เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๐
เมาหนเดียว
เมื่อวานนี้ไปที่ไหนจำไม่ได้นะ ความจำหดย่นเข้ามาๆ เช่นอย่างเมื่อวานนี้ไปที่ไหนวันนี้จำไม่ได้นะ นี่เรียกว่าสัญญา สญฺญา อนิจฺจา ก็คือความเปลี่ยนแปลงของสัญญา ความจำหมาย เหล่านี้เป็นอาการของจิต ท่านเรียกว่าขันธ์ ๕ ขันธะ แปลว่ากอง หรือแปลว่าหมวด อย่างหนังสือก็เรียกว่าหมวดนั้นหมวดนี้ เรียกว่าหมวด ขันธะ แปลว่าหมวด หรือแปลว่ากอง รวมกันแล้วเป็นกองขึ้นมาเรียกว่าขันธ์ ๕ ห้าหมวดห้ากอง จะว่าห้าหมวดก็ไม่เหมาะ สู้กองไม่ได้ นี่คือกองทุกข์อยู่นี้หมด
(เมื่อวานนี้ไปโรงพยาบาลเซกา ครับ) เออ ระลึกเมื่อวานนี้ไปไหนระลึกไม่ได้นะ มันหดคือมันสั้นเข้ามาๆ จำไม่ได้ เรียกว่าสัญญาความจำหมายจำไม่ได้ อย่างเมื่อวานนี้ไปโรงพยาบาลเซกา ระลึกแล้วระลึกเล่าจำไม่ได้เลยจนผู้กำกับบอก เป็นอย่างนั้นละ หดเข้ามาย่นเข้ามา อาการของจิต รูป เวทนา ความสุขความทุกข์ สัญญา ความจำได้หมายรู้ สังขาร ความคิดความปรุงของจิต วิญญาณ ความรับทราบ เวลาตากระทบรูป หูกระทบเสียง รู้ปั๊บๆ ตามสิ่งที่มาผ่านแล้วดับไปๆ ท่านเรียกว่าวิญญาณ ความรับทราบเป็นระยะๆ ไป นี่ท่านเรียกว่าขันธ์ ๕ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ นี่เป็นอาการของจิต สิ่งเหล่านี้เกิดได้ดับได้ๆ
เฉพาะจิตนั้นไม่มีคำว่าเกิดไม่มีคำว่าดับ อันนี้สำคัญมาก ลงไปตกนรกหมกไหม้ด้วยการทำบาปทำกรรมหนักเบามากน้อย ทุกข์ขนาดไหนก็ยอมรับว่าทุกข์แต่ไม่ยอมฉิบหายคือจิต ตกนรกตั้งกี่กัปกี่กัลป์ก็ยอมรับความทุกข์ในนรก แต่ไม่ยอมฉิบหาย แล้วเปลี่ยนสภาพขึ้นมา ในโลกวัฏวนนี้มันเปลี่ยนแปลง ทุกข์เปลี่ยนมาๆ เป็นสุขเพราะความไม่เที่ยง โลกอันนี้เป็นกฎของอนิจจังทั้งนั้น โลกสมมุติเป็นกฎของ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เรียกว่าโลกสมมุติ เข้าถึงขั้นธรรมวิมุตติแล้วไม่มี..จิตนี่ พอจิตหลุดพ้นจากสมมุติทั้งปวงที่เป็นตัววัฏวนนี้แล้วท่านว่านิพพานเที่ยง เที่ยงอยู่ที่จิต
จิตนี้ไม่ตายไม่สูญ ทุกข์ยอมรับว่าทุกข์ สุขยอมรับว่าสุข ตกนรกหมกไหม้ด้วยการทำบาปทำกรรมของตัวเองก็ยอมรับว่าทุกข์มากน้อยแต่ไม่สูญ โลกเป็นโลกอนิจจัง เมื่อสิ้นทุกข์เหล่านั้นแล้วความดีมีอยู่คนเรา มันก็มาทำความดี พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงจนกระทั่งถึงนิพพาน ไม่สูญ ไปวกนั้นวกนี้เวียนว่ายตายเกิดท่านว่า คือจิตดวงนี้มันไม่สูญ เกิดในภพน้อยภพใหญ่สูงๆ ต่ำๆ คือจิตดวงนี้แหละ จิตดวงนี้ไม่ตาย สิ่งที่เข้าไปอาศัย เช่นอย่างธาตุขันธ์มนุษย์และสัตว์ เทวดา อินทร์ พรหม เป็นที่อาศัยของใจ ไปเกิดในร่างของมนุษย์ก็เป็นมนุษย์ เกิดในร่างของเทพของพรหมก็เป็นเทพเป็นพรหม เกิดในร่างของเปรตของผีก็เป็นเปรตเป็นผี
ใจดวงนี้ละมันท่องเที่ยว ท่านจึงเรียกว่านักท่องเที่ยว พ่อแม่ครูจารย์มั่นท่านเรียนมาจนจบ เวลาท่านพูดออกมาท่านบอกว่า ใจนี้คือนักท่องเที่ยว ท่องเที่ยวไม่หยุดไม่จบไม่สิ้นเพราะกิเลสพาหมุน พอกิเลสขาดจากนั้นแล้วจิตหยุดหมุน เป็นวิวัฏฏะ ไม่หมุนแล้ว หรือนิพพานเที่ยง เที่ยงตรงนั้นแหละ จิตที่หมดสมมุติแล้วกฎอนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เข้าไม่ถึง เข้าถึงอยู่ตั้งแต่ในวงเดียวกันคือวัฏจักรด้วยกัน เป็นสุขบ้างเป็นทุกข์บ้าง ลุ่มๆ ดอนๆ ไม่แน่นอน นี่เรียกว่าวงวัฏจักร ถ้าผ่านจากนี้ไปแล้วก็หมดปัญหา กฎอนิจจังตามไม่ทัน ไม่มี คือกฎอนิจจังไม่มีในจิตที่สิ้นกิเลสแล้ว เช่น จิตพระพุทธเจ้า จิตพระอรหันต์ ไม่มีกฎอนิจจังอยู่ในนั้นเลย ก็มีแต่ธาตุแต่ขันธ์ที่จิตดวงบริสุทธิ์นั้นเข้าไปอาศัยชั่วระยะกาลของมันที่จะผ่านไปคือตายไปเท่านั้นเอง นอกนั้นไม่สูญ อันนี้แตกกระจายไปได้เปลี่ยนแปลงได้ จิตไม่เปลี่ยน
อะไรก็ตามเรื่องจิตนี้มีอยู่กับทุกร่างทุกคน ตัวสงสัยก็คือจิตที่อยู่กับทุกร่างทุกคน เพราะตัวสงสัยตัวมืดบอดคือกิเลส มันพาไปพามาพาเกิดพาตายสูงๆ ต่ำๆ ลุ่มๆ ดอนๆ คือบาปกรรมดีชั่ว บุญพาไปสูง บาปพาลงต่ำ มันอยู่ในจิต มันพาให้หมุน ให้เรียนทางด้านจิตตภาวนา พระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาด้วยจิตตภาวนา สาวกทั้งหลายที่เป็นสรณะของพวกเราสำเร็จมาด้วยจิตตภาวนา ไม่ใช่อยู่กับเสื่อกับหมอนแล้วว่าอาตมาเป็นอรหันต์ ไม่เคยมี ท่านภาวนา
เรื่องภาวนานี้ไม่สิ้นสุดนะ จิตตภาวนากว้างขวางลึกซึ้งมากทีเดียว จิตนี่กว้างขวางลึกซึ้งถึงนิพพาน คือจิตดวงนี้ เวลามันหยาบมันก็หยาบ คือคำว่าหยาบหมายถึงสิ่งที่เกี่ยวข้องได้แก่กิเลสมันพัวพัน พาให้คนจิตใจใฝ่ต่ำ อยากทำแต่ความชั่วช้าลามก เห็นว่าสนุกสนานรื่นเริงบันเทิง อย่างเขากินเหล้านั่น เหล้ามันเป็นของดิบของดีที่ไหน มีทุกอย่าง
เออ เราได้เมาเหล้าทีหนึ่งพอได้มาคุยโม้ให้หมู่เพื่อนฟัง เมาเหล้าหนหนึ่ง เหตุที่จะเมาเหล้านี่ก็เพื่อนนั่นแหละ ไม่ใช่เราสมัครใจไปกินนะ เพื่อนเขาหลอกไป บ้านเขามีกินเลี้ยงอะไรๆ กัน เขาหลอกเรามาชวนเราไป เราไปเห็นขวดเหล้าเต็มอยู่ นี่อะไรเต็มอยู่นี้ เขาบอกน้ำอ้อยนา คนไม่มีวาสนาไม่ได้กินแหละ มันเป็นยังไงน้ำอ้อยนาถึงคนมีวาสนาถึงจะกินได้ ทดลองดูก็รู้ พอเราว่างั้นเขาก็เอามากรอกเลย นี่ละที่ว่าเราเมาเหล้าหนหนึ่ง เขามากรอกใส่เลย มันเป็นเหล้านั่นน่า ฟาดเข้าไปกินแล้วร้องเพลงกลางวงเลยเราไม่ลืม
ร้องเพลงกลางวง ทั้งๆ ที่เมาเหล้าอยู่ร้องเพลงเพราะอยู่นะ ไปที่ไหน โอ๋ย เพื่อนฝูงสาวๆ นี่ชอบ ร้องเพลงเก่งนะนี่ เสียงหยดย้อย ตั้งแต่ผู้เฒ่าในบ้านเขายังชม เราไปร้องเพลงที่ไหน โอ๊ย เฒ่าเอ๊ย มึงทำไมจึงลำม่วนแท้น้อ เสียงมึงดีคือเสียงแม่มึงเนาะ แม่เสียงดี ไปลำที่ไหนคนติดมันหากเป็นของมันนั่นแหละ นี้ไปเมาเหล้าอยู่กับเขาแล้วลำขึ้นละซี จากนั้นไปไหนเขามักให้ลำแหละ ไปเที่ยวสาวที่ไหนกับเพื่อนกับฝูง ผู้สาวจับคอเรามัดให้ลำ ไม่ลำออกจากนั้นไม่ได้ เขาต้องให้ลำเสียก่อน เราไม่ลืมนะ ร้องเพลงลำนั่นน่ะ
นั่นละเมาเหล้าหนเดียวเท่านั้น แล้วขับลำ จากลำแล้วก็หลับ พวกเพื่อนฝูงเต็มอยู่นั้นเขาหนีหมดแล้ว ยังเหลือแต่เรานอนตื่นขึ้นดู บ้านเพื่อนนั่นแหละเขาหนีกันไปหมดตั้งแต่คืนนี้แล้ว เขาปล่อยให้เราหลับจนกระทั่งตะวันขึ้น พอโผเผขึ้นมา อ้าว นี่ไม่ใช่บ้านเรา มันบ้านเพื่อนของเรา อยู่อำเภอภูเวียง เราบอกชัดๆ เสีย จากนั้นมาลงจากบ้านเขาแล้วอาย ไม่ไปบ้านเขาอีกเลย แน่ะเวลาเมาเหล้ามันไม่ได้อายนะ ร้องเพลงสนุกไปเลย พอหายเมาแล้วไม่ไปบ้านเขาอีกเลย อายเขา เมาหนเดียวเท่านั้นละ เขาจับมากรอกไม่ใช่เราสมัครใจนะ ได้เรื่องนั้นละมาโม้อยู่นี้ ว่าเมาเหล้ามันเป็นยังไงๆ ชอบโม้ชอบคุยคนเมาเหล้า น้ำลายไม่ทราบมาจากไหน น้ำมหาสมุทรไหลเข้าพุงนี้หมดออกเป็นน้ำลายโม้หมดแหละ
นี่พอให้มาพูดได้ เมาเหล้าหนหนึ่งนี้แหละ มีหนเดียวเท่านั้น ได้มาโม้ได้ทุกวันนี้ ธรรมดาเราไม่เคยกินเหล้า ก็มีหนเดียว โถ ร้องเพลงเพราะอยู่นะ ลงไปร้องที่ไหนไม่ว่าผู้หญิงผู้ชายผู้เฒ่าผู้แก่ติดทั้งนั้น เสียงเพราะดี ตั้งแต่นั้น ๗๓ ปีนี้ไม่เคยวอกๆ แวกๆ เป็นพระไปเลย มันเป็นกลอนๆ มันจำได้นี่ ขึ้นกลอนไหนตลอดๆ ลืมหมดเลย บวชได้ ๗๓ ปีนี้เดี๋ยวนี้ลืมหมดไม่มีเหลือ โม้ก็โม้แต่ว่าเราเคยทำอย่างนั้น แต่ว่ากลอนเพลงกลอนอะไรนี้ไม่มีเหลือ หมดเลย ได้ ๗๓ ปี วันที่ ๑๒ พฤษภา ผ่านมานั่นเต็ม ๗๓ ปีที่ได้บวช
พอเข้ามาบวชปั๊บ แต่ใจเราไม่เหมือนใครง่ายๆ จริงจังมากทุกอย่าง ว่าอะไรขาดไปเลยๆ ไม่ได้เหลาะๆ แหละๆ พลิกๆ แพลงๆ ไม่เป็น คบเพื่อนคบฝูงถ้าใครเหลาะแหละไม่คบนะ ต้องจริงจังถึงคบ ตั้งแต่เป็นฆราวาสอยู่ก็เป็นอย่างนั้น นิสัยจริงจังมาก ทีนี้พอไปบวชก็ไม่ได้นึกว่าจะบวชนานขนาดนี้ เหตุที่จะบวชก็คือพ่อน้ำตาร่วงต่อหน้าต่อตา นั่นละสะเทือนมาก คุณของพ่อเราไม่ลืม ได้บวชมาจนกระทั่งทุกวันนี้เพราะคุณของพ่อ น้ำตาของพ่อมีค่ามากมีราคามาก สะเทือนใจเอาอย่างหนัก
ทีแรกมันคาราคาซังหลายสิ่งหลายอย่าง ถ้าว่าเป็นสนามบินจะลงก็ลงไม่ได้ กีดนั้นขวางนี้ พอน้ำตาพ่อร่วงเท่านั้นทุกสิ่งทุกอย่างขาดสะบั้นไปหมด พุ่งลงจุดบวช มัดเจ้าของ ๓ วัน ทุกสิ่งทุกอย่างโลกเขาทำได้เราทำได้ นั้นเขาทำได้เราทำได้ ไล่เข้ามาๆ ก็การบวชนี้เขาก็ทำได้ บวชกันเต็มบ้านเต็มเมืองในเมืองไทยเรา บางองค์ท่านจนเป็นพระเป็นครูบาอาจารย์ตายกับผ้าเหลืองก็มี ทำไมท่านทำได้ แล้วทำไมเราจึงทำไม่ได้ของไม่ใช่เหลือวิสัย นี่ละบทเวลาจะบวช มัดเข้าๆ จนยอม ใจนี้ถ้ามันลงดิ่งแล้วยอม จึงได้มาบวช
พอบวชเข้าไปที่นี่ อ่านหนังสือธรรมะมีแต่ข้อตำหนิเจ้าของ เอ๊ะ นี่เราก็เคยผิดมาแล้ว อันนี้เราก็เคยผิดมาแล้ว ผิดมาที่นี่พยายามแก้ๆ เรื่อยมา มันเลยกลายเป็นชีวิตของพระ ตั้งแต่วันบวชมาชีวิตความเป็นอยู่ กิริยาอาการของฆราวาสที่เราเคยใช้อยู่เหมือนโลกสงสารทั่วๆ ไปนี้ปัดทิ้งหมดอันใดที่เป็นข้าศึกต่อธรรม หากไม่เป็นข้าศึกต่อธรรมต่อวินัยก็ใช้ได้เหมือนโลกใช้ทั่วไป เช่น หัวเราะบ้างอะไรบ้าง โลกเขาหัวเราะได้ พระก็หัวเราะได้จะเป็นไร ทำไมจะหัวเราะไม่ได้ล่ะ อย่างนี้ก็ทำได้ ถ้าสิ่งใดที่ขัดธรรมขัดวินัยไม่ทำๆ
แต่มีอยู่ข้อหนึ่งที่ว่า ถ้าบวชแล้วห้ามหัวเราะ เราตายเลย เรามันขี้หัวเราะนี่ เวลาพูดอย่างพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี่ โอ๊ย นิสัยจอมปราชญ์ พูดน่าขบขันน่าหัวเราะเท่าไรก็ตาม ท่านพูดได้เฉยสบาย ไอ้เรานี่มันแค้นมันอยู่ในหัวอกมันอยากพุ่งออกมามันอยากหัวเราะ อดไม่ได้นะ บวชแล้วห้ามหัวเราะตายเลยเรา ตายตั้งแต่วันบวชนู่นแหละ มันจะหัวเราะในวันนั้นเลย เป็นอย่างนั้นนะนิสัย ถ้าว่าหัวเราะไม่ได้พระนี่ เราตายตั้งแต่วันเริ่มแรกบวชเลย นอกนั้นก็ฝึก นี่เป็นธรรมดาเราก็พูดกันไป อะไรที่จะขัดต่อหลักธรรมหลักวินัยนี้เป็นไม่ทำ อะไรจะขัดข้องต่อหลักธรรมหลักวินัยนี้ปัดปุ๊บๆ ตลอดเลย
ความจงใจที่จะรักษาอรรถรักษาธรรม รักษาวินัยให้เต็มภูมิของเราที่เป็นนักบวชมีเต็มหัวใจ เพราะฉะนั้นความผิดอะไรที่จะมาเป็นไปด้วยเจตนาขึ้นที่ตัวของเรา เป็นไม่ได้ ปัดปุ๊บๆ เรื่อยมาอย่างนั้น จนถึงปีนี้มัน ๗๓ ปีแล้ว นี่ละชีวิตจิตใจกิริยาอาการของพระจึงมีมาตั้งแต่โน้นจนกระทั่งป่านนี้ สิ่งใดที่เป็นข้าศึกต่อเพศของพระแล้วปัดออกให้หมด ถึงอยากเท่าไรก็ไม่ให้ทำ จึงเรียกว่ารักษาศีลธรรมเรื่อยมา ที่มันแก้ยากก็คือแก้กิเลส กิเลสนี่แก้ยากที่สุด สิ่งนั้นเหล่านั้นเราแก้ได้ๆ มากิเลสนี้มันไม่แสดงออกภายนอกมันก็เป็นอยู่ภายในๆ
รักเป็นอยู่ภายใน ชังเป็นอยู่ภายใน เกลียด โกรธ มันก็เป็นอยู่ภายในละไม่ได้ๆ จนกระทั่งความเพียรหนักเข้าในการภาวนา หนักเข้าๆ เมื่อเข้าเริ่มภาวนาทีนี้ก็เริ่มฆ่ากิเลส จะเริ่มไปนิพพานเพราะเชื่อมั่นแล้วว่านิพพานมี ทีแรกอ่านหนังสืออยู่ จิตก็ว่าอยากจะไปนิพพาน อ่านหนังสือท่านก็บอกว่านิพพานมีอยู่ คำว่าอ่านหนังสือนิพพานมีก็ใครเป็นคนแสดงไว้ พระพุทธเจ้า แต่กิเลสมันก็ไม่ยอมเชื่อง่ายๆ นะ เชื่อไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย แล้วความอยากไปนิพพานก็อยากไป ตั้งแต่เรียนหนังสือก็อยากไปนิพพาน แต่มันยังมีก้างมาขวางคอให้สงสัยสนเท่ห์ในพระนิพพานอยู่นั้นแหละ มันไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย
ถ้าอะไรไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยมันก็ไปไม่สนิท ถ้าลงเต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้วพุ่งเลย เป็นอย่างนั้น จึงเหมือนว่ามีสัจจะภายในจิต เราอยากพบครูบาอาจารย์หรือจอมปราชญ์ จะเป็นฆราวาสหรือเป็นพระก็ได้ ขอให้มาแสดงเรื่องอรรถเรื่องธรรมเกี่ยวกับเรื่องมรรคผลนิพพานให้เราฟังอย่างถึงใจ เราจะมอบกายถวายตัวต่อท่านผู้นั้น จากนั้นเราจะปฏิบัติเอาตายเข้าว่า เพื่อนิพพานอย่างเดียว
พอหยุดเรียนแล้วมองหาที่ไหนก็ไม่เห็น เห็นชื่อโด่งดังอยู่ตั้งแต่เราเป็นเด็กก็คือหลวงปู่มั่นเรา ชื่อเสียงท่านโด่งดังมาก เวลาเราเรียนหนังสือโด่งดังมาตลอดจนกระทั่งถึงวาระสุดท้าย พอหยุดจากการเรียนก็บึ่งใส่ท่านเลย ท่านก็เหมือนว่าเอาเรดาร์จับไว้เลย คือแสดงธรรมให้เราฟังอย่างถึงใจ ตามความมุ่งหมายของเราที่คิดไว้ในหัวใจ ใครมาบอกว่ามรรคผลนิพพานมี เราจะกราบมอบกายถวายตัวต่อท่านผู้นั้น แล้วเราจะเอาตายสู้เลยเพื่อนิพพานอย่างเดียว มีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า ก็มองเห็นแต่หลวงปู่มั่นอย่างเดียว
พอไปถึงท่านใส่เปรี้ยงเลย เหมือนท่านกางเรดาร์เอาไว้ คนไม่เคยพบเคยเห็น เวลาขึ้นเหมือนฟ้าดินถล่มนะเทศน์ออกมานี่ ท่านมาหาอะไร ขึ้นเลย ท่านมาหามรรคผลนิพพานเหรอ ต้นไม้เป็นต้นไม้ ภูเขาเป็นภูเขา ไล่ไปดินฟ้าอากาศตลอดทั่วแดนโลกธาตุ ไม่ใช่บาปไม่ใช่บุญ ไม่ใช่มรรคผลนิพพาน ไม่ใช่กิเลส กิเลสแท้ มรรคผลนิพพานแท้อยู่ที่ใจ นั่นไล่เข้ามานี่ เอาๆ ฟาดลงไป อะไรปิดใจไม่ให้เห็นมรรคผลนิพพาน คือกิเลส เอาฟาดกิเลสให้มันขาด พระพุทธเจ้าฆ่ากิเลสฆ่าที่ใจด้วยจิตตภาวนา เอาภาวนาฆ่ามัน ท่านว่างั้น เปิดออก พูดนี้เข้มข้นมากนะเหมือนคนทะเลาะกันหรือเคียดแค้นให้กันมาตั้งกัปตั้งกัลป์ ท่านเห็นใจของเราว่าเอาจริงเอาจัง มุ่งหน้าไปฟังอรรถฟังธรรมอย่างถึงใจ ท่านแสดงออกมาก็อย่างถึงใจเหมือนกัน นั่นละลง ลงอย่างถึงใจในวันนั้นละวันแรกเลย
ท่านถาม ท่านมาหามรรคผลนิพพานเหรอ ขึ้นเลยนะ ต้นไม้เป็นต้นไม้ ไม่ใช่กิเลสไม่ใช่มรรคผลนิพพาน ไล่ไปๆ ไล่ทั่วแดนโลกธาตุ ไม่ใช่กิเลสไม่ใช่มรรคผลนิพพาน กิเลสแท้มรรคผลนิพพานแท้อยู่ที่ใจ ไล่เข้ามาหาใจ เอา ให้แก้กันทำลายกันที่ใจนี่ด้วยจิตตภาวนา พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยการภาวนา สาวกทั้งหลายตรัสรู้ด้วยการภาวนา กิเลสมุดมอดไปด้วยจิตตภาวนา เราเอาให้ได้ท่านว่างั้น เข้มข้นมาก เราฟังก็ฟังด้วยความตั้งใจมันก็เข้มข้นถึงกัน
พอได้ฟังถึงใจแล้วออกมา เดินมายังไม่ถึงที่พักกุฏินั้นแหละ มันฟังอย่างถึงใจแล้วพอเดินลงมายังไม่ถึงกุฏิ ว่ายังไงที่นี่ ถามเจ้าของนะ ไปฟังเทศน์พ่อแม่ครูจารย์สมใจถึงใจแล้ววันนี้กับความมุ่งหมายของเราที่มา แล้วเราจะจริงไหมว่างั้นนะ ธรรมะของท่านมีแต่ธรรมะของจริงล้วนๆ เต็มตามความมุ่งหมายของเราที่อยากได้ยินได้ฟัง แล้วเราจะจริงไหม ทางนี้ขึ้นรับเลย เหมือนหนึ่งว่าอยากขึ้นตั้งแต่ยังไม่ถาม คืออยากตอบตั้งแต่ยังไม่ถาม เราจะจริงไหม ทางนี้ผางมาเลย ต้องจริง นั่น ไม่จริงตายเท่านั้น คือจริงว่าจะเอาให้ได้มรรคผลนิพพาน ไม่ได้ตายเท่านั้น นั่นละจิตใจมันพุ่ง ตั้งแต่วันนั้นมา
ตั้งแต่พรรษา ๗ ถึงพรรษา ๑๖ นี่ตกนรกทั้งเป็น ฟัดกิเลสไม่มีวันมีคืน เดินภาวนานี้ไปคนเดียวๆ พ่อแม่ครูจารย์ท่านก็คงทราบจริตนิสัยว่าไปคนเดียวได้สะดวกกว่าวิธีอื่น เช่นไปกับเพื่อนกับฝูงไม่สะดวก มันเป็นน้ำไหลบ่า รับผิดชอบกันโดยสัญชาตญาณอยู่นั้นแหละอยู่ลึกๆ ถ้าไปคนเดียวป่าช้าอยู่กับเรา เป็นตายอยู่กับเรา ทีนี้เมื่อเป็นอย่างนั้นมันก็พุ่งเลย ไปคนเดียวตลอดตั้งแต่ออกปฏิบัติ โดยที่ท่านส่งเสริมตลอดนะพ่อแม่ครูจารย์มั่น การลาว่าจะไปกี่องค์ เช่นไปลาทีแรก ท่านจะถามเวลาท่านอนุญาต คือก่อนที่ท่านอนุญาตนี้กราบเรียนท่านไว้ก่อนนะ ไม่ใช่อยู่ๆ ก็หัวชนเข้าไปเลย
ครูบาอาจารย์อย่างหลวงปู่มั่นเป็นจอมปราชญ์ ทีนี้เวลาจะลาท่านไปเที่ยวต้องหาอุบายพูดนั้นพูดนี้ ทางวัดทางวาเรานี้มีธุระอะไรๆ บ้างเราก็ถาม ถ้ามีธุระอะไรเราก็จะรีบจะจัดจะทำ ถ้าหากว่าไม่มีธุระอะไรแล้วก็อยากกราบลาท่านไปเที่ยวภาวนาสักระยะ เราจะว่าไปเสียเลยไม่ได้นะ เพราะท่านเมตตาเรามากอยู่ อยากไปภาวนาสักระยะเราบอกงี้ ท่านจะเงียบละนะนั่น พูดเท่านั้นละท่านจะเงียบ คอยฟังแต่ท่านจะเปิดออกเมื่อไร ไม่ใช่จะถามมาจ้อกันต่อยกันเหมือนนักมวยต่อยกันอย่างนั้นนะ พอพูดแล้วต้องปล่อยเลย ท่านก็เหมือนลืมไปเลยนะ แต่ความจริงท่านเอาไปพิจารณาเรียบร้อยแล้ว
ถึงกาลเวลาที่ท่านจะบอกก็ เอ้อ ขึ้นอย่างนี้นะ เอ้อ ที่ท่านมหาอยากจะไปเที่ยวไปได้ละท่านว่า กี่วันก็ตามนะ ถ้าท่านไม่แย็บออกมานี้ก่อนเราก็พูดได้เท่านั้น จะลาอีกไม่ได้ อยู่นั้นตลอดไปเลย ถ้าได้โอกาสท่านก็เปิดออกมาเอง เออ ที่ท่านมหามาลาว่าอยากจะไปเที่ยวนี่ ไปได้ละท่านว่างี้ อย่างนี้เราก็มีโอกาสอีก โอกาสที่จะต่อคำของท่าน แล้วคิดว่าจะไปทางไหนท่านว่า คราวนี้คิดว่าจะไปทางนั้นๆ ทางไหนก็ท่านเที่ยวหมดแล้ว เอ้อ ทางนั้นดีๆ เรื่อยๆ พอย้อนเข้ามาว่า จะไปกี่องค์ นี่ละสำคัญตรงนี้ ถ้าว่าไปองค์เดียวผึงเลย พระเณรนั่งเต็มอยู่รอบๆ ส่วนมากจะเป็นตอนบ่ายเราขึ้นไปหาท่าน พอเราว่าไปองค์เดียว เอ้อ ขึ้นทันทีเลย ท่านมหาไปองค์เดียว ใครอย่าไปยุ่งนะ ชี้นิ้วเลย ท่านมหาไปองค์เดียว ใครอย่าไปยุ่งท่านนะ
สำหรับเราท่านรู้สึกเมตตาอนุโลมผ่อนผันมากไม่เคยขัดข้อง แต่กับพระทั้งหลายก็เห็นอยู่เวลาไปลาท่าน บางทีไปสององค์บ้างสามองค์บ้างไปลาท่าน เราก็นั่งฟัง ว่าจะมาลาไปเที่ยว หือ ขึ้นเลย นั่นเห็นไหมล่ะ ตั้งแต่อยู่ในนี้มันก็ตกนรกหมกไหม้ทั้งวันทั้งคืนให้เห็นต่อหน้าต่อตานี้ แล้วมันจะไปตกหลุมไหนอีกล่ะ นั่นเห็นไหม แล้วใครจะกล้าไปท่านว่างั้น คือว่าห้ามแล้วนั่น ความหมายก็ว่าห้าม ตั้งแต่อยู่ต่อหน้าต่อตามันก็ตกนรกต่อหน้าต่อตาให้เห็นอยู่ทั้งวันทั้งคืน แล้วมันจะไปตกนรกหลุมไหนอีกล่ะ นั่น แล้วหมอบ ไปไม่ได้แล้ว ก็ไม่ไปท่านบอกชัดๆ แล้วนั่น
ถ้าเราลานี้ท่านนิ่งนะ หากไม่มีธุระอะไรๆ แล้ว ก็อยากจะกราบนมัสการไปประกอบความพากเพียรสักระยะหนึ่ง คำว่าสักระยะก็คือไม่ได้ไปแบบไม่มีฝั่งมีฝา ไปให้ท่านได้ทราบความหวังของเราว่า ยังจะต้องกลับมาพึ่งพาบารมีเมตตาธรรมของท่านอยู่ความหมายว่างั้น ท่านก็ถาม เวลาได้โอกาสเมื่อไรท่านถึงจะพูดนะ เราพูดคำเดียวเท่านั้นแล้วเลย ถ้าท่านไม่พูดอีกเราจะพูดอีกไม่ได้ ด้วยความเคารพเลื่อมใส เมื่อได้โอกาสเมื่อไรท่านจะพูด เอ้อ ที่ว่าท่านมหาจะลาไปเที่ยวนั้น ไปได้ละ เปิดโอกาสแล้วนะนั่น กี่วันก็ตามถ้าท่านไม่ตอบคำนี้ออกมาเราก็ต้องนิ่งอยู่นั้นตลอดไป
แล้วจะไปทางไหนล่ะ ต่อไปนี้ก็กราบเรียนไปเรื่อยๆ เลย ไปกี่องค์ ไปองค์เดียวนี่ผางออกมาเลย ท่านพอใจ สำหรับนิสัยเราเป็นนิสัยหยาบ ผาดโผนโจนทะยาน เอ้อ ท่านมหาไปองค์เดียว ใครอย่าไปยุ่งกับท่านไม่ได้นะ นั่น เพราะท่านเห็นนิสัยของเรา อยู่กับท่านเป็นยังไง จริงจังทุกสิ่งทุกอย่างท่านก็รู้หมด จากนั้นก็ไป ไปก็เป็นจริงๆ เรา เดินจงกรมจากหมู่บ้านนี้ไปหมู่บ้านนั้น ไม่ใช่เดินให้เสียเวลาด้วยแข้งขาก้าวไปก้าวมาเปล่าๆ นะ เดินจงกรมไปในตัวเสร็จ จะใกล้จะไกลขนาดไหนก็คือเดินจงกรม สติปัญญาติดแนบอยู่ในหัวใจ เรียกว่าทำความเพียรเหมือนเราเดินจงกรม เวลาเราเดินไปเป็นอย่างนั้น นี่หมายถึงไปคนเดียว
ถ้าไปสองคนเป็นน้ำไหลบ่า จิตมันแย็บออกทางนี้ๆ เป็นสัญชาตญาณรับผิดชอบกันอย่างลึกๆ อยู่นั้นแหละ ถ้าไปคนเดียวมันไม่มีอะไรจะไปไหลบ่านี่นะ มันก็พุ่งๆ เลย เราไปภาวนามีแต่ไปคนเดียวทั้งนั้น แล้วท่านก็พอใจที่จะให้ไปคนเดียวตลอดเลย ไปคนเดียวๆ ประการหนึ่งท่านก็ทราบแล้วว่าเรียนถึงภูมิมหาแล้วนี่นะจะว่าไง การศึกษาเล่าเรียนให้เป็นแบบแปลนแผนผัง เราก็เรียนมาแล้วเต็มภูมิของเรา ท่านก็เปิดให้เลย ไป ตั้งแต่ ๗ พรรษา ถึงพรรษา ๑๖ เป็น ๙ ปี นี่เรียกว่าตกนรกทั้งเป็น โธ่ ทุกข์มากที่สุด การประกอบความพากเพียรฆ่ากิเลส ไม่มีงานใดหนักเท่างานฆ่ากิเลส
กิเลสนี้เป็นเจ้ามหาอำนาจครอบโลกธาตุ ให้สัตว์ทั้งหลายตายกองกันอยู่เพราะอำนาจของมันให้พาเกิดพาตาย มีมานานสักเท่าไร การที่จะตีมันให้พังลงจากหัวใจนี้มันยากแสนยาก ต้องว่ามันยากแสนยากว่างั้น ไม่มีอะไรยากยิ่งกว่าการฆ่ากิเลส การฆ่ากิเลสเอาทุกวิถีทางเลย ถึงขั้นจะเป็นจะตายก็มี แต่มีดีอยู่อย่างหนึ่ง คือจิตนี้ไม่อ่อน ร่างกายเดินจากภูเขานี้ลงไปหมู่บ้านเขา เพราะอดข้าวไม่ฉันจังหัน ถ้าถึงกาลเวลาที่จะไปบิณฑบาตแล้วกะว่าไปถึงบ้านเขา จากนี้ไปถึงบ้านไปถึง ถ้าหลายวันกว่านี้ไปไม่ถึง กำลังไม่มี ก็ไปเสีย อย่างนั้นละ ทน ต้องทนแสนทน จนกระทั่งที่ว่าได้มาพูดให้บรรดาลูกศิษย์ลูกหาฟัง ทั้งธรรมเกิดทั้งกิเลสเกิดภายในหัวใจดวงเดียวกันนี้
เดินไปบิณฑบาตในหมู่บ้านเขา เรากะว่าจะให้ถึงหมู่บ้าน จากภูเขาถึงหมู่บ้าน ทางก็ราว ๔ กิโลบ้าง ๕ กิโลบ้าง ครั้นไปไม่ถึง ก้าวขาไม่ออกอยู่กลางทาง ก็ไปนั่งเจ่าอยู่ คือมันก้าวขาไม่ออก พักเสียก่อนแล้วค่อยไป ทีนี้กิเลสเกิดนะที่นี่ เรานั่งเจ่า การนั่งเจ่าคืออวัยวะของเราหมดกำลัง แต่จิตใจไม่ได้เป็นนะ จิตใจเหมือนจะเหาะเหินเดินฟ้า อยู่ภายในใจสว่างกระจ่างแจ้ง เพราะได้รับการอุดหนุนด้วยการอดนอนผ่านอาหารวิธีการต่างๆ นี้ละหนุนจิตให้มีความสว่างไสว จิตจึงไม่มีคำว่าอ่อนแอ อ่อนแอเฉพาะร่างกาย แล้วไปนั่งเจ่าพักเสียก่อน
เดี๋ยวก็กิเลสเกิดละที่นี่ จึงได้รู้ว่ากิเลสเกิดธรรมเกิดเป็นยังไง กิเลสเกิด อยู่ๆ พูดขึ้นมาเป็นคำภายในใจ เป็นคำเหมือนอย่างเราพูดนี่ หากไม่มีเสียง หากเป็นคำขึ้นมา นี่ท่านอดอาหารว่างั้นนะขึ้นนี่ เรากำลังนั่งพักอยู่นี้ นี่ท่านอดอาหารเพื่อจะฆ่ากิเลสให้ตาย แต่กิเลสยังไม่ตายท่านกำลังจะตายเวลานี้รู้ไหม นั่น กิเลสมันกระตุกเอาเพื่อจะให้จิตใจอ่อนแอ แล้วก็ให้มันจูงจมูกไปอีกพูดง่ายๆ นี่เห็นไหม นั่นขึ้นมา ขึ้นในนี้นะ ท่านอดอาหารเพื่อจะฆ่ากิเลสให้ตาย แต่เวลานี้กิเลสยังไม่ตาย ท่านกำลังจะตายรู้ไหม ขึ้นอย่างเข้มข้นนะ กิเลสไม่ใช่ของเล่น รู้ไหม
พอกิเลสเกิดผ่านไปปั๊บ ธรรมก็เกิดรับกัน นี่เรียกว่าธรรมเกิด รับกันยังไง ก็การกินนี้กินมาตั้งแต่วันเกิดไม่เห็นวิเศษวิโสอะไร อดเพียงเท่านี้จะตายหรือ เอาตายก็ตาย นั่นเห็นไหมพุ่งเลย กำลังไม่มีอ่อน กิเลสมันกระตุกให้อ่อนกำลัง ธรรมะพุ่งใหญ่เลย กินมาตั้งแต่วันเกิดไม่เห็นวิเศษวิโสอะไร มันก็ไม่วิเศษจริงๆ ใช่ไหม อดเพียงเท่านี้จะตายหรือ เอาตายก็ตาย นั่นมันไม่ได้ฟังเสียงกิเลส ฟาดเลย เป็นอย่างนั้น นี่เรียกว่าธรรมเกิด แก้กันไปแก้กันมาอยู่ภายในใจนั้น ธรรมเกิดให้นักปฏิบัติภาวนาเป็นจริงเป็นจัง ยิ่งเข้าถึงขั้นภาวนามยปัญญา หรือสติปัญญาอัตโนมัติก่อน นี่ละกิเลสกับธรรมจะเกิดเองๆ ไม่ต้องไปถามใครก็รู้ มันแก้กันเองๆ ภายในหัวอกของเรานี้
เฉพาะอย่างยิ่งเวลาจิตตภาวนาก้าวเข้าสู่ภาวนามยปัญญา หรือสติปัญญาอัตโนมัติด้วยแล้วจะมีตั้งแต่ธรรมทำงานเพื่อแก้กิเลสอย่างเดียว เหมือนกิเลสที่ทำงานอยู่บนหัวใจสัตว์เพื่อทรมานสัตว์ ตาเห็นพับกิเลสเกิดแล้วทำงานแล้ว หูได้ยิน จมูก ลิ้น กายสัมผัสสัมพันธ์กิเลสเกิด ออกทำงานแล้วๆ ธรรมยังไม่มี มีแต่กิเลสทำงานๆ นี้เป็นปรกติของสัตว์โลก แต่เวลาเราภาวนา แต่ก่อนเราก็ไม่เคยคิด พอภาวนามาถึงขั้นนี้ละที่นี่ ขั้นล้มลุกคลุกคลานก็ฟัดกันมาๆ จนก้าวเข้ามาถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัติ เป็นอัตโนมัติเกิดเองเป็นเองๆ ของธรรม ของธรรมขั้นนี้ละที่นี่ แทนกิเลสเป็นอัตโนมัติเกิดในหัวใจของสัตว์ ทีนี้ธรรมเป็นอัตโนมัติฆ่ากิเลสบนหัวใจของตัวเองนั้นแหละ เป็นอัตโนมัติเหมือนกัน
อยู่ที่ไหนเป็นธรรมทั้งนั้นๆ ตามองเห็นพับธรรมเกิดแล้วๆ สังหารกิเลสเพราะการเห็น เห็นเรื่องอะไร เห็นแล้วมันจะเกิดกิเลส พอเห็นปั๊บธรรมจะเกิดแล้วสังหารกิเลสในเวลาเห็นเวลาได้ยินเรื่อยๆ นี่เรียกว่าสติปัญญาอัตโนมัติ ฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติ ไม่เคยเห็นเห็นปัญญาขั้นนี้มี แต่ก่อนเราก็ไม่เคยคิดเคยคาดว่า กิเลสเกิดบนหัวใจของสัตว์เป็นอัตโนมัติ มันเกิดของมันเองเราไม่เคยคิด ทั้งๆ ที่กิเลสก็เกิดบนหัวใจของเราเป็นอัตโนมัติตลอดเวลา ทำลายเราตลอดเวลา เราก็ไม่ได้คิดว่ากิเลสฆ่าเราทำลายเราทรมานเรานะ พอก้าวเข้าถึงขั้นสติปัญญาขั้นนี้ละ ฝ่ายธรรมมันฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติ อยู่ที่ไหนฆ่าแต่กิเลส แม้ที่สุดฉันจังหันนี้มันไม่ได้อยู่กับลิ้นกับปากนะ จิตมันจะทำงานอยู่ภายในลึกๆ ฟัดกับกิเลสอยู่ภายในหัวอกอยู่ลึกๆ นี่ถึงขั้นมันฆ่ากิเลสแล้วไม่อยู่ เอาจนกิเลสม้วนเสื่อหมด ไม่บอกก็หยุดเอง
นี่มันก็เป็นในหัวใจแล้ว มาพูดนี้โกหกท่านทั้งหลายหรือ เป็นมาหมดแล้ว ล้มลุกคลุกคลานก็เป็นพอ ล้มลุกคลุกคลานนี่ละมากต่อมาก พอตั้งตัวได้แล้วด้วยความเพียรด้วยความอุตส่าห์ของเรา จนกระทั่งมาถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัตินี้แล้วเอาที่นี่กิเลสเกิดไม่ได้ เกิดขาดสะบั้นๆ เพราะสติปัญญารวดเร็ว แล้วเชื่อมโยงกันกับมหาสติมหาปัญญาด้วยแล้ว พอกิเลสเกิดเหมือนกับฟ้าแลบนะ แย็บเท่านั้นละขาดแล้วนั่น มหาสติมหาปัญญาเอาขาดสะบั้นๆ ต่อจากนั้นก็พรึบเลย หมด กิเลสภายในหัวใจหมด แล้วตัวไหนจะมาเป็นข้าศึก ตัวไหนจะมาเป็นก้างขวางคอ ที่เคยเป็นก้างขวางคอมาคือกิเลสเป็นมาตั้งกัปตั้งกัลป์ วันนี้ก้างขวางคอคือกิเลสได้ขาดสะบั้นลงไปจากใจแล้วถามหาที่ไหนพระนิพพาน นิพพานเที่ยงหรือไม่เที่ยงถามหาที่ไหน ที่ไม่ให้เที่ยงก็คือกิเลสนั่นเอง พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้วมันก็รู้เอง
การภาวนาไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนะ เมื่อเป็นภายในใจแล้วเป็นเองๆ เหมือนกิเลสภายในหัวใจของเราๆ ท่านๆ นั่นละ เมื่อภาวนาทางด้านจิตตภาวนาเป็นธรรมๆ ล้วนๆ แล้วจะฆ่ากิเลสไปโดยอัตโนมัติเหมือนกัน เอา พุ่งกันถึงพระนิพพาน เป็นได้ทั้งฝ่ายกิเลสทั้งฝ่ายธรรมเป็นอัตโนมัติ กิเลสทำลายสัตว์โดยอัตโนมัติก็เป็นมาแล้วตั้งกัปตั้งกัลป์ ทีนี้พอถึงขั้นภาวนาเพื่อความดีงาม เข้าถึงขั้นภาวนามยปัญญาหรือสติปัญญาอัตโนมัติแล้วแบบเดียวกันขาดสะบั้น กิเลสขาดสะบั้นๆ ทำงานตลอด จนกระทั่งกิเลสม้วนเสื่อหมดแล้ว ทีนี้ไม่ถามพระนิพพาน เหมือนว่าเครื่องไม้เครื่องมือที่เราทำงานนี้ พองานเสร็จแล้วเครื่องมือมันก็ปล่อยเอง มหาสติมหาปัญญาคือเครื่องมือทำงาน พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปมหาสติมหาปัญญาก็ปล่อยตัวเองอยู่โดยหลักธรรมชาติ ให้พากันจำเอานะการปฏิบัติธรรม
การพูดทั้งนี้ถอดออกมาจากหัวใจมาพูด ไม่ได้มาโกหกท่านทั้งหลาย พูดออกมาอย่างไม่มีสะทกสะท้านสงสัย ดังพระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาท่านไปถามใคร เป็นศาสดาเต็มองค์ขึ้นมา สอนโลกได้ทั้งสามโลกเห็นไหม ธรรมเป็นธรรมอันเดียวกัน ผู้ปฏิบัติก็คือจิตดวงเดียวนี้เป็นผู้รับทราบ เมื่อถึงขั้นมันรู้มันรู้อย่างนี้ปิดไม่อยู่ๆ ถึงขั้นสิ้นสงสัยสิ้นอย่างเดียวกัน เอาละนะพอ ว่าจะไม่เทศน์นานที่ไหนได้มันหมดคัมภีร์แล้ว เคาะดูคัมภีร์มีแต่ลม เทศน์อย่างนี้ก็ออกแล้วทั่วประเทศไทยไม่ใช่หรือนี่ ออกทั่วประเทศไทยทุกเช้าๆ ออก พอเราเปิดอย่างนี้มันออกทั่วประเทศไทยวิทยุเรา เอาละให้พร
(เริ่มต้นจากน้ำตาโยมพ่อ) น้ำตาพ่อร่วงเหรอ เราจำไม่ได้นะ ใช่น้ำตาพ่อร่วง น้ำตาพ่อนี้มีกำลังมาก อะไรคาราคาซังไม่ได้แน่นอนๆ เหมือนเครื่องบินจะลงสนามลงไม่ได้ มีอะไรกีดขวางอยู่สนามลงไม่ได้ พอน้ำตาพ่อร่วงทีนี้ผางเลย แผ่นดินจะถล่มทั้งแผ่นก็เถอะเครื่องบินลงเลยไม่รอ แต่เราเสียดายที่พ่อเสีย ตอนนั้นเป็นตอนที่เรากำลังออกประกอบความเพียรเร่งความเพียร เป็นปีที่พ่อเสียนะ จิตวิญญาณก็แปลกอยู่ จิตวิญญาณมันถึงกัน นั่งภาวนาอยู่ ดูเป็นพรรษาที่ ๑๑ จำพรรษาที่ ๑๑ นั่งภาวนาอยู่ ปีนั้นจำพรรษากันที่อำเภอศรีสงคราม ๓ องค์ด้วยกัน ทำกระต๊อบเล็กๆ กระต๊อบสำหรับฉัน ๓ องค์นี้ ๓ องค์รวมกันฉัน ส่วนที่พักนั้นเอาหญ้ามุง ทำแคร่นี้ตลอดพรรษา สูงจากพื้นเท่านั้นพอ
กลางคืนตี ๔ เอ๊ะ มันแปลกอยู่ จนได้สั่งหมู่เพื่อนไว้ที่ไปด้วยกันสององค์ พอนั่งตี ๔ ปรากฏว่าน้องพ่อนั้นแหละ คืออา ถือจดหมายเข้ามายื่นให้ บอกว่าพ่อเสียแล้ว เสียเดี๋ยวนี้ว่างั้นนะ พ่อเสียเสียแล้ว พอตื่นเช้าขึ้นมาก็บอกหมู่เพื่อน เออ นั่งภาวนาอยู่เมื่อคืนนี้เป็นยังไงแปลก อยู่ๆ ก็อาน้องของพอนั่นละเอาจดหมายมายื่นให้ มายื่นแล้วอ่าน บอก ไม่ได้อ่านจดหมายละ บอกว่าพ่อเสียแล้ว พอออกจากที่ภาวนาก็เล่าให้หมู่เพื่อนฟัง ให้จดไว้นะ วันนี้ละวันที่ปรากฏในภาวนาว่าพ่อเสีย วันนี้ละจดไว้ ๗ วันจดหมายก็มาถึงพ่อเสีย เสียในคืนนั้นพอดี มันก็แปลกอยู่นะ นี่ละบอกหมู่เพื่อนจดไว้ จำไว้นะ มันจะจริงหรือไม่จริงภาวนานี้นะ มาจริง จริงๆ นะพ่อก็เสีย ตอนนั้นกำลังเร่งภาวนา ไม่ได้สอนพ่อเหมือนสอนแม่ แม่นี้สอนเต็มเม็ดเต็มหน่วย
พูดเรื่องภาวนามันก็เพลินเหมือนกัน เหมือนเขาพูดเรื่องโลกเรื่องสงสารเขาก็เพลินแบบเขาเหมือนกัน ยิ่งพวกบ้าขี้เหล้าคุยกันแล้วยิ่งเก่ง ไม่มีใครเป็นบ้าน้ำลายยิ่งกว่าคนเมาเหล้านะ อันนี้เราพูดธรรมะมันก็ยังเพลิน พวกเมาเหล้าก็ยิ่งไปใหญ่ ศาลาหลังเล็กๆ มาสร้างวัดทีแรกศาลาหลังเล็กๆ ท่านสิงห์ทองก็มาด้วยกันนี่แหละ มาสร้างวัดด้วยกันทีแรก ทีนี้ท่านสิงห์ทองก็ลาไปเที่ยว ไปเที่ยวกลับมา กลับมาแล้วก็มานั่งศาลาเล็กหลังนั้นละคุยกันกับท่านสิงห์ทอง นี่เรียกว่ามันเพลิน ลืมตัวนะ สององค์เท่านั้นละ สองทุ่มเราลงมาศาลานี้ท่านสิงห์ทองก็มา มาคุยกันตั้งแต่สองทุ่ม ฟาดเสียตีสี่นานไหม มันเพลินอะไรก็ไม่รู้ พูดถึงเรื่องภูเขาพูดถึงเรื่องจิตตภาวนา มันเพลินเอาตอนนี้ละตอนภาวนา
ท่านสิงห์ทองก็เล่าเรื่องของท่านให้ฟัง สิ่งใดที่รับกันมันก็ออกรับกันๆ เรื่อย จนเพลินนะ ตั้งแต่สองทุ่มจนกระทั่งตีสี่ นานหรือไม่นาน นี่ละว่าเพลิน เพลินอย่างนี้ละธรรม ลืมเวล่ำเวลา จนกระทั่งมันจะรู้สึกอะไรของมัน มาดู เอ้า มันดึกแล้วนี่นะ มาดูนาฬิกา โอ๊ย นี่มันตีสี่แล้วนะ เอา เลิกๆ ลุกเลยนะ พอว่าตีสี่มันจะสว่างแล้วนี่ เดือนมิถุนาพอตีห้ามันสว่างแล้ว นี่มันตีสี่มันจะสว่างแล้วนี่นะ เลิกกันก็ลุกเลย เราก็ไป ทีนี้ไปแล้วมันอะไรก็ไม่รู้นะ พอไปถึง กุฏิเรามันหลังเล็กๆ นี่ เข้าไปแล้วเอาย่ามวางปุ๊บแล้วดัดเส้นเสียก่อน จะไม่นอนนั่นแหละ ก็มันเลยเวลาแล้ว ดัดเส้นแล้วถึงจะลงไปเดินจงกรมเราว่างั้นนะ คิดเอาไว้เรียบร้อย แล้วก็มาแผ่สองสลึง ฟาดเสียมันเต็มบาทเลย แผ่สองสลึงแผ่เลยทีเดียว หลับ
จนกระทั่งท่านสิงห์ทองไปบิณฑบาตในบ้านกลับมา มาสะกิดนิ้วเท้าเราตอนเราหลับเพลินอยู่ ท่านสิงห์ทองท่านไม่นอนท่านไปบิณฑบาตกลับมา ถึงเวลาแล้วมาสะกิดเรา เรายังหลับครอกๆ เอ้า พอบิณฑบาตแล้วหรือ พอบิณฑบาตที่ไหน บิณฑบาตมาแล้ว หือ นั่นเห็นไหมบทเวลามันเพลินเพลินทั้งสองอย่าง เพลินคุยธรรมะกัน เวลาเพลินเราก็ไม่รู้ ไปดัดเส้นนี้ ดัดแล้วดัดเลยไปเลย มันหลับไม่รู้ตัวนะ จนกระทั่งท่านสิงห์ทองไปบิณฑบาต ท่านสิงห์ทองไม่นอน บิณฑบาตกลับมาก็ไปสะกิดเท้าเรา คึกคักตื่นมา เอ้า พอบิณฑบาตแล้วหรือ พออะไรไปบิณฑบาตกลับมาแล้ว อย่างนั้นก็มี มันเพลินแบบไหน นั่นฟังซิ
ไปนี้ก็เอาของไปโรงพยาบาลโรงนั้นโรงนี้ไปทุกโรง ไปเราก็ให้โรงละสองหมื่นๆ ไปทุกโรง วันจันทร์ อังคาร พุธ พฤหัส ศุกร์ ห้าวันนี้ไปห้าโรงทุกวัน ก็ไม่ทราบได้ของมาจากไหน ทานนี้ละๆๆ เลย เปิดโล่งเลย โกดังของเราเต็มเอี๊ยด สั่งมาแน่นปึ๋ง ไม่นานหมด สั่งมาเรื่อยๆ ไหลออกรอบวัดนะ การทำบุญให้ทานเราอยากจะชี้นิ้วเลย เอ้า จะเอาวัดไหนมาแข่งว่างี้เลย คือเรานี้เปิดโล่งไปหมด ไม่ว่าปัจจัยไม่ว่าสิ่งของอย่างอื่นอย่างใดมีไม่ได้ ออกหมดเลย เพราะอำนาจแห่งความเมตตานะไม่ใช่อะไร ความเมตตาจูงไปนู้นจูงไปนี้ เมตตาจูง มีเมตตาจูง ไปอย่างนี้ตลอด ไปตามทางเห็นเขาไปขายของตามทาง ไปจอดรถซื้อของเขา
ของถ้าอย่างมากก็เอาสักชิ้นหนึ่งเท่านั้นแหละไม่เอามาก แล้วก็เอาเงินให้เขาอย่างน้อยไม่ต่ำกว่าหนึ่งพัน ให้เงินหนึ่งพันแล้วก็ไป ไปไปเจออีกเอาอีกเรื่อยตามทาง เป็นอย่างนั้นละ เรื่อยไปเลย เป็นอย่างนั้นละ มันหากเป็นอยู่ในจิต ถ้าได้ทานแล้วมันเบิกกว้างๆ เมตตาธรรมนี้เหมือนว่ากระจายออกๆ เบิกกว้าง เป็นอย่างนั้นในหัวใจนี้ นี่อำนาจแห่งความเมตตา ที่ไปไหนมาไหนไม่ได้อยู่นี้คืออันนี้เอง ไม่ใช่อะไรพาเป็น อันนี้ละ ไปที่ไหนหมด เงินนี้ใส่ไปสักเท่าไร เป็นแสนๆ ติดคนขับรถเขาไป ไม่ให้เอาไปน้อยๆ นะ คนไหนควรให้มากให้มาก ให้น้อยให้น้อย ให้ตลอดไปเลย ไม่ได้ถามว่าเงินหมด
บางทีเขาจนบอกว่าเงินหมดแล้ว มันเอามาน้อยเกินไป แน่ะ มันก็ขู่เขาเสีย เอาละเห็นก็ผ่านไปละที่นี่มันไม่มีเงินให้เขา เป็นอย่างนั้นนะใจดวงนี้ มันเปิดโล่งไปหมด พูดให้มันชัดๆ แต่ก่อนไม่เคยเป็น ก็เป็นธรรมดาเหมือนเราๆ ท่านๆ บทเวลามันได้เปิดออกแล้วมีแต่ความเมตตา มีแต่ความเมตตาออก ออกหมดเลย เป็นอย่างนั้นละ แต่กิริยาท่าทางนี้เอาแน่ไม่ได้ มันกิริยาท่าทางออกสู่สมมุติ มันน่าติน่าชมไปด้วยกันนั่นแหละ เหมือนกัน คือสมมุติด้วยกัน ตรงไหนที่น่าติเขาก็ติ ที่ไหนที่น่าชมเขาก็ชม กิริยามันก็ออกของมัน แต่ใจไม่เป็นอย่างนั้น ใจมันเต็มไปด้วยเมตตามันครอบ จะพูดเล่นพูดจริงอะไรก็ตาม แต่เมตตานี้เป็นพื้นฐานอยู่ภายใน
อย่างพูดนี้เหมือนบ้าพูดก็มี แต่มันไม่ได้เป็นบ้า เข้าใจไหม มันออกไปตามกิริยาเฉยๆ ไม่ได้เป็นบ้า บางทีเขาอาจตำหนิก็ได้ อู๊ย หลวงพ่อนี่ บางทีเขาก็จะคิดอย่างนั้นก็มี พูดแบบเด็กก็มีบางที แบบผู้ใหญ่ก็มี แต่ใจไม่ได้เป็น เป็นแต่กิริยาใช้ออกสู่สมมุติ ขั้นนี้ควรจะพูดแบบไหนออกต้อนรับกันแบบไหน ควรเล่นก็เล่นควรจริงก็จริง ควรดุดุบ้าง ควรเล่นก็เล่นก็เล่นไปบ้างตามอย่างนั้นละ นี่กิริยาอันนี้ไม่แน่นอน ไปไหนจึงรับมาทั้งการติการชมเต็มตัวเลยกิริยาอันนี้ แต่ใจไม่เป็น เป็นอย่างนั้นละมันต่างกัน เอาละ
รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
และเครือข่ายทั่วประเทศ |