกงหม้อใหญ่เหมือนกัน มันก็เลยไปแกงหม้อใหญ่ ทั้งประชาชนทั้งพระไปเลย ถ้าหากว่าเป็นแกงหม้อเล็ก ผู้มุ่งต่ออรรถต่อธรรมต่อมรรคผลนิพพานแก้กิเลสเป็นลำดับๆ มานั่งอยู่นั้นมันจะวิ่งเข้าถึงกัน ไม่คุยนะมันเป็นจริงๆ พอนั่งปั๊บอันนี้มองไปนี้มันจะบอกในตัวหมดเลย วันนี้เปิดเสียบ้างนะ มันไม่ได้คำนึงว่าธรรมะนี้จะเทศน์ให้ใครฟังไม่ให้ใครฟัง เขาสูงกว่าธรรมหรือธรรมสูงกว่าเขา ธรรมนี้สูงกว่าโลกตลอด เรียกว่าโลกุตรธรรม แปลว่าธรรมเหนือโลกมาตลอด

การที่จะแสดงออกไปนี้ต้องมุ่งผู้ฟังจะได้รับประโยชน์มากน้อยเท่านั้น ที่จะว่าธรรมนี้ควรแก่โลกหรือไม่ควรไม่ได้พูด เพราะมันเหนือตลอดแล้ว หัวใจก็เหนืออยู่แล้ว ใจกับธรรมเป็นอันเดียวกันก็เหนือกันตลอดอยู่แล้ว จึงไม่มีวิตกวิจารณ์กับสังคมมากน้อยขนาดไหนชั้นใดภูมิใดไม่เคยคำนึงนะ ธรรมนี้เหนือกว่าตลอดเวลา แล้วทีนี้จะนำธรรมะประเภทใดมาให้เป็นประโยชน์แก่ผู้ฟัง มันจะออกของมันเอง เป็นอย่างนั้น ให้ทราบเสียนะ ถ้าเป็นเรื่องของกิเลสเต็มหัวใจแล้วมันจะสะทกสะท้านหวั่นไหว ธรรมะนี้เทศน์ยังไงๆ ติดเราแล้วก็ติดเขา

นี่ละธรรมะประเภทอยู่ในส้วมในถานในโลกธรรม โลกธรรมล้อมรอบอยู่ ธรรมะที่อยู่ในท่ามกลางโลกธรรมก็มีการกระทบกระเทือน มีการประหม่าหรือหวั่นไหว ถ้าธรรมะเหนือโลกทั้งหลายหมดแล้วมันไม่มีอย่างนั้น ควรที่จะได้รับประโยชน์หนักเบามากน้อยเพียงไรมันจะออกตามนั้นๆ ให้พากันเข้าใจเอาไว้ สำหรับหลวงตาบัวนี้ตัวเท่าหนูก็ตามนะ แต่ความคิดที่จะว่า ประชาชนมาฟังเทศน์หนักเบามากน้อย ธรรมะเราจะควรแก่เขาแค่ไหน ธรรมะเราต่ำกว่าเขาหรือสูงกว่าเขาไม่มี เป็นโลกุตรธรรม ธรรมเหนือโลกตลอดเวลา จะสงเคราะห์ได้มากน้อยเพียงไรจะออกตามนั้นเท่านั้นเอง เราพูดจริงๆ เราไม่ได้คุย แต่ก่อนมันก็มีถ้าติดเขาติดเราเป็นได้นะ ถ้าไม่ติดใครไม่ติดอะไรเลยไปได้ทั้งนั้น เป็นอรรถเป็นธรรมล้วนๆ เลยนั่น เอาละที่นี่พอ

(ขอโอกาสเจ้าค่ะ บ้านโคกนี้อยู่ใกล้กับบ้านนามนไหมคะ) ก็มันลุกลามใส่กันเดี๋ยวนี้มันจะถึงกันแล้วละ แต่ก่อนจะห่างกันกิโลกว่า บ้านนามนทางนู้น บ้านโคกทางนี้ ห่างกันประมาณกิโลกว่า เดี่ยวมันต่อกันถึงกันแล้วแหละ บ้านนามนกับบ้านโคกมันลุกลามถึงกันแล้ว บ้านมันขยายออกไปบ้านใหญ่ ถามเพื่ออะไรว่ามา (กำหนดดูตามรอยครูบาอาจารย์เวลาท่านเดินธุดงค์) บ้านโคก บ้านนามน แต่ก่อนนี้ไกล หมายถึงวัดนี้วัดนั้น ก็ไม่ต่ำกว่า ๒ กิโล แต่เดี๋ยวนี้บ้านมันติดกัน วัดอยู่ที่เก่าก็ตามแต่บ้านมันติดกัน บ้านติดกันเลยเดี๋ยวนี้ บ้านโคก บ้านนานม

เอ้อ เราพูดถึงบ้านโคก บ้านนามน เราได้พูดอยู่นี้ดูมันจะติดในเทปหรืออะไร ที่ว่าพรรษาที่ ๑๐ ที่บ้านนามนที่เราหนักมากที่สุดเลยการฝึกทรมานเจ้าของ พร้อมทั้งทางร่างกายและจิตใจ ร่างกายก็ฝึกเอาเสียจนไม่ได้นอน บางคืนนั่งตลอดรุ่งๆ เลย ทางจิตก็ฝึกบีบบังคับกันเต็มเหนี่ยว จิตก็ทุกข์ร่างกายก็บอบช้ำก็คือบ้านนามน พรรษาที่ ๑๐ ละมั้ง (กุฏิพ่อแม่ครูจารย์อยู่ใกล้กับท่านอาจารย์มั่นไหมคะ เห็นแต่กุฏิท่านอาจารย์มั่น ไม่เห็นกุฏิพ่อแม่ครูจารย์) กุฏิเราอยู่ในป่านะ ที่บ้านนามนกุฏิเราอยู่ในป่านู้น กุฏิท่านอยู่กลางวัดนี่นะ อยู่ไกล ห่างกัน แต่จิตใจกับการสืบต่อกันนี้เกี่ยวข้องกันกับเรานี้ไม่ได้ไกลนะ แต่เรื่องกุฏิไกล ห่างกัน เราอยู่ในป่าจริงๆ นู้น กุฏิท่านอยู่ท่ามกลางที่โล่งแจ้ง เราอยู่ในป่าลึกๆ ที่บ้านนามน

บ้านนามนนี้เป็นบ้านหนักมากที่สุดในการประกอบความพากเพียรของเรา หนักทางด้านจิตใจ ฝึกทรมานตีเอาแหลกเลย ทางด้านร่างกายก็นั่งตลอดรุ่ง จนกระทั่งท่านเตือน ท่านไม่ได้เตือนตรงๆ ละ ท่านแย็บๆๆ มันก็รู้ทันที เพราะวันไหนถ้าลงได้นั่งตลอดรุ่งแล้ววันนั้นจะเหมือนกับแชมเปี้ยนขึ้นเวทีนะ ขึ้นไปหาท่านเหมือนแชมเปี้ยนขึ้นเวที ซัดกันนี้เสียงลั่นเลย นี่เห็นไหมล่ะเวลามันเป็น มันไม่ได้สะทกสะท้านนะ มันพูดนี้พูดด้วยความดูดดื่มภายในจิตใจ และพูดให้ท่านได้ฟังแล้วให้ท่านได้เมตตาว่า การพูดไปทั้งหมดนี้น่ะขัดข้องตรงไหนๆ ให้ท่านได้แนะเราๆ นำออกมาแล้วก็เอาอีกๆ เพราะฉะนั้นจึงหนักมาก นั่งตลอดรุ่งบ่อย

ที่บ้านนามนจึงเป็นพรรษาที่หนักมากที่สุด กลางวันนี้ไม่นอนเลย เว้นแต่กลางคืนเรานั่งตลอดรุ่งแล้วกลางวันเราจะพักให้ ถ้าธรรมดาแล้วกลางวันไม่นอนให้เลย นั่นละปีนั้นละปีทรมานหนักปีหนึ่ง ปีบ้านนามน หนักทั้งร่างกายและจิตใจหนักไปด้วยกัน จากนั้นไปแล้วธรรมะขั้นสูงมันมักจะหนักทางด้านจิตใจ ร่างกายมันก็หนักเหมือนกัน แต่ถ้าเทียบทางด้านจิตใจซึ่งทำงานโดยอัตโนมัติแล้ว งานทางด้านจิตใจจะหนักมากกว่า มันไม่หยุดทำงานทางด้านจิตใจ คือธรรมก้าวเดินด้วยอัตโนมัติ คือมันมีกำลังวังชา มีเครื่องดูดดื่มต่ออรรถต่อธรรมต่อมรรคผลนิพพานแล้ว ความขี้เกียจขี้คร้านหายหน้าไปหมด

เดินจงกรมนี้จนจะก้าวขาไม่ออก ถึงจะออกจากทางจงกรม คือมันเพลินไปหมด ก้าวขาไม่ออกมันจะไปได้ยังไงคนเราใช่ไหม นั่นเรียกว่ามันเดินเต็มเหนี่ยว ก้าวขาไม่ออกแล้วก็ต้องพัก พักแล้วก็ยังไม่ลืมนะ นี่ละที่เชื่อพระโสณะ ท่านประกอบความเพียรจนฝ่าเท้าแตก แต่ก่อนก็เห็นในตำรา ท่านเดินจงกรมจนฝ่าเท้าแตกพระโสณะ ทีนี้ก็มาเข้ากันได้ตอนความเพียรเราเข้าขั้นนั้นละ เข้าขั้นถ้าลงได้ลงทางจงกรมหยุดไม่เป็น จนกระทั่งก้าวขาไม่ออก คือมันเมื่อยล้าไปหมด กำลังหมดแล้วหยุด นั่นละเรียกว่ามันไม่มีกำลังจะเดินต่อไป แล้วมันก็หยุดของมัน ถ้าจะให้มันหยุดเองนี้มันหยุดไม่เป็นนะ คือจิตนี้มันดูดดื่มตลอดนะ นี่เรียกว่าความเพียรอัตโนมัติ

ทีนี้พระโสณะในตำราท่านบอกว่า พระโสณะท่านเดินจงกรมจนฝ่าเท้าแตก ไอ้เราไม่แตก แต่มันเข้ากันได้แล้ว ถึงขนาดที่ว่าเอาเท้ามาดูจริงๆ มาดูเท้าเจ้าของ คือพอมานั่งอย่างนี้ เท้านี้มันออกร้อนเหมือนฟืนไฟลนทั้งสองเท้านี่นะ โอ๊ เท้าเรานี้มันแตกเหรอ ทำไมมันถึงร้อนเอานักหนา ครั้นมาดูมันไม่แตก แต่เวลาเราเอามือลูบคลำนี้มันเสียว นี่มันจะถึงเนื้อนะ มันเสียวนี่จะถึงเนื้อ หนังนี้มันบางเข้าไปๆ จะถึงเนื้อแล้วนั่น พอลูบคลำนี้มันจะเสียวๆ นี่ละเราถึงแค่เสียว ยังไม่แตกนะ พูดให้มันเต็มยศ กิเลสแตกเสียก่อน ถ้ากิเลสไม่แตกฝ่าเท้าจะต้องแตกแน่นอน ก็ถ้าลงได้ลงทางจงกรมมันไม่รู้จักหยุดนี่นะ นี่ละอำนาจของธรรมดูดดื่ม

อำนาจกิเลสดูดดื่มมันจะดึงเข้าใส่เสื่อใส่หมอน เข้าใจไหม เข้าใส่เสื่อใส่หมอนทั้งนั้นละ มันไม่ได้ดึงเข้าไปหาทางจงกรม ถ้าเป็นธรรมดึงแล้วเข้าทางจงกรม เดินจงกรมไม่รู้จักหยุด ถ้าว่านั่งเหมือนหัวตอ สุดท้ายก็แจ้ง มันนอนไม่หลับ ออกจากเดินก็ลงนั่ง นั่งมันก็หมุนของมัน หมุนอรรถหมุนธรรม เดินก็เดินด้วยอรรถด้วยธรรม แล้วสุดท้ายมันก็สว่าง ตลอดรุ่งเลยเราไม่หลับ มีหลายคืน นี่ละเวลาความเพียรมันหมุนของมันเอง ฝ่าเท้าเราออกร้อนวูบๆๆ มาดูฝ่าก็ไม่แตก แต่มาลูบๆ นี้เสียว นี่แสดงว่าหนังอันนี้มันบางเข้าไป มันจะเข้าไปถึงเนื้อแล้ว พอลูบนี้มันเสียว จากนี้ก็ถึงเนื้อ พอถึงเนื้อแล้วก็เรียกว่าฝ่าเท้าแตก

มันไม่ใช่แตกอย่างนี้นะ มันทะลุเข้าไปๆ บาง หนังส่วนหยาบนี่ขาดเข้าไปๆ ก็ไปถึงเนื้อ พอไปถึงเนื้อแล้วก็เรียกว่าฝ่าเท้าแตก อันนี้เราพอลูบอย่างนี้มันเสียวแล้ว จะเข้าถึงเนื้อแล้ว กิเลสมันแตกเสียก่อน พูดให้มันชัดเจน นั่นละถึงขั้นความเพียรหยุดไม่เป็น กลางคืนเวลาไหนก็ตาม ถ้าลงได้ลงทางจงกรมแล้วลืมเวล่ำเวลา เดินจงกรมจิตมันจะหมุนของมันเรื่อย ตานี่ฝ้าฟางนะ ฟังให้ชัดเสีย ไอ้เรื่องความเพียรหมุนตัวเป็นเกลียวนี้ไม่มีวันมีคืน ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า จนก้าวขาไม่ออกถึงรู้นะ นี่ก้าวขาไม่ออกมันหมดกำลังแล้วหยุด

นั่นละถ้านานเข้าไปกว่านั้นฝ่าเท้าจะแตก ของเรานี้เป็นแต่เพียงออกร้อนยังไม่แตก กิเลสแตกเสียก่อน นี้ก็เป็นพยานกันได้กับพระโสณะ ที่ท่านเดินจงกรมจนฝ่าเท้าแตกในตำรา ทีนี้ก็มาโดนเอาเรา ตัวเราเป็นขึ้นมา อย่างนี้เรียกว่ารับกันได้ ยอมรับทันที แต่เรายังไม่แตก เป็นแต่เพียงว่าเสียวๆ มันจะแตกแล้วมันจะทะลุถึงเนื้อ มันเสียวๆ เป็นอย่างนั้นนะ ทำอย่างนั้นละทำความเพียร ถ้าลงถึงขั้นความเพียรอัตโนมัติแล้วนี้มันไม่มีเวลานะ ไม่มี ความขี้เกียจขี้คร้านหายหน้าไปหมดเลย มีแต่ความหมุนตลอดๆ อยู่อย่างนั้น แม้ที่สุดนั่งฉันจังหันอยู่นี้นะ มันไม่ได้อยู่กับอาหารการกินนะ จิตอันหนึ่งที่เป็นอัตโนมัติของมัน กับกิเลสกับธรรมฟัดกันอยู่ภายในจิต มันจะหมุนกันอยู่ลึกๆ นะ

ทางนี้ก็ฉันไปๆ แต่เจตนาจริงๆ มันไม่มาอยู่ในอาหาร มันอยู่นู้น นี่พูดถึงเรื่องมันเป็นมาแล้วจึงมาเล่าให้ฟัง นี่ละถึงขั้นเป็นอัตโนมัติเป็นอย่างนั้น เราจะทำอะไรๆ อยู่ก็ตาม เรื่องอัตโนมัติระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกันนี้เป็นอย่างนั้นตลอดเลย มันไม่ได้ตั้งใจมันหากเป็นของมันเอง นี่เรียกว่าอัตโนมัติ ความเพียรอัตโนมัติ มีแต่เรื่องอรรถเรื่องธรรมล้วนๆ ในหัวใจ เวลามันขี้เกียจขี้คร้านมันไม่ได้ไปหาธรรมนะ ไปหาแต่เสื่อแต่หมอนเอามาอวดกัน เข้าใจไหม คนนี้ก็ได้เสื่อได้หมอนเต็มตัว คนนี้ได้เต็มตัว หมดทุกคนนี้มีเสื่อมีหมอนติดตัว มองไปนี้ไม่เห็นคนเลย เห็นแต่เสื่อแต่หมอนเต็มตัวมา

พวกเรามีแต่เสื่อหมอนเต็มตัวมาอวดกัน ท่านมีแต่ธรรมเต็มหัวใจมาอวดกัน ต่างกันไหมล่ะ นี่เอามาเทียบให้ทราบถึงจิตที่มันเป็นขั้นอัตโนมัติ คือมันจะไปแล้วนะนั่น ยังไงก็ไม่ถอย จะพ้นแน่นอน มันเป็นของมันเดี๋ยวนั้น เหมือนว่านิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆ อย่างนี้ความเพียรหยุดไม่ได้เลย นอนก็ต้องบังคับให้นอน เอาพุทโธบังคับ จะให้สงบก็เอาพุทโธบังคับ จะให้มันอยู่เฉยๆ สงบจากสติปัญญาที่หมุนฆ่ากิเลสมันไม่หยุดแหละ มันรุนแรงของมัน ต้องเอาพุทโธๆ บังคับ

สติบังคับพุทโธๆ มันสงบ สงบจะนอนก็นอนได้ สงบจะเป็นสมาธิก็เป็นได้ตอนนั้นนะ ถ้าจะบังคับให้มันอยู่เฉยๆ ให้มันสงบไม่ เพราะสติปัญญามันมีกำลังมากหมุนอยู่ข้างนอก พอปล่อยพับผึงเลย นั่น นี่ละขั้นสติปัญญามีกำลังกล้า ให้ท่านทั้งหลายฟังเสีย ผ่านมาหมดแล้วที่มาพูด ไม่ใช่มาพูดเฉยๆ ถึงขั้นมันแก่กล้าสติปัญญาแก่กล้าเป็นอย่างนั้นเป็นอัตโนมัติ เอาละที่นี่พอ

(ทองคำได้ ๒ บาทครับผม) เอ้อ เท่าไรเอา ๒ บาทก็เอา ๓ บาทก็เอา หรือห้าบาทๆ มา มาเถอะ หนองกะปาดจะมาก็มา เข้าใจไหม ห้าบาทๆ เข้าใจไหม ๕ บาท พวกนี้มันไม่มีวาสนา มันมาเต็มศาลามันไม่มีใครมีวาสนาละพวกนี้.บ้านหนองกะปาดอยู่ติดกับคำชะอี คั่นกันทุ่งนาเล็กๆ เดี๋ยวนี้มันน่าจะถึงกันแล้วหนองกะปาดกับบ้านคำชะอี นี่ละที่ว่า ห้าบาทๆ เข้าใจไหม มันยังไม่เข้าใจ ดูท่ามันยังเซ่อซ่า พวกนี้มันยังไม่เข้าใจเลย เราจะต้องแย็บให้ฟังก่อนนะ มันไม่เข้าใจพวกเซ่อซ่า

คือบ้านหนองกะปาดเขาเลี้ยงวัวฝูงไว้ วัวฝูงนั้น เมื่อพ่อค้าเขาไปติดต่อเขาก็ไปซื้อที่เจ้าของเลี้ยงวัวฝูงไว้นั้น ทีนี้พ่อค้าเขาจะให้ตัวละ ๓ บาท แต่เจ้าของนั่นจะเอาตัวละ ๔ บาท ทางนั้นให้เขา ๓ บาท ทางนี้ก็ ๔ บาทเรื่อยๆ เข้าใจไหมล่ะ พูดมันต้องยกตัวอย่างให้ชัดเจนซี ไม่ชัดเจนพวกนี้มันโง่ มันดูไม่ออกฟังไม่ออก เพราะฉะนั้นจึงต้องได้ทำให้ชัดเจน กอไก่ กอกา สระอิ สระอา มาพร้อมกันหมดมันถึงจะเข้าใจใช่ไหม เจ้าของผู้ขายวัวมันนั่งชันเข่า มันปล่อยหำไว้นี่น่ะ เรื่องจริงมันเป็นอย่างนั้นว่าไง อันนี้เขาก็มาซื้อวัว เขาจะให้ตัวละ ๓ บาท ทางนี้ก็ ๔ บาทๆ พอดีเมียมันขึ้นมา มันนั่งอยู่ชานกับลูกค้าที่เขามาซื้อวัว พอขึ้นมามาเห็นผัวนั่งชันเข่า ปล่อยหำเข้าใจไหม ปล่อยหำ เมียมันเห็นมันอายซิเมีย เมียขยิบตาใส่ปั๊บ เข้าใจไหมล่ะ มันเห็นหำผัวละมันอายเขา ขยิบตาใส่ผัว

ผัวนึกว่าเมียให้ขึ้นราคา พอเมียขยิบตาปั๊บทางนี้ก็ ห้าบาทๆ เลยเมียก็เข้าไปในห้อง อู๊ย ตั้งแต่ ๓ กับ ๔ บาทก็ยังไม่ลงกันได้ ทำไมอยู่ๆ ก็ไป ๕ บาท ๖ บาทยังไงนี่ ไม่เอาแล้วเรา เขาก็ลงไป พอเขาลงไปแล้วเมียก็ออกมา ที่เขาจะซื้อตัวละ ๓ บาทมันก็น่าจะขายให้เขาได้แล้วนี่นะ ก็เธอขยิบตาใส่ฉันว่าให้ขึ้นราคาฉันก็ขึ้นราคาละซิ ไม่ขยิบยังไงปล่อยหำให้เขาเห็น มันอายเขาจะตายแล้ว อู๊ย เสียดาย.เขาไปได้ห้าทวีปแล้ว นี่ละหำนี้หำขาดทุน เข้าใจไหม มันปล่อยหำ หำขาดทุน ไม่ได้กำไร ๔ บาทก็เลยไม่ได้ ยังจะบืนเอา ๕ บาทอยู่ เขาก็เปิดละซี เอาละพอ

 

รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน  FM 103.25 MHz

และเครือข่ายทั่วประเทศ

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก