สิ่งที่เหนืออยู่แล้วคือธรรม
วันที่ 6 กรกฎาคม. 2550 เวลา 19:15 น.
สถานที่ : ศาลาสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส

ณ ศาลาสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ

เมื่อค่ำวันที่ ๖ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐

สิ่งที่เหนืออยู่แล้วคือธรรม

       พูดถึงเรื่องเที่ยวกรรมฐานผู้ไม่เคย ไม่เคยจริงๆ เที่ยวกรรมฐานไม่ทราบว่าเที่ยวอย่างไร แม้ที่สุดพระเราก็เหมือนกัน เห็นว่าเป็นคนละโลกไป พระกับกรรมฐานนี้เป็นอันเดียวกันธรรมดา หน้าที่ของพระมีแต่เดินกรรมฐาน เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี่เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับบุกเบิกวัฏวน พาสัตว์โลกให้หมุนเวียนเพราะความยึดความถือสิ่งเหล่านี้ เวลาพระท่านออกกรรมฐานสมัยปัจจุบันนี้ก็คือพ่อแม่ครูจารย์มั่นเรา ทางภาคอีสานที่เด่นอยู่นี้ก็คือศาสนาเด่นมากอยู่ เพราะมีครูบาอาจารย์องค์สำคัญๆ วางรากวางฐานไว้แล้วแต่ดั้งเดิมมา เพราะฉะนั้นพระกรรมฐานจึงมีมากอยู่ทางภาคอีสาน แล้วครูบาอาจารย์องค์ใดส่วนมากมักจะมีตั้งแต่ทางภาคอีสาน เพราะมีครูมีอาจารย์แนะนำสั่งสอนโดยถูกต้องแม่นยำ การปฏิบัติตามที่ท่านสอนโดยถูกต้องจึงไม่ค่อยผิดพลาด

พระผู้ทรงมรรคทรงผลส่วนมากจะมีอยู่ทางภาคอีสาน นี่เราพูดเป็นอรรถเป็นธรรมตรงไปตรงมา เพราะครูอาจารย์ไม่ขาด เริ่มต้นตั้งแต่หลวงปู่เสาร์-หลวงปู่มั่นเรื่อยมา จากนั้นลูกศิษย์ลูกหาที่ไปศึกษาอบรมกับท่านสำเร็จเป็นเพชรน้ำหนึ่งๆ ออกมามากนะ ทางภาคอีสานมีมากทีเดียว ท่านหาธรรมท่านหาอยู่ในป่าในเขา ลำบากลำบน เรียกว่ากรรมฐานยอมรับกันเลยละเรื่องความลำบากลำบน แต่ท่านมีความสมัครใจอย่างนั้น ไม่ใช่ท่านไปโดนเอา ไปถูกทรมานอย่างนั้นไม่มี ท่านเป็นผู้เสาะแสวงหาเอง ไปอยู่ที่ไหนบ้านใหญ่บ้านโตเขามาเคารพนับถือมากๆ นี้ท่านจะไม่อยู่ พอเห็นคนไปมันบอกแล้ว พอเราไปพักอยู่นอกบ้านเขาหลั่งไหลมา โอ บ้านนี้ไม่ได้เรื่อง แน่ะ คือเขาจะมากวน ท่านจะไม่มีเวลาภาวนา

เพราะฉะนั้นท่านถึงไปอยู่ในป่าในเขา ตามภูเขาที่เรามองไปนั้นน่ะมันมองเห็นแต่ภูเขา เหมือนหนึ่งว่าไม่มีบ้านผู้บ้านคน ครั้นไปแล้วก็มีอยู่เป็นหย่อมๆ แห่งละสี่หลังคาเรือนห้าหลังคาเรือน อยู่ซอกแซกอยู่ตามไหล่เขาหลังเขาเตี้ยๆ มีอยู่ทั่วๆ ไป นั่นละท่านไปหาภาวนาอยู่ในที่เช่นนั้น ความสมบูรณ์พูนผลมีตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้วก็ไม่เห็นได้รับความวิเศษวิโสอะไร ท่านไปฝึกทรมานตนอย่างนี้ปรากฏชัดเจนขึ้นภายในจิตใจ คือใจนี้ถ้ามีอาหารมากๆ มีเครื่องหล่อเลี้ยงมากๆ ทางธาตุทางขันธ์แล้วจิตใจหมอบนะ จิตใจไม่ค่อยสง่าผ่าเผย

ถ้าให้มีอดๆ อยากๆ ขาดๆ แคลนๆ อดบ้างอิ่มบ้างนั่นละพอดีกับทางด้านจิตใจในการภาวนา ถ้าไปอยู่ไหนมีเหลือเฟือแล้วไม่เป็นท่า ถ้าไปอยู่ไหนเหลือเฟือก็มีแต่ธาตุแต่ขันธ์ จิตใจแห้งผากจากธรรม พูดได้ชัดเจน ถ้าไปตรงไหนอดๆ อยากๆ ขาดๆ แคลนๆ พอยังชีวิตให้เป็นไปวันหนึ่งๆ อย่างนั้นแหละธรรมเจริญที่ใจ ไปนั่งภาวนาอยู่บนเขาบิณฑบาตกับคนป่าคนเขา เขาจะได้อะไรมาให้ฉัน เราก็ไปหาอย่างนั้นด้วยนะ ที่สมบูรณ์พูนผลภาวนาไม่เป็นท่า ต้องไปหาที่อดอยากขาดแคลน

นี่ละธรรมชอบเกิดในที่กันดารๆ กิเลสชอบเกิดในที่เหลือเฟือฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม กินไม่อิ่ม กินไม่พอ กินจนกระทั่งวันตายก็ไม่พอ ท่านว่า นตฺถิ ตณฺหาสมา นที แม่น้ำเสมอด้วยตัณหาไม่มี แม่น้ำมหาสมุทรทะเลยังมีฝั่ง ฝั่งมหาสมุทร แต่ฝั่งของกิเลสตัณหานี้ไม่มี ล้นฝั่งตลอดเวลา มันต่างกันอย่างนี้ การภาวนาครูอาจารย์แต่ละองค์ๆ ที่ท่านได้นำธรรมมาสอนพวกเรานี้ แหม เวลาเข้าถึงกันมันถึงได้รู้เรื่องของกันและกัน องค์ไหนก็เรียกว่าเดนตายออกมาๆ

ทีแรกเราก็ว่าแต่เราเดนตายๆ เวลาไปสนทนากันกับเพื่อนฝูงหรือครูอาจารย์นี้ถึงได้ทราบชัดว่าส่วนมากมีแต่พวกเดนตาย ที่ได้ธรรมะมาสอนโลกให้ได้รับความเคารพเลื่อมใส ฝังใจ ส่วนมากมีแต่พวกที่เดนตายนั้นแหละ เพราะท่านอยู่ในที่เช่นนั้นเป็นประจำๆ บิณฑบาตก็จะได้อะไร ก็ในป่าในเขา บ้านเขาก็อยู่ไม่มีหลักมีแหล่งพวกนี้นะ อาหารการกินเขาก็อดอยากขาดแคลน เราได้พอได้มาฉันเท่านั้นเราก็พอใจแล้ว เราจะหากับหาอาหารดีๆ อย่าไปหวังนะในป่าในเขา ตัวเขาเองเขาก็อดอยาก นี่เราก็ไปหาที่เช่นนั้นก็เหมาะกันๆ ฉันลงไปนี้พอยังชีวิตให้เป็นไปในวันหนึ่งๆ เท่านั้น

การฉันอาหารนี้ถ้ามีกับมีความง่วงเหงาหาวนอน ยิ่งกับดีเท่าไรยิ่งขี้เกียจขี้คร้าน ง่วงเหงาหาวนอน ความเพียรไม่เป็นท่า ถ้าไปอยู่ในสถานที่อดอยากขาดแคลน มีแต่ข้าวเปล่าๆ เดินจงกรมนี้ตัวเบาไปเลย เพียงข้าวเปล่าๆเท่านั้นก็ไม่ง่วงนะ ที่ง่วงเพราะกับต่างหาก ยิ่งอาหารดีตามสมมุตินิยมเท่าไรนั้นแหละจอมขี้เกียจขี้คร้าน จอมง่วงเหงาหาวนอนอยู่ที่นั่นหมด ไม่ได้อยู่ที่ไหน ความเพียรไม่เป็นท่า เพราะฉะนั้นท่านจึงต้องเสาะแสวงหาในที่อดอยากขาดแคลน ไปที่ไหนสมบูรณ์พูนผลท่านไม่ไป คือท่านหาเองไปภาวนา

ทีนี้เวลาอาหารในท้องมีพอชีวิตเป็นไปวันหนึ่งๆ เท่านั้น ธรรมะก็ค่อยสว่างกระจ่างขึ้นมา จิตใจไม่เคยสงบก็สงบ ค่อยสงบเย็นขึ้นมา แล้วบวกกันกับสถานที่น่ากลัวอีก แต่ก่อนมันเสือจริงๆ นะ ว่าป่าเสือ เสือ ป่าเนื้อ เนื้อจริงๆ ยังทันนะสมัยเราออกเที่ยวกรรมฐาน สมบูรณ์เรื่องป่าเนื้อ ป่าเสือ ป่าสัตว์ ป่าช้างป่าอะไร เราได้เคยอยู่หมดแล้ว สำหรับพ่อแม่ครูจารย์มั่นไม่ต้องพูด มีแต่อย่างนี้ทั้งนั้นท่านอยู่ บิณฑบาตก็พอได้ขบได้ฉันเท่านั้น แล้วคนไม่มีใครไปกวน ถ้าไม่ฉันกี่วันก็ไม่พบใครละ พบเจ้าของคนเดียว เพราะเขาก็ไม่ไปเกี่ยวข้อง เพราะท่านหาอย่างนั้นด้วย

สถานที่ใดมีคนเข้ามาเกี่ยวข้องมากๆ นั้นละการงานยุ่งไม่ดี การภาวนาไม่สืบต่อ สติเป็นสำคัญ ถ้าการภาวนาสืบต่อกันด้วยสติแล้วจิตใจก็มีความสงบเยือกเย็น ไม่ดีดไม่ดิ้น การภาวนากว่าจะเห็นผลขึ้นมาได้ฝึกทรมานเต็มกำลัง สำหรับเรานี้เรียกว่าคุ้ยเขี่ยขุดค้นหาเหตุหาผล หาหลักหาเกณฑ์มาเต็มกำลังความสามารถ ยกตัวอย่างเช่น จิตเราเสื่อม พอจิตเจริญขึ้นนี้แล้วมันเจริญจริงๆ เพียงขั้นสมาธิเท่านั้นมันก็เหมือนหินทั้งแท่งเลย มันแน่นหนามั่นคงปึ๋งเลยเชียวในจิต ทีนี้เจ้าของไม่เคยรักษาเพราะไม่เคยรู้เคยเห็นเคยเป็น จึงไม่ทราบว่าความเสื่อมความเจริญเป็นอย่างไร

ทีนี้ก็นอนใจ เห็นว่าการภาวนาจิตใจสงบเย็นดีแล้วก็เผลอบ้าง เช่นมีกิจการงานอะไรทำเล็กๆ น้อยๆ มันขาดสติไปแล้วนั่น สติอยู่กับงานภาวนากลายเป็นสติไปอยู่กับงานของโลกไปแล้ว ทีนี้จิตใจมันก็เสื่อม ครั้นเสื่อมแล้วแก้ยากนะ ต้องพยายามฟิตกันอยู่เรื่อยๆ ไปอยู่สถานที่ใดที่มีที่กลัวๆ ยิ่งเป็นความเพียรได้ดี กลัวทั้งกลางวันกลางคืน ก็ไปอยู่ในป่าเสือ เสือมันมี มาได้ไปได้ทั้งกลางวันกลางคืน เราเดินจงกรมอยู่นี้มันกระหึ่มๆ อยู่ข้างทางจงกรมเรา เสือโคร่งใหญ่นะ แต่ก็ไม่เคยได้ยินว่าเสือกินคน

เขาอยู่ในป่าในเขาก็ไม่เคยได้ยินว่าเสือกินคน เราไปอยู่ในป่าในเขาอย่างนี้ทำไมจะมากินตั้งแต่เราคนเดียวมีอย่างเหรอ เขายังอยู่ได้ ตั้งบ้านมาสักนานเท่าไรก็ไม่ได้ยินว่าเสือกินคน เราทำไมถึงจะกลัวเอานักหนากลัวเสือน่ะ เอาเขามาเป็นแบบเป็นฉบับเป็นครูก็อยู่ได้ ทีนี้ไปอยู่ในสถานที่น่ากลัวเท่าไรๆ ความเพียรได้แก่สติต้องติดกับใจ เมื่อสติติดอยู่กับใจนี้แล้วใจจะไม่ว้าวุ่นขุ่นมัว จะไม่คิดแง่นั้นแง่นี้ สติครอบเอาไว้จิตใจก็สงบ จากนั้นก็ตั้งรากตั้งฐานเป็นความสงบเย็นใจ จากเย็นใจแล้วก็มีความแน่นหนามั่นคงขึ้นโดยลำดับ ท่านเรียกว่าสมาธิ

นั่นละการฝึกใจไม่สักแต่ว่าฝึก ทำไปเฉยๆ สติขาดๆ วิ่นๆ นี่เรียกว่าความเพียรขาด ใครสติดีเท่าไรผู้นั้นละเป็นผู้ที่จะตั้งความเพียร จิตใจมีรากฐานขึ้นเป็นลำดับลำดา นี่เราพูดให้นักภาวนาฟัง ให้พากันฟังนะ ผู้ไม่ภาวนาก็มีแต่หมอนละกล่อมมัน หลับครอกๆ แครกๆ ตื่นขึ้นมาก็มาเย็บ ก้มหน้าก้มตาทำอะไร เย็บเสื่อ เย็บหมอน หมอนขาด เสื่อขาด มันก็ได้แต่อย่างนั้น ไม่เห็นวิเศษวิโสอะไร ส่วนการฝึกหัดภาวนาไม่เป็นอย่างนั้น ยิ่งเราผ่อนอาหารอดอาหาร อดไปเท่าไรความง่วงไม่มีนะ นอนอย่างมากสองชั่วโมงตื่นแล้ว ไม่หลับ นั่นแหละเป็นเวลาทำความเพียร สติก็ดี

ส่วนมากมักจะถูกทางผ่อนอาหาร อดอาหาร เพราะอาหารเป็นเครื่องส่งเสริมกิเลสได้ดี มีอาหารดีตามโลกสมมุตินิยมเท่าไรก็ยิ่งเสริมความขี้เกียจขี้คร้านมากขึ้น ถ้าอาหารมีน้อยๆ น้อยลงไป จิตใจก็ค่อยเจริญขึ้นมา เพราะฉะนั้นท่านถึงอดอาหารผ่อนอาหารเสมอ ท่านดูใจของท่าน ธาตุขันธ์นี้อ่อนแอจนจะก้าวขาไม่ออก แต่จิตใจนี้เหมือนจะเหาะเหินเดินฟ้า ใจมันสง่างามผ่องใส มันสว่างจ้าๆ อยู่ภายใน ส่วนร่างกายจะก้าวขาไม่ออก แต่จิตใจมันสว่างไสว ใจนั่นละเป็นของมีกำลัง ร่างกายนี้เราหิวมาเท่าไรกินอิ่มเท่านั้นละ พอกินอิ่มเท่านั้นก้าวเดินไปทีหนึ่งเหมือนม้าแข่ง กำลังมันมาทันที ทางร่างกายนี้ให้อิ่มเมื่อไรมันก็มีกำลังเมื่อนั้น แต่จิตใจนี้บำรุงยากนะ

เพราะฉะนั้นจึงต้องหนักในการผ่อนอาหารอดอาหาร เพื่อฟื้นจิตใจให้ดีขึ้นๆ เหตุนี้เองที่พระกรรมฐานท่านมักจะผ่อนจะอดอาหาร เพราะดีทางนี้  ทีนี้เวลาฝึกไปๆ จิตใจของเรานี้เปลี่ยนได้นะ เปลี่ยนได้ตลอด เมื่อมีการซักฟอกมีการบำรุงรักษาด้วยความระมัดระวังอารมณ์ทั้งหลายไม่ให้เข้ามากวนใจแล้ว จิตใจก็ค่อยสงบ สงบเย็น ถ้าจิตใจไม่กวนตัวเองเสียอย่างเดียวใจก็สงบเย็น จิตใจกวนตัวเองก็คือความคิดความปรุงของสังขารนั้นแหละ มันชอบคิดชอบปรุง อยากรู้อย่างนั้น อยากเห็นอย่างนี้ มีแต่ความอยากรู้อยากเห็น อยากคิดอยากปรุง ความสงบเลยไม่มี ทีนี้ก็หาความเย็นใจไม่ได้

เพราะฉะนั้นจึงต้องหาวิธีการฝึกหัดหลายด้านหลายทาง ส่วนมากท่านมักจะผ่อนอาหารนั่นแหละนักภาวนา ถามแล้วนะพวกเพื่อนๆ ฝูงๆ กันจะลงในเรื่องการผ่อนอาหาร ไม่ให้ฉันมากนะ ฉันน้อยๆ พอมีชีวิตให้เป็นไป นั่นแหละสติก็ค่อยดีๆ จิตใจตั้งรากตั้งฐานได้ เป็นความสงบ เป็นสมาธิ จิตใจก็เย็น เพราะไม่มีอารมณ์กวนตัวเอง คือความคิดความปรุง สงบเย็น ทีนี้จะออกพิจารณาทางด้านวิปัสสนาก็ออกซิ ก็อยู่ด้วยกัน พิจารณาสังขารร่างกายของเรา ตั้งแต่ภายนอกภายในตลอดทั่วถึง มีตรงไหนที่น่ารักใคร่ชอบใจ

มันมีแต่กองมูตรกองคูถ กองสกปรกโสโครกเต็มตัวคน เต็มตัวเขา เต็มตัวเรา นอกจากไม่พิจารณาเท่านั้น มันก็ไม่เห็นโทษของมันที่มีอยู่กับตัว มันก็มีแต่ความเพลิดความเพลิน เวลาพิจารณานี้ลงไป ดูไปตั้งแต่ผิวหนัง หนังจริงๆ มันก็ยังมีขี้เหงื่อขี้ไคล ขี้เต็มตัว ผิวหนังนั่นน่ะบางๆ มันก็มีขี้เหงื่อขี้ไคล แล้วดูเข้าไปข้างใน ดูหนังแล้วดูเนื้อ พลิกร้อยสันพันคมดูความไม่สะอาด ความไม่สวยไม่งามของตัวเอง ดูเขาดูเรามันพอๆ กัน ไม่มีใครเกินใครถึงเรื่องความสกปรกของซากผีดิบที่ยังไม่ตายคือเราๆ ท่านๆ นี้แหละ

เวลาดูเข้าไปมันมีอยู่แล้วมันก็เห็น ถ้าไม่ดูมันไม่เห็น มีแต่ความเพลิดความเพลิน เวลาดูเข้าไปจิตใจค่อยสง่างามขึ้นมา สว่างไสว ปัญญาสอดแทรกไปตามเนื้อ ตามหนัง ตามเส้น ตามเอ็น ตามกระดูก ตับ ไต ไส้ พุง ดูหมดตรงไหนหาสิ่งที่เป็นสาระ สิ่งที่น่ารักใคร่ชอบใจมันไม่มีในร่างกายอันนี้ ของใครก็แบบเดียวกันหมด เป็นแต่เพียงไม่ดูกัน กิเลสตัณหามันลากเอาอะไรมาตกมาแต่ง มาประดับประดาให้สวยให้งาม มันจะสวยอะไร ประดับประดาซากผีเป็นมันก็เป็นซากผีดิบอยู่อย่างนั้นแหละ หากชอบประดับเพราะกิเลสมันชอบยอ เรื่องที่จะให้ธรรมดานี้ไม่มี เรื่องธรรมท่านไม่ชอบยอนะ กิเลสนี้ชอบยอที่สุดเลย

เราจะยกตัวอย่างหมาตัวหนึ่ง เขานิมนต์เราไปฉันในบ้าน หมาตัวนั้นมันน่ารักนะ ตัวเตี้ยๆ หูตูบๆ เตี้ยๆ อ้วนๆ เวลาเราพูดอะไรนี้มันรู้ภาษาคน เขาพูดอย่างนี้รู้ภาษาคน เขาก็ชมเชยมันว่าหมาตัวนี้มันรู้ภาษาคน อย่างเราพูดอยู่นี้มันก็ฟังอยู่นั้นแหละ ถ้าไม่มีอะไรไปกระทบกระเทือนจิตใจมันมันจะไม่แสดงอาการ มันจะฟังเฉย ยิ่งยอมันด้วยแล้วมันยิ่งชอบ เคลิ้มไปเลย ไม่หลับมันก็เคลิ้มของมันด้วยความเยินยอสรรเสริญ เขาพูดอยู่นี้นี่มันก็ฟังอยู่นะ เราพูดอย่างนี้มันฟังอยู่ มันเข้าใจหมดทุกคำนั่นแหละ มันรู้ภาษาคนหมาตัวนี้ มองดูแล้วน่ารักเสียด้วยนะ เตี้ยๆ อ้วนๆ หูตูบๆ

พอเราพูดเรื่องจะไปนั้นไปนี้เขาฟังอยู่นั้นนะ พอเราพูดว่าจากนี้จะไปที่นั่นที่นี่ พอว่าเท่านั้นละเขาจะโดดขึ้นไปอยู่ในรถก่อนแล้ว เขาจะไปด้วย เขารู้อย่างนั้นนะ พอเราว่าจะไปไหนเขาจะขึ้นไปนอนอยู่ในรถก่อนแล้วๆ หมาตัวนี้ นี่พูดถึงเรื่องว่าจะให้ไปที่ไหนเขาไป ให้ลงน้ำเขาก็ลงปุ๊บปั๊บไปลงน้ำต่อหน้าต่อตาเรา เราไปฉันในบ้านเขา หมาตัวนี้มันรู้ภาษาคน บอกลงน้ำบอกไปไหนได้หมด บอกลงน้ำพอว่าแล้วก็ปุ๊บปั๊บเขาจะไปลงน้ำในสระ โอ๋ย ไม่เอาละพูดเฉยๆ กลับมาเสีย เขาก็กลับมา ถ้าพูดถึงเรื่องอะไรเขารู้ นี่หมายถึงว่าสัตว์มันก็ชอบยกยอนะ

พอพูดคำสุดท้ายเราไม่ต้องพูดเสียงดังละ พอพูดชมเชยเขาเรียบร้อยแล้วคำสุดท้ายก็บอกว่าไอ้บ้า ว่าอย่างนั้นนะ พอว่าไอ้บ้า “เห่อๆ” ขึ้นเลย มันก็น่ารักดีนะ เขาอยู่เฉยๆ พอเราชมเชยนี้เขาเฉยสบายมาก เขาได้รับยกยอ พอติบ้างสุดท้ายก็ว่าไอ้บ้าเบาๆ นะ ไอ้บ้าไม่พูดเสียงดังอะไร พอว่าไอ้บ้า “เห่อๆ” ขึ้นเลย แสดงว่าเขารู้ แม้แต่หมาก็ชอบความชมเชยสรรเสริญ คนจะไม่ชอบอย่างไร คนมันโง่กว่าหมาเสียอีก   หมามันก็รู้เป็นบางคำ ยินดีเป็นบางคำ มนุษย์นี่มันรู้หมด ว่าอะไรมันรู้หมด ความชมเชยสรรเสริญไม่มีใครเกินมนุษย์ ชอบมากทีเดียว บ้ายอมนุษย์เรา

ให้เห็นต่างกันตรงนี้อีกนะ จิตใจที่มีธรรมมากน้อยกับความชมเชยสรรเสริญเข้ามาเกี่ยวข้องนี้มันจะเป็นของมันเอง คือคำสรรเสริญเยินยอมามันก็ไม่มีน้ำหนักไม่มีค่าเท่าธรรมที่มีอยู่ในใจ สรรเสริญมาเท่าไรมันก็เฉย ไม่รับ..จิต เขานินทามามันก็ไม่รับ เพราะจิตมันวิเศษกว่าสิ่งเหล่านั้น เขามาชมเชยดีก็ตามมันดีสู้ธรรมไม่ได้ ธรรมก็ไม่รับ ตกออกไปๆ เหมือนกับน้ำตกลงใบบัว ใบบัวคือจิตที่บริสุทธิ์ พอตกปั๊บนี่กลิ้งไปเลยๆ ไม่ติดกัน กลิ้งไปเลย อันนี้จิตที่บริสุทธิ์ก็เหมือนกัน สังขารมันแว็บขึ้นมามันก็ดับไปพร้อมๆ

พื้นเพที่บริสุทธิ์เต็มที่ไม่รับอะไรละ สรรเสริญก็ไม่รับ นินทาก็ไม่รับ นี่คือจิตที่พอ สรรเสริญจะดีขนาดไหนก็ไม่ดีเท่าธรรมที่ท่านทรงอยู่ นินทายิ่งแล้ว แล้วจะไปติดได้อย่างไร ความชมเชยสรรเสริญนี้ไม่ได้สูงกว่าธรรม ชมเชยเข้าไปก็ไม่ติด เพราะฉะนั้นท่านผู้บริสุทธิ์แล้วท่านจึงไม่ติด จะติดอะไรของเหล่านั้นมันเหมือนมูตรเหมือนคูถ ชมเชยออกมาก็เหมือนมูตรเหมือนคูถ ธรรมชาติที่มีอยู่ในจิตนั้นเลิศเลอขนาดไหน นั่นละมันจึงไม่ติด เพราะมีสิ่งที่เหนือกันอยู่แล้ว มันจะไปจับเอาสิ่งที่ต่ำอย่างไร สิ่งที่เหนืออยู่แล้วคือธรรม นั่นต่างกันอย่างนี้

ผู้ปฏิบัติภาวนานี้จะได้เห็นของแปลกประหลาดมากโดยลำดับลำดา เรื่องตา หู จมูก ลิ้น กายของเรานี้มันเป็นเครื่องมือของใจ ถ้าใจเศร้าหมองแล้วแสดงกิริยาอาการออกมาทางตา หู จมูก ลิ้น กายนี้เข้าไปสู่ใจ มัวหมองไปหมด เป็นมูตรเป็นคูถไปหมด ถ้าใจสะอาดสิ่งเหล่านี้เป็นแต่เพียงเครื่องมือกลั่นกรอง อะไรไม่ดีมันปัดออกๆ รับแต่ของดีๆ เอาไว้เท่านั้นเมื่อยังไม่พอความดี เมื่อความดีพอเต็มหัวใจแล้วดีก็ไม่รับ ชั่วก็ไม่รับ เพราะไม่เหนือธรรมที่ใจดวงนั้นครองอยู่ ทรงอยู่ ต่างกันอย่างนี้

ด้วยเหตุนี้เองบรรดาพระอรหันต์ท่านจึงไม่ติดอะไร สามแดนโลกธาตุจะมาให้ท่านติดไม่ได้มีอะไรเลิศเลอยิ่งกว่าธรรมกับใจที่เป็นอันเดียวกัน ท่านกำลังครองอยู่นั้น อันนั้นวิเศษวิโส เพราะเหตุนั้นสิ่งทั้งหลายที่เข้ามาเกี่ยวข้องมันจึงไม่ติด เพราะอันนี้เหนือกว่าแล้วๆ โลกธรรม ๘ โลกทั้งหลายชอบกันทั้งนั้น แต่ท่านผู้สิ้นกิเลสแล้วไม่ชอบทั้งหมด ปล่อยสลัดออกหมด เพราะไม่เลิศเลอยิ่งกว่าธรรม ธรรมนี้เหนือโลกธรรม ๘ เป็นไหนๆ สรรเสริญมาขนาดไหนความสรรเสริญนั้นก็ไม่ได้เลิศเลอยิ่งกว่าธรรมที่ท่านมีอยู่ นั่นมันต่างกัน

เพราะฉะนั้นมันถึงปัดกันออก ที่ว่าน้ำตกลงบนใบบัวย่อมกลิ้งตกไปไม่ซึมซาบซึ่งกันและกัน ก็คือจิตของพระอรหันต์ คำว่าน้ำตกไป สังขารที่เอาสมมุติมาใช้ ปรุงพับดับพร้อมๆ ไม่ติด ความคิดความปรุงของตัวเองไม่ติด เรียกว่าตกไปๆ ไม่เป็นอารมณ์กับความคิดอื่นใด จะคิดออกมาเรื่องดีเรื่องชั่วก็คิดได้กับโลกเขา แต่ไม่ติด ต่างกันอย่างนั้น

นักภาวนาแหละจะได้เห็นความแปลกประหลาดของตัวเอง ตั้งแต่วันเกิดมาดูตั้งแต่โลกภายนอก ดูอะไรมันก็เห็นน่ะซิตามีถ้าไม่ใช่ตาบอดหูหนวก มันมีอยู่ทั้งนั้นละ ดูอะไร เห็นอะไร ได้ยินอะไร มีแต่ติดมีแต่พัน มีแต่หลงไป ถ้าดูด้วยอำนาจของกิเลส ดูเท่าไรยิ่งติดยิ่งพัน ยิ่งเพลิดยิ่งเพลิน เศร้าโศกเท่าไรก็ไม่เห็นโทษแห่งความเศร้าโศก เพราะสิ่งเหล่านั้นที่ไม่ดีมาติดพัน มันก็เพลินของมันไป แต่จิตของท่านผู้มีธรรมแล้วมันปัดออกๆ โดยลำดับ จนกระทั่งจิตที่บริสุทธิ์แล้วอะไรมาไม่ติดเลย

อย่างสรรเสริญ ความสรรเสริญไม่เลิศเท่าธรรมที่มีอยู่ของท่าน สรรเสริญวิเศษวิโสอะไร สมบัติของโลกที่นำมาสรรเสริญสู้สมบัติของธรรมที่ท่านครองอยู่ไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นมันจะติดได้อย่างไร ไม่ติด ทำอะไรก็ไม่ติด เป็นอฐานะเป็นคนละฝั่งแล้ว ฝั่งวัฏวนคือความหมุนเวียนของกิเลส แล้วฝั่งวิวัฏฏะ วิวัฏฏธรรมธรรมที่ไม่ต้องหมุนเวียนคือใจพระอรหันต์ มันก็ไม่ติดกัน ต่างอันต่างจริงอยู่อย่างนั้น ไม่ติด ดีก็รู้ว่าดี ตามที่โลกเขาว่าดีแต่ไม่ติด เราก็เคยติดแต่ก่อน ทีนี้มันไม่ติด ใจมันเหนือกว่าแล้วมันไม่ติด

การฝึกหัดอบรมทางด้านจิตตภาวนา มันละเอียดลออมาก พิสดารมากนะการภาวนา สิ่งที่เราเห็นเรารู้ทั้งหลายนี้เอาตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นเครื่องมือต่างหาก ส่วนธรรมที่ท่านได้ภาวนาให้เป็นภายในจิตแล้ว ท่านเอาจิตนั้นเลยเป็นตัวจริงด้วย เป็นเครื่องมือด้วย สอดแทรกไปไหนรู้ไปตรงนั้นๆ ไม่จำเป็นจะต้องมาอาศัยตา หู จมูก ลิ้น กายละ นั่นเป็นธรรมชาติแท้เกิดกับหัวใจ เป็นเครื่องมือของหัวใจได้ด้วย จิตจึงพิสดารมากเวลารู้เวลาเห็น เราไม่เคยเห็นตั้งแต่เราไม่เคยภาวนา แต่จิตใจได้รู้ได้เห็นแล้วติดปั๊บๆๆ คือเชื่อเลย ไม่ต้องหาใครมาเป็นสักขีพยานว่าอันนี้จริงหรือไม่จริง อันนี้มีหรือไม่มี

อย่างที่พูดว่าเปรตว่าผี เอานอกๆ นะ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องกิเลสอันละเอียดอยู่ภายในใจ พูดเรื่องนอกๆ พวกเปรตพวกผี พวกสัตว์ประเภทต่างๆ ที่เป็นสัตว์หยาบ ใจเห็นหมด ใจเราไม่เห็น แต่ใจของนักภาวนาเห็น รู้เห็น ไม่ต้องอาศัยตา หู จมูก ลิ้น กายไปเป็นเครื่องมือพิสูจน์ ใจหากพิสูจน์เอง รู้เอง นั่นละการภาวนาจึงพิสดารมาก บาปบุญนรกสวรรค์นรกอเวจีก็ท่านเห็นแล้วนี่ พระพุทธเจ้าท่านเห็นเรียบร้อยแล้ว  รู้ทุกสิ่งทุกอย่างนำมาสอนโลก โลกยังไม่เชื่อ เพราะโลกตาบอด ว่านี่น่ะๆ มันก็ไม่เห็น มันตาบอด สีแสงอย่างนั้นอย่างนี้มันก็ตาบอด เอามาให้ลูบให้คลำ ลูบคลำเฉยๆ ไม่รู้ว่าอันนั้นเป็นอะไรมันก็ไม่เชื่อ มีแต่ไม่เชื่อเรื่อยๆ ไปคนหนา ถ้าคนบางแล้วเชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อเป็นลำดับลำดาไปเลย นั่นมันต่างกัน

เรื่องจิตใจนี่พิสดารมาก เราฝึกหัดอบรมให้เป็นไปตามจริตนิสัยของผู้บำเพ็ญซึ่งมีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงต่างกัน ผู้ที่พิสดารในความรู้ความเห็นทั้งภายนอกภายใน ภายในก็คือกิเลสของตัวเอง สำรอกปอกออกให้หมด ภายนอกก็พวกเปรตพวกผีสัตว์นรกอเวจี สวรรค์ชั้นพรหมเห็นไปหมด รู้ไปหมด อันนี้ไม่ต้องอาศัยอะไร นี่ละพระพุทธเจ้านำมาสอนโลก นำสิ่งที่มีอยู่ทั้งนั้นมาสอน ไม่ได้เอาที่ไม่มีมาโกหกโลกนะ จึงเรียกว่าสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้วทุกอย่าง ไม่ว่าดีว่าชั่ว ดีจริงๆ ตามที่สอนไว้แล้ว ชั่วก็ชั่วจริงๆ ตามที่สอนไว้แล้ว จึงเรียกว่าสวากขาตธรรม ศาสดาองค์เอกตรัสไว้ไม่มีสอง ไม่ได้มีคำว่าโกหก รู้อันไหนขึ้นมาแน่นอนๆ ไม่จำเป็นต้องหาใครมาเป็นสักขีพยานจึงจะเชื่อใจ ลงใจได้ ท่านลงใจเอง

แล้วทุกสิ่งทุกอย่าง เช่นอย่างแก้กิเลส แก้ได้มากน้อยเพียงไรก็รู้ชัดว่าแก้ได้ๆ แล้วเป็นสมบัติของตนไปพร้อมๆ กัน ไม่ได้เหมือนความจำนะ ความจำเรียนจำได้ขนาดไหนมันก็มีแต่ความจำ ไม่ใช่สมบัติของตนเหมือนภาคปฏิบัติ ผลที่เกิดขึ้นมาทั้งรู้ทั้งเห็นทั้งเป็นสมบัติของตนด้วย กิเลสเบาบางจากภาคปฏิบัติก็เป็นสมบัติของตนด้วยเรื่อยๆ จนกระทั่งกิเลสสิ้นซากไปหมดก็เป็นสมบัติของตนเต็มภูมิว่าบริสุทธิ์แล้ว ไม่ต้องไปหาใครมาเป็นสักขีพยานก็รู้เองเห็นเอง ท่านว่าสนฺทิฏฺฐิโก รู้ผลงานของตนไปเป็นลำดับลำดา

ยกตัวอย่างเช่นพระอัญญตระ จะเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าทูลถามปัญหาส่วนละเอียด พอดีไปถึงใต้ถุนพระคันธกุฎีฝนตกหนัก ทีนี้น้ำตกลงมาจากชายคาลงมากระทบกับพื้น พื้นที่มีน้ำอยู่แล้วก็ตั้งเป็นต่อมเป็นฟองขึ้นมา กระทบกันแล้วดับๆ ท่านก็พิจารณาน้ำที่กระทบกันตั้งเป็นต่อมเป็นฟองขึ้นมาแล้วดับไปๆ กับสังขารที่มันคิดขึ้นมาภายในใจของท่าน คิดดีก็ดับ คิดชั่วก็ดับ ดับแล้วไม่อยู่ที่ไหน มันก็มาอยู่ที่จิต เกิดขึ้นมาจากใจ ท่านก็ลงในที่ใจ ตรัสรู้ปึ๋งขึ้นมาที่นั่นแล้ว พอฝนตกหยุดกลับกุฏิเลย ทั้งๆ ที่จะไปทูลถามพระพุทธเจ้า พอไปถึงสนฺทิฏฺฐิโกประจักษ์ตนเต็มหัวใจแล้วกลับ  ไม่ไปทูลถามพระพุทธเจ้า

เพราะฉะนั้นสนฺทิฏฺฐิโก ที่รู้ผลงานของตนจึงเป็นของสำคัญมากทีเดียว รู้สุดขีดก็เต็มภูมิ รู้ขั้นไหนก็รู้เป็นลำดับ จนกระทั่งรู้สุดขีดด้วยสนฺทิฏฺฐิโก เป็นผู้บริสุทธิ์แล้ว ไม่ต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้า กลับกุฏิเลย นี่มีตัวอย่างมาอย่างนี้ นั่นละสนฺทิฏฺฐิโกเป็นเครื่องตัดสินให้ตัวเอง คือผลงานของตนได้อย่างไรๆ รู้เป็นลำดับลำดา พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนสนฺทิฏฺฐิโกไว้ เมื่อรู้แล้วไม่ต้องไปถามใคร อย่างพระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาท่านไปถามใคร ก็ สนฺทิฏฺฐิโก ของพระองค์เอง สาวกทั้งหลายบรรลุธรรมขึ้นมาจาก สนฺทิฏฺฐิโก รู้เองเห็นเองจากผลงานของตน ผ่านไปได้ๆ นี่การปฏิบัติ

เวลานี้เมืองไทยเรากำลังอ่อนมากนะ เรื่องอรรถเรื่องธรรมนี้อ่อนเอาเสียจนจะมองหาไม่เห็นธรรมในหัวใจมนุษย์เรา แต่เรื่องกิเลสตัณหามองหาคนไม่เห็น มีแต่กิเลสปิดบังไว้หมด คนทั้งคนเห็นแต่กิเลสหุ้มห่อไว้หมด เป็นอย่างนั้นนะ ธรรมที่จะมีวี่มีแววออกมาทางด้านจิตใจ แสดงออกมาทางกายวาจาความประพฤติหน้าที่การงาน เป็นทางถูกทางดีไม่ค่อยมี มักจะมีแต่เรื่องสกปรกแสดงออกมาจากกิเลสเป็นตัวบงการนั้นแหละมาก

ที่นี่ว่าเมืองพุทธๆ มันเป็นเมืองผีในหลักธรรมชาติของมัน ไม่ได้เป็นเมืองพุทธนะ โลกเขาก็ยอมรับว่าเมืองไทยถือศาสนาพุทธ แต่ครั้นแล้วเมืองไทยนี้ยิ่งกว่าลิงกว่าค่าง ฉกลักขโมยปล้นจี้กันด้วยวิธีการต่างๆ ไม่มีใครเกินเมืองไทยซึ่งเป็นเมืองพุทธเลย มันเป็นอย่างไร ไม่อายเขาบ้างเหรอพวกเรา ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ ฆราวาสก็ให้มีศีลธรรมความประพฤติดีงามสมเพศฆราวาส พระก็ให้ประพฤติปฏิบัติตามหลักศีลหลักธรรมตามเพศของตนที่บวชมาเป็นพระ กิริยาอาการทุกอย่างต้องเป็นพระๆ ไปหมด ไม่เป็นโจรเป็นมาร เป็นกิเลสตัณหา ท่านจึงเรียกว่าพระ

ถ้าการแสดงออกยังเป็นกิเลสตัณหา เป็นความผิดความพลาดกระทั่งไม่มียางอายเลยนั้นท่านว่าพระเป็นเปรตเป็นผีไปแล้วในผ้าเหลืองที่หุ้มห่ออยู่นั้น มันไม่รู้ตัวนะ กิเลสมันอยู่ลึกๆ แสดงตัวออกมีแต่กิเลสแสดง เราก็ให้พากันฝึกบ้างซิ เวลาจะหลับจะนอนอย่างน้อยก็ให้ได้ภาวนาให้ได้มีความสงบใจ การภาวนาก็คือดูความเคลื่อนไหวของใจ ใจจะไม่อยู่เป็นสุข จะคิดเรื่องนั้นปรุงเรื่องนี้ตลอดเวลา เวลาภาวนาเอาสติจับลงไปในใจดวงนั้น ถ้าสติจับเฉยๆ มันไม่อยู่ เอาคำบริกรรมมัดจิตแล้วเอาสติมัดคำบริกรรมให้ติดอยู่ แล้วสงบๆ เย็นไปๆ สติจึงเป็นของสำคัญมาก

ถ้าใครมีสติ..เอา ดูเจ้าของก็รู้วันนี้มีสติกี่ชั่วโมง ในระยะที่มีสติตั้งท่านั้นกิเลสจะไม่เกิด กิเลสเกิดเวลาเผลอสติ ถ้ากิเลสมีอยู่นั้นกิเลสจะหนาแน่นขนาดไหนสตินี้กั้นไว้อยู่หมดเลย สติจึงเป็นของสำคัญมาก ฝึกจนได้ที่ได้ฐานแล้วสงบเย็นลงไปเรื่อยๆ ถ้ามีสติ ถ้าสติไม่มีแล้วความเพียรก็สักแต่ว่า เดินจงกรมก็มีแต่ร่างเดินจงกรม จิตคิดไปนอกโลกนอกสงสารแล้วเอาฟืนเอาไฟมาเผาตัวเองไม่รู้ตัว ในทางจงกรมในที่ภาวนานั้นแหละ มันอยู่ในนั้น กิเลสมันอยู่กับหัวใจ ว่าเราเดินจงกรมใจมันก็เดินสั่งสมกิเลสภายในตัวของมัน จะภาวนาแบบไหนกิเลสมันก็ภาวนาของมัน เผาหัวใจคนตลอดเวลาเราไม่รู้นะ

ให้มีสติเข้าไปซิ ถ้ามีสติมันแย็บออกตรงไหนรู้ๆ เลย ความเพียรของเราเมื่อฝึกด้วยสติดีแล้วสติจะทันเหตุการณ์ต่างๆ มันจะคิดเรื่องราวอะไรคิดไม่ได้ ถ้าลงสติดีอยู่แล้วกิเลสเกิดไม่ได้ วันนี้ก็ตั้งสติดี วันหน้าตั้งสติดี กิเลสจะเกิดไม่ได้เรื่อยๆ ไป สุดท้ายกิเลสก็หมอบ ธรรมะก็เจริญรุ่งเรือง จิตใจสงบเย็น ถ้าสติได้ควบคุมงานอยู่แล้วอย่างไรจิตต้องสงบ อันนี้ส่วนมากสติมันไม่ค่อยมีซี มันจึงไม่ได้เรื่องได้ราว เดินจงกรมก็เดินไปอย่างนั้น นั่งภาวนาก็นั่งไปหลับไปเคลิ้มไปมันก็ไม่ได้เรื่องได้ราว มีแต่กิเลสตัณหาเข้าไปทำงานอยู่ในวงภาวนาเสีย ธรรมะแตกกระจัดกระจายไปโลกไหนก็ไม่รู้ แล้วก็บอกว่าภาวนาไม่ดี มันจะดีอะไรก็มันไม่ภาวนา

เสื่อหมอนดีมันก็ลงในเสื่อในหมอน หลับครอกๆ ปลุกให้ตื่นมันก็ไม่ยอมตื่น จับทั้งเสื่อทั้งหมอนโยนลงน้ำมันจะตื่นหรือไม่ตื่นก็ไม่รู้นะ ทดลองเจ้าของดูซิพวกเรา ถ้ามันหนักนอนนักหลับก็เอาเสื่อเอาหมอนพันตัว หลับแล้วจับโยนลงน้ำมันจะตื่นไหม มันไม่ตื่นก็ให้ปลาเอาไปกินเสีย มันโง่ขนาดนั้นแล้ว มันก็ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร วันนี้ก็ไม่พูดอะไรมากละ เหนื่อย ว่าจะไม่พูดวันนี้เหนื่อยก็ได้พูดให้พี่น้องทั้งหลายได้ฟัง เสียงอรรถเสียงธรรมไม่ได้เหมือนเสียงอะไรนะ

เสียงอรรถเสียงธรรมเสียงมีรสมีชาติดูดดื่มในจิตใจ ใจฟังเสียงอรรถเสียงธรรมแล้วใจเบา ใจสบาย เบิกกว้างออกไป ถ้าใจฟังแต่เสียงเรื่องของกิเลสตัณหา ความเพลิดความเพลิน ความโศกเศร้าเหงาหงอยก็มาด้วยกัน ก็เป็นฟืนเป็นไฟเผากันไปนั้นแหละ ถ้าพูดถึงเรื่องอรรถเรื่องธรรมแล้วใจจะเย็น ให้ภาวนาบ้างนะทุกคนๆ เอาละพอ

ใครที่เขาโจมตีเราเลยออกวิทยุแก้ข่าวให้แทนได้เลย หาว่าท่านพฤกษ์นี่เอาเงินจากสำนักสงฆ์เขาเขียวไปสร้างรีสอร์ตรีแสดที่ไหน เราได้ยินมาอย่างนั้นเราก็แก้ให้ เขาเขียวเราไปดูแล้วจะมีอะไร มีแต่ป่าแต่เขา มีแต่สัตว์เต็มกับพระอยู่ด้วยกัน เป็นเพื่อนกัน ท่านไปสั่งสมอะไรพอจะมีเงินมีทองไปสร้างอะไร ไม่มี บอกยันได้เลยว่าไม่มี วัดนั้นเป็นสถานที่ภาวนาโดยเฉพาะ เราก็บอกอย่างนี้ จะเงินที่ไหนไปสร้างรีส่งรีสอร์ต งานไม่มีเงินจะมาจากไหน เราแก้ให้เลย ออกทางวิทยุเหมือนกัน

(ถวายหลวงตาส่วนตัวเจ้าค่ะ) ได้หมื่นหนึ่ง เอาส่วนตัว เรานี่มันเพื่อโลก คำว่าส่วนตัวไม่มี  พูดได้ชัดๆ ไม่มี มีเท่าไรออกหมดเลย เราแบแล้วเราไม่กำ ไม่เอา อย่างดีดดิ้นอยู่ทุกวันนี้ ไปไหนลำบากลำบนก็เพื่อโลกทั้งนั้นไม่ได้เพื่อเรา หมดโดยสิ้นเชิง งานของเราไม่มี งานภายในใจไม่มี ทุกข์ที่จะมาเสียดแทงแม้เม็ดหินเม็ดทรายภายในใจก็ไม่มี หมดโดยสิ้นเชิง บรมสุขเข้าแทนที่ปุ๊บ ตั้งแต่วันกิเลสขาดสะบั้นลงไปจากใจ บรมสุขไม่ต้องถามขึ้นแทนกันเลย

พูดให้มันชัดๆ ธรรมพระพุทธเจ้าเราเสาะแสวงหาทำไมจะไม่ได้ เขาหากิเลสได้กิเลส หาธรรมต้องได้ธรรม แล้วพูดเรื่องธรรมพูดไม่ได้มีหรือ แต่เขาพูดด้วยกิเลสตัณหาได้มามากน้อยเพียงไรเขาก็พูดกันได้ เราหาธรรมแทบเป็นแทบตายพูดธรรมไม่ได้มีอย่างเหรอ พูดให้มันชัดๆ หาได้ บอกตรงๆ ในใจ ได้จนปล่อยโดยสิ้นเชิง ไม่มีอะไรเหลือ ขึ้นชื่อว่าสมมุติที่จะมาผ่านในจิตใจไม่มี ทีนี้ทุกข์จะมาจากไหน ทุกข์เกิดขึ้นมาจากกิเลส กิเลสตัวสร้างความวุ่นวาย กิเลสไม่มี ไม่มีอะไรสร้าง ทุกข์ก็ไม่มี บรมสุขไม่ต้องถาม

อย่างที่ท่านแสดงไว้ในธรรมว่า วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ กตํ กรณียํ พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว งานที่ควรทำได้ทำสำเร็จแล้ว งานอื่นที่จะทำให้ยิ่งกว่านี้ไม่มีก็คือท่านผู้สิ้นกิเลส พระพุทธเจ้า วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ พระอรหันต์ผู้ทรงไว้ซึ่งวุสิตํ พฺรหฺมจริยํ ตั้งแต่กิเลสขาดสะบั้นลงแล้วท่านไม่ทำความเพียรเพื่อฆ่ากิเลส ไม่มี กิเลสตัวไหนมาให้ต่อสู้กันไม่มี นั่นละบรมสุขขึ้นที่ตรงนั้น นิพพานเที่ยงก็ตรงนั้น เวลามันหนามันหนาจริงๆ นะกิเลส เราไม่ลืม

นี่ก็ได้คติธรรมอันหนึ่งเหมือนกัน ไปสู้กับกิเลสอยู่บนภูเขา สู้มันไม่ได้ ตั้งสติตั้งพับล้มผล็อยๆ ไม่ได้ตั้งเพื่ออยู่ ตั้งเพื่อล้ม จนน้ำตาร่วงบนภูเขา โอ้โห มันอุทานภายในใจ โอ้โห มึงเอากูขนาดนี้ กูมึงนะอยู่ในนั้นละ มึงเอากูขนาดนั้นเชียวเหรอ เอาละอย่างไรมึงต้องพังวันหนึ่ง ให้กูถอยกูไม่ถอย นี่คือเคียดแค้นให้กิเลส ถ้าเคียดแค้นให้สัตว์หรือบุคคลใดก็ตามเป็นบาปเป็นกรรม แต่เคียดแค้นให้กิเลสที่เป็นภัยอยู่ในนี้เป็นธรรม

นี่ละความเคียดแค้นนี้มันเป็นเชื้อสำคัญภายในใจ อย่างไรมึงต้องพังวันหนึ่ง เอาละ ว่าอย่างนั้นเลย มึงต้องพังวันหนึ่ง ให้กูถอยกูไม่ถอย จริงๆ ด้วย โรงงานใหญ่ก็คือพ่อแม่ครูจารย์มั่น ล้มทั้งหงายมาจากภูเขาไปหาท่าน ฟิตใหม่ ไปอีก ล้มทั้งหงาย ล้มหงายๆ ล้ม พลิกไปพลิกมากิเลสมันก็ล้มให้เราเห็นซิ โถ มึงก็มีท้องเหมือนกันหรือกิเลส นึกว่ามีแต่กูหงายท้องให้มึงดู ทีนี้ก็ซัดกันใหญ่เลย ไม่ลืม เวลาตั้งสติไม่อยู่ไม่อยู่จริงๆ นะ ตั้งพับล้มพร้อมๆ จนกระทั่งน้ำตาร่วงบนภูเขา ไม่ลืม

นี่เคียดให้กิเลสเป็นธรรมนะ มันมุมานะ มันเป็นอยู่ภายในใจ ไม่ได้เป็นออกมาอย่างเราพูดนี่ มันเป็นในใจ โอ้โห มึงเอากูขนาดนี้เชียวเหรอ เอาละอย่างไรมึงต้องพัง ให้กูถอยกูไม่ถอย เป็นอยู่ในใจ เคียดแค้นให้กิเลส นี่ละความเคียดแค้นให้กิเลสซึ่งเป็นภัยรุนแรงเป็นธรรม ความเคียดแค้นให้บุคคลและสัตว์ตัวใดก็ตามเป็นโทษ นี่ละมันพลิกกันตรงนี้ละ อันนี้แหละทำให้มุมานะฟัดกับกิเลสไม่ถอย เมื่อถึงขั้นที่พอฟัดกันแล้วทีนี้กิเลสมันก็ไม่ได้มีอำนาจตลอดไป ถึงขั้นธรรมมีอำนาจแล้วกิเลสโผล่ไม่ได้

เรียกว่าธรรมขั้นนี้เป็นธรรมอัตโนมัติ หมุนไปเอง เป็นความเพียรอยู่ในตัวเองเสร็จ ได้รั้งเอาไว้ๆ บางทีมันไม่หลับ กลางคืนนอนไม่หลับ สติปัญญากับกิเลสฟัดกันอยู่ภายในใจ นอนมันก็ไม่นอนด้วย มันหมุนของมันตลอด นั่งภาวนายิ่งแล้วซัดกันเลย ลงเดินจงกรมก็ไปฟัดทางจงกรม มานอนแทนที่มันจะนอนมันไม่ยอมนอน  ฟัด เลยแจ้ง ไม่หลับ นี่ถึงขั้นสติปัญญามีกำลัง

กิเลสไม่ใช่ว่าจะมีกำลังตลอดเวลานะ โผล่ไม่ได้เมื่อถึงขั้นสติปัญญามีกำลังแล้วโผล่มาขาดสะบั้นๆ สติปัญญาธรรมดากับมหาสติมหาปัญญาบวกกันเข้าไปแล้วยิ่งเร็ว แพล็บนี้ขาดแล้วๆ เป็นเองนะ เวลาถึงขั้นสติปัญญามีกำลังนี้กิเลสขาดเองเลย พอแพล็บมานี้มันรวดเร็ว คือความรวดเร็วของมหาสติมหาปัญญานี้มันเร็วเกินกว่าจะมองทัน ถ้าตาเราธรรมดามองไม่ทัน แต่สติปัญญามันทันกันกับกิเลส พอโผล่แพล็บขาดสะบั้นๆ สุดท้ายก็ขาดหมดเลย ทีนี้ไม่มีอะไรโผล่ หมดแล้ว

วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ การรบกับข้าศึกคือกิเลสตัวที่มีอำนาจใหญ่หลวงครอบสามแดนโลกธาตุได้ขาดสะบั้นลงไปแล้วจากหัวใจเรา ตั้งแต่นั้นมาไม่มีอะไรเข้ามาแสดงเลย  หมด มหาสติมหาปัญญาเป็นเครื่องมือชั้นเอก พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้วมหาสติมหาปัญญาก็เหมือนกับเราทำงานเสร็จแล้วเราก็ปล่อยเครื่องมือเสีย เช่นมีดกำลังฟันอะไรพอทำเสร็จแล้ววางมีดเสีย อันนี้กิเลสขาดสะบั้นลงไปมหาสติมหาปัญญามันก็ลดตัวลงเองตามหลักธรรมชาติ ไม่ใช่จะตั้งใจลดนะ มันลดตัวลงเอง แล้วจะฆ่ากับอะไร งานก็ปล่อยมือแล้ว มีดฟันอะไรพองานนี้เสร็จแล้วมันก็ต้องปล่อยมีด ปล่อยเครื่องมือ

พรุ่งนี้เอาศพท่านชิตไป ๑๐ โมงเช้า วันที่ ๘ ก็เผา ท่านชิตเป็นพระวัดป่าบ้านตาด เป็นคนเพชรบุรี เป็นพระไปอยู่วัดป่าบ้านตาดหลายปี ออกจากนั้นก็มาอยู่ทางน้ำหนาว ก็ได้มาเสีย เป็นพระวัดป่าบ้านตาดกล้าหาญชาญชัยมากนะ เข้มข้น ขยันหมั่นเพียร เอาจริงเอาจัง เด็ด ของเล่นเมื่อไรท่านชิต อาจหาญชาญชัย ถ้าพูดแบบโลกเรียกว่าไม่กลัวใคร กิริยาอาการนี้บอกไม่กลัวใคร  ทีนี้เวลาจะหมุนเข้าไปทางกิเลสมันก็ไม่กลัวกิเลส คือนิสัยอันนี้ละ ถ้านิสัยอ่อนแอท้อแท้แล้วมันก็อ่อนไปหมด ถ้านิสัยแข็งแกร่งมันก็แข็ง ไปในทางที่ถูกที่ดียิ่งแข็ง อาจหาญนะท่านชิต นิสัยอาจหาญ จริงจังทุกอย่าง ประหนึ่งว่าไม่กลัวใคร ว่าอย่างนั้นเถอะ นิสัยเด็ด อยู่กับเรามาหลายปี รู้นิสัย ขยันหมั่นเพียร..ท่านชิต

 

รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน  FM 103.25 MHz

และเครือข่ายทั่วประเทศ

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก