หนเดียวเท่านั้นไม่เป็นอีก
วันที่ 16 พฤษภาคม 2550 เวลา 7:50 น. ความยาว 44.54 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)   วิดีโอแบบ(Win High Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐

หนเดียวเท่านั้นไม่เป็นอีก

ก่อนจังหัน

พระองค์นี้ปะๆ ชุนๆ พระครั้งพุทธกาลปะๆ ชุนๆ เห็นแล้วจับใจ นี่ละคุณค่าอยู่ที่ตรงนี้ ไม่ได้อยู่ที่โก้ๆ หรูๆ อันนั้นพวกส้วมพวกถาน นี่ทองคำทั้งแท่ง นี่ละศาสดาองค์เอก ใครแหลมคมยิ่งกว่าพระพุทธเจ้า ทรงพิจารณารู้หมดเลย เอามาสอนนี้เพื่ออะไร ก็เพื่อคุณค่าอันสูงส่งถึงพระนิพพาน นอกนั้นมีแต่จมๆ ไม่มีขึ้น สดสวยงดงามหรูๆ หราๆ ฟู่ๆ ฟ่าๆ มีแต่พาคนให้จมทั้งนั้น กิเลสพาคนให้จม แต่สัตว์โลกชอบมาก ธรรมพาคนให้ฟื้นฟู แต่สัตว์โลกไม่ค่อยชอบ อย่างนี้ใครจะชอบ ปะๆ ชุนๆ อย่างนี้ไม่มีใครชอบทั้งนั้น ผู้มุ่งพระนิพพานปึ๋งชอบมาก ลดออกหมดคุณค่าไม่มี ผ้าขี้ริ้วห่อทองอยู่ภายในใจ นี่ละให้ดูตัวอย่างกัน

มาศึกษาพระเณรทั้งหลายให้ดูเอา องค์ไหนปฏิบัติยังไงๆ มาก่อนมาหลังให้เอาหลักธรรมเป็นเกณฑ์ ดูแต่ละองค์แต่ละรายปฏิบัติตัวยังไง มีหลักธรรมหลักวินัยคือองค์ศาสดาติดตัวหรือไม่ๆ ถ้าไม่มีธรรมมีวินัยติดตัวแล้วเป็นโมฆะ หาราค่ำราคาไม่ได้ ถ้ามีธรรมและวินัยติดตัวแล้วนั้นคือองค์ศาสดาติดไปด้วย เกาะพระพุทธเจ้าคือธรรมคือวินัย จะสง่างามไปตลอด อยู่ที่ไหนอย่าปราศจากศาสดาคือธรรมคือวินัย พากันจำให้ดี เคยได้ยินไหมคำพูดอย่างนี้ ทั้งๆ ที่ตำราท่านสอนไว้แล้วอย่างนี้ ไม่มีใครนำมาพูดนะ ศาสดาคือธรรมคือวินัย ใครมีธรรมมีวินัยติดตัวนั้นคือตามเสด็จพระพุทธเจ้าทุกๆ ฝีก้าว สุดท้ายถึงพระนิพพาน

เราอย่าเอาแต่ตามกิเลสความโก้หรูๆ ฟู่ๆ ฟ่าๆ นะจม พวกนี้พวกจม ฟังให้ดีนะพวกอยู่ในศาลานี่ แต่งตัวโก้หรูฟู่ๆ ฟ่าๆ มีแต่พวกจะพากันจม กี่กัปกี่กัลป์ไม่มีวันฟื้นขึ้นได้ การใช้สอยอยู่กินรู้จักประมาณ ประหยัดมัธยัสถ์ ไม่ลืมเนื้อลืมตัว นี้คือทางเพื่อความพ้นทุกข์ถึงพระนิพพานได้ ไม่มีใครสอนถูกต้องแม่นยำยิ่งกว่าศาสดา อย่าเก่งกว่าครูคือศาสดา ถ้าไม่อยากจมอย่าเก่งกว่าครู ให้นำครูมาสอนเสมอ เวลานี้ลูกศิษย์ตถาคตมันเก่งกว่าครู มันเหยียบหัวพระพุทธเจ้าไปๆ อย่างนั้นละ แล้วก็เหยียบหัวตัวเองนั้นละไม่ใช่เหยียบใคร

ใครจะเลิศเลอยิ่งกว่าศาสดาองค์เอกนำธรรมมาสอนโลกไม่มี มีรายเดียวคือศาสดาที่สอนได้ถูกต้องแม่นยำมาก ปฏิบัติตามซิน่ะ คือทรงรู้ทรงเห็นแล้ว เพราะเหตุผลกลไกอะไร นำเหตุผลกลไกอันนั้นมาเป็นเครื่องดำเนินจึงไม่ผิดพลาด เรามีแต่สุกเอาเผากินๆ เห็นอะไรมาคว้ามับๆ มันมีตั้งแต่มูตรแต่คูถ มีแต่ฟืนแต่ไฟเผาหัวใจ เลยไม่ได้เรื่องได้ราว

เช่นอย่างวันนี้เป็นวันพระ วันพระกับวันธรรมดาต่างกัน วันธรรมดาก็มืดกับแจ้ง วันพระก็มืดกับแจ้ง แต่วันพระมีธรรมอยู่ในมืดกับแจ้ง วันธรรมดาเป็นวันเลอะๆ เทอะๆ ของโลก วันของธรรมมีศีลมีธรรมประจำ เช่นอย่างวันนี้เป็นวันพระ การสมาทานศีลไม่สำคัญ เสมอกันหมดที่พระพุทธเจ้าประทานไว้ตรงไหน สมาทานวิรัติ สมาทานจากพระเอาพระเป็นพยาน เพราะตัวเองไม่ไว้ใจตัวเอง เอาพระมาเป็นพยาน เช่น ปาณาติปาตา เวฯ เป็นต้น เราสมาทานกับพระ คือเอาพระเป็นพยาน เราไม่ไว้ใจเรา เรามันโกหกหลอกลวงตัวเองเก่ง จึงต้องเอาพระมาเป็นพยาน แล้วมันก็กระดากอายบ้างละ นั่นละท่านว่าสมาทานวิรัติ เป็นศีลสมบูรณ์เหมือนกัน

เจตนาวิรัติ นี่ก็เป็นศีลสมบูรณ์เสมอกันหมด คือตั้งใจงดเว้นศีลข้อนั้นๆ รักษาศีลข้อนั้นๆ ให้เต็มภายในจิตใจ ไม่ต้องสมาทานกับพระ เจ้าของเชื่อตัวเอง ยึดมั่นถือมั่นในความสัตย์ความจริงของเจ้าของเองไปปฏิบัติ นี้ก็เป็นศีลสมบูรณ์เหมือนกัน

สมุจเฉทวิรัติ เรียกว่างดเว้นการทำชั่วด้วยศีลข้อใดก็ตามอย่างเด็ดขาด นี่เรียกว่าสมุจเฉทวิรัติ

เราจะสมาทานรักษาศีลข้อใด เป็นเหมือนกับรับจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้านั่นแหละไม่ผิด พระองค์ตรัสไว้ชอบแล้วทุกอย่างๆ มีอานิสงส์มีคุณค่ามีผลเท่ากัน ขอให้ไปรักษาปฏิบัติเถอะ จะสมาทานจากพระหรือจากใครก็ตามเป็นศีลขึ้นมาโดยสมบูรณ์ถ้าเจ้าของรักษาได้ เจตนาวิรัติ เจ้าของเจตนางดเว้นภายในใจ ไม่ต้องเอาใครมาเป็นสักขีพยานก็ได้ สมุจเฉทวิรัติ สมาทานอย่างเด็ดขาด งดเว้นอย่างเด็ดขาดเลย นี่ก้าวขึ้นไปสู่ศีลของพระอริยเจ้าคือพระโสดา พระโสดาศีลนี้มาเองเป็นเอง หิริโอตตัปปะเกิดเอง ไม่ต้องไปสมาทานกับพระ เรียกว่าศีลพระอริยเจ้า ขึ้นไปถึงศีลพระอริยเจ้า พากันจำเอา

มันจะตายทิ้งเปล่าๆ ละ ศีลธรรมที่เลิศเลอสุดยอดมานานสักเท่าไร ในพุทธศาสนาของเรานี้ ๒๕๕๐ ปีนี้แล้ว เราเกิดมาได้กี่ปีกี่เดือนมีศีลมีธรรมติดตัวไหม หรือมีตั้งแต่ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา ความยุ่งเหยิงวุ่นวาย ความทะเลาะเบาะแว้ง ความยุแหย่ก่อกวนแตกทำลายกันนั่นเหรอ ศีลธรรมเป็นเครื่องสมัครสมาน กิเลสเป็นเครื่องยุแหย่ก่อกวนให้แตกทำลาย เรามีอะไรอยู่ในใจของเรา มีอะไรอยู่ในสังคมของเราเวลานี้ เอาไปพิจารณาซิสังคมไทยเรา มีธรรมเข้าไปเกี่ยวข้องไหม หรือมีตั้งแต่กิเลสเข้าไปตีตลาดแหลกเหลวไปหมด อย่างนี้ใช้ไม่ได้นะ

เรามารักษาธรรมต้องเอาธรรมมาปฏิบัติ ธรรมจะเกิดขึ้นในผู้ปฏิบัติธรรม ผู้ไม่ปฏิบัติธรรมแบกคัมภีร์จนหลังหักก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร พากันจำเอา วันนี้พูดให้ฟังเพราะเป็นวันพระ ซึ่งเป็นวันสำคัญวันหนึ่ง งานการใดก็ตามวันนี้ธรรมจะต้องติดหัวใจ เช่นพุทโธ เป็นต้น พุทโธ ธัมโม หรือสังโฆ ให้ติดอยู่ในหัวใจ ถ้าลงธรรมติดอยู่ในหัวใจ บทใดก็ตาม พุทโธ ธัมโม สังโฆ ได้ทั้งนั้น นั้นละคือธรรมอันเลิศเลออยู่ในใจเราแล้วเรามีราคาเวลานั้น นั้นละคุณค่าราคาแท้อยู่กับใจนะ รวมลงแล้วธรรมอยู่กับใจ คู่ควรกันกับใจ นอกจากนั้นไม่ควรกัน ธรรมกับใจคู่ควรกัน

พากันรักษาใจให้ดี กาย วาจา การประพฤติปฏิบัติตัว ให้ดูใจเจ้าของอย่าไปดูคนอื่น ทะเลาะเบาะแว้งยุ่งเหยิงวุ่นวายก่อกวนกันอยู่ตลอดเวลาแม้ภายในวัด ตลอดเข้าไปอยู่ในที่นอนหมอนมุ้ง จะนั่งภาวนาก็ไปก่อเรื่องอยู่ในมุ้ง ว่าจะภาวนา เอาเรื่องคนนั้นมายุ่ง เอาเรื่องคนนี้มายุ่ง คนนั้นไม่ดี คนนี้ไม่ดี มีแต่กิเลสเข้าไปตีตลาดจนกระทั่งถึงที่นอนหมอนมุ้ง ที่ภาวนามีแต่ทำเลกิเลสไปตีตลาดนักภาวนาทั้งนั้นแหละ

ดูหัวใจเจ้าของ ตัวนี้ตัวดีดที่สุด มันคิดเรื่องอะไร ไปดูตั้งแต่โทษของเขา โทษของเราไม่มีหรือจึงไม่ดู ก็เรามาภาวนาเพื่อจะดูโทษดูคุณของตัวเอง คุณไม่ต้องบอกขอให้ดูโทษ ระมัดระวังโทษแล้วคุณจะเกิดขึ้นเอง ถ้าไม่ดูโทษ สั่งสมแต่โทษแล้วคุณไม่มี วันนี้เป็นวันพระ ให้มีวันพระวันโยมบ้างซิ วันไหนก็วันเลอะๆ เทอะๆ ใช้ไม่ได้นะ น่าทุเรศ นี่เราจวนจะตายเท่าไรยิ่งคิดมาก แทนที่จะคิดถึงตัวเราเองที่กำลังหายใจฝอดๆ จะไปอยู่ไม่กี่วันกี่ปีนี้ มันไม่คิดกับเรื่องนี้ มันคิดถึงโลกถึงสงสารที่อยู่ด้วยความวุ่นวาย

ใจดวงนี้ไม่ได้วุ่นวายใจของเรานี้ พี่น้องทั้งหลายฟังให้ดี หลวงตาบัวลูกบ้านตาดนี่ละ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานที่นั่นที่นี่ อยู่บ้านนั้นบ้านนี้ ขึ้นอยู่กับบุญกับกรรม ใครมีบุญมีกรรมที่ไหนเกิดที่ไหนดีทั้งนั้นถ้ากรรมดี ถ้ากรรมชั่วไปเกิดที่ไหนก็ชั่วทั้งนั้น นี่เราก็บอก เราก็ปฏิบัติตัวเต็มความสามารถตั้งแต่ปี ๒๔๗๗ วันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๔๗๗ นั้นเป็นวันบวช วันฝากชีวิตจิตใจไว้กับผ้ากาสาวพัสตร์ เพศของพระ ตั้งแต่บัดนั้นมาจนกระทั่งบัดนี้เป็นเวลา ๗๓ ปีทุกข์หรือไม่ทุกข์พิจารณาซิ อยากกินก็ไม่ได้กิน อยากไปอยากมาที่ไม่เหมาะควรกับธรรมกับวินัยแล้ว ไม่กินไม่ไปไม่มาไม่ทำ ฝึกอยู่อย่างนั้นตลอดจนเคยชิน

แย็บออกคิดไปไหนผิดหรือถูก ถ้าว่าผิดธรรมผิดวินัยอยากขนาดไหนก็ไม่กิน อยากทำอะไรก็ไม่ทำ นั่นขึ้นชื่อว่าฝึกตัว ฝึกจนชินต่อนิสัย แล้วฟังเสียง คิดแย็บออกมาเรื่องใดควรหรือไม่ควร เอาธรรมวินัยมากาง ควรทำหรือไม่ควรทำ ควรไปหรือไม่ควรไป เอาธรรมวินัยออกกาง เมื่อเห็นว่าไม่ควรแล้วไม่ทำ นั่นชื่อว่าเป็นผู้มีครูมีอาจารย์แล้วก็เป็นผู้มีศาสดาองค์เอกติดตัวไป มีคุณค่ามีราคา คนนั้นมีราคาทั้งวัน ตั้งแต่เกิดถึงตายมีธรรมอย่างนี้ประจำใจมีคุณค่าตลอดจนกระทั่งถึงวันตาย คนนั้นทรงคุณค่าอันสูงส่ง ส่งจนกระทั่งถึงนิพพานด้วยนะ คุณค่าแห่งความดีที่เรารักษา พากันจำนะ

วันหนึ่งๆ หมดไปเฉยๆ มืดแจ้งมีมาดั้งเดิม แต่ชีวิตจิตใจของเราซิ เวลามาเกิดเราก็มารู้เวลาที่เรามาเกิดแล้ว ตายนี้มันจะไปที่ไหนไม่รู้ กมฺมํ สตฺเต วิภชติ ยทิทํ หีนปฺปณีตํ กรรมย่อมเป็นเครื่องจำแนกแจกสัตว์ให้มีความประณีตเลวทรามต่างกัน มีกรรมดีกรรมชั่วด้วยกันทุกคน แล้วแต่กรรมจะจำแนกแจกไปไหน ถ้าเราทำกรรมชั่วไว้ กรรมชั่วจะพาเราลงนรก ทำกรรมดีไว้กรรมดีจะพาเราไปสวรรค์นิพพาน ให้เลือกนะ เวลานี้เลือกได้ ธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้วไม่มีผิดมีพลาด ถ้าปฏิบัติตามนั้นแล้วแม่นยำๆ จำเอานะ เอาละให้พร

หลังจังหัน

         เดี๋ยวนี้กลางวันมีมาก กลางวันมีถึง ๑๔ ชั่วโมง กลางคืนมีเพียง ๑๐ ชั่วโมง ตะวันมันตรงแน่ว ถ้าตะวันเอียงไปนี้กลางคืนจะมาก หลวงปู่แหวนบุหรี่ท่านตัวใหญ่นะ หลวงปู่แหวนบุหรี่ท่านตัวใหญ่ นั่นละเคยต่อนิสัยเป็นไปตามนิสัย ไม่เป็นบาปเป็นคุณอะไร ไม่ขัดข้องต่อธาตุต่อขันธ์ต่อหลักธรรมหลักวินัยท่านก็ทำไป ถ้าขัดปั๊บท่านปัดทันทีเลย

พ่อแม่ครูจารย์มั่นก็เหมือนกัน บุหรี่ตัวอย่างนี้ละ ก็โบราณที่ท่านเคยมายังไงก็เป็นแบบนั้น บุหรี่สูบตอนเช้า แต่ไม่มาก พอฉันเสร็จแล้วท่านจะสูบ อย่างมากขึ้นไปกุฏิแล้วพระขึ้นไปหาท่าน ท่านจะอาจสูบเหมือนแก้เก้อแก้ก้าอะไร แก้รำคาญไปอย่างนั้นละดูท่า ตอนค่ำอีก ท่านขึ้นจากทางจงกรม แล้วพระขึ้นไปหาท่าน นั่นละตอนหนึ่งตอนท่านสูบบุหรี่หรือฉันหมากตอนนั้น ตอนบ่าย ตอนจังหันแล้ว มีสาม ตอนจังหันแล้วหนึ่ง ตอนบ่ายหนึ่ง ตอนค่ำ มีสามเวลา

นี่ก็พูดเสียเถอะมันได้พูดแล้ว เราก็อาจจะมีนิสัยวาสนาอยู่บ้าง ไปหาครูบาอาจารย์องค์ใดรู้สึกท่านเมตตามากทุกองค์ พระผู้ใหญ่เมตตามากทุกองค์ ไม่ว่าฝ่ายปริยัติฝ่ายปฏิบัติ อย่างวัดพระศรีมหาธาตุ สมเด็จมหาวีรวงศ์ โอ๋ย ตามไปเอาเลย จะไปเอามาจริงๆ นี่นะ ปีนั้นถวายเพลิงเผาศพพ่อแม่ครูจารย์มั่น สมเด็จมหาวีรวงศ์ก็ไป แล้วเพื่อนของท่านคือเจ้าคุณศรีวรคุณ น้องชายท่านเจ้าคุณอุบาลี ท่านเป็นเพื่อนกัน.พรรษา ๑๖ แล้วนะนั่น เผาศพพ่อแม่ครูจารย์มั่นพรรษา ๑๖ ท่านก็ไปในงานนี้ โอ้ ไปจับติดเลย จะเอาไปท่าเดียว ไม่ให้คิดให้อ่านไม่ให้ช่องทางอะไรเลย ไอ้เราก็ โห จะทำยังไง แต่ที่จะให้กลับไปมันกลับไม่ได้แล้ว

คือจิตตอนนั้นเป็นธรรมจักรแล้ว หมุนติ้วๆ ตลอดเวลา อยู่กับใครไม่ได้ ตอนนั้นเป็นตอนอยู่กับใครไม่ได้ อยู่องค์เดียว แล้วท่านก็จะเอาไปเข้าส้วมเข้าถานในนั้นได้ยังไง คนหนึ่งปีนออกจากส้วมจากถาน คนหนึ่งจะจับลากลงไปได้ยังไง แต่จะออกด้วยมารยาทอันดีงาม แต่ที่จะให้ไปนั้นไปไม่ได้แล้ว จิตเมื่อมันแก่ของมันแล้วยังไงบ่มไม่บ่มมันก็สุก จิตนี้หมุนเข้าขนาดนี้เพื่อสุกละนั่น นี้ก็หมายถึงความเมตตาผู้ใหญ่ เราไปอยู่กับองค์ใดๆ รู้สึกจะได้รับความเมตตามาตลอด ไม่เคยมีองค์ใดที่เราเข้าไปคบค้าสมาคมเป็นลูกศิษย์ลูกหาของท่าน ท่านจะรังเกียจเราไม่เคย จนกระทั่งวาระสุดท้ายคือพ่อแม่ครูจารย์มั่น นี่ยิ่งแล้ว

นั่งอยู่ด้วยกันนี่ เราก็อยู่ในวัด พระขึ้นไปหาตอนบ่าย เราก็อยู่ในวัดนั่นแหละ อยู่ๆ ท่านมหาไปไหน แน่ะ ท่านก็อยู่นี้แหละ ท่านก็หยุดกึ๊ก อย่างนั้นละความเมตตาของท่าน นี้คือจอมปราชญ์สมัยปัจจุบัน หลวงปู่มั่นเป็นจอมปราชญ์ เราเป็นจอมโง่ เข้าใจไหม โฮ้ ฉลาดจริงๆ นะ ฟิตตลอดเผลอไม่ได้ อยู่กับท่านฟิตสติปัญญาระวังเนื้อระวังตัวตลอดเวลา เพราะอยู่กับจอมปราชญ์ เราจอมโง่ท่านจอมปราชญ์ แต่นิสัยของท่านท่านไม่ค่อยชอบพูดตลกหัวเราะนะ

แต่เรามีนิสัยตลก ก็คิดดูซิเขียนไว้หน้าวัดนั่น เขียนทีแรกก็รู้สึกสวยงาม “ที่นี่เป็นวัด เป็นสถานที่ภาวนาเพื่อความสงบใจ” นี่สวยงามใช่ไหม อันที่สองนี้ “กูจะฟ้องท่านเปา มันมาเที่ยวเพ่นพ่าน” แน่ะก็อย่างนั่นแล้วมันพลิกไปอย่างนั้น เขาก็อ่านนิสัยถูก พ่อแม่ครูจารย์มั่นไม่มี แต่เรามีนิสัยของเรา พูด ท่านก็อดหัวเราะไม่ได้เหมือนกัน ท่านก็หัวเราะ มันหากมีนิสัยของเรานั้นแหละ มีนิสัยของใครของเรา ไปคละเคล้ากันท่านก็เลยอดหัวเราะไม่ได้ นี่เรียกว่าจอมปราชญ์สมัยปัจจุบัน พยายามฟิตตัว คุ้นไม่ได้กับพ่อแม่ครูจารย์มั่น เรียกว่าคุ้นไม่ได้เลย สติปัญญาของท่านรอบอยู่ตลอดเวลา

พูดถึงเรื่องความเมตตาของท่าน อยู่เฉยๆ อยู่ด้วยกัน เราก็ไม่ได้ไปไหนอยู่ในวัด เพราะตามธรรมดากลางวี่กลางวันจะไม่เห็นพระในวัด บริเวณวัดจริงๆ โล่งไม่กว้างนัก จากนั้นก็เข้าในป่าเป็นทางจงกรมทั้งหมดเลยในป่าลึกๆ เวลาตอนบ่ายๆ บ่าย ๒ โมงหรือ ๓ โมง ท่านรับแขกก็รับตอนนั้น แขกหมายถึงแขกพระ เวลาท่านจะถามขึ้นมา พระขึ้นไปหาท่าน อยู่ๆ ท่านมหาไปไหน ว่างั้นนะ ท่านก็อยู่นี้แหละ นิ่งไป อยู่เฉยๆ นี่แหละถาม ท่านมหาไปไหน เราก็ไม่ได้ไปไหน มันหากมีอะไรอยู่ในนั้น

ทางฝ่ายปริยัติก็เหมือนกัน ฝ่ายปฏิบัติเหมือนกัน รู้สึกจะมีวาสนาอยู่เล็กๆ น้อยๆ ไปหาครูบาอาจารย์องค์ใดได้อยู่ใกล้ชิดสนิทกับท่าน รู้สึกจะได้รับความเมตตาทุกๆ องค์ไป อย่างสมเด็จมหาวีรวงศ์ นี่ฝ่ายปริยัติ นี่ก็เมตตาแบบจะเอาไปเลย จะไม่ยอมให้เราคิดอะไรเลย จะเอาไปด้วยกลับไปกรุงเทพ เผาศพพ่อแม่ครูจารย์มั่นพรรษา ๑๖ ท่านมาเผาศพท่านจะเอาไปด้วยเลย ไม่คิดไม่อ่านไม่พูดอะไร เรียกว่าไม่ให้ค้านว่างั้นเถอะ จะเอาไปเลย

เราก็จะทำยังไง ตอนนั้นเป็นตอนที่กำลังหมุนติ้ว ดูเหมือนเดือนสาม จิตหมุนตลอดอยู่กับใครไม่ได้ จิตขั้นนั้นขั้นอยู่กับใครไม่ได้เลย คิดดูซิมาเผาศพพ่อแม่ครูจารย์มั่น เคารพขนาดไหนเรา แต่เราเอาธรรมานุธรรมปฏิปันโน ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมผู้นั้นชื่อว่าบูชาเราถตาคต เราเอาอันนี้บูชาท่าน ที่จะให้เกี่ยวข้องกับร่างกายมาอุปถัมภ์อุปัฏฐากท่านในศพของท่านเรามาไม่ได้ เราต้องบูชาท่านด้วยข้อปฏิบัติ นี่ละถึงกาลเวลาที่อยู่ไม่ได้มันอยู่ไม่ได้จริงๆ คือทางนี้มันก้าวของมันตลอดก้าวตลอด ที่จะให้ดึงลงมันไม่ลงแล้ว พุ่งๆ

มาในงานศพท่านเพียงสี่วัน ฟังซิ งานศพรวมพระเณรอะไรรวมกันหมดแล้วสี่วัน นั่นละเรามา ทนเอานะนั่น มาก็ไปอยู่ในป่าลึกๆ จะออกมาเฉพาะเวลาจำเป็นๆ เพราะทางนี้มันหมุนตลอด นี่ละธรรมฆ่ากิเลสท่านทั้งหลายฟังเอา ถึงเวลาฆ่าแล้วไม่รอ กิเลสฆ่าสัตว์โลกทำลายสัตว์โลกก็เหมือนกัน คิดแย็บออกตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัสสัมพันธ์กับอะไรกิเลสจะออกหน้าๆ กว้านเอาฟืนเอาไฟมาเผาตัวเอง ปรกติของโลกเป็นอย่างนั้น เราก็ไม่เคยคิดแต่ก่อน แต่เวลาธรรมนี้เกิดขึ้นกับเรามันเป็นอย่างนั้นเป็นเอง ก็ย้อนไปคิดถึงเรื่องกิเลสทำงานบนสัตว์โลก มันทำของมันตลอดเวลาทุกหัวใจ ทีนี้พอธรรมเกิดขึ้นนี้ฆ่ากิเลส อยู่ที่ไหนฆ่าตลอด เว้นแต่หลับ

เพราะฉะนั้นจึงว่าอยู่กับใครไม่ได้ อยู่ไม่ได้จริงๆ มันขวางมันขัดทางเดินของเราที่กำลังก้าวเดินพุ่งๆ แล้วมีอะไรมาขัดมาขวาง เช่นเกี่ยวกับการกับงานกับเพื่อนฝูงนี้ไม่ได้เลย เหมือนกับอะไรมาขวางทาง ปัดออกๆ พุ่งๆ เลย คิดดูเผาศพพ่อแม่ครูจารย์มั่นอยู่ได้เพียงสี่วันเท่านั้น ทน ธาตุขันธ์ส่วนหยาบอุปถัมภ์อุปัฏฐากท่านส่วนหยาบ แต่อุปถัมภ์อุปัฏฐากท่านด้วยการปฏิบัติชำระจิตใจ อันนี้เยี่ยมกว่าทุกอย่าง เราเอาอันนี้บูชาท่าน มาเผาศพท่านได้สี่วันโดดผึงเลยเข้าป่า พระเณรตอนนั้นกำลังถามเกาะเรานะ

แต่ก่อนเราก็ไม่เคยคิดว่าพระเณรจะมาเกี่ยวเกาะกับเราสนใจกับเรา เพราะเราก็อยู่กับพ่อแม่ครูจารย์มั่น พระเณรทั้งหลายก็อยู่ด้วยกัน ต่างคนต่างมุ่งหน้าเข้าไปศึกษาในจุดเดียวกัน จึงคิดว่าจะไม่มีใครสนใจกับใคร นอกจากสนใจกับพ่อแม่ครูจารย์มั่นองค์เดียว แต่พอท่านมรณภาพเท่านั้นละ โอ๋ย เกาะพรึบเลยนะเกาะเรา แต่ก่อนไม่ได้คิดนี่ เราก็หมุนของเรา ก็นึกว่าพระเณรอยู่กับท่านจะไม่สนใจอะไรกับเรา พอท่านมรณภาพเท่านั้นเกาะพรึบเลย เหมือนผู้ต้องหานะ จึงได้รู้ว่า โอ๋ พระเณรคอยจดจ้องกับเรามาตั้งแต่เมื่อไร ไปกลางวันไม่ได้นะไปกรรมฐาน ไปกลางวันเป็นรุมเลยละ ต้องไปกลางคืน

ถ้าว่าตกนรกก็เรานี่หลุมลึกที่สุดขโมยหนีจากพระ ไม่งั้นไปไม่ได้จริงๆ ไอ้เรามันมีแต่อย่างนั้นอย่างเดียวไปกับใครไม่ได้ แน่ะ มันบังคับในตัวของมัน พอค่ำมืดแล้วดูหมู่เพื่อน เพราะใครก็รุมๆ องค์นี้เดินจงกรมอยู่บ้าง องค์นั้นนั่งภาวนาอยู่บ้าง ไม่สนใจกับเรา เราเตรียมของไว้เรียบร้อยแล้ว พวกบริขารพวกบาตรสบงอะไรๆ ใส่เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ววางไว้ที่นอน วางไว้แล้วก็ไปเที่ยว ถ้าเห็นพระเณรมองมาหาเราเราก็ทำนองไปเที่ยววัด ไปเที่ยวบริเวณ ความจริงไปดูลาดเลา พอกลับมาไม่มีใครละที่นี่มาแล้วเตรียมของปั๊บสะพายบาตรปุ๊บออกทางนี้ ไม่ออกไปทางพระเณรนะ ขโมยหนีกลางคืนไม่ทราบว่ากี่ครั้ง ถ้าตกนรกหลุมลึกมากนะเรา ออกไปทางพระไม่ได้รุมมา ก็จ้ออยู่กับเราคนเดียว

นี่ละตอนที่จิตมันหมุน ฟังเอาซิท่านทั้งหลายฟัง เวลาหมุนจะออกยังไงก็อยู่ไม่ได้ จะออกโดยถ่ายเดียวๆ อยู่ไม่ได้เลย นอนกลางคืนบางคืนไม่หลับ คือธรรมะกับกิเลสมันฟัดกันอยู่ในหัวอก เรียกว่าอัตโนมัติ เวลาธรรมะฆ่ากิเลสฆ่าโดยอัตโนมัติ เหมือนกิเลสทำลายสัตว์โลกโดยอัตโนมัติเหมือนกันไม่ผิด เราจึงได้นำอันนี้มาเทียบเคียงกัน โอ๋ กิเลสทำลายหัวใจสัตว์โลกมันก็เหมือนกัน กับที่ธรรมเรากำลังทำลายกิเลสอยู่เวลานี้ มันจะไม่ให้มีอะไรติดหัวใจ หมุนติ้วๆ

กลางคืนนอนมันยังไม่ยอมหลับ คือมันหมุนของมันเต็มที่เต็มฐาน ลงทางจงกรมแล้วไม่รู้จักเวลาหยุด ได้ก้าวลงทางจงกรมเมื่อไร ไม่ว่ากลางวี่กลางวันกลางคืน ถ้าลงได้ลงแล้วไม่รู้จักเวลาหยุด ต้องเอาก้าวขาไม่ออกเป็นเครื่องตัดสินกัน คือเวลามันหนักพอแล้ว เดินก็เดินตั้งแต่เมื่อไร แต่จิตมันไม่ได้มาอยู่กับอวัยวะแข้งขาเจ็บนั้นปวดนี้ มันอยู่กับกิเลสกับธรรมฟัดกัน ไม่ได้ออกไปข้างนอก จนกระทั่งขาก้าวไม่ออก เครื่องมือไม่เอาไหนแล้วก้าวไม่ออก หือ ไปไม่ได้หรือพัก นั่นละพัก ให้ตั้งใจหยุดนี้ โถ มันตั้งใจได้ไง มีแต่ตั้งใจจะฟัดกับกิเลส

ที่ท่านกล่าวไว้ในธรรมมีในคัมภีร์ พระโสณะท่านความเพียรกล้า เวลาได้เป็นพระอรหันต์แล้วท่านยกเป็นเอตทัคคะเลิศในทางความเพียรกล้า มีองค์เดียว พระโสณะ เลิศในทางความพากเพียร ความเพียรกล้า เดินจงกรมจนฝ่าเท้าแตก มีในตำรา เราก็อ่านไปเหมือนกัน ตอนนั้นเมื่อจิตยังไม่เข้าระดับกันมันก็อ่านธรรมดา เป็นความจดความจำธรรมดา ไม่ได้ติดใจอะไรว่าความเพียรกล้าขนาดไหนไม่ขนาดไหน เป็นธรรมดาๆ บทเวลามันเข้าหาตัวเองความเพียรกล้านะ ท่านว่าฝ่าเท้าแตก พระโสณะเดินจงกรมจนฝ่าเท้าแตก คือฝ่าเท้าแตกมันไม่ได้หมายถึงแตกอย่างนี้นะ มันจะกัดเข้าไปฝ่าเท้าเรานี่นะ ฝ่าเท้ามันหนาๆ เดินไม่หยุดไม่ถอยมันค่อยกัดเข้าไปๆ บางเข้าไปๆ จนทะลุถึงเนื้อ นั่นเรียกว่าฝ่าเท้าแตก ไม่ใช่แตกอย่างนี้นะ มันทะลุถึงเนื้อ

เราก็เป็น แต่ยังไม่ถึงแตก ยังไม่ถึงเนื้อ นี่ละมันมาเป็นพยาน ว่าท่านเดินจงกรมจนฝ่าเท้าแตกพระโสณะ เป็นเอตทัคคะเลิศในทางความเพียร เดินจงกรมจนฝ่าเท้าแตก ทีนี้เวลาเราเข้าไปเกี่ยวข้องกันแล้วนี้ ลงทางจงกรมแล้วไม่รู้จักหยุด จนจะก้าวขาไม่ออกถึงจะหยุด เอาก้าวขาไม่ออก มันหมดกำลัง ก้าวขาไม่ออกแล้วหยุดสักพักหนึ่ง ที่จะให้มันหยุดเฉยๆไม่ได้ ถึงขั้นนี้แล้วหยุดไม่ได้ ทีนี้เวลามันพอๆ กันเอามาเป็นพยานกัน เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามันจะตายแล้วก็ไปพักร้านข้างทางจงกรม ออกร้อนฝ่าเท้านี้แหมเหมือนไฟลนนะ ร้อนพั่บๆๆ โหย ทำไมฝ่าเท้าเรามันถึงได้ร้อนเอานักหนา มันแตกเหรอ

ครั้นเอาฝ่าเท้ามาดูก็ไม่แตก ฝ่าเท้าก็ดีๆ คือยังไม่ทะลุถึงเนื้อ ที่จะให้มันแตกมันไม่แตกแหละ มันทะลุถึงเนื้อ มันออกร้อนเหลือประมาณ ทนไม่ไหวก็ต้องมาดูฝ่าเท้า เอ๊ ทำไมฝ่าเท้าเรามันแตกเหรอ มาดูไม่แตก แต่เวลามาลูบคลำฝ่าเท้าเรานี่ โถ มันเสียว เรามาลูบคลำเบาๆ นี้เสียวมันกำลังจะทะลุถึงเนื้อ มันเสียว พอดีกิเลสแตกเสียก่อนฝ่าเท้าเราเลยไม่แตก ไม่งั้นจะแตกเหมือนกัน นี่พยานมันบอกกันนะ ไม่ต้องไปถามใครมันเชื่อกันเอง

อย่างว่าท่านเดินจงกรมจนฝ่าเท้าแตก ไม่แตกยังไง กิเลสไม่แตกท่านไม่ได้ถอยนี่ อันนี้ก็เหมือนกันกิเลสไม่แตกฝ่าเท้าจะต้องแตก นี่กิเลสแตกฝ่าเท้าไม่แตก พระโสณะท่านฝ่าเท้าแตกกิเลสยังไม่แตก เรากิเลสแตกฝ่าเท้ายังไม่แตก มันเทียบกันปุ๊บไม่ได้คุย คือไม่โอ้ไม่อวด สักขีพยานมันบอกกันเอง โอ นี่ของเรายังไม่แตกกิเลสแตกเสียก่อน จากนั้นมันก็ไม่แตกที่นี่ นอกจากมันวกวนไปหาหมอนแตกเท่านั้น จากนั้นก็มาหาหมอนแตก เสื่อขาด เข้าใจไหมล่ะ ตอนที่ฝ่าเท้าแตกเป็นไปอย่างนั้น นี่จึงว่าความเพียรกล้า เข้ากับองค์ไหนเข้ากับรายใดแล้วมันจะรับกันยอมรับกันทันที ถ้ายังไม่เข้าธรรมดามันก็ไม่เชื่อ

อย่างพระโสณะนี่เชื่อก็เชื่ออย่างเอาเราเข้ายันเลย เดินจงกรมออกร้อนเท้านี้แหม มาลูบคลำดูมันก็ไม่แตก แต่มันเสียว ถ้าจากนั้นแล้วแตก มันก็เป็นพยานกันได้ นั่นละท่านประกอบความเพียรท่านเอาอย่างนั้นจริงๆ ที่ว่าท่านทรงมรรคทรงผลครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ท่านไม่ได้สนใจกับโลกกับสงสารนะ พอได้รับโอวาทจากพ่อแม่ครูอาจารย์อย่างถึงใจแล้ว ทีนี้ก้าวขึ้นเวทีฟัดกันเลยกับกิเลส จะเป็นจะตายร้ายดีอดอิ่มอะไรท่านไม่สนใจ ระหว่างจิตกับธรรมฟัดกันกับกิเลสภายในหัวใจนี้ไม่มีหยุด นั่นท่านเอาอย่างนั้น แล้วท่านจะไม่สำเร็จได้ยังไง ธรรมะเรียกว่าสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้วนี้ เอา ขอให้ปฏิบัติตามนี้เถอะ ชอบแล้วนี้จะต้องถึงแดนพ้นทุกข์ ก็ถึงจริงๆ นั่น ท่านว่าสวากขาตธรรม หรือ สวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม นี้ตรัสไว้ชอบแล้ว เอ้าๆ ก้าวตามนี้พูดง่ายๆ ก้าวตามนี้จะถึง

ไม่มีใครที่จะสอนธรรมได้โดยถูกต้องแม่นยำเกินศาสดาองค์เอกของเรา สามโลกธาตุนี้มีองค์เดียว จับให้ดีนะ นำนี้ไปปฏิบัติ จากนั้นลงมาก็เป็นสาวกทั้งหลาย พระพุทธเจ้าเป็นพระองค์เอก ศาสดาองค์เอกแม่นยำๆ ไปอยู่กับพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี้ โอ๊ย ธรรมเหมือนว่าเด่นอยู่บนท้องฟ้าอากาศ เหมือนดังว่าสว่างไสวจ้าให้เราได้ชมเหมือนชมเดือนชมดาว ส่วนจิตใจมันสูงมันพุ่งๆ ถึงกิเลสจะทับหัวมันอยู่แต่กระแสของจิตที่มุ่งหวังต่ออรรถต่อธรรมมรรคผลนิพพานมันพุ่งสูงๆ นู่นนะ มันพุ่งๆ สุดท้ายก็ไปได้

พอพูดเรื่องนี้เราก็ระลึกถึง คือเราเป็นอยู่หนองผือ เข้ากันได้ปั๊บกับพ่อแม่ครูจารย์มั่นเลย ท่านเป็นอยู่ถ้ำสาริกา ที่ท่านว่าเป็นแดนอัศจรรย์ แต่ไม่ถึงที่สุดของธรรม หากเป็นการตั้งรากตั้งฐานอัศจรรย์ขึ้นที่นั่น ที่ถ้ำสาริกา ที่ผีใหญ่จะมาตีท่าน นั่นละเราก็ฟังเวลาท่านพูดฟังท่าน เพราะเราไม่เป็นเราก็ฟัง แต่มันก็จำของมันได้ ไม่ได้ตั้งใจจดจำก็ตาม เพราะเรามุ่งธรรมอยู่แล้วมันก็สัมผัสกันละติดกันจำกันได้ นี่ก็มาเป็นอยู่ที่หนองผือละซิ โอ้ รู้สึกว่าเมตตาของท่านสูงส่งมาก แสดงลวดลายขึ้นทันทีทันใดเลย พอขึ้นไปหาท่านถึงเรื่องการพิจารณาภาวนา นั่นละปัจจุบันแท้ เห็นธรรมอัศจรรย์แท้

พอพิจารณาไปพิจารณาลงอะไรๆ ขาดสะบั้นๆ ขาดผึงลงหมดเลย จิตสว่างจ้าครอบไปหมด ดังที่ท่านพูดอยู่ในถ้ำสาริกา มาเป็นขึ้นในใจของเราเอง โถ ที่ท่านว่าเป็นถ้ำสาริกาเป็นอย่างนี้ละหรือ นี่ก็ถ้ำสาริกาขึ้นเทียบนะ แต่ไม่ใช่อาจเอื้อมวัดรอย มันหากเป็น นี่ก็ถ้ำสาริกาอยู่ที่นี่ ไม่ได้ไปอยู่ถ้ำสาริกา ถ้ำสาริกาที่ไหน ท่านเป็นอยู่ถ้ำสาริกาท่านก็เป็นอยู่ตรงนี้ มันจับปุ๊บเลย พอค่ำวันหลังก็ขึ้นไปหาท่านไปเล่าให้ท่านฟัง โห ท่าน ถ้าภาษาโลกเราเรียกว่าท่านตื่นเต้นมาก ประหนึ่งว่ายังมีผู้รู้ธรรมอย่างนี้ได้อยู่เหรอ ประหนึ่งว่าเป็นอย่างนั้น แต่ท่านไม่ได้บอกอย่างนี้ เป็นความตื่นเต้นของท่าน เล่าถวายให้ท่านฟัง

ก็มันอัศจรรย์จริงๆ ท่านเองก็ตื่นเต้น ยังจะเหลือแต่คำว่า ยังมีผู้รู้ธรรมประเภทนี้อย่างนี้อยู่เหรอ แต่ท่านไม่ได้พูด เป็นลักษณะความตื่นเต้นของท่านเทียบกันได้อย่างนี้ ท่านเป็นอยู่ที่ถ้ำสาริกา เราเป็นอยู่ที่หนองผือ หนเดียวเท่านั้นไม่เป็นอีก นั่นละวันหลังๆ ทำอีกมันไม่เป็น ขึ้นไปหาท่านท่านฟาดเอาเสียแหลกไปเลย มันเป็นบ้าอะไร มันเป็นแล้วมันก็เป็นไปแล้ว จะให้มันเป็นอะไรอีก ใส่ขนาบ ตายเลยเรา ท่านดุเอาจริงๆ ก็มันเป็นแล้วก็ให้มันเป็นว่างั้น ปัจจุบันฟาดลงตรงนี้มันยังจะเก่งกว่านั้นอีกท่านว่างั้นนะ ไปยึดอะไรสัญญาอดีตอนาคตไม่เกิดประโยชน์ สิ่งที่เป็นปัจจุบันเกิดขึ้นจากความเพียรปัจจุบันของเราต่างหากนี่นะ ไม่ได้เกิดขึ้นจากการคว้านู้นคว้านี้นะท่านว่า เราก็ปล่อยอารมณ์

นี่ท่านเป็นอยู่ถ้ำสาริกา เราก็เป็นอยู่หนองผือ มันก็แปลกอยู่นะเรากับท่าน ไม่ใช่วัดรอยนะ มันเป็นขึ้นตรงไหนมันพูดกันได้ เข้ากันได้ลงกันทันทีเลย อย่างว่าถ้ำสาริกาท่านเป็นอย่างนั้น เราอยู่หนองผือก็เป็นอย่างนี้ ท่านก็คึกคักเลย ยังเหลือแต่คำว่า หือ ยังมีผู้เป็นผู้รู้ได้อย่างนี้อยู่เหรอว่างั้น แต่ท่านไม่พูด ท่านพูดเอาวันหลังๆ ที่เราภาวนาจะให้เป็นอย่างนั้นมันไม่เป็น ไปกราบเรียนท่านก็ขนาบเอาเสีย บ้าเราขึ้น เหอ มันยังเป็นบ้าอยู่เหรอนี่ มันเป็นมันก็เป็นไปแล้วจะให้ยุ่งมันอะไรอีกท่านว่างั้น เราก็ไม่ลืม เอาละวันนี้ก็พูดหอมปากหอมคออยู่นะ พี่น้องทั้งหลายได้ยินได้ฟัง

ธรรมนี้ธรรมสดๆ ร้อนๆ นะ ออกมาจากหัวใจเราปฏิบัติแทบเป็นแทบตาย ถึงขั้นจะสลบแต่ไม่เคยสลบ เฉียด เฉียดนี้เฉียดตลอด ความเพียรของเราเป็นนิสัยผาดโผนดังที่เคยเล่าให้ฟัง พ่อแม่ครูจารย์ต้องรั้งเอาไว้ๆ ตลอด เพราะเป็นนิสัยผาดโผน พอว่านั่งตลอดรุ่งมันจะเอาจริงๆ ก้นแตก เอา แตก กิเลสยังไม่แตกกูไม่ถอย แน่ะ นั่งเอาจนก้นแตกนั่นละนั่งตลอดรุ่งๆ เอา แตกก็แตกไปถ้ากิเลสไม่แตกกูยังไม่ถอย พ่อแม่ครูจารย์ก็รั้งเอาไว้ ขึ้นไปนั่งปั๊บกราบลง

ม้าตัวไหนมันคึกคะนองมาก เรายังไม่ได้พูดนะท่านขึ้นแล้ว ตัวไหนมันคึกคะนองมากไม่ฟังเสียง การฝึกทรมานของเจ้าของเขาต้องฝึกอย่างหนัก ไม่ควรกินหญ้าไม่ให้กิน ไม่ควรกินน้ำไม่ให้กิน แต่การฝึกฝึกเอาอย่างหนัก เอาจนกระทั่งม้านี้ค่อยลดพยศลงๆ การฝึกของเขาก็ค่อยลดลงๆ จนกระทั่งม้าทำงานตามคำสั่งของสารถีเรียบร้อยแล้ว การฝึกอย่างนั้นเขาก็ระงับไป ท่านพูดเท่านั้นละ มันก็มาเข้าเราปั๊บ เราก็ไม่เคยนั่งตลอดรุ่งอีกนะ ก็อย่างนั้นละ ส่วนมากมักจะรั้งเอาไว้ เพราะเรานิสัยผาดโผน ท่านรู้นิสัย

ถ้าไปองค์เดียวนี้ท่านชี้นิ้วเลย ท่านไล่ให้ไป ใครอย่าไปยุ่งท่านนะท่านมหาไปองค์เดียว แน่ะ องค์อื่นไป ที่ลาทีละสององค์สามองค์ไป จะลาท่านไปเที่ยว หือ ตั้งแต่อยู่ต่อหน้าต่อตามันก็ตกนรกต่อหน้าต่อตา แล้วมันจะไปตกนรกหลุมไหนอีก ออกจากนี้ไปแล้วนะ นั่นแสดงว่าไม่ไห้ไปแล้ว แต่กับเราไม่เคย พอว่าไปองค์เดียว เอ้อ ขึ้นทันที ใครอย่าไปยุ่งท่านนะ ท่านส่ายนิ้ว เพราะพระนั่งอยู่นี้ ใครอย่าไปยุ่งท่านนะ ท่านมหาให้ไปองค์เดียว อย่างนั้นก็มี อย่างที่อยู่ในวัดนี้มันก็ตกนรกให้เห็นต่อหน้าต่อตา แล้วมันจะไปตกหลุมไหนอีกล่ะท่านว่า แล้วใครจะไปค้านท่านใช่ไหม ท่านเห็นอยู่นี่ในความผิดพลาดของพระเณรเท่ากับตกนรก ท่านก็ดูอยู่นี้ แล้วมันจะไปตกหลุมไหนอีกท่านว่า ไม่กล้าไป เอาละให้พร

 

รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน  FM 103.25 MHz

และเครือข่ายทั่วประเทศ

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก