เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๖ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐
คู่ทุกข์คู่ยาก
พระพุทธเจ้าท่านทรงบำเพ็ญพุทธกิจ ๕ ดูเหมือนเป็นข้อที่ ๔ ภพฺพาภพฺเพ วิโลกานํ ตอนปัจฉิมยามทรงเล็งญาณดูสัตวโลก พระจิตของพระองค์เล็งญาณดูหัวใจของสัตว์โลก ถ้าผู้ใดมีอุปนิสัยปัจจัยที่จะรู้อรรถรู้ธรรมได้อย่างรวดเร็ว แต่จะเสียชีวิตอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน พระองค์เสด็จออกจากฌานแล้วก็เสด็จไปโปรด ถ้าธรรมดาเราก็ปล่อยให้เป็นธรรมดา เป็นแต่เพียงว่าทรงทราบๆ เอาไว้ ท่านเล็งดูใจ
พูดถึงเรื่องนี้แล้วมาคิดย้อนหลังที่พ่อแม่ครูจารย์มั่นเรานี้ละ ท่านเล่าเองนะ ท่านอาจารย์มหาทองสุก เป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดสุทธาวาสจนกระทั่งมรณภาพนี้ เป็นคู่พึ่งเป็นพึ่งตาย คู่ทุกข์คู่ยาก คู่ลำบากลำบนกับพ่อแม่ครูจารย์มั่น ท่านอาจารย์มหาทองสุกเป็นคนจังหวัดสระบุรี ดูว่าอยู่บ้านหนองไผ่หรืออะไร เป็นคู่ทุกข์คู่ยากกันกับพ่อแม่ครูจารย์มั่น ไปไหนในป่าในเขาทุกข์ไปด้วยกันเลย เวลาท่านเจ็บไข้ได้ป่วยหนักๆ ท่านไปขู่ท่านนะ ท่านเป็นมหา บางทีคนอาจคิดว่าเป็นมหาบัวก็ได้ คืออาจารย์มหาทองสุก ตอนนั้นเรายังไม่ได้เป็นมหา เรายังเรียนอยู่ ท่านเป็นมหาแล้วท่านไปกับหลวงปู่มั่น
ทำไมถึงอ่อนแอเอานักหนา เหมือนผู้หญิง ท่านว่างี้นะท่านขู่ ไปเอาเครื่องนุ่งห่มของผู้หญิงมานุ่งสวมใส่เข้าไปเสีย แล้วถอดออกเครื่องของผู้ชาย มันเสียเกียรติผู้ชายอย่างนี้น่ะ มันอะไรอ่อนแอนัก ร้องไห้ ความหมายว่าไม่ได้การ ท่านว่านะ ท่านทำท่านทำหาเหตุหาผลเพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้ฟัง ตอนนั้นท่านป่วย ท่าน(หลวงปู่มั่น) ไปขู่เอา เพราะนิสัยพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี้เข้มแข็งเด็ดเดี่ยวผึงๆ นิสัยท่านอาจารย์มหาทองสุกสุภาพเรียบร้อย เรียกว่าอ่อนแอก็ได้ถ้าเทียบกับหลวงปู่มั่น
เป็นไข้อยู่ในป่าในเขาด้วยกัน ยาก็ไม่มีแต่ก่อน ท่านก็ไปขู่เอาบ้าง เป็นยังไงเจ็บไข้เพียงเท่านี้ถึงอ่อนแอเอาเหลือเกิน เหมือนผู้หญิง ถอดออกให้หมดอันนี้เอาเครื่องผู้หญิงมานุ่งมาใส่เข้าไปจะเข้ากันได้ ท่านว่างั้น เครื่องของพระนี้เข้ากันไม่ได้กับความอ่อนแอ ว่างั้นทดลองดู พอท่านว่าอย่างนั้นร้องไห้เลย ขนานนี้ไม่ได้การ เอาขนานใหม่นิ่มนวลที่นี่ ท่านใช้อย่างนั้นนะ ก็ท่านไม่มีกิเลส ถึงจะใช้กิริยาอาการใดจิตท่านไม่ได้เป็นอย่างนั้น เป็นการทดสอบทดลองดูเฉยๆ ตกลงก็เลยใช้แบบนิ่มนวลแบบผู้หญิงไปเลย ไม่ต้องสวมใส่ก็ได้เครื่องผู้หญิง มันใส่ไปในตัวเลยว่างั้นเถอะ นี่ละคู่ทุกข์คู่ยากกัน
เกี่ยวกับเรื่อง ภพฺพาภพฺเพ วิโลกานํ ที่ทรงเล็งญาณดูสัตวโลก ก็อย่างตุ๊เจ้ายี่เขาว่าท่านเป็นเสือเย็น หลวงปู่มั่นเป็นเสือเย็น เวลาเขาหาเหตุหาผลยังไม่ได้เรื่องได้ราว เคยเล่าแล้วนี่นะ ท่านไปหาเขา เขานึกว่าท่านเป็นเสือเย็น เสือเย็นเสืออันตราย เสือเป็นพิษเป็นภัย เสือลึกลับ เขาเรียกเสือเย็น ตุ๊เจ้าสององค์นี้เป็นเสือเย็น ท่านอาจารย์มหาทองสุกกับพ่อแม่ครูจารย์มั่น เขาประกาศห้ามไม่ให้ใครไป ให้แต่ผู้ชายไป ให้ไปดูสังเกตการณ์ สังเกตการณ์ก็คือจอมโง่ไปสังเกตการณ์จอมปราชญ์ ไปท่านก็ไม่สนใจ ท่านรู้แล้ว
ท่านบอกท่านอาจารย์มหาทองสุก อย่างนั้นละเวลาท่านใช้ในป่าในเขาท่านออกใช้หมด เขาคิดยังไงพูดยังไงรู้หมดเลย บอกท่านอาจารย์มหาทองสุก นี่เขาว่าอย่างนั้นๆ นะ แต่เราอย่าสนใจ เขาว่าเสือเย็นมาอยู่กับเขา ให้ระวังกัน เวลาตายแล้วพวกนี้จะเป็นสัตว์เป็นเสือตกนรกกันไปหมด ถ้าเราไปเสียตอนนี้เขาจะเป็นบาปเป็นกรรมมาก เราต้องทนอยู่ ต้องทนจริงๆ อยู่ยังไงก็อยู่อย่างนั้น
เขาจัดคนมาดูเสือเย็นสองตัวนี้ พวกเราไปดูซิ ดูหลายวันต่อหลายวันเข้าไม่เห็นมีอะไร ท่านไม่สนใจอะไรละ ท่านเดินจงกรมท่านก็เดินของท่านในป่า หลายวันเข้าไปเขาไปดู ก็มีผู้ใหญ่บ้านของเขาถาม เป็นยังไงไปดูเสือเย็นสองตัวนั่น คนที่ไปดูมันคงจะโมโห มันก็พูดด้วยความโมโห จะเป็นอะไร ขึ้นเลยนะ ท่านก็อยู่ของท่าน ไม่เห็นเป็นเสือเย็นอะไร ดีไม่ดีตกนรกนะพวกเรา เขาก็รู้นรกเหมือนกัน ไปดูท่านก็ธรรมดา เฉยๆ ท่านไม่สนใจกับใคร ถ้าเสือเย็นมันต้องมีกิริยาอะไรให้รู้ นี้ไม่มีเลย ดีไม่ดีพวกเราตกนรกนะ อยากจะทราบเหตุผลก็ไปถามท่านดูซิ ท่านนั่งหลับตาไม่สนใจกับใคร ท่านเดินไปเดินมาทำอะไรไปถามดูซิ
ก็จอมโง่มาถามจอมปราชญ์ นั่นละที่ว่ามาถาม ตุ๊เจ้าทำอย่างนั้นทำอะไรๆ ท่านก็บอกว่าพุทโธหาย หาพุทโธ ท่านเอาอย่างนั้นนะจอมปราชญ์ พุทโธเป็นยังไงๆ เป็นดวงสว่าง ใครเห็นพุทโธแล้วจะสว่างจ้าในใจ ท่านว่างั้น พวกเราหาพุทโธด้วยได้ไหม ได้ ยิ่งดี หาพุทโธๆ อยู่ในนี้นะ พอดีตุ๊เจ้ายี่หัวหน้าไปทำมันก็เป็นจริงๆ จิตสว่างจ้า กำหนดออกมาดูท่าน ที่ว่าท่านเป็นเสือเย็น โหย ประกาศป้างเลย ไม่ได้นะพวกเรา
พอไปฟังท่านแล้วท่านมาเล่าให้ฟัง มาภาวนามันเป็นจริงๆ ไปเห็นใจท่านเข้า ใจท่านสว่างจ้าครอบโลกธาตุ เสือเย็นอะไรเป็นอย่างนั้น พวกเรานี้ตกนรกนะ ไม่ได้นะ เขายังรู้จักมาขอโทษ เขายังรู้ ต้องไปขอโทษท่านนะ พวกเราผิด ไม่งั้นตายจมไปหมดนะ ก็เลยมาขอโทษขออภัย เขาว่าจิตของเขารวมแล้วเขามองดูจิตหลวงปู่มั่นนี้ สว่างจ้าครอบโลกธาตุ มันเสือเย็นอะไรอย่างนั้น นั่นละจึงได้ลงกันทั้งบ้าน
นี่เราพูดถึงเรื่องความรู้มันออกไปรู้ มันรู้จนกระทั่งสัตว์มากินผลหมากรากไม้ที่เขาปลูกในสวน มากินมันก็เห็นตัวสัตว์ มันเห็นขนาดนั้น แล้วลงทั้งบ้านเลย นี่ละพูดถึงว่าท่านไม่ถืออะไรกับเขา เขาว่าท่านเป็นเสือเย็น เขาจะตกนรกต้องอยู่อนุเคราะห์เขา ให้เขาลงใจเสียก่อนแล้วไปไหนค่อยไป ท่านบอกว่าพุทโธหาย ให้เขาหาพุทโธ หาอยู่ในใจ นั่งก็ได้นอนก็ได้ทำอะไรก็ได้ ให้นึกพุทโธๆ อยู่ในใจนี้ หาพุทโธหาที่นี่แล้วจะเจอที่นี่ พอดีหัวหน้ามันเจอจริงๆ เจอมันสว่างจ้า
ทีนี้ส่งจิตไปหาหลวงปู่มั่น โอ๋ย สว่างครอบโลกธาตุ มันเสือเย็นยังไง เป็นอย่างนั้นละ ลงทั้งบ้านเลย เสือเย็นอะไรเป็นอย่างนั้น คือเขามาถามพุทโธหาย ท่านเลยสอนพุทโธให้เขาไปหาพุทโธ หาอย่างนี้ เขาเป็นพุทโธแล้วมันก็จ้า เลยไปเห็นจิตของหลวงปู่มั่นสว่างกระจ่างแจ้ง ยอมกันทั้งบ้านเลย นี่ละเป็นอย่างนั้น นี่ ภพฺพาภพฺเพ วิโลกานํ เล็งญาณดูสัตวโลก ใครมีอุปนิสัยใจคอยังไง คือจิตแต่ละดวงไม่เหมือนกัน คือจิตนั่นละไม่เหมือน ส่วนทางภายนอกแต่งเนื้อแต่งตัวจะแต่งหรูหราฟู่ฟ่าแข่งเทวดาก็แข่งได้ แต่จิตใจเป็นยังไงมันอยู่ที่จิต ท่านเล็งญาณดูจิต ใครมีอุปนิสัยยังไงท่านจะโปรด ดังพระพุทธเจ้าสอน ภพฺพาภพฺเพ วิโลกานํ ทรงเล็งญาณดูสัตวโลก
หลวงปู่มั่นเรานี้เป็นจอมปราชญ์สมัยปัจจุบัน เห็นหมดจิตของใครเป็นยังไง เวลาท่านอยู่ในป่าท่านแสดงตามความเป็นจริง ท่านออกมาสู่ส้วมสู่ถานแล้วท่านเก็บหมดนะ เหมือนไม่รู้ไม่ชี้ ตาบอดหูหนวกเหมือนโลกเขา อยู่ในป่าใครคิดยังไงท่านรู้หมด ท่านอาจารย์ฝั้นเล่าให้ฟังชัดเจนมากทีเดียว ไปหาท่านที่เชียงใหม่ในเขา ท่านไปกับองค์ใดนา ท่านอยู่ในป่า อยู่กับท่านมีพระสององค์ ไม่ให้เลยสามองค์ ถ้าสามองค์ก็ให้ไปอยู่ในที่ต่างๆ ท่านเองท่านอยู่องค์เดียวของท่าน
ทีนี้พอคุยกันยังไง เช่นไปอาบน้ำในแอ่งหินแอ่งอะไร คุยกันเรื่องอะไร พอกลับมา หรืออยากไปเที่ยวทางโน้นทางนี้ พอกลับมาเอาแล้วนะท่านตอบแล้ว ถ้าคุยกันทางนู้นมาแล้วท่านตอบแล้ว จะไปอะไรไปที่นั่นไม่ดี สู้ที่นี่ไม่ได้ แน่ะบอกแล้ว คิดว่าจะไปอะไรที่ไหนๆ ท่านตอบแล้ว พอมานี้ท่านตอบก่อนแล้ว ไปอะไรที่นั่นไม่ดี สู้ที่นี่ไม่ได้ท่านว่า แน่ะ จิตคิดยังไงท่านรู้หมด
ทีนี้วันหนึ่งจิตของท่านอาจารย์ฝั้นมันลงใหญ่ท่านว่านะ โอ๋ย วันนั้นลงจริงๆ สว่างจ้าครอบไปหมดเลย แล้วก็กำหนดจิตไปดู ที่ไหนได้พ่อแม่ครูจารย์มั่นท่านจ้องดูเราอยู่อย่างนี้ แล้วถอยออกมาด้วยความเคารพ ถอยออกมา คือจิตของท่านจ้าแล้วท่านจ้องดูเราอยู่ตลอด ถอยออกมา ท่านกำหนดไปทีไรท่านจ้องอยู่งี้ ถอยออกมา วันนั้นจิตรวมใหญ่ท่านว่านะ พอตื่นเช้ามาแล้ว มีกระต๊อบเล็กๆ ท่านอยู่ พอท่านออกมาจากกระต๊อบมาเปิดประตู ทุกวันท่านเปิดประตูท่านออก พระก็ไปเอาบาตรเอากาน้ำเอาอะไรลงมา
ท่านอาจารย์ฝั้นท่านนิสัยอย่างนั้น การทำข้อวัตรปฏิบัติต่อครูบาอาจารย์ท่านอาจารย์ฝั้นเป็นที่หนึ่งนะ เราทันเห็นท่านอยู่ ทีนี้เวลาออกมาวันนั้น พอตื่นเช้า พอท่านออกมามายืนจังก้าปิดประตูกันประตูเลย แล้วเป็นยังไงที่นี่ท่านว่า ศาสนาเจริญที่ไหน เอาละนะที่นี่ ยืนขวางอยู่ประตูไม่ให้เข้า ทางนี้ก็นั่งคุกเข่าพนมมือฟัง เป็นยังไงศาสนาเจริญอยู่ที่ไหน เจริญอยู่อินเดียหรือเจริญอยู่ที่ไหน หรือเจริญอยู่ในหัวอกท่านว่างี้นะ ทราบหรือยังศาสนาเจริญที่ไหน
เพราะท่านอาจารย์ฝั้นจิตของท่านสว่างจ้าท่านรู้แล้วศาสนาเจริญที่ไหน ทีนี้ท่านก็จี้เข้ามาตรงนั้น ศาสนาเจริญที่ไหนละที่นี่ เจริญที่เมืองอินเดียหรือเจริญที่หัวอกท่านว่างั้น ที่หัวอกคือใจอยู่ในหัวอก เมื่อคืนนี้ผมก็ไม่ได้นอน ผมดูท่านทั้งคืน นั่นเอาละนะที่นี่ เมื่อคืนนี้จิตของท่านลงผมก็ดู เห็นถูกต้องแล้วผมไปดู ก็พอดีผมส่งจิตไปทีไรท่านจ้ออยู่แล้วเลยหมอบ เข้ากันได้ นั่นละท่านเป็นอย่างนั้น ท่านดูทั้งคืนจิตเป็นยังไงต่อยังไง นั่นท่านอาจารย์ฝั้นกับพ่อแม่ครูจารย์มั่นท่านดูอยู่ตลอด
เวลาอยู่ในป่าในเขาท่านจะเปิดความรู้ของท่านออกชัดเจนๆ ความคิดความปรุงใครคิดยังไงๆ ท่านรู้หมดเลย แต่เวลาออกมาสู่พวกส้วมพวกถานอะไรท่านปิดหมดไม่ให้รู้ นี่ท่านอาจารย์ฝั้นเล่าให้ฟังเอง โอ๋ย เคารพท่านมากจริงๆ คิดไม่ได้คิดอะไรไม่ได้ทักเลยท่านว่างั้น คิดไปอะไรคิดไปนอกลู่นอกทางนี้ใส่ปั๊วะเลย เอาต่อหน้าต่อตาเลย เราคิดอยู่ภายในนี้ ท่านใส่ปั๊วะเข้าเลย หมอบท่านว่า ท่านเร็วขนาดนั้นนะ นั่นท่านออกใช้เต็มภูมิท่าน อยู่ในป่าในเขาคือมีแต่มุ่งอรรถมุ่งธรรมจริงๆ ใช่ไหมล่ะ ท่านก็สอนให้เห็นธรรมจริงๆ ไม่ปิดบัง เปิดจ้ามาเลย อย่างนั้นละท่านอาจารย์ฝั้น
เราพูดอะไรต่ออะไรเราลืม เราเลยลืมแล้ว (พุทธกิจ ๕ ของพระพุทธเจ้าเจ้าค่ะ) นั่นละที่ว่า ภพฺพาภพฺเพ วิโลกานํ ทรงเล็งญาณดูสัตวโลก ปุพฺพณฺเห ปิณฺฑปาตญฺจ ตอนเช้าออกบิณฑบาต อฑฺฒรตฺเต เทวปญฺหากํ ตอนเที่ยงคืนแก้ปัญหาและเทศนาว่าการอบรมพวกเทวดาตั้งแต่ท้าวมหาพรหมลงมา ปโทเส ภิกฺขุโอวาทํ ตอนค่ำให้โอวาทสั่งสอนพระเจ้าพระสงฆ์ สายณฺเห ธมฺมเทสนํ ตอนบ่าย ๔ โมง ๕ โมงเทศน์สอนประชาชนมีพระราชาเป็นต้น นั่นพุทธกิจ ๕ ท่านวางไว้โดยลำดับ พุทธกิจ ๕ คืองานของพระพุทธเจ้า ๕ ประการ ไม่มีใครทำได้อย่างท่านความหมาย เป็นงานพระพุทธเจ้า ๕ ประการ พุทธกิจ กิจนี้คือการงาน งานของพระพุทธเจ้า ๕ ประการ ก็มีเท่านั้นละวันนี้
๕๐๐-๖๐๐ ใส่ลงไปนั่นก็แล้ว จะมาชี้แจงอะไรเราเบื่อ พระพุทธเจ้า สาวกทั้งหลายท่านทำงานอยู่ในป่าไม่เห็นว่า เราตถาคตเดินจงกรมเท่านั้นก้าวเท่านี้ก้าว ข้าพระองค์เดินจงกรมเท่านั้นก้าวเท่านี้ก้าว นั่งเท่านั้นชั่วโมงไม่เห็นว่า ก็มาเป็น สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเรา อันนี้ผู้นั้น ๕ บาทผู้นี้ ๑๐ บาทมันรำคาญนะ เข้าใจไหม อันนั้น ๕ บาท อันนี้ ๑๐ บาทบอกมาหาอะไร อยากทำก็ทำซิบุญเป็นของตัวเองบาปเป็นของตัวเอง ทำปั๊บเป็นบุญทันที ทำบาปเป็นบาปทันที นั่น เรารำคาญนะ คนนั้นเท่านี้บาทๆ บาทแบดอะไรเข้าใจไหม มันรำคาญนะ
เอามาเท่าไรพันก็เอามาชี้แจง มันเบื่อจะฟัง ก็บุญเป็นของทุกคนบาปเป็นของทุกคน ทำปั๊บเป็นทันทีในตัวเอง ไม่จำเป็นเท่านั้นบาทเท่านี้บาทอะไร มันจึงรำคาญซิเรา มาฟังมันก็เป็นโลกไปหมด ประกาศตัวเอง.(พูดถึงความรู้ของท่านอาจารย์มั่น ท่านอาจารย์เจี๊ยะเคยเล่าให้ฟังว่า สมัยพุทธกาลพระสารีบุตรนับเม็ดฝนได้ สมัยนี้ท่านอาจารย์มั่นท่านนับไม่ถึงขนาดนั้นท่านก็นับเส้นผมได้ พ่อแม่ครูจารย์เคยได้ยินไหมฮะ)
นั่นเป็นความสามารถไปคนละทิศละทาง อันนี้เป็นกิ่งก้านสาขาดอกใบของผู้นิสัยไปคนละทิศละทาง แต่ความบริสุทธิ์นั้นเหมือนกัน กิ่งก้านสาขาดอกใบคือความรู้แปลกๆ นี้เหมือนต้นไม้ ต้นไม้ชนิดเดียวกันแต่กิ่งก้านไม่เหมือนกันแตกแขนงออกไป อันนี้ก็แบบเดียวกัน เป็นตามนิสัยวาสนา เป็นเครื่องประดับ ส่วนหลักใหญ่คือความบริสุทธิ์ นตฺถิ เสยฺโยว ปาปิโย ไม่มีความยิ่งหย่อนกว่ากัน เสมอกันหมดนี่ความบริสุทธิ์ แต่องค์นั้นเด่นทางนั้นองค์นี้เด่นทางนี้ๆ เป็นวาสนาของท่านที่สร้างมาต่างกัน เช่นอย่างพระสารีบุตรเป็นผู้มีปัญญาแตกฉานมาก พระโมคคัลลาน์ก็อิทธิฤทธิ์ เหาะเหินเดินฟ้าได้ เป็นกิริยาภายนอกตามนิสัยของท่าน เท่านั้นละ นี่ก็ยังนับนั่นนับนี่อยู่ ฝนตกก็จะไปนับเม็ดฝน มันจะไม่ได้ไปไหนละวันนี้
รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
และเครือข่ายทั่วประเทศ
|