เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๐
เหมือนสู้เสือด้วยกำปั้น
พระเราอยู่ในวัดนี้เท่าไร การภาวนาของพระก็ไม่ได้ย่อหย่อนไม่ได้อ่อนแอนะ นั่นเขต เราเขียนติดป้ายกั้นเอาไว้ ห้ามเข้า หมาเราก็ไปช่วยเป็นตำรวจ เงือดเงื้อนี้ไว้ ที่ห้ามเข้า ตรงไหนๆ มีป้ายห้ามเข้า หมาเราจะถือค้อนอย่างนี้ตี เพื่อให้พระท่านภาวนาสะดวกๆ ในเขตนี้ห้ามไม่ให้ใครเข้าไป เขตห้ามเข้าๆ คือเขตภาวนาของพระจริงๆ เฉพาะเรื่องปัจจุบันคือตัวเราเอง เราได้เห็นคุณค่าของการภาวนา เพราะฉะนั้นเวลามาเป็นหัวหน้าหมู่คณะ จึงต้องเข้มงวดกวดขันและเข้มแข็งทางด้านภาวนา สอนเน้นหนักลงจุดนี้
จิตนี่เป็นตัวนรกอเวจี เมื่อไม่มีน้ำดับไฟคือการภาวนาหรือธรรมเข้าบังคับแล้ว มันจะยุ่งของมันตลอด ใจดวงนี้ไม่มีคำว่าอิ่มพอ มีแต่หิวโหยตลอด ใจดวงไหนหิวโหยหมด ต้องเอาน้ำดับไฟได้แก่ธรรม เวลามีธรรมเข้าเป็นน้ำดับไฟแล้วสงบๆ พอใจสงบจิตก็เริ่มสบาย สบายเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงขั้นฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติของธรรม อันนี้ก็เป็นเครื่องบอกในตัวเองที่เป็นมา แต่ก่อนก็ไม่ได้คิด ทั้งกิเลสทำงานบนหัวใจสัตว์โดยอัตโนมัติ และธรรมทำงานฆ่ากิเลสบนหัวใจสัตว์โดยอัตโนมัติ
ทั้งสองนี้เราไม่ได้คิดแต่ก่อน ไม่ได้คิดเลย ทั้งๆ ที่มันเป็นอยู่หัวใจเรา เรื่องของกิเลสหมุนหัวใจเป็นตลอด แต่ว่าธรรมที่จะหมุนกิเลสไม่ได้คิด ทีนี้เวลาภาวนาเข้าไปๆ พอจิตสงบเข้าไปด้วยบทภาวนา คือเอาธรรมเข้าไปบังคับ ห้ามไม่ให้จิตทำงานอื่น คิดปรุงเรื่องอื่นเรื่องใด ห้ามหมด ให้เอางานของธรรม เช่นงานบริกรรมมีพุทโธก็ได้ ธัมโม สังโฆ แล้วแต่จะถนัดติดกับใจ
นี่งานของธรรมที่ทำงานบนหัวใจสัตว์ ทีนี้สงบเข้าไปๆ สติบังคับนะ สติต้องบังคับ เมื่อบีบบังคับไม่ให้กิเลสเข้าไปทำงานบนหัวใจ มีแต่ธรรมทำงาน ก็สงบลงๆ จิตที่ว้าวุ่นขุ่นมัวทั้งวันทั้งคืน ดีไม่ดีนอนไม่หลับ ก็กลับตัวสงบได้ด้วยน้ำดับไฟคือธรรม ภาวนาบริกรรม นี่ละธรรมคำภาวนานั่นเป็นบทธรรม ความคิดความปรุงของกิเลสเป็นเรื่องของกิเลส นี้เป็นเรื่องไฟเผาหัวใจ เรื่องธรรมเป็นคำบริกรรมนี้ ความระลึกถึงธรรมนี้เป็นน้ำดับไฟ ดับลงไปตรงนั้นๆ แล้วจิตก็สงบเย็น
การฝึกเบื้องต้นต้องเอาหนักนะ คือกิเลสมันรุนแรง รุนแรงมากเห็นประจักษ์เลยจนน้ำตาร่วงบนภูเขา เคยมาเล่าให้ฟังแล้วนี่ เป็นกับเราเองนะ คือสู้มันไม่ได้เลย ไม่มีทาง เหมือนเราสู้เสือด้วยกำปั้นนั่นละ เสือมันมีอะไร เล็บมันก็เป็นอาวุธ ตาก็เป็นอาวุธ เขี้ยวอะไรๆ ตัวของมัน ลวดลายของมันเป็นอาวุธทั้งหมด เราสู้มันด้วยกำปั้น สู้เสือด้วยกำปั้น มีแต่มันจะหั่นหอมกระเทียม แล้วค่อยมาสู้เราเข้าใจไหม พอสู้เราเสร็จแล้ว ก็งัดขึ้นใส่หอมกระเทียมคลุกเคล้ากันกินเท่านั้นเอง นี่ละเราสู้กับกิเลสก็แบบเดียวกัน คือกิเลสนี้หั่นหอมหั่นกระเทียมรอเราแหละ กินๆ จนท้องจะแตก ไอ้เรายังยื่นหอมยื่นกระเทียมเข้าไปเรื่อยๆ
เห็นไหมกิเลสบนหัวใจสัตว์ แล้วเวลาเป็นอย่างนั้นมันทุกข์ไหม ทุกข์มากต่อมาก เราจึงว่าไม่มีศาสนาใดที่จะสอนเป็นน้ำดับไฟถูกต้องเหมือนพุทธศาสนา นี่พูดให้ชัดเจน เราได้ผ่านมาแล้วเต็มหัวใจ ตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลาน น้ำตาร่วงอยู่บนภูเขา เราเป็นเองนี่นะ โถ มันเคียดแค้นจริงๆ แต่ความเคียดแค้นอันนี้เป็นธรรม คือความเคียดแค้นให้สัตว์และบุคคลผู้ใดก็ตามเป็นบาปเป็นกรรม ก่อกรรมก่อเวรทั้งนั้น แต่ความเคียดแค้นให้กิเลสที่เป็นภัยต่อตัวเองอยู่ในหัวใจเรานี้เป็นธรรม นี่ละได้ถึงขีดน้ำตาร่วง ที่ได้ธรรมอันนี้ขึ้นมา
เราอยู่บนภูเขาสู้มันไม่ได้ ตั้งสติพับล้มทันทีๆ เลย นี่ละกระแสของกิเลสมันรุนแรง ตั้งๆ ไม่อยู่สติ ตั้งพับล้มผล็อยๆ ตั้งเพื่อล้ม ไม่ได้ตั้งเพื่ออยู่ นี่อำนาจของกระแสของกิเลสมันรุนแรง เป็นแล้วในหัวใจเรา เราจึงได้น้ำตาร่วงบนภูเขา ทีนี้มันก็ขึ้นอันหนึ่งขึ้นมาซิ โห มึงเอากูขนาดนี้เชียวเหรอ นั่น มันเปล่งจริงๆ ไม่ได้ออกพูด มันเป็นในจิต โห มึงเอากูขนาดนี้เชียวเหรอ มึงกูอยู่ในใจ โห มึงเอากูขนาดนี้เชียวเหรอ น้ำตาร่วงอยู่บนภูเขา สู้มันสู้ไม่ได้นี่นะ
นี่ละเวลากำลังของธรรมไม่มี มีแต่กำลังของกิเลส พอตั้งสติพับล้มทันทีๆ จนถึงขนาดน้ำตาร่วงบนภูเขาแล้วก็เคียดแค้น ถึงออกกูมึงเชียวนะ โอ๊ มึงเอากูขนาดนี้เชียวเหรอ เอาละว่างั้นเลย อย่างไรมึงต้องพังวันหนึ่ง ให้กูถอยกูไม่ถอยละ นี่เป็นทิฐิมานะ ความโกรธความแค้นเหล่านี้เป็นธรรมนะ มุมานะฟัดกับกิเลสตั้งแต่น้ำตาร่วงมาจนกระทั่งถึงน้ำตาร่วงบทสุดท้าย ฆ่ากิเลสม้วนเสื่อลงไปบนหลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์นี้ น้ำตาพุ่งเลย ลบล้างกันกับน้ำตาที่สู้กิเลสไม่ได้อยู่บนหลังเขา ถึงขนาดว่าหือ มึงเอากูขนาดนี้เชียวเหรอ
เอาละยังไงมึงต้องพังวันหนึ่ง ให้กูถอยกูไม่ถอย นั่นละเป็นมุมานะ ความเคียดแค้นให้กิเลสอยู่กับตัวเองเป็นธรรมนะ ตั้งแต่นั้นมันก็มุมานะ ซัดกันสุดท้ายก็ไปม้วนเสื่อกันลงที่วัดดอยธรรมเจดีย์ น้ำตาร่วงเหมือนกัน มันเกิดความสลดสังเวชอัศจรรย์ธรรม ธรรมพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ที่บำเพ็ญมาตั้งแต่ต้นถึงขณะนั้นแหละ พุทโธ ธัมโม สังโฆ นี้ติดอยู่ในหัวใจ พอไปถึงนั่นแล้วพุทโธ ธัมโม สังโฆ มาเป็นอันเดียวกัน พอผางขึ้นมาเท่านั้นจ้าหมดเลย โถ อย่างนี้เหรอ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ตรัสรู้อย่างนี้ละหรือๆ มันเป็นอยู่ในหัวใจ ถามพระพุทธเจ้าหาอะไรที่นี่ มันย้ำนะ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ตรัสรู้อย่างนี้ละหรือ อย่างนี้ละหรือ ธรรมแท้เป็นอย่างนี้ละหรือ สงฆ์แท้เป็นอย่างนี้ อ๋อ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง นั่น เป็นแล้วนะนั่น เป็นธรรมแท่งเดียวแล้ว ไหลเข้าไปพุทโธ ธัมโม สังโฆ เป็นกิริยารวมลงแล้วไปสู่ธรรมอันเดียว นี่บทสุดท้ายน้ำตาร่วง ลบล้างกันกับน้ำตาร่วงอยู่บนภูเขาที่สู้กิเลสไม่ได้ ที่นี่น้ำตาร่วงด้วยความอัศจรรย์ด้วยความสลดสังเวชทุกสิ่งทุกอย่าง มันเป็นความดีความชอบทั้งนั้น น้ำตานี้มีราคา น้ำตานั้นเหลวแหลก มาลบล้างกันได้ตรงนั้นแหละ
พูดให้ฟังชัดๆ บรรดาท่านทั้งหลายมาศึกษาอบรมเพื่ออรรถเพื่อธรรม เราแสดงธรรมเต็มหัวใจ ที่ได้ฟัดกับกิเลสมาจนน้ำตาร่วงเราก็ได้พูด หือ มึงเอากูขนาดนี้เชียวเหรอ มันเป็นอยู่ในใจนะ เอาละยังไงมึงต้องพังวันหนึ่ง ให้กูถอยกูไม่ถอยละ นั่นละมุมานะละนะ ซัดกันกับกิเลสจนกระทั่งกิเลสพังบนหลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ น้ำตาพังเหมือนกัน น้ำตาอันนี้ไปลบล้างน้ำตาร่วงบนภูเขา คราวนี้ก็น้ำตาร่วงบนภูเขาฟาดกิเลสขาดสะบั้น ธรรมอัศจรรย์ได้เกิดขึ้น พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันโดยหลักธรรมชาติแล้วที่นี่
หือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง นั่นมันเป็นแล้วนั่นน่ะ เราไปถามใคร ไม่ไปถามใครเลย อ๋อ ธรรมแท้เป็นอย่างนี้เป็นอันเดียวกันว่างั้นเลย พุทโธ ธัมโม สังโฆ เป็นแขนงๆ ของธรรม เสร็จแล้วก็ลงธัมโมอันเดียว นั่นละที่นี่น้ำตาร่วงด้วยความอัศจรรย์ลบล้างน้ำตาร่วงบนภูเขาที่สู้กิเลสไม่ได้ นี่น้ำตาร่วงด้วยกิเลสม้วนเสื่อให้เห็นประจักษ์ใจลบล้างกันได้ น้ำตาออกสองครั้ง ครั้งหนึ่งสู้กิเลสไม่ได้ ครั้งที่สองสุดท้ายนี้กิเลสพัง
น้ำตาร่วงบนภูเขาหลังวัดดอยธรรมเจดีย์เราลืมเมื่อไร เพราะไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย มันเหมือนฟ้าดินถล่ม ร่างกายนี้พุ่งเลย มันเป็นของมันเอง อยู่ธรรมดาเรานี้มันดีดของมันพุ่งเลย เพราะความรุนแรงของกิเลสกับธรรมที่ขาดสะบั้นจากกัน รุนแรงขนาดนั้นละ แต่ว่าฟ้าดินถล่มนี้เราก็ว่าไปธรรมดา มันถล่มอยู่ในระหว่างจิตกับกายในขันธ์นี้ละ มันรุนแรงมันพุ่ง ร่างกายจนดีดผึงเลยเชียว มันรุนแรง ทีนี้มันก็กระเทือนเหมือนกับว่าฟ้าดินถล่ม มันรุนแรงของมันมากเหมือนกัน
นี่ละการปฏิบัติธรรมเห็นผลมาเป็นลำดับลำดา สวากขาตธรรมเป็นอกาลิโก ให้ผลทุกเวลาของผู้บำเพ็ญ กิเลสก็เป็นอกาลิโกเหมือนกัน ให้ผลทุกเวลาของผู้วิ่งตามกิเลส เป็นทุกข์ตลอดไป ผู้บำเพ็ญธรรมก็เป็นสุขเรื่อยๆ ไปอย่างนั้นละ เอาจนถึงกิเลสขาดสะบั้นน้ำตาร่วงเหมือนหนึ่งว่าฟ้าดินถล่ม มันเป็นอยู่ในจิต ระหว่างกิเลสกับธรรมอยู่ในจิตอันเดียวกันขาดสะบั้นจากกันนี้พุ่งเลย รุนแรงมากสำหรับเรา เราพูดจริงๆ ใครเป็นยังไงเราก็ไม่สนใจ มันเป็นที่เราเป็นที่ประจักษ์ทุกอย่าง สนฺทิฏฺฐิโก ขั้นสุดยอดขั้นสุดท้ายอยู่ที่นั่นแหละ ผางขึ้นนั่นละ สนฺทิฏฺฐิโก เห็นผลงานของตนว่าสมบูรณ์แบบเต็มที่แล้ว วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ การประพฤติพรหมจรรย์ คือการฆ่ากิเลส ข้าศึกใหญ่โตที่สุดคือการฆ่ากิเลสนี้ได้สิ้นสุดลงไปแล้ว กิเลสม้วนเสื่อแล้ว
ตั้งแต่บัดนั้นมาก็ไม่เคยเห็นกิเลสตัวใดมาแสดงให้เห็น ว่า หือ กูนึกว่ามึงตายไปตั้งแต่โน้นแล้วมึงโผล่หน้าขึ้นมาอยู่เหรอ ให้ได้ต่อสู้กันอีก ไม่เคยมีเลย นั่นจึงเรียกว่า วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว คือการประพฤติปฏิบัติธรรมฆ่ากิเลสได้สิ้นสุดลงไปแล้ว เมื่อกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้ว งานทั้งหมดสิ้นสุดลงจุดนั้น ไอ้งานนอกงานนาอะไรนี้ไม่สำคัญ แต่งานฆ่ากิเลสเป็นงานสำคัญมาก
วันนี้ได้สอนเต็มเม็ดเต็มหน่วยให้ท่านทั้งหลายฟัง ถอดออกจากหัวใจมาสอน ไม่ได้ไปลูบคลำเอาที่ไหน ถอดออกมาจากนี้เลย น้ำตาร่วงบนภูเขาสู้กิเลสไม่ได้ก็ถอดออกมาจากนี้ น้ำตาร่วงบนภูเขาที่กิเลสพังก็ถอดออกมาจากหัวใจ นี่ละกำลังของธรรมถ้าเอาอย่างรุนแรงกิเลสพัง
นี่ละการปฏิบัติธรรมที่ท่านว่า แต่ก่อนเราไม่ได้คิดว่ากิเลสทำงานบนหัวใจสัตว์เป็นอัตโนมัติ ตา หู จมูก ลิ้น กาย จิต สัมผัสสัมพันธ์อะไรกิเลสจะออกทำงานทันทีๆ ตามธรรมดาของมันมันก็คิดก็ปรุงเป็นเรื่องของกิเลสทั้งนั้น เป็นอัตโนมัติตลอดเวลาในหัวใจสัตว์ นี่เราก็ไม่เคยคิด แต่เวลาธรรมได้เป็นอัตโนมัติ ธรรมมีกำลังกล้าแล้วเป็นแบบเดียวกัน ธรรมแก้กิเลสอยู่ที่ไหนแก้ตลอด ยืน เดิน นั่ง นอน เว้นแต่หลับ บางทีกลางคืนนอนไม่หลับเลยมันฟัดกัน เจ้าของนอนธรรมกับกิเลสฟัดกันอยู่บนหัวใจไม่นอนนะ มันหมุนของมัน นอนมันก็ซัดกันอยู่ นั่งภาวนาก็รู้แล้วว่าขึ้นเวทีซัดกันอยู่ อยู่อิริยาบถไหนซัดกันอยู่ สุดท้ายนอนไม่หลับตลอดรุ่งก็มี
กลางวันก็ยังจะไม่หลับ ต้องบังคับให้หลับด้วยพุทโธ นี่ก็สอนท่านทั้งหลายแล้ว เวลาอำนาจของสติปัญญาที่เป็นอัตโนมัติมันหมุนของมันแล้วนี้ไม่มีรอเลย อยู่ที่ไหนก็เป็นภาวนามยปัญญา สติปัญญาหมุนติ้วเพื่อฆ่ากิเลส แม้ที่สุดฉันจังหันนี้มันไม่ได้อยู่กับลิ้นกับปากนะ มันอยู่ลึกๆ อยู่ภายใน มันหมุนของมันอยู่ นี่ละความเพียรอัตโนมัติ หรือสติปัญญาอัตโนมัติ ฆ่ากิเลสเป็นอัตโนมัติฆ่าอย่างนี้แหละ อยู่ที่ไหนฆ่าตลอดๆ
ถึงกาลเวลาธรรมะมีกำลังฆ่ากิเลสแล้วฆ่าตลอดเหมือนกัน จนกระทั่งกิเลสม้วนเสื่อลงไปพรึบหมด ทีนี้เรื่องสติปัญญามหาสติมหาปัญญาเป็นเครื่องมือทั้งนั้น พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้วอันนี้เป็นอันว่าหมดปัญหาลงไปด้วยกัน ไม่ได้ว่าจะปล่อยจะวางละกำหนดในจิตไม่มี เป็นอันว่าหมดภาระไปเลย นั่นเสร็จสิ้น นี่ละฆ่ากิเลส จากนั้นแล้วก็แสนสบายอยู่บนหัวใจที่บริสุทธิ์สุดส่วนนั้นแหละ ในโลกนี้ไปหาความสุขที่ไหนไม่มี หาได้ที่จิต ความทุกข์ก็เหมือนกันโลกกว้างแสนกว้างมารวมอยู่ที่หัวใจสัตว์โลก ที่กิเลสมันสร้างฟืนสร้างไฟเผาอยู่ตลอดเวลา ทีนี้เวลาน้ำดับไฟฟาดกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้วเป็นบรมสุขอยู่ในหัวใจมีตลอดเวลา ยืน เดิน นั่ง นอน ไม่กำหนดอิริยาบถเป็นธรรมชาติอยู่อย่างนั้น เมื่อกิเลสสิ้นแล้วก็เป็นบรมสุขตลอดกาล ไม่มีอิริยาบถเลย ถึงนิพพานก็เป็นบรมสุขอยู่นั้น เรียกว่านิพพานเที่ยง
อย่างนั้นซิการบำเพ็ญธรรม มาพูดปาวๆ แปวๆ เฉยๆ เรียนมาจากคัมภีร์ใบลานเรียนไปเรียนมามันก็เป็นหนอนแทะกระดาษอยู่บนคัมภีร์ เรียนแล้วเอาความจำมาเป็นสมบัติของตัวเอง เป็นได้ยังไงประสาความจำ ความจริงคือภาคปฏิบัติต่างหากผลเกิดขึ้นมาพอรู้ปั๊บๆๆ นี้เป็นของเราด้วยๆ ในขณะนั้นจากการปฏิบัติของเรา แต่ความจำจำมาเฉยๆ เพื่อเป็นปากเป็นทางในการปฏิบัติ ถ้าเอาความจำมาเป็นสมบัติตายทิ้งเปล่าๆ นั่นแหละ
ทิฐิมานะกิเลสตัณหาจะกองอยู่กับผู้ที่เรียนสูงๆ เรียนมากๆ นั่นละไม่ได้อยู่ที่ไหน เวลาธรรมฟาดขาดสะบั้นลงไปแล้วความเรียนสูงเรียนต่ำไม่มีปัญหาอะไร อันนี้จ้าครอบไปหมดแล้ว ไม่ได้มีคำว่าสูงว่าต่ำ ความพอดิบพอดีแบบอัศจรรย์อยู่ที่หัวใจที่บริสุทธิ์แล้วทั้งหมด ลงที่จุดนี้แห่งเดียว ให้พากันจำเอา พูดไปพูดมาเหนื่อยแล้ว เอาเท่านั้นละ
รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
และเครือข่ายทั่วประเทศ |