เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๔ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐
ขวางธรรมไม่เจริญ
ก่อนจังหัน
เอาให้จริงให้จังนะพระเณรเรา การปฏิบัติทางด้านจิตตภาวนาผมถือเป็นที่หนึ่งเท่านั้น อย่างอื่นไม่สำคัญอะไรเลย สำคัญเรื่องการภาวนา สติจับให้ติดเก็บให้ติด ตั้งได้ ลงสติได้เข้าจุดไหน ตั้งได้ๆ ทั้งนั้น สตินี่สำคัญมาก ผมได้มาพูดให้ฟัง คือว่าจิตผมเจริญแล้วเสื่อมๆ ปีกับห้าเดือน ดันเข้าไปแทบเป็นแทบตาย ๑๔-๑๕ วัน ไปอยู่ได้เพียง ๒-๓ คืน ถอยกรูด.หมดตัวเลยๆ โห ทนทุกข์ทรมานมากนะ จิตเสื่อมนี่ทุกข์มาก คือเสียดาย ทำยังไงได้ขึ้นไปแล้ว ได้ไปแล้วลงๆ ปีกับห้าเดือน ที่มันขึ้นทีแรกเป็นทีแรก ก็เราไม่เคยเป็นจึงไม่รู้จักวิธีรักษา มันจะเสื่อมจะเจริญอะไรก็ตายใจซิ บทเวลามันเสื่อมให้เห็นนิดหนึ่งเท่านั้นโดดออกเลย ฟาดเสียปีกับห้าเดือน
เจริญแล้วเสื่อมๆ อยู่ปีห้าเดือน จึงได้มาทดสอบพิจารณาเรื่องภาวนามันเป็นยังไง ดันเข้าไปแทบเป็นแทบตาย ๑๔-๑๕ วัน ไปถึงขั้นนั้นแล้ว อยู่ได้สองสามคืนหมุนติ้วลงเลย ไม่มีอะไรห้ามอยู่ เอ๊ มันจะเป็นอะไรนา พิจารณาสังเกตอยู่ตลอด เราก็ทำความเพียรจะตายแล้วนะ ปีกับห้าเดือนแล้ว ก็เป็นอย่างนี้ตลอดมา มันจะไม่มีทางเปลี่ยนแปลงบ้างหรือ อุบายวิธีการที่จะทำให้มันเปลี่ยนแปลง เพื่อความเจริญขึ้นแล้วไม่เสื่อม มันไม่มีเหรอ ถามเจ้าของ ฐานของจิตที่เจริญนี้คืออะไร ท่านแสดงไว้แล้วว่าสติ การเรียนปริยัติก็จับได้มา สติ สพฺพตฺถ ปตฺถิยา สติจำต้องปรารถนาในที่ทั้งปวง เลยยึดเอานี้มา
ยึดมาแล้วก็ เอ้า ตั้งใหม่ เรากำหนดจิตเฉยๆ เอาสติจับไว้เผลอได้ ทีนี้เอาแบบใหม่ เอาคำบริกรรมจับติด สติจับคำบริกรรมไม่ให้เผลอ แต่มันจริงจังนะ ไม่ค่อยเหมือนใครง่ายๆ ว่าอะไรเป็นอันนั้นเลย จับติดๆ ทีนี้เอาๆ คราวนี้เอาอันนี้ก่อน มันจะเป็นยังไงให้รู้กัน จะไม่ยอมให้เผลอสติ จับคำบริกรรม คำบริกรรมติดกับจิต เอาละเป็นอันว่าตกลงกัน พอว่าตกลงก็เหมือนว่าระฆังดังเป๋งนะ ปึ๋งสติไม่ให้เผลอเลยตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับ เผลอไม่ได้ว่างั้นเลย
ก็เดชะตอนนั้นเราอยู่คนเดียว พ่อแม่ครูจารย์ไปจากนาสีนวนไปเผาศพหลวงปู่เสาร์ ท่านบอกว่า ให้ท่านมหาอยู่นี้นะ จะกลับมาหา อยู่คนเดียวก็ยิ่งสนุกละซิ ทั้งวันทั้งคืนไม่ให้เผลอเลย ตั้งๆๆ ไม่หยุดไม่ถอย ถึงขั้นเจริญหรือเสื่อมนี้ปล่อยเลย เพราะเราเคยเสียดายเรื่องความเจริญแล้วเสื่อม เสียดายมาเท่าไรก็มีแต่กองทุกข์ไม่สมหวัง คราวนี้ เอา อะไรจะเสื่อมให้เสื่อมไป เจริญให้เจริญไป แต่คำบริกรรมกับสติจับติดกับจิตนี้ไม่ยอมให้เผลอ เอาเท่านั้นแหละ เอา อะไรจะเจริญให้เจริญไป อะไรจะเสื่อมเสื่อมไป ทอดอาลัยตายอยากหมด จะมีตั้งแต่คำบริกรรมติดกับจิต แล้วก็สติจับอันนี้ เอาเท่านี้ละเอา เป็นยังไงให้รู้ เอาเลยนะ
เหมือนว่าระฆังดังเป๋งจับปุ๊บเลย ไม่ให้เผลอตั้งแต่ตื่นนอนพับจนกระทั่งนอนหลับ ไม่ให้เผลอเลย ก็อยู่คนเดียว ฟัดกันอยู่นี้ ๓-๔ วันนะ ทีแรกนี้มันดันออกเหมือนอกจะแตก มันอยากคิด สังขารอวิชชาดันมันออกไป สังขารเป็นสมุทัย อวิชชาดันออก มันอยากคิดอยากปรุง อยากรู้อยากเห็น งานนั้นเป็นงานกิเลส ทีนี้คำบริกรรมของเราเป็นงานของธรรม สติเป็นงานของธรรมจับติดอยู่ตรงนี้ไม่ให้ไป ไม่ให้คิด ให้คิดแต่พุทโธ เอาๆ อย่างนั้น เราติดพุทโธ ไม่ปล่อยพุทโธกับสติติด ต่อไปก็ค่อยเจริญขึ้นๆ ปล่อยเลย เอา จะเสื่อมๆ แต่อันนี้ไม่ยอมปล่อย ตั้งไปจนกระทั่งถึงจิตเข้า เวลาถึงที่มันแล้วจิตบริกรรมไม่ได้นะ นี่ละเรียนให้ถึงที่มัน พุทโธๆ บริกรรมๆ เวลาละเอียดเข้าไปจริงๆ นี่ พุทโธเป็นธรรมแท่งเดียว ปรุงไม่ออก ปรุงไม่มีเลย
แล้วทำไง สงสัย พุทโธๆ ติดแนบกันมาตลอด แต่มาถึงขั้นนี้แล้วพุทโธออกไม่ได้ ไม่ปรุง ปรุงเท่าไรก็ไม่ออก แต่จิตนี่ละเอียดมากนะ มันหยุดแล้วนั่น มันหยุดทำงาน พุทโธก็หยุดพักแล้วนั่น จิตเข้ารวมพัก เอา มันคิดไม่ได้ก็ไม่ต้องคิด แต่สติจะจับอยู่กับความรู้อันนี้ เพราะความรู้อันนี้มันละเอียด จับไว้นี้สติติดแนบ เอา มันเคลื่อนไหวจะเป็นยังไง มันก็เหมือนเด็กตื่นนอน พอนอนได้ที่แล้วก็ยิบแย็บๆ ขึ้นมา พอยิบแย็บๆ พุทโธได้ ใส่พุทโธได้ ได้แล้วก็ติดกันเลยเรื่อยๆ
นี่ละเวลาจิตมันเข้าเต็มที่แล้วนี้บริกรรมไม่ได้นะ ไม่มีคำบริกรรม นึกไม่ออกเลย เหลือแต่ความรู้ที่ละเอียด แน่ว สติจับไว้นั้น พอมันคลี่คลายออกมาแล้ว จับพุทโธเข้าใส่เลยอย่างนั้นๆ ทีนี้พอไปถึงขั้นที่มันเคยเจริญแล้วเสื่อมลง ไปถึงนั้นแล้ว เอาๆ เสื่อมไป แต่เราจะไม่ปล่อยพุทโธ คำบริกรรมกับสติไม่ปล่อย เอา จะเสื่อมลงไปให้เสื่อม อันนี้ละมันสร้างความทุกข์ลำบากให้เรามากมายก่ายกอง เราไม่อยากให้มันเสื่อม แต่มันเสื่อมต่อหน้าต่อตา เอาๆ เสื่อมไป นั่นละมันเด็ดต่อเด็ด แต่พุทโธจะไม่ปล่อย
พอถึงนั้นแล้วไม่สนใจ เอาๆ เสื่อมไปไม่เสียดาย ขึ้นเรื่อยๆ ไปถึงนั้นแล้วไม่เสื่อมนะ ค่อยขยับขึ้นๆ แน่นขึ้นๆ พอมาถึงที่เคยเสื่อม ไม่เสื่อม เข้าใจนิดหน่อยแล้วว่าถูกต้องแล้ว ขยับเลยขยับใหญ่ ทีนี้ขึ้นเลย ไม่เสื่อมอีก จึงแน่ใจว่า โอ๋ นี่มันเผลอสติตรงที่เราไม่มีคำบริกรรม กำหนดเฉพาะจิตเฉยๆ เผลอได้ เพราะฉะนั้นจึงได้บอกหมู่เพื่อน ใครอยู่ในขั้นคำบริกรรม สติให้ติดกับคำบริกรรมอย่าให้เผลอ ตั้งฐานได้ไม่สงสัย ถ้าจิตเข้าสู่สมาธิ เป็นจุดความรู้เด่นๆ ให้สติจับอยู่นั้นอีกเป็นระยะๆ สติปล่อยไม่ได้นะ ยิ่งเข้าขั้นปัญญา สติกับปัญญามันเป็นอันเดียวกัน พุ่งๆ
นี่ละสอนหมู่เพื่อน เราจะสอนเวลานี้เท่านั้น นอกนั้นไม่มีเวลาจะสอน ให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัตินะ ที่สอนมาแล้วนี้ไม่ผิด เราผ่านมาแล้วทั้งนั้น ทดสอบกันเต็มที่เต็มฐาน ได้ผลมาเป็นที่พอใจแล้วจึงได้มาสอนหมู่เพื่อนด้วยความแน่ใจ ให้พากันไปตั้งใจปฏิบัติ พระเณรมาอยู่กับผม ผมไม่ได้มุ่งกิจการอย่างอื่นอย่างใดจะวิเศษยิ่งกว่าธรรม คือ จิตตภาวนานะ ให้มุ่งต่อจิตตภาวนา
การทำความเพียรหรือการพร้อมเพรียงสามัคคีกันนี้ ยกให้วัดป่าบ้านตาดเป็นที่หนึ่งมาแต่ไหนแต่ไร ไม่เคยขาดสามัคคี ทำงานทำการอะไรพร้อมปึ๊บๆ ปัดกวาดเช็ดถูอะไรๆ นี้เรียกว่าพร้อมกันมาตลอดตั้งแต่สร้างวัด ไม่เคยได้ต้องติสิ่งเหล่านี้ หากจะต้องติอยู่บ้างก็ความเผลอสติ ภาวนาไม่ค่อยดีไม่ค่อยได้รากได้ฐาน เพราะเผลอสตินั่นแหละ ให้จับสตินี้เข้าไปหนุนนะ แล้วจะเป็นขึ้นได้ เจริญได้ ถ้าลงสติจับเข้าจุดไหนแล้วนั้นละเป็นธรรมเครื่องหนุนได้เป็นอย่างดี เจริญขึ้นไปๆ เรื่อยๆ สติเป็นสำคัญ เอาละให้พร
หลังจังหัน
เราพยายามขนทองคำเข้าคลังหลวงเราได้น้อยเมื่อไร ไม่ได้น้อยนะ ตั้งแต่ตั้งเมืองไทยเรามาก็ดูจะมีครั้งนี้ละครั้งหนึ่ง แต่ไม่ใช่โอ้ใช่อวดนะ ที่มันเด่นปรากฏว่าครั้งนี้ละที่ได้ทองคำเข้าคลังหลวงตั้ง ๑๑,๕๗๒ กิโล ไม่ใช่เล่นนะ ได้เยอะนะเข้าคลังหลวงเรา พี่น้องชาวไทยเรารวมหัวกันโดยมีเราเป็นผู้นำ คือถ้าไม่มีผู้นำก็ไม่ทราบจะทำยังไง ไม่มีจุดรวม ไม่มีผู้ดึงผู้ช่วย นี่เราก็ออกช่วย ได้ทองคำตั้ง ๑๑,๕๗๒ กิโล ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนะ นี่ละหนุนคลังหลวงของเรา คลังหลวงเราแข็งเมืองไทยก็แข็ง
ใครเข้ามาทำการค้าการขาย รายได้ทั้งเขาทั้งเราได้ไปได้มาประสับประสานกัน เขามาทำการค้าขายในเมืองไทยเรา เราก็ได้เงินเขา เขาก็ได้เงินเรา การประสานกันนี้ทุกสิ่งทุกอย่างราบรื่นดีงาม อาศัยทองคำเราเป็นพื้นฐานเอาไว้ เมื่อมีทองคำเข้าอยู่คลังหลวงใครก็อยากมาค้าขาย เพราะทองคำเป็นเครื่องพยุงตัวไว้แล้ว หากจำเป็นอะไรทองคำนี้ออกรับๆ ทีนี้ก็สนุกค้าขาย ไปมาหาสู่กันได้สะดวกเพราะทองคำ เราจึงได้พยายามหาทองคำให้มาก
หลวงตาไม่ใช่คนฉลาดอะไร เกิดก็เกิดอยู่บ้านนอกบ้านนา ไม่ได้เกิดอยู่ในตุ่มในไห เกิดมาก็อย่างนี้ละ บวชไปศึกษาไปปฏิบัติไป ดูไปๆ แต่ข้อสังเกตสำคัญอยู่ ตั้งแต่เป็นพระเล็กพระน้อยความสังเกตดีตลอดนะ ไปสถานที่ใดวัดใดสังเกตๆ ตลอดถึงพระเณรในวัดเป็นยังไงๆ สังเกตเรื่อยมา อุตส่าห์พยายามขวนขวาย เฉพาะอย่างยิ่งเมืองไทยเราปี ๒๕๔๐ จะจม เรากระเทือนใจหนักนะปีนั้น คิดย้อนหน้าย้อนหลังถึงปู่ย่าตายายเรา ที่พาถ่อพาพาย พาลูกพาหลานถ่อพายมาด้วยความสงบร่มเย็นสมบูรณ์พูนผลเรื่อยมาๆ
ทีนี้พอมาถึงจุดนี้ ลูกหลานมีมากมีน้อยแทนที่จะส่งเสริมชาติไทยของเราให้เจริญรุ่งเรืองแน่นหนามั่นคงขึ้น กลับทรุดลงๆ นี่ละที่เราคิดมาก ถ้าอย่างนั้นลูกหลานเกิดขึ้นมาก็มาผลาญพ่อผลาญแม่ละซิ ไม่ได้มาพยุงพ่อแม่ให้เจริญรุ่งเรือง สมกับที่ว่าแม่พาถ่อพาพายมา แล้วจะทำยังไง เขาก็ดูถูกกันทั้งประเทศ ทั่วโลกเขาดูถูกเมืองไทยเรา ตั้งแต่ปู่ย่าตายายพามาเขาไม่ได้ดูถูก แต่เวลาลูกหลานไทยเข้ามานี้ถูกเขาดูถูกเหยียดหยามเป็นไปได้ยังไง
เราคนไทยทุกคนในเมืองไทย เขาดูถูกเขาดูถูกทุกคน แล้วทำไมเราจะฟื้นตัวของเราไม่ได้ เราก็คนเขาก็คน เอาละที่นี่ นั่นละจึงได้พาพี่น้องทั้งหลายก้าวเลย ก็ได้สมมักสมหมายพอประมาณ การค้าขายก็ค่อยสะดวกสบาย เงินทองข้าวของก็ค่อยไหลเข้ามา เฉพาะอย่างยิ่งดอลลาร์เข้าคลังหลวงเพียง ๑๐,๒๑๔,๖๐๐ ดอลลาร์ ส่วนทองคำร้อยทั้งร้อยเข้าหมด ไม่ให้ปลีกให้แวะรั่วไหลไปไหนเลยเด็ดขาด ทองคำก็ได้ตั้ง ๑๑,๕๗๒ กิโล มาก
บ้านอื่นเมืองอื่นเขาก็มาค้าขาย เขามีหวังอยู่กับเรา เรามีเครื่องประกันตอบรับกัน ติดหนี้ติดสินทองคำเป็นเครื่องยันเอาไว้ๆ ทีนี้การไปมาหาสู่ซื้อขายเขาก็เอาเงินมา เราก็เอาเงินไป ต่างคนต่างประสับประสานกัน คนหนึ่งได้หนึ่งๆ การทำมาหาเลี้ยงชีพก็คล่องตัวๆ เงินก็ไหลไปตามความคล่องตัวของการค้าขายนี่แหละ มันก็ค่อยเป็นไปอย่างนี้
เราพยายามที่สุด อะไรที่เป็นวิสัยของโลกที่จะช่วยได้แค่ไหน เราพยายามช่วย ให้อุบายต่างๆ นานา นำหลายแบบหลายฉบับ เฉพาะอย่างยิ่งธรรมะเป็นสำคัญ ธรรมะเข้าสู่ใจแล้วใจจะฟื้นตัวเอง การเป็นอยู่ปูวายการใช้สอยอะไรเหล่านี้มันจะไม่เลยเถิดเตลิดเปิดเปิง จะรู้จักประมาณ การอยู่การกินการใช้การสอย มองดูเขาดูเรามองเต็มตัว เรามองเขามองเต็มตัว เขามองเราก็มองเต็มตัว รายได้รายเสียมีเท่าๆ กัน สติปัญญาของเรามียังไงออกใช้เพื่อรักษาชาติไทยของเรา นั่น ชาติไทยเป็นชาติที่มีเกียรติ เป็นเมืองขึ้นของใครเมืองไร เราก็ต้องรักษาหน้าของปู่ย่าตายายของเราเอาไว้ นอกจากรักษาลูกหลานไทยทั้งประเทศแล้ว ยังรักษาปู่ย่าตายายของเราที่พาถ่อพาพายมาได้เหมือนกัน ด้วยการขวนขวายของเรา
อย่าพากันลืมเนื้อลืมตัวฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม เมืองไทยเราเป็นเมืองสมบูรณ์พูนผลมาตั้งแต่ปู่ย่าตายาย ไม่อดอยากขาดแคลน เป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำเรื่อยๆ มา ทีนี้พอมาถึงลูกหลานไทยมันลืมตัว คว้านั้นคว้านี้ไม่มองดูปู่ย่าตายายของตัวเองที่พาอยู่พากินพาเป็นไปมาเรื่อย ไม่ได้ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมนะปู่ย่าตายายของไทยเรา แต่ลูกหลานมันฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม อะไรมาคว้ามับๆ ก็พวกลูกหลานนี่ละทำลายชาติทำลายปู่ย่าตายายของตัวเองเสียเอง ให้พากันคิดนะเรื่องเหล่านี้ สอนนี้สอนให้คิด เงินมีอยู่กับกระเป๋าเราเราจะเอาให้คว่ำกระเป๋าเลยก็ได้ในวันเวลาเดียวเท่านั้นก็หมด ถ้าเราไม่ประหยัดรักษาด้วยเหตุด้วยผล ถ้าเราประหยัดรักษาด้วยเหตุด้วยผล การจับจ่ายด้วยเหตุผล ก็คงเส้นคงวาพออยู่พอเป็นพอไป ถ้ามีแต่ความฟุ้งเฟ้อหมด เป็นเศรษฐีก็หมดถ้าไม่รู้จักประมาณ ความรู้จักประมาณนี้เป็นสมบัติอันล้นค่ารักษาหัวใจเรา นอกจากนั้นยังรักษาหน้าที่การงานให้เป็นไปด้วยความพอดิบพอดี ให้พากันคิดนะเรื่องเหล่านี้
ทางศาสนาก็ไม่มีใครที่จะสันโดษมักน้อยยิ่งกว่าพระพุทธเจ้านะ เห็นไหมพระท่านนั่งครองจีวรฉันอยู่นั่น จีวรทั้งปะๆ ชุนๆ เหมือนเสือโคร่งเสือดาว นั่นละศาสดาของเราพาเป็นมาอย่างนั้น อันนี้เราก็เคยเป็นมาแล้ว มานี้มันหรูหรานะ ตั้งแต่ออกเที่ยวกรรมฐานนี้ โฮ้ เอาจริงเอาจังมากนะนี่ทำอะไรทำจริง ผ้านี่มองไปดูนี้เหมือนเสือโคร่งเสือดาว ทั้งปะทั้งชุนเต็มเนื้อเต็มตัว ไปตากบ้านสามผงเรายังไม่ลืม เราไปเที่ยวไปพัก คือถึงเวลาที่จะซักสบงจีวรก็เข้าไปสำนักใหญ่เสีย ซักจีวงจีวรแล้วก็ออกเที่ยว นี่พอดีสบงจีวรควรจะซักแล้วก็เลยไปวัดบ้านสามผง ท่านอาจารย์บุญมาท่านเป็นสมภารอยู่นั้น
เวลาซักซักหมดเลย พอซักแล้วก็ออก พอไปซักผ้าแล้วผ้าของเราก็ตากไว้นั้น ท่านอาจารย์บุญมาเรียกพระมาทั้งวัดเลยนะ นู่นน่ะประจักษ์ต่อหน้าต่อตาของเรา นี่ดูซิ มหานะนี่ เห็นไหมดูผ้าซิ ผืนไหนๆ ดู ตากไว้นี้เป็นยังไง เหมือนเสือโคร่งเสือดาวลายเต็มตัว ทั้งปะทั้งชุนเต็มไปหมด มาดู ท่านเรียกพระให้พระเณรมาดูจริงๆ นี่ดู ท่านเป็นมหานะนี่เห็นไหม เรามหามะแหที่ไหนมันจึงโก้เก๋มันได้เรื่องได้ราวอะไร นี่มาดูซิ ให้พระเณรมาดูจริงๆ เราไม่ลืมนะ เป็นยังไงตากไว้นี่ ท่านมาซักผ้านี้ เดี๋ยวท่านก็จะเข้าป่าอีกแล้ว ให้ดู
มันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เรา มาหรูหราเอาตอนนี้ละ คือปล่อย ไม่ใช่ว่าเป็นความฟุ้งเฟ้อนะ มันปล่อยไปธรรมดามัน อันนั้นก็ไหลเข้ามาอันนี้ก็ไหลเข้ามา เมื่อวานนี้ก็ไหลเข้ามานี้ รถยนต์สองคันสามคัน จะให้เราขับรถยนต์เที่ยววัดในวา ไปนอกวัดก็พอแล้ว นี้เตรียมรถยนต์ภายในวัดให้เราเที่ยวนี้มาอีก เราก็ขู่เอาบ้างเมื่อวานนี้ ก็เราไม่บวชมาหารถยนต์นี่นะ เราบวชมาหาอรรถหาอรรถหาธรรม เขาจะซื้อรถยนต์ให้เรากี่คันเราไม่เคยเอานะ ที่นำมาใช้อยู่นี้ นั่นซื้อมาให้เราเราไม่เอา เขาก็เป็นเจ้าของ เขาอยู่กรุงเทพนะรถที่เราใช้อยู่นี้ เราเอารถเขามาใช้
คือเอามาถวายเราเราไม่เอา เราไม่ได้บวชมาหารถยนต์ มาฟุ้งเฟ้ออะไรกับสิ่งเหล่านี้เราว่า ทีนี้เขาก็เอารถยนต์มาให้เราใช้ เราก็เลยเป็นอีกแบบหนึ่งขึ้นมา ทะเบียนบัญชีเจ้าของเขาอยู่กรุงเทพนะนี่รถเหล่านี้ คือเอามาถวายเราเราไม่เอาเลย เขาก็พลิกใหม่ละซิ เขาก็เอาแต่รถยนต์มาใช้ ทะเบียนบัญชีอยู่กับเขาหมดนะรถเหล่านี้ ไม่ได้เป็นของเรานะเป็นของเขา แต่เราใช้วันยังค่ำ ก็เป็นอย่างนั้นละจะให้ว่าไง พลิกอย่างหนึ่งมันก็มาอย่างหนึ่ง มันพลิกหลายเล่ห์หลายเหลี่ยม เราไม่เอาแบบนี้มันก็เอาแบบนี้มาอย่างนั้นละ ตามธรรมดาเราไม่มีที่ว่าฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม มองดูมันขวางตาๆ คือขวางธรรมนั้นแหละ ถ้าอะไรขวางธรรมไม่เจริญ ถ้าให้ขวางกิเลสละดี ขวางกิเลสฟาดกิเลสละดี
อย่างที่ว่านั้น สบงจีวรไปตากที่วัดสามผง ท่านอาจารย์บุญมาเรียกพระมาทั้งวัดเลยนะไม่ใช่ธรรมดา เอา มาดูนี่ๆๆ เห็นไหม นี่มหานะ ทั้งปะทั้งชุนเต็ม สบง จีวร ผ้าอังสะ ผ้านุ่งผ้าห่มอะไรปะชุนไว้หมด เป็นเสือดาวนั่นละด่างเต็ม ท่านให้พระมาดู นี่มาดู มหานะนี่ดูซิน่ะเป็นยังไง พวกเราเป็นยังไงเอาอีกละท่านไล่ ท่านทำเราก็เล่าให้ฟังธรรมดา เราไม่ได้ทำเพื่อความโอ้อวด แต่มาที่นี่มันอะไรก็ไม่รู้นะ อู๋ย ฟุ่มเฟือย อันนั้นขนมาอันนี้ขนมาเลยมองไม่ทัน เราก็ปล่อยตามเรื่อง ทุกวันนี้แบบปล่อยตามเรื่องนะ ใครจะเอาอะไรมาเอาอะไรไปไม่สนใจทั้งนั้น รถยนต์ก็ไม่ทราบว่ากี่คัน มันหากมาหากเป็น
เวลานี้เราปล่อยหมดแล้ว แต่ก่อนก็ปล่อยอีกอย่างหนึ่ง เวลานี้ธาตุขันธ์อ่อนแอลงมานี้ก็ปล่อยอีกแบบหนึ่ง เป็นขั้นๆ ตอนๆ ไป พูดจริงๆ มันไม่ได้คุ้นนะหัวใจดวงนี้ไม่ได้คุ้นกับสิ่งใด ในสามแดนโลกธาตุนี้เราไม่มีที่จะคุ้นกับสิ่งใด ผิดรู้ทันที ถูกรู้ทันที มันจับปั๊บๆ มันหมุนของมันโดยอัตโนมัตินะ ไม่ได้ตั้งใจว่าจะหาจ้อหาคิดหาอ่านนะ พอมองเห็นปั๊บจิตมันจะวิ่งปุ๊บๆๆ ทราบโดยลำดับทั้งผิดทั้งถูกดีชั่ว มันหากเป็นของมันเองถึงขั้นมันเป็น แต่ก่อนไม่เป็น แต่ทุกวันนี้มันเป็นก็บอกว่าเป็น เป็นจริงๆ นอกจากไม่พูดเฉย ถ้าว่าเก็บความรู้สึกเราก็ไม่ได้ตั้งใจเก็บ พอทราบแล้วมันก็หายเงียบไปๆ ถึงเวลาการที่จะนำมาพูดอะไรๆ นี้ถึงออกละ ทีนี้ออกๆๆ แหละ
เรานี้เราพูดจริงๆ เราอยู่สบายๆ คนนั้นจัดนั้นให้คนนี้จัดนี้ให้ยุ่ง เราไม่ชอบ สังขารร่างกายนี้เป็นความสะอาดเมื่อไร ร่างกายนี้มันสกปรกเต็มตัวของมัน ป่าช้าผีดิบคือตัวของเราแต่ละคนๆ เอาความสะอาดสะอ้านมาจากไหน ครั้นเวลาเอาซากผีดิบไปอยู่ที่ไหน ปลูกกุฏิกี่ชั้นๆ สบงจีวรเครื่องใช้ไม้สอยมีแต่หรูๆ หราๆ ฟู่ๆ ฟ่าๆ มาประดับประดาซากผีดิบ พิจารณาอย่างนี้แล้วมันก็ปล่อยซิ พออยู่ได้ก็อยู่ไป สิ่งเหล่านั้นเขาไม่สกปรกเขาสะอาด ร่างกายของเราต่างหากสกปรกมาก อะไรเข้ามาเกี่ยวข้องกับสกลกายนี้ต้องได้ซักต้องฟอกได้เช็ดได้ถู
เพราะร่างกายมันสกปรก แล้วจะหาอะไรมาปรนปรือมันอีก ปรนปรือเท่าไรมันก็ปรนปรือส้วมปรนปรือถานนั่นแหละ ทำใจให้มันสะอาดสะอ้านเสีย เป็นผ้าขี้ริ้วห่อทอง ไปที่ไหนไม่ได้ยุ่งกับอะไรเลย แต่อันนั้นมันจ้าครอบโลกธาตุ นี่ละจิตที่ชำระให้เต็มเหนี่ยวแล้วไม่มีที่ต้องติ หมดที่ต้องติแล้วมันจ้าตลอดเวลา ยืน เดิน นั่ง นอนไม่ละความจ้าตลอดเวลา เพราะจิตไม่มีอิริยาบถ ถ้าลงได้จ้าจ้าตลอดเวลา ท่านว่า อาโลโก อุทปาทิ สว่างจ้าอยู่ทั้งกลางวันกลางคืน ยืน เดิน นั่ง นอน
จิตเมื่อได้ชำระซักฟอกให้เต็มเหนี่ยวแล้วเป็นอย่างนั้น ท่านสอนไว้แล้วในธรรม อาโลโก อุทปาทิ สว่างจ้าอยู่งั้น โลกวิทู รู้แจ้งทุกสิ่งทุกอย่างทั้งภายนอกภายใน บวกลบคูณหาร ได้สัดได้ส่วนทุกอย่าง ท่านไม่ตื่นเต้นท่านไม่เป็นบ้า ไอ้พวกเรานี้พวกบ้า อะไรมาคว้ามับๆ มาตกแต่งให้สดสวยงดงาม สดสวยงดงามอะไรซากผีดิบก็คือตัวของเราเอง เอาอะไรมาตกแต่งเท่าไรมันก็สกปรกไปตามๆ กันหมด เพราะตัวนี้เป็นซากผีดิบตัวสกปรก จะเอาความสะอาดมาจากไหน ถ้าลงมาติดกายลงไปแล้ว ได้ซักได้ฟอกได้ชะได้ล้างเช็ดถูกันตลอดเวลา ยังไม่รู้หรือว่ามันไปจากป่าช้าผีดิบนี่น่ะ พิจารณาให้ดีนะ อย่าพากันเป็นบ้า
สร้างบ้านก็ฟาดมันสักสิบชั้นหรือร้อยชั้นเอาไปแข่งเทวดาเขานู่น สร้างบ้านสร้างเรือนอะไรก็ให้หรูหราฟู่ฟ่าสดสวยงดงามมาประดับป่าช้าผีดิบมันดูได้ไหม นี้พูดตามความจริงนะนี่ ภาษาธรรมเป็นอย่างนี้ อะไรๆ นี้ตกแต่ง ก็คือว่าปกปิดตัวสกปรกเอาไว้ เอาอันนั้นมาครอบเอาอันนี้มาครอบให้เป็นความสะอาดสะอ้านสวยงามน่าดู กิเลสมันก็หลอกกันง่าย หลงกันง่าย โอ้ อันนั้นสวยงามแล้วก็คว้าละซิ เห็นเขาสวยงามเราไม่มีก็คว้าละ ไม่มีจริงๆ ไปหากู้ยืมเขามาสร้างบ้านสร้างเรือนสร้างอะไรก็แล้วแต่เถอะ รถราอะไรก็ตาม ไม่มีเงิน เอา ซื้อผ่อนซื้อสดกันไปเรื่อยละ ยืมเงินเขามาซื้อก็มี นี่พวกบ้าเข้าใจไหม
อยู่สภาพไหนก็อยู่กันไปซิ เกิดมากับพ่อกับแม่เรา ท่านขนรถยนต์มัดคอมาด้วยเหรอ มีใครบ้างเกิดมาจากแม่เอารถยนต์มัดติดคอมา เอาเครื่องประดับประดาตกแต่งมัดคอมันมามีที่ไหน มันก็มีแต่ตัวล่อนจ้อนๆ ออกมาแล้วมันเป็นบ้าเฉยๆ นี่ เข้าใจหรือเปล่าล่ะ เอาละ
รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
และเครือข่ายทั่วประเทศ |