เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๐
ธรรมเต็มหัวใจแล้วไม่หา
ก่อนจังหัน
วันเราไปเยี่ยมภูวัวดูว่า ๒๘ หรือไง ทำเลเหมาะสมมาก พอไปลงรถปั๊บขึ้นเลย ตระเวนหมดแถวนั้น เพราะได้ยินชื่อเสียงวัดนี้มานานว่าท่านอุทัยอยู่ที่นั่น มีพระ ๒-๓ องค์ เราได้ยินมานาน ตั้งใจจะไปแต่ไม่มีเวลา วันนั้นเตรียมตัวพร้อมแล้วไปเลย ลงรถปั๊บขึ้นเลย ไปตระเวนดู โอ๊ย ท่านเลือกได้ตามต้องการ มันมีหินก้อนหินแตก ต้นไม้เป็นชุมนุมๆ เป็นแห่งๆ ตรงไหนที่มีหินแตกกระจัดกระจาย ต้นไม้ขึ้นเป็นร่มเป็นแห่งๆ ทั่วไปหมด โอ้ ชอบมาก เพราะฉะนั้นมาถึงรับเหมากับท่านอุทัยเลย แต่ก่อนมีพระสองสามองค์ บอกเลยว่า เอา พระตั้งใจปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมาเท่าไรมาเราจะรับเลี้ยง แต่พระขี้เกียจขี้คร้านให้ไล่ลงภูเขาให้หมด คือมันเด็ดทั้งสอง อย่าให้อยู่ภูเขาลูกนี้เสียศักดิ์ศรีภูเขาทั้งลูกเราว่า
ตั้งแต่นั้นมาอยู่ใน ๓๐-๔๐ ในย่านนี้ ๓๐-๓๕-๔๐ ลดลงมา.เอ๊ มันลืมแล้วเรา ตั้งแต่ พ.ศ. เท่าไร แต่แน่ใจว่า ๒๐ ปีกว่าแล้วมั้ง (๒๕๒๕ เจ้าค่ะ) เอ้อๆ ๒๕ แล้ว ๒๕ นี้ถ้าคิดแล้วเป็นเท่าไร กี่ปี (๒๕ ปี) ๒๕ ปี นั่นละ ตั้งแต่บัดนั้นมาเราส่งเสียตลอดเลย เดือนหนึ่งไปครั้งหนึ่งๆ ขาดไม่ได้ แล้วแต่ละครั้งนี้รถ ๔ คัน ๖ ล้อคันหนึ่ง บองขึ้นนะ เต็มเลย ๔ ล้อ ๓ คัน มีแต่บองขึ้นๆ เต็มๆ ถ้าหากว่ารถไม่พอกับอาหารที่จะนำไปส่งหามาเพิ่มอีก เขาบอกว่าพอ ก็เลยยืนตัวเป็นรถ ๔ คันๆ ประจำ จนกระทั่งทุกวันนี้
เราพอใจพระท่านตั้งใจประพฤติปฏิบัติดี เราอยากส่งเสริม แต่ท่านผู้ตั้งใจจริงๆ มุ่งอรรถมุ่งธรรมจริงๆ ท่านก็ไม่สนใจกับอาหารอีกนะ มันก็แปลกอยู่ หาอยู่ที่อดๆ อยากๆ ที่สมบูรณ์พูลผลท่านไม่ค่อยไป ธรรมแห้งผากท่านว่า ถ้าหากขาดแคลนทางอาหารการกินธรรมสมบูรณ์ว่างั้นนะ นี่มาหาธรรมต่างหากท่านว่า เป็นอย่างนั้นนะ อย่างวัดภูวัวนี้พระก็ตั้ง ๒๐ กว่าไม่เคยขาด เท่าไรก็ตาม เพราะบริเวณนี้กว้างขวางมาก เหมาะสมทุกแห่งไปเลย คือเราไปดูเอง ไปตระเวนหมดเลย แต่ก่อนมันยังหนุ่มน้อยไปได้หมด
พอมาก็เหมากันเลยกับท่านอุทัย เหมาเลยเทียว บอกว่า เอ้า พระตั้งใจปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เอา มาเท่าไรให้มาผมจะรับเลี้ยง ถ้าหากว่าสู้ไม่ไหวผมจะยอม แล้วผมจะประกาศว่าสู้ไม่ไหว ขอให้คำนี้ออกเสียทีเถอะน่ะ ว่าสู้ไม่ไหวนี่น่ะ ตั้งแต่นั้นมาเรียบร้อยๆ มา ก็อยู่ในราว ๒๘-๓๐ กว่า อยู่ในย่านนี้ละเรื่อยมา จนกระทั่งทุกวันนี้ พอค่ำนี้ส่วนมากท่านจะเอาเทปครูบาอาจารย์มาเปิด พอ ๖ โมงเย็นพระท่านก็มาจากที่ต่างๆ ในบริเวณนั้นแหละ มาจากที่ภาวนาของท่านแล้วมารวม เปิดเทปออกนั่งสมาธิฟัง อย่างน้อยให้ได้ม้วนหนึ่ง ใครจะลุกไปไหนก็ไปได้ หรือผู้จะฟังต่อก็ได้ เป็นอย่างนั้นเป็นมาประจำ
นั่นละการอบรมจิตใจ การอบรมจิตใจเป็นของสำคัญมาก โลกเรานี้ไม่เคยมองดูจิตใจนะ ไม่มีใครมอง เราอยากพูดชัดๆ แม้แต่ชาวพุทธเราพระเราจริงๆ ก็ไม่ได้ดูหัวใจตัวเอง พระโกโรโกโส พระเป็นบ้าลาภบ้ายศ โกโรโกโสมีเยอะในเมืองไทยเรา น่าทุเรศนะ เราเอาธรรมมาพูด เอา ถ้าว่าพูดผิดใครจะเอาคอหลวงตาบัวไปตัดตัดเลยไม่เสียดายยิ่งกว่าธรรมนะ เราเสียดายธรรม
เห็นพระปฏิบัติเลอะๆ เทอะๆ เราสลดสังเวชนะ เพราะธรรมออกมาจากพระพุทธเจ้าจนสลบไสล ท่านอยู่หอปราสาท สิทธัตถราชกุมารเสด็จจากหอปราสาทออกมาก็เหมือนตกลงมาจากสวรรค์ตกนรกทั้งเป็นนั่นเอง ๖ ปีสำเร็จ นั่นละท่านเป็นศาสดาองค์เอก แล้วเอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาขยี้ขยำ มิหนำซ้ำเอามาเป็นเครื่องประดับยศด้วยนะ เป็นเครื่องหากินง่ายด้วย เป็นอย่างนั้นนะพระทุกวันนี้
ฟังให้ดีพระทุกวันนี้พระในประเทศไทยเรา เราเอาธรรมมาพูด ถ้าหากว่าหลวงตาบัวนี้พูดผิดเอาคอไปตัดหลวงตาบัวไม่เสียดายยิ่งกว่าธรรม เราเสียดายธรรมนี้มากที่สุด คิดเห็นองค์ศาสดาท่านอุตส่าห์พยายาม อยู่ในหอปราสาทราชมณเฑียร เสด็จออกจากที่เช่นนั้น จากที่สมบูรณ์พูลผลมาอยู่ในป่ากรุงพาราณสี ๖ ปี สลบไสลถึง ๓ หน จึงได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา นี่ทุกข์ไหมล่ะ การบำเพ็ญเพียรถึงขั้นสลบ สลบ ๓ หนด้วยนะ ก่อนที่จะได้ตรัสรู้ธรรมเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมาสอนโลก แล้วพวกเราพวกล้างมือเปิบ นำธรรมเข้ามาปฏิบัติต่อตัวเองเท่านั้นก็ไม่ได้แล้วทำไง
อะไรๆ ก็ไม่ดีเท่าความขี้เกียจขี้คร้านความไม่เอาไหน นี่หรือทำสัตว์โลกเราเลิศเลอ มันกองมูตรกองคูถสิ่งเหล่านี้ ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง ขี้เกียจขี้คร้าน ขี้ติดตัวๆ ไปเลยเห็นไหมล่ะ มีทองคำติดมันไหมตรงนั้นน่ะ น่าพิจารณานะ พวกชาวบ้านเราที่มาจากที่ไหนให้พิจารณานะ อย่าอยู่เฉยๆ กินตั้งแต่วันเกิดถึงวันตายไม่มีสาระอะไรเลย มาอวดมั่งอวดมีอวดดีอวดเด่น อวดยศถาบรรดาศักดิ์ อวดลมๆ แล้งๆ ตายแล้วไม่มีอะไรติดหัวใจ แล้วก็อวด ข้ามีเท่านั้นข้ามีเท่านี้ ข้ามีหมื่นมีแสนมีล้าน ข้ามียศถาบรรดาศักดิ์สูงๆ เวลาตายแล้วกระดูกของข้าคนนั้นก็ไม่เห็นมีอะไรติดตัว เขาเอาไปเผา ครั้นอยากเผาก็เผาไม่อยากเผาฝังไปเลยเกิดประโยชน์อะไร
สิ่งที่ติดอยู่ในหัวใจคืออะไร บาปกับบุญ ตัวนี้ลึกลับไม่มีใครมองเห็นได้ นอกจากพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์องค์เชี่ยวชาญเห็นได้ชัดเจน พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์องค์เชี่ยวชาญเห็นมหาภัยกับมหาคุณติดอยู่ที่หัวใจของผู้ทำๆ ทำดีเป็นดีทำชั่วเป็นชั่ว อันนี้ละจะติดตัว สิ่งเหล่านั้นอย่าไปหวังพึ่งมันนะ อย่าเป็นบ้าเห่อกันนักหนานะ มันบ้าเห่อได้เท่าไรไม่พอๆ ตายแล้วเขาไปเผาไฟได้อะไรล่ะ พิจารณาซิ คิดบ้างไหมพวกเรา เฉพาะอย่างยิ่งคือชาวพุทธเราคิดบ้างไหม มันน่าทุเรศนะ ว่ามนุษย์เราเป็นคนฉลาด มันทำไมโง่นักมนุษย์เทียบกับเรื่องศาสนา
พุทธศาสนาเป็นศาสนาชั้นเอก มันทำไมถึงโง่นักไม่สนใจกับพุทธศาสนาซึ่งเป็นชั้นเอกล่ะ เกิดมาตายเปล่าๆ เกิดประโยชน์อะไร ให้พากันพิจารณานะ เกิดมานี้มาพบคำสอนของศาสดาองค์เอกเสียด้วย ไม่ใช่ศาสนาสุ่มสี่สุ่มห้า คว้ามาจากไหนก็มาสอนกัน ศาสนานั้นศาสนานี้ล้วนแล้วตั้งแต่เป็นศาสนาของคนมีกิเลสคลังกิเลส สอนออกมากิเลสต้องตามมาด้วยไม่มากก็น้อย สุดท้ายอยากรวมว่า กองกิเลสคลังกิเลสมาสอนโลก ของผู้เป็นเจ้าของที่เป็นคลังกิเลส ส่วนพระพุทธเจ้าคลังแห่งธรรม ศาสดาองค์เอกไม่มีอะไรติดพระทัย ขึ้นชื่อว่ากิเลสขาดสะบั้นออกไปแล้ว นั้นละมาสอนโลก จึงเรียกเป็นศาสดาองค์เอก ตรัสออกมาเรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้วๆ
ให้พากันปฏิบัติเถิด มรรคผลนิพพานท้าทายอยู่ตลอดเวลา อยู่กับพุทธศาสนา พุทธศาสนาคือตลาดแห่งมรรคผลนิพพาน แล้วท้าทายผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เอา ถ้ากลัวว่ามรรคผลนิพพานจะอัดจะอั้น เอาๆ ให้ปฏิบัติมาซิน่ะว่างั้นละ มรรคผลนิพพานท้าทายพวกเรา ให้พากันปฏิบัตินะ อย่าเห็นแก่อยู่แก่กิน ตื่นมาหากินๆ วันยังค่ำ เต็มท้องแล้วก็นอนหลับครอกๆ ตื่นมาหากิน นอนหลับครอกๆ ตื่นมาหากินมาได้กี่ปีแล้ว ได้ประโยชน์อะไรบ้างล่ะ พิจารณาบ้างซิ
จิตดวงนี้ดวงที่จะได้แบกหามกองทุกข์ของคนประมาท จะได้อาศัยกองบุญกองกุศลเทิดตนเองขึ้นสู่สวรรค์นิพพานเพราะความใจบุญไม่ประมาท พากันจำเอานะ โฮ้ นี่หลวงตาจวนจะตายละ ได้คุ้ยเขี่ยขุดค้นเต็มกำลังความสามารถมาเป็นเวลา ๗๓ ปีนี้ละ หลวงตาบวชมาตั้งแต่วันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๔๗๗ จนกระทั่งถึงมาบัดนี้ เป็น ๗๓ ปีเต็มแล้ว คุ้นเขี่ยขุดค้นธรรมมาตั้งแต่การศึกษาเล่าเรียนก็เรียนแบบแปลนแผนผัง จากนั้นมาก็ออกปฏิบัติคุ้ยเขี่ยหาความจริงที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่ามีจริงหรือไม่มี ที่สอนสัตว์โลกอยู่ตลอดมาได้ ๒๕๐๐ ปีนี้ ธรรมที่สอนนั้นจริงหรือไม่จริง
คุ้ยเขี่ยขุดค้น ก็มาเจอเอาๆ เจอเอาตรงไหนก็หมอบราบๆ ต่อพระพุทธเจ้า หมอบราบไม่มีที่ค้าน รู้ตรงไหนพระพุทธเจ้ารู้แล้วๆ เห็นแล้ว ท่านสอนเอาไว้ พอมารู้ก็ยอมรับๆ ฟาดจนกระทั่งถึงนิพพานทั้งเป็น เราพูดจริงๆ เราไม่หาธรรมทุกวันนี้ ใครจะว่าหลวงตาบัวเป็นบ้า เอาว่ามา ถ้าหลวงตาบัวเป็นบ้าพระพุทธเจ้าก็เป็นบ้า ศาสดาเป็นบ้ามาสอนโลกให้เป็นบ้ากันทั้งโลกจะว่าอย่างนั้นก็ไม่ผิดนี่นะ นี่ศาสดาองค์เอก ผู้ตรัสรู้ธรรมรองลงมาคือสาวก สาวกองค์เอกเป็น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเราตลอดมา นี้เราก็ปฏิบัติตามร่องรอยของพระพุทธเจ้า พอในหัวใจด้วยการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ หาที่ต้องติเจ้าของไม่ได้จนกระทั่งถึงภูมิแห่งธรรมว่าพอ เราพอแล้วในธรรมทั้งหลาย ที่เราจะหามรรคผลนิพพานเหมือนแต่ก่อนเราไม่หา
ทุกวันนี้สอนโลกด้วยความอิ่มพอ และด้วยความเมตตาล้วนๆ ใครจะฟังให้ฟังนะ นี่จวนจะตายแล้วนะนี่ หรือมาหาว่าหลวงตาโอ้อวดหรือ ตัวมันว่าอยู่นั้นน่ะมันตัวหยาบโลนที่สุด หัวใจอมขี้ปากอมขี้ ตำหนิออกมาก็อมขี้ๆ ปากนี้ปากอมธรรม พระพุทธเจ้าสาวกทั้งหลายปากอมธรรมใจอมธรรมท่านปฏิบัติมา ถ้าของดีมันไม่ยอมเอา ถ้าของชั่วงับปั๊บๆ เลย มันเป็นยังไง ขอให้พากันพิจารณานะ อย่าเกิดมาตายเปล่าๆ เกิดมาตายเปล่าๆ มากี่กัปกี่กัลป์แล้ว ตายทับตายถมกันมานี้นานเท่าไร เจ้าของตายทับเจ้าของก็มากต่อมาก แล้วตายทับกันก็มากต่อมากไม่ได้เหตุผลกลไกอะไร
ธรรมพระพุทธเจ้าเลิศเลอ นานๆ จะได้เจอทีหนึ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาๆ มีแต่ครั้งละองค์เท่านั้น พระพุทธเจ้าไม่ซ้ำสอง เพราะอุบัติยากเกิดยาก พระพุทธเจ้าของเราพระสมณโคดมก็องค์เดียวเท่านี้เอง สิ้นจากนี้แล้วก็ว่าง พระอริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้นี่ก็ระหว่างพุทธันดร คือระหว่างพระพุทธเจ้าที่จะมาสืบต่อกันไปนานแสนนาน ท่านเรียกพุทธันดร ระหว่างพระพุทธเจ้าต่อพระพุทธเจ้าที่จะมาสืบต่อกันไปนั้น มันเป็นสุญกัป สุญกัปไม่มีบาปไม่มีบุญ มีแต่ความชั่วช้าลามกความเพลิดเพลินความทะเยอทะยาน มองเห็นกันนี้เป็นดาบเป็นหลาวไปหมด ทิ่มแทงฆ่ากัน เพราะจิตใจโหดร้ายไม่มีศาสนาเป็นน้ำดับไฟ ให้พากันจำเอานะ
เวลานี้ศาสนาก็เต็มคัมภีร์ มันมาเต็มหัวใจเราหรือเปล่าล่ะ เอามาดูซิ หรือเรียนแต่หนังสือ เรียนแต่ศาสนา สอบได้ชั้นนั้นชั้นนี้เป็นหนอนแทะกระดาษมาเหรอ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เป็นหนอนแทะกระดาษนะ ในคัมภีร์มี ไม่ได้บอกว่าหนอนแทะกระดาษก็ตาม ข้อเทียบเคียงอยู่ในนั้นเสร็จ ท่านสอนไว้เองพระพุทธเจ้าสอน ให้พากันตั้งใจปฏิบัติ ธรรมของพระพุทธเป็นธรรมอันเอกอันเลิศเลอ มันทำไมไม่เห็นเลิศเลอ เพราะจิตใจมันต่ำทราม เมื่อจิตใจต่ำอะไรมาก็ต่ำหมดๆ จิตใจเลอะเทอะอะไรเข้ามาหาใจเลอะเทอะเลอะเทอะไปหมดๆ นั่นละ พากันจำเอานะ เอาละให้พร
เราอยู่ที่นี่เขาถ่ายทอดสดนะ เขาถ่ายเห็นกันทั่วประเทศไทย หลวงตาบัวนั่งอยู่นี้พูดแต่ละครั้งๆ เห็นกันทั่วประเทศไทย มันออกทั่วประเทศไทย เท่าที่ปรากฏนั้นมีครูบาอาจารย์หลายองค์ไหมที่ออกทางทีวี ให้โลกได้ยินทั่วถึงกันมีไหม มีที่ไหนบ้าง ธรรมะเรามีทุกขั้น ไม่บกพร่อง พูดๆ ไปเลยไม่บกพร่อง ตั้งแต่ธรรมพื้นๆ ซัดจนกระทั่งถึงนิพพาน เทศน์ออกมาด้วยความแน่ใจพูดง่ายๆ ว่าเราแน่ใจในธรรมทุกอย่าง ธรรมทุกบททุกบาททุกขั้นทุกภูมิไม่ผิดบอกงั้นเลย ถอดออกมาจากหัวใจที่ถูกต้องแล้วมันจะผิดไปไหน
พระพุทธเจ้าว่าสวากขาตธรรมก็ออกจากพระทัยที่ถูกต้องแล้วเรียบร้อย ฟังซิว่าอวดไหม ที่ว่าทุกวันนี้เราไม่ได้หาธรรมอวดไหม แต่ก่อนหาแทบล้มแทบตาย ก็เหมือนเราหากินข้าว เวลากินอิ่มแล้วไม่หา เข้าใจไหม มันอิ่มแล้ว แน่ะ ก็เท่ากัน มันรับกันอยู่นั่น ธรรมเมื่อเต็มหัวใจแล้วไม่หาๆ เป็นธรรมเต็มตัวๆ (ตอนนี้ในอุดรประมาณ ๙๐ เปอร์เซ็นต์จะดูรายการของหลวงตาเจ้าค่ะ แม่ค้าในตลาดเขาไม่มีเวลามาวัด เขาก็จะอาศัยดูทางทีวี) ก็ยังดีอยู่นะมีทีวีดู ยังดีอยู่ แต่ก่อนไม่มี เทศน์ที่ไหนก็หมดไปๆ ที่จะได้อัดไว้ๆ อย่างพวกอัดเทปอัดอะไรนี้ไม่เห็นมีแต่ก่อน เดี๋ยวนี้มีหมดแล้ว
พระเท่าไรวันนี้ ลืมแล้ว (๓๗ ครับผม) ๓๗ นะ วัดท่านอุทัยก็มีพระเยอะอยู่ อยู่ในจุดที่เหมาะสม เราเห็นว่าเหมาะสม ท่านกำลังปลูกต้นไม้เวลานี้ ต้นไม้กำลังปลูก คือมันเตียนโล่ง เขามาถวายที่ให้เรา ๗๐ ไร่ เราก็เลยต้องหาดูพระ ก็ได้ท่านอุทัยท่านรับให้ ท่านเสถียรอยู่แทนที่วัดภูวัว ท่านอุทัยไปอยู่ทางโน้น ดี เราให้มีสักจุดหนึ่ง จุดกรรมฐาน
หลังจังหัน
(คณะศิษยานุศิษย์ทั้งพระและฆราวาส จากกรุงเทพ ชลบุรี และอุตรดิตถ์ ถวายสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชนจังหวัดอุตรดิตถ์ กำลังส่ง ๑ กิโลวัตต์ พร้อมที่ดิน ๘ ไร่ ออกอากาศ ๒๔ ชั่วโมงทุกวัน โดยกำหนดให้เป็นสถานีวิทยุโทรคมนาคมลูกข่าย รับสัญญาณจากสถานีวิทยุเสียงธรรมบ้านตาดร้อยเปอร์เซ็นต์)
พี่น้องทั้งหลายได้ทราบหรือยังว่าเราช่วยชาติของเราตั้งแต่ปี ๒๕๔๐ บ้านเมืองของเราจะจม ทั้งผู้ทั้งคนหมูหมาเป็ดไก่จ่อหัวลงทะเลแห่งความล่มจมกัน นี่ก็ประกาศกันลั่นทั่วประเทศไทย ที่บ้านเมืองจะล่มจม ใครมาทำให้ล่มจม ประเทศใหญ่ประเทศน้อยที่ไหนเขาจะมารังแกหรือมาทำบ้านเมืองเราให้ล่มจมไม่มี ประเทศไหนๆ ก็ไม่มี ใหญ่ขนาดไหนไม่มี แม้คนเดียวเขาก็ไม่มาทำให้บ้านเมืองเราล่มจม มองไปที่ไหนสุดท้ายก็ได้ประเทศไทยเรา หมดทั้งบ้านทั้งเมืองประเทศไทย ด้วยความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ใช้ไม่รู้จักประมาณ ควักกระเป๋าออกๆ กระเป๋าฉีกขาด บ้านเมืองจะจม มันจมเพราะชาติไทยเรา ไม่ได้จมเพราะชาติใดเขามาทำให้ล่มจม ชาติไทยเราเป็นผู้ทำต่างหาก
เอา ฟื้น ต่างคนต่างฟื้น วัตถุสิ่งของให้ใช้อยู่ในความพอเหมาะพอดี ให้รู้จักประมาณ ธรรมพระพุทธเจ้าสอนให้รู้จักประมาณ สนฺตุฏฺฐีหนึ่ง อปฺปิจฺฉตาหนึ่ง ประจำคำสอนพระพุทธเจ้า อปฺปิจฺฉตา มักน้อย แม้จะมีมากขนาดไหนเอาแต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น สนฺตุฏฺฐี คือเอาตามมีตามเกิด ใช้สอยให้พอเหมาะพอดี นี่ธรรมของพระพุทธเจ้า มหิจฺฉตา ก็ความมักใหญ่ใฝ่สูงเป็นบ้ายศบ้าลาภบ้าได้บ้าร่ำบ้ารวย อย่างทุกวันนี้เมืองไทยเราเป็นบ้าประเภทนี้ เอาผู้ใดมาเป็นผู้ใหญ่ๆ เหมือนปล่อยหมาเข้าถาน ครั้นปล่อยเข้าไปแล้วจับขาดึงออกจนขาขาดมันยังไม่ยอมออก มันยังไม่อิ่มท้อง กินตลอดเวลาเอาใครเข้ามาเป็นผู้ใหญ่
เมืองไทยเราเป็นชะตาอะไรก็ไม่ทราบนะ เมืองไทยเราเป็นเมืองสงบ ไม่ค่อยว่าอะไรต่ออะไร เพราะฉะนั้นผู้ที่มันดื้อด้านมันจึงสนุกกินสนุกกลืน เอาใครเข้ามาเหมือนปล่อยหมาเข้าถาน ไม่มีวันออกเลย กินตลอดๆ มันน่าทุเรศนะเมืองไทยเรา มันเป็นยังไงชะตาเมืองไทยเราเป็นแต่อย่างนี้ เอาผู้ใดมาเป็นผู้ใหญ่ ใหญ่พุงนะไม่ใช่ใหญ่ธรรมดา มากินมากลืนกันหมดแล้วเอาคนนี้ขึ้นมากินอีก สุดท้ายประเทศไทยทั้งประเทศไม่มีตับมีปอด พวกยักษ์ใหญ่เอาไปกินหมด ทำไมจึงเป็นอย่างนั้นเมืองไทยเรา ขอให้พากันพิจารณาหน่อยนะ
เมืองไทยเราเป็นลูกชาวพุทธขอให้พิจารณา ให้รู้จักความพอดิบพอดี มองดูท้องเขาท้องเรา ปากเขาปากเรา ใจเขาใจเรามันมีเหมือนกัน ให้มองดูหัวใจกัน คนเราเมื่อมองดูหัวใจกันแล้วเฉลี่ยถึงกันได้ ถ้ามองดูแต่ใจตัวเองแล้วเหยียบคนอื่น กระทบกระเทือนคนอื่นนะ ถ้ามองดูคนอื่นด้วยมองดูเราด้วยแล้วเฉลี่ยถึงกัน เห็นใจเขาใจเรา พออดพอทนทน เก็บความรู้สึกไว้ เฉลี่ยต่อกันอยู่กันได้สบายคนเรา ถ้าเอาตั้งแต่ใจกิเลสตัณหาไม่ได้นะ ฉิบหายหมด เมืองไทยเราจะจมเห็นไหมปี ๒๕๔๐
เราบวชมาในศาสนาเราไม่เคยเกี่ยวข้องกับบ้านกับเมืองอะไรเลย มันก็เข้าเกี่ยวข้องจนได้เห็นไหมล่ะ มันจะเป็นนิสัยวาสนาเคยพาพี่น้องทั้งหลายเกี่ยวข้องกับบ้านเมืองของเรามาดั้งเดิมก็อาจเป็นได้ มันถึงปึ๋งปั๋งเข้ามาเลย เอา จะช่วย นั่น พอเข้าแล้วก็เอาเลย ทีนี้ผลแห่งการช่วยเหลือบ้านเมืองเราเป็นยังไงพิจารณาซิ ถ้าว่าทองคำก็ได้เข้าคลังหลวงแล้วเวลานี้ ๑๑,๕๑๐ กิโล นี่เครื่องหมายของพี่น้องชาวไทยเรารวมหัวกันด้วยความรักชาติของตน และฟังผู้นำ ผลที่ได้ขึ้นมาก็ทองคำ ๑๑,๕๑๐ กิโลของเล่นเมื่อไร เคยมีมาที่ไหนไม่เคยมี ก็มีตอนเมืองไทยจะจม เห็นใจคนไทยเราว่ารักชาติจริง เชื่อผู้นำ แล้วผู้นำนี้ก็เชื่อตัวเองด้วย
อย่างหลวงตาบัวเป็นผู้นำ สตางค์หนึ่งไม่เคยแตะนะ หลวงตาทำด้วยความเมตตาจริงๆ ไม่เอาอะไร แบมือตลอด อย่างที่วิ่งเต้นอยู่ตลอดเวลานี้เราไม่เอาอะไรนะ ไม่เอา สมบัติเงินทองข้าวของไหลเข้ามาวัดป่าบ้านตาด กระจายออกทั่วประเทศไทย เราไม่เอาก็ไม่เอาจริงๆ เราไม่เหมือนใครนะ ว่าเด็ดเด็ด ว่าขาดขาด หัวใจดวงนี้มันเหมือนเพชรหรือเก่งกว่าเพชรอีก ถ้าว่าอย่างไรขาดสะบั้นไปเลย เจ้าของปฏิบัติเจ้าของก็อย่างนั้นเหมือนกัน เวลาประกอบความพากความเพียร เฉพาะอย่างยิ่งมุ่งหน้าต่อมรรคผลนิพพาน
เวลาเรียนหนังสือท่านบอกว่ามรรคผลนิพพานๆ นี้เชื่อ ผู้ที่เขียนนั้นท่านก็เอามาจากพระพุทธเจ้าผู้ครองมรรคผลนิพพานแล้ว แต่ผู้อ่านอ่านด้วยความสกปรก จิตใจมันมีแต่มูตรแต่คูถ เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง ครั้นอ่านหลายครั้งหลายหนความเชื่อหนักเข้าๆ ทีนี้หาผู้ที่จะมาจูงให้ความเชื่อนี้ลงเต็มสัดเต็มส่วน พอออกจากเรียนแล้วก็วิ่งหาครูบาอาจารย์คือพ่อแม่ครูจารย์มั่น นี่ละท่านทั้งหลายฟังเสีย ต้นเหตุที่เราจะดิ้น เพราะมันมุ่งอยู่แล้ว หาผู้ที่พาเกาะพาดึงพาลากพาเข็นเท่านั้นเอง
พอมาหาพ่อแม่ครูจารย์มั่น ท่านมาอะไร ขึ้นเลยนะ เหมือนท่านกางเรดาร์ไว้แล้ว เหมือนคนทะเลาะกันมาตั้งกัปตั้งกัลป์ พอขึ้นไปปั๊บ ท่านมาอะไร ขึ้นเลยนะ นี่ท่านกางไว้แล้ว เพราะเห็นความตั้งใจของเราสุดขีดแล้ว ท่านก็ต้อนรับอย่างสุดขีดเหมือนกัน ท่านมาหาอะไร มาหามรรคผลนิพพานเหรอ ต้นไม้เป็นต้นไม้ ภูเขาเป็นภูเขา ดินฟ้าอากาศเป็นดินฟ้าอากาศ ตลอดโลกธาตุเป็นโลกธาตุทั้งหมด ไม่ใช่กิเลสไม่ใช่ธรรม กิเลสแท้ธรรมแท้อยู่ที่ใจ ชี้เข้ามาตรงนี้ เอา ให้ท่านพิจารณา พระพุทธเจ้าตรัสรู้ที่ใจเพราะเบิกสิ่งเหล่านี้ที่มันปกคลุมหุ้มห่อมรรคผลนิพพานไว้ เอา เปิดออกๆ ด้วยจิตตภาวนา ได้ตรัสรู้ขึ้นมาเป็นพระพุทธเจ้าคือศาสดาของเราเป็นตัวอย่าง นั่น
เอา ท่านเอาตรงนี้นะ พ่อแม่ครูจารย์มั่นนะว่า เหมือนว่าเคยทะเลาะกันมาตั้งแต่ไหน เป็นคู่เดือดคู่แค้นกัน ไปท่านก็ใส่เปรี้ยงสมเจตนาของเราที่มุ่งอย่างแรงกล้าเลย ไปหาพ่อแม่ครูจารย์ เราจะหาที่ปลงเรื่องมรรคผลนิพพาน ถ้าว่ามรรคผลนิพพานมีเราจะเอาตายเข้าว่าเลย ความหมายว่างั้น ขอให้มีท่านผู้ใดผู้หนึ่งมาบอกว่ามรรคผลนิพพานมีอยู่เราสู้ตายเลย ไม่ตายให้ได้มรรคผลนิพพาน พอไปฟังพ่อแม่ครูจารย์มั่นลงมาแล้ว แหมตัวนี้สั่นเลย คือมันถึงใจ ท่านก็รับออกมาอย่างถึงใจ นี่ละเห็นไหมเรดาร์ของท่านเคยพูดอะไรกันเมื่อไร พอไปถึงท่านเท่านั้นเหมือนคนทะเลาะกันมาตั้งกัปตั้งกัลป์ ผูกโกรธผูกแค้นกันมา
ท่านมาหาอะไรขึ้นเลยนะ นี่ละเรดาร์ท่านจับ ความตั้งใจของเรามุ่งขนาดไหน ท่านชี้ไปหาต้นไม้ภูเขา ไม่ใช่กิเลสไม่ใช่ธรรมไม่ใช่มรรคผลนิพพาน ไล่เข้ามาๆ กิเลสแท้ธรรมแท้ มรรคผลนิพพานแท้อยู่ที่ใจ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ที่ใจด้วยการภาวนา เอา ท่านไปเปิดอันนี้ออกให้ได้ มรรคผลนิพพานจะอยู่ที่หัวใจ ท่านก็ใส่เปรี้ยงๆ ฟังอย่างถึงใจ เหมือนว่าตัวสั่นเลยนะ คือฟังอย่างเต็มที่เลย มุ่งอย่างเต็มที่ ท่านก็สงเคราะห์อย่างเต็มที่เลย
พอออกมาแล้วยังไม่ถึงกุฏิที่พักเลย ว่ายังไงที่นี่ถามเจ้าของ มาหาฟังธรรมะได้ฟังอย่างถึงใจแล้วเป็นยังไงใจเราเวลานี้ ต้องตาย ตอบทันทีเลย ต้องให้ได้มรรคผลนิพพาน ไม่ได้มรรคผลนิพพานตายเท่านั้นเลย ตั้งแต่วันนั้นมาเราจึงเป็นเหมือนตกนรกทั้งเป็นนะ พอได้รับโอวาทพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี้ออกธุดงค์ผู้เดียวคนเดียวๆ คือถ้าไปหลายคนมันเป็นน้ำไหลบ่ามันไม่เด็ด เข้าใจไหมล่ะ แล้วนิสัยอันนี้นิสัยผาดโผนเสียด้วยเด็ดเสียด้วย มุ่งต่อมรรคผลนิพพาน ชีวิตทิ้งเลย เอามรรคผลนิพพานขึ้นข้างหน้า ความสัตย์ความจริงที่จะเอามรรคผลนิพพานให้ได้ จะเอาให้ได้ในชาตินี้ ซัดเลย ตกนรกอยู่ ๙ ปี พรรษา ๗ ไปฟังจากพ่อแม่ครูจารย์มั่น ถึงพรรษา ๑๖ เอากันแบบตกนรกทั้งเป็น
ไปที่ไหนความทุกข์ความลำบากลำบนมีตลอด แต่ความรุนแรงคือความมุ่งมั่นต่อมรรคผลนิพพานมันหนักมาก ความทุกข์ยากลำบากขนาดไหนไม่ได้มีปัญหาอะไรเลย ความมุ่งมั่นมีน้ำหนักมาก ซัดๆ ฟาดลงไปเสียขาดสะบั้นกิเลส เราเคยพูดให้ฟังแล้วไม่ใช่เหรอ วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ หลังวัดดอยธรรมเจดีย์ เวลา ๕ ทุ่ม กิเลสกับใจกับธรรมขาดสะบั้นจากกันนี้สว่างจ้าขึ้นมาครอบโลกธาตุ เห็นไหมล่ะ นี่ละความตั้งใจของเราต้องตาย ไม่ตายให้ได้มรรคผลนิพพาน อำนาจแห่งความมุ่งมั่นมันรุนแรงก็ได้จริงๆ
ตั้งแต่บัดนั้นมาเราไม่เคยเห็นกิเลสตัวใดมาแฝงเรา สมมุติว่าเราพูดว้อๆ อย่างนี้เหมือนว่าจะกัดจะฉีก แต่หัวใจไม่มีอย่างนั้น มีแต่ความเมตตา ที่เสียงแผดออกมานี้แผดออกมาจากความเมตตานะ ไม่ได้แผดออกมาด้วยความโกรธความโมโหโทโสนะ ถ้าเขาจะเอาเราไปฆ่าก็ตายทิ้งเปล่าๆ ไม่มีกิเลสตัวใดที่จะแฝงขึ้นมาโต้ตอบเขา ผูกกรรมผูกเวรกับเขาไม่มี เรียกว่าสุดหัวใจแล้ว ไม่มีกิเลสตัวใดจะมาดิ้น ธรรมแท้เป็นอย่างนั้น ตายก็ตายด้วยธรรม อยู่ด้วยธรรม เป็นตัวของเราเต็มตัวเลย ไม่มีอะไรที่จะเข้ามาแฝงกิเลสไม่มี นี่การปฏิบัติธรรมเราปฏิบัติมาอย่างนี้
เพราะฉะนั้นเวลาออกมาแสดงธรรมลวดลายจึงมีอยู่ เฒ่าแก่ขนาดนี้มันยังมีลวดลาย เพราะความเข้มข้นของจิตมันเอาจริงเอาจังทุกอย่าง ว่าอะไรขาดสะบั้นไปเลย ใจนี้เด็ดขนาดนั้นละ ผาดโผนโจนทะยาน แม้ไปอยู่กับพ่อแม่ครูจารย์มั่น ท่านสอนให้ประกอบความพากความเพียรเอาเด็ดเดี่ยวเฉียบขาด ท่านสอนขนาดนั้น แต่เวลาทำความเพียรแล้วท่านได้รั้งเอาไว้ เพราะเหตุไร มันผาดโผนจริงๆ ท่านรั้งเอาไว้ๆ คือมันจะเลยเถิด ก็คนหนึ่งจอมโง่ คนหนึ่งจอมปราชญ์ จอมปราชญ์ท่านก็รั้งเอาไว้ จอมโง่มันชนเลย อะไรชนเลย ผ่านหน้าไม่ได้ชนเลย นี่ละจอมโง่ ท่านรั้งเอาไว้ๆ ความเพียรของเราเป็นอย่างนั้น
เช่นนั่งตลอดรุ่งๆ ฟาดเสียตั้ง ๙ คืน ๑๐ คืนจนก้นแตก พูดให้ชัดๆ เสีย ก้นแตกเพราะอะไร นั่งทีแรกมันออกร้อนก้น พอคืนที่สองที่สามไป แต่ไม่ได้นั่งติดกันทุกคืนนะ เว้นคืนหนึ่งบ้างสองคืนบ้าง ตลอดรุ่งๆ ทีแรกออกร้อนก้น ต่อมามันก็พอง จากพองก็แตก จากแตกก็เลอะ ไม่ถอยเลย ซัดอย่างนั้น นี่ท่านรั้งเอาไว้ พอขึ้นไปปั๊บ ม้าตัวไหนคึกคะนองมาก ท่านขึ้นเลยนะ ผาดโผนโจนทะยานมาก ไม่ฟังเสียงการฝึกของเจ้าของเลย ม้าตัวนั้นต้องฝึกอย่างหนัก ไม่ควรกินหญ้าไม่ให้กิน ไม่ควรกินน้ำไม่ให้กิน การฝึกนี้หนัก เอาจนม้าค่อยลดพยศลงๆ การฝึกก็ค่อยลดลงๆ จนกระทั่งม้าใช้การใช้งานได้แล้ว การฝึกเหล่านั้นก็ระงับไป
เห็นไหมท่านสอน พูดเท่านั้นละ ไม่ได้พูด ไอ้หมาตัวนี้มันฝึกยังไงฝึกเจ้าของ เรายังเสียดายคำนี้อยากให้ท่านย้อนหลังมา ไอ้หมาตัวนี้มันฝึกแบบไหน อยากให้ท่านว่าท่านไม่ว่า ท่านว่าเท่านั้น ตั้งแต่นั้นมาเราก็ไม่เคยนั่งตลอดรุ่งนะ เป็นอย่างนั้นละผาดโผนเรา เอาจริงเอาจังมาก ถ้าลงได้ลงใจแล้วขาดสะบั้นจริงๆ เราไม่เหมือนใคร เพราะฉะนั้นจึงว่ายังไงเราจะต้องให้ถึงนิพพานในชาตินี้ เป็นอรหันต์ในชาตินี้ เป็นอื่นไปไม่ได้ เอาตายเข้าว่าเลย นี่ละความเพียรมันถึงเด็ด เด็ดขาด
อยู่ในป่าในเขาคนเดียว เอา กินก็กิน ไม่กินไม่ต้อง ไปกับเพื่อนกับฝูงมันเป็นน้ำไหลบ่า ไหลออกไปไม่มีกำลังแรง ถ้าไปคนเดียวแล้วป่าช้าอยู่กับเรา อยากกินก็กิน ไม่อยากกินไม่ต้องกิน การจะเป็นจะตายรู้จักใจของเราเองนี้แล้วซัดเลย นั่นละ ๙ ปี บนหลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ กิเลสถึงได้พังลงตั้งแต่นั้นมา ก็ได้เริ่มต้นสอนเพื่อนฝูงมา ๒๔๙๓ ฟังซิน่ะ วันที่ ๑๕ พฤษภา ๕ ทุ่มเป๋ง อยู่หลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ นั่นละเป็นวันลงเวทีฟัดกับกิเลส เป็นเวลา ๙ ปีเต็ม ตั้งแต่พรรษา ๗ ถึงพรรษา ๑๖ อันนั้นก็เป็นพรรษา ๑๖ ก็คือวันที่ ๑๕ พฤษภา ๒๔๙๓ ตั้งแต่นั้นมาไม่ปรากฏว่ากิเลสตัวใดเข้ามาแฝง ให้ได้เอะใจว่า หือ กูนึกว่ามึงม้วนเสื่อไปตั้งแต่วันนั้นแล้วมึงยังโผล่ขึ้นมาอยู่หรือ ไม่เคยมีเลย
กิริยาอาการนี้มันจะเป็นแบบไหนก็ตาม ก็สักแต่กิริยาในอรรถในธรรมที่ควรหนักเบามากน้อย ก็แสดงออกตามกิริยาที่ควรหนักเบามากน้อย เหมือนเขาถากไม้ ไม้ตรงไหนที่มันคดมันงอมากเขาก็ถากแรง ตรงไหนที่มันเรียบๆ เขาก็ถากเรียบๆ นี่ฟัดกับกิเลสก็เหมือนกัน ถึงขั้นรุนแรงซัดกัน เป็นก็เป็นตายก็ตาย ขั้นธรรมดาก็ธรรมดาไปอย่างนั้น นี่ละที่ได้มาสอนหมู่สอนเพื่อน สอนเล่นๆ เมื่อไร เพราะฉะนั้นเห็นเก้งๆ ก้างๆ มันจึงไม่อยากดู ถึงจะเฒ่าแก่ขนาดนี้จิตมันไม่มีวัยนะ มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้นละ มองเห็นพับจิตมันจะวิ่งปุ๊บๆๆ เลย พูดให้ฟังชัดเจนเสีย
ไปงุ่มง่ามต้วมเตี้ยมโซซัดโซเซแต่ใจไม่ได้เป็น มองดูปั๊บอะไรมันจะรู้ทันทีๆ เลย นอกจากว่าเราไม่แสดงกิริยาออกมาตอบรับกันกับความรู้ความเห็นนั้นเท่านั้นเอง นี่ละเห็นไหมจิต เวลาได้เปิดมันเปิดอย่างนั้น มันไม่ได้โง่นะ เวลาเปิดมันเปิดจริงๆ ร่างกายนี้จะล้มลุกคลุกคลานแต่จิตไม่ล้ม มันจ้าๆ อยู่ตลอดเวลา นี่อานิสงส์แห่งการฝึกฝนทรมานจิตใจ พุทธศาสนาคือตลาดแห่งมรรคผลนิพพาน เอาๆ ให้ได้เถอะน่ะทุกคน อย่ามานอนเกาหมัดอยู่เฉยๆ เป็นหนอนแทะกระดาษ
เรียนมาจบชั้นนั้นชั้นนี้มันเอาชื่อเอานามของกิเลสเข้าไปใส่หมดเลย เรื่องอรรถเรื่องธรรมเลยไม่มี เลยเรียนเป็นเรื่องกิเลส ไม่ได้เรียนเพื่อปฏิบัติกำจัดกิเลสออกจากใจเหมือนครั้งพุทธกาลเลย เพราะฉะนั้นเรียนต้องเรียนเพื่อปฏิบัติ เมื่อแก้กิเลสออกไปแล้วจ้าเลย ไปที่ไหนจ้าไปหมด ไม่มีอิริยาบถยืน เดิน นั่ง นอนไม่มีวัย จิตดวงนี้ถ้าลงได้จ้าจ้าตลอด นั่นละว่านิพพานเที่ยง เที่ยงตรงนั้นเอง ไปหานิพพานที่ไหน ไม่ต้องไปหา ถ้าลงถึงจุดนี้แล้วปั๊บนี้เหมือนกันหมด บรรดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายทุกพระองค์ สาวกทุกพระองค์เป็นแบบเดียวกันหมดเลย นั่น พากันจำเอานะ เอาละพูดไปพูดมาหนักแล้วเหนื่อยแล้ว พอ
ทั้งพูดทั้งดูนาฬิกา ทั้งจะไปงานของตัวเอง เพราะฉะนั้นตามันถึงลอกแลกๆ ปากก็ปั๊บๆ ตาจ้องดูเวล่ำเวลาที่จะไปสงเคราะห์โลกนะ เราไม่เอาอะไรเราพอทุกอย่างแล้ว เราพูดจริงๆ ธรรมเราก็ไม่หา โลกเราก็ไม่หา พอทุกอย่างอยู่ในหัวใจแล้วให้หาเถอะน่ะ หากิเลสหาเท่าไรไม่พอ เอาจนตายไม่พอ หาธรรมพอ พอถึงขั้นพอแล้วแบเลยที่นี่ไม่เอา ไม่มีคำว่ากำ แบตลอด อย่างที่เราช่วยอยู่เวลานี้ช่วยโลก ช่วยมาตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๔๐ ท่านทั้งหลายฟังซิน่ะ เราบอกว่า เอ้า จะช่วยนั่น ตั้งแต่บัดนั้นมาตัวเราหมุนติ้วๆ ทางวัตถุเงินทอง ทองคำก็เข้าคลังหลวงได้ ๑๑,๕๑๐ กิโล ดอลลาร์ก็เข้า ๑๐ ล้าน ๒ แสนกว่า นอกจากนั้นเงินไทยที่มาด้วยกันออกทั่วประเทศไทย ก่อสร้างนั้นสร้างนี้ ส่วนมากเป็นโรงพยาบาล และที่ราชการต่างๆ
ออกๆๆ เราไม่เก็บ เราไม่มีกำ บาทหนึ่งเราไม่มี ออกตลอดออกช่วยโลก เราจึงบอกว่าพอแล้ว เราพอแล้ว จึงสมคำว่าพอ ถ้ากำอยู่ไม่พอ เข้าใจไหม แบนี้เรียกว่าพอ เราช่วยโลกหมุนติ้วๆ มีแต่ช่วยโลกทั้งหมดเลย ให้พากันเข้าใจตามนี้ นี้ก็เด่นอยู่แล้วในชาติไทยเราคราวนี้ คราวช่วยโลกคราวนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างกระเตื้องขึ้นมาเยอะ เฉพาะอย่างยิ่งธรรมะเข้าสู่หัวใจของประชาชน
ก็สมกับเจตนาของเราคิดไว้เรียบร้อยแล้ว ว่าการช่วยโลกคราวนี้โลกเขาจะมองดูแต่ด้านวัตถุ เงินทองข้าวของจะเข้ามารวมกันเข้าสู่คลังหลวง หนุนกันขึ้น นี้ทางด้านวัตถุ แต่เราไม่ไปอย่างนั้นนะ เอ้อ คราวนี้ละคราวธรรมจะได้เข้าสู่หัวใจคน ถ้าธรรมเข้าสู่หัวใจคนจะกว้างขวางมาก ทุกสิ่งทุกอย่างจะดีไปตามๆ กันหมด แล้วเวลานี้ธรรมะกำลังเข้าสู่หัวใจคน วิทยุตั้งร้อยกว่าแห่ง นี่ละธรรมะเข้าสู่หัวใจคน ฟื้นหัวใจแล้วจะดีไปตามๆ กันหมด ถ้าหัวใจทรุดทรุดหมด เอาละพอ
รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
และเครือข่ายทั่วประเทศ |