ฟื้นธรรมขึ้นมา
วันที่ 14 มีนาคม 2550 เวลา 8:25 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)   วิดีโอแบบ(Win High Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐

ฟื้นธรรมขึ้นมา

ก่อนจังหัน

วันนี้พระเท่าไร (๒๗ ครับผม) พระไหลเข้าไหลออกตลอด ไหลเข้าละมาก ต้องกันเอาไว้ๆ ไม่ไหวนะ พระที่ไหลเข้ามานี้ ตั้งแต่อยู่นี้มันก็แน่นพอแล้ว ยังไหลเข้ามาเรื่อย ต้องได้กันเอาไว้ไม่งั้นไม่ได้นะ พระที่เข้ามานี้พอที่จะให้ทางวัดได้รับผลประโยชน์จากการมาของพระ เราอยากจะพูดว่ามันไม่มี มีแต่มากัดตับกัดปอดทางนี้ให้แหลกไปๆ เพราะฉะนั้นจึงไม่ค่อยรับแหละ หนักมากนะ การศึกษาธรรมวินัยมีเหมือนกันแต่ขาดความสนใจ การประพฤติปฏิบัติขาดครูขาดอาจารย์แนะในทางที่ถูกที่ดีตามหลักธรรมวินัย ทีนี้เวลาเข้ามาก็โกโรโกโส เราหนักมากนะอยู่ในวัดนี้ วันหนึ่งๆ พระต้องมาเกี่ยวข้องไม่น้อย ต้องได้คัดเลือกด้วยดี ไม่งั้นมาเลอะเทอะ

วันนี้ ๒๗ ไม่น้อยนะ ที่ไม่ฉันก็เยอะอยู่ข้างใน ท่านภาวนา พระอยู่ในวัดนี้เป็นประจำนะที่ไม่มาฉัน ขาดไปวันหนึ่งไม่น้อยๆ ตลอดมาเป็นประจำอยู่อย่างนี้ ท่านไม่ฉันท่านเร่งภาวนาของท่าน ที่มานี้แสดงว่าฉัน องค์ไหนจะฉันก็ออกมาที่นี่ องค์ไหนไม่ฉันท่านก็ไม่ออกมา ทำความพากเพียรชำระจิตใจด้วยสติเป็นสำคัญ สติเป็นเบอร์หนึ่ง พรากสติไม่ได้ การทำงานทุกสิ่งทุกอย่างสติต้องติดแนบๆ ไปหมด ไม่ว่างานภายในภายนอกสติขาดไม่ได้เลย ท่านจึงบอกว่า สติ สพฺพตฺถ ปตฺถิยา สติจำต้องปรารถนาในที่ทั้งปวง คือไม่เว้นเลยที่สติจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง ให้พร

หลังจังหัน

         ผู้กำกับ มีปัญหาธรรมะจากเว็บไซต์หลวงตาครับ

คนที่ ๑ หลานนั่งสมาธิกำหนดรู้ภายในกายไปเรื่อย ๆ เมื่อเกิดเวทนาปวดเมื่อยขา  หลานเลยมากำหนดรู้ที่กลางอก ไม่ใส่ใจในเวทนาที่เกิด  กำลังของสมาธิเพิ่มขึ้นจนสามารถดับเวทนาที่เกิด มันค่อยๆ ดับลงไปเรื่อยๆ ถึงปลายเท้า หลานบอกตัวเองว่าเราชนะแล้ว  น้ำตาหลานไหลแล้วมันสะอื้น เหมือนมีอะไรแตกซ่านจากกลางอกออกไปทั่วตัว แล้วเวทนาที่เหลือก็หายหมด จากวันนั้นมาหลานมีความรู้สึกว่ากายเบา จิตเบา  เวลานั่งสมาธิเวทนาไม่เกิดหรือเกิดน้อยมาก  แต่เวลาออกจากสมาธิแล้วปวดท้องปวดขาเหมือนไปนั่งทับมันนานค่ะ ขณะที่นั่งก็ตามรู้กายรู้จิตค่ะ ตอนนี้เวลาใช้ชีวิตในปรกติประจำวันหลานตามรู้ ตามดูจิตอยู่ตลอดค่ะ  หลานจะปฎิบัติอย่างไรต่อคะ กราบเรียนถามหลวงตา และหลานขอถวายบุญอันเกิดจากการปฏิบัติต่อครูบาอาจารย์และหลวงตาเจ้าค่ะ เขาชื่อ ศุภมิต ถาวรมาศ (เขาถวายอะไร) ถวายบุญจากการปฏิบัติจิตตภาวนาครับ (เขาอยู่จังหวัดอะไร) ไม่บอกครับ เขาฟังวิทยุ

หลวงตา เดี๋ยวนี้ดีมีวิทยุ อ่านออกอากาศไปเลยให้คนได้ยินได้ฟังในการปฏิบัติของครูบาอาจารย์แต่ละองค์ ส่วนมากมักจะมีแต่หลวงตาบัวที่ออกทั่วประเทศไทย นั่งภาวนาเอาจนถึงขนาดที่ว่า ร่างกายของเราที่นั่งนี้ ทุกขเวทนาเหมือนไฟเผาหัวตอ เราคือหัวตอนั่งภาวนาอยู่ ทุกขเวทนาเวลามันหนักเข้ามากๆ มันเป็นไฟ... เผาเราที่นั่งอยู่นั้นซึ่งเหมือนหัวตอปล่อยให้มันเผา สติปัญญาเผาไม่ได้ว่างั้นเถอะ สติปัญญาเป็นผู้ดับ อย่างไรก็ไม่หนีสติปัญญาไปได้ ทุกข์มากเท่าไรสติปัญญายิ่งหมุนเร็วเข้า อยู่เฉยๆ ไม่ได้ นั่งทนเฉยๆ ไม่เป็นท่า ไม่ถูก นั่งสู้ด้วยสติด้วยปัญญาถูกต้อง ตอนจะพังก็พังลงไปด้วยสติปัญญาพาให้พัง อย่าให้ความโง่พาให้พัง พังจากการต่อสู้ นี่ถูกต้อง

ที่พูดมาเหล่านี้เราทำมาหมดแล้ว เพราะฉะนั้นจึงกล้ามาเทศน์สอนบรรดาประชาชนทั้งหลายได้เต็มปาก ไม่มีคำว่ากระดากอาย เราผ่านมาหมดแล้ว พอแย็บขึ้นตรงไหนผ่านมาแล้วๆ ทั้งนั้น นั่งภาวนาจนก้นแตกฟังซิน่ะ นี่ก็ได้พ่อแม่ครูจารย์รั้งเอาไว้ เพราะท่านรู้นิสัยเรา จริงจังมาก ผาดโผนมากด้วย แต่มันผาดโผนในทางที่ดี ท่านก็รั้งเอาไว้ ถ้าไม่งั้นมันเอาใหญ่จริงๆ นะ ถ้าลงไม่ลงใจแล้วมันไม่ถอยละ นี่ลงใจจากธรรมะของพ่อแม่ครูจารย์ ลงสุดขีด ทีนี้ความเพียรมันก็ลงสุดขีดเหมือนกัน ท่านได้รั้งเอาไว้มันจะเลยเถิด คือท่านรอบคอบทุกอย่าง เราไม่รอบ ใส่ทีเดียวตูมเลยๆ เรานั่งตลอดรุ่งท่านก็รั้งเอาไว้

เราหักโหมตรงไหนมากๆ ท่านจะคอยรั้งเอาไว้ๆ พอได้อุบายจากท่านแล้วมันจะจริงจังมาก เอาจริงเอาจังมากถ้าลงได้ลงใจแล้วขาดสะบั้นไปเลย นี่ละท่านต้องคอยรั้งเอาไว้ บทที่มันจะลงกันอย่างขาดสะบั้นท่านคอยรั้งเอาไว้ๆ เราจึงได้ยกเทิดทูนพ่อแม่ครูจารย์มั่น หาที่ต้องติไม่ได้เลย การแนะนำสั่งสอนทุกขั้นทุกภูมิได้จากท่านทั้งนั้น เราจึงต้องหมอบเลยไม่มีอะไรเหลือแม้เปอร์เซ็นต์เดียว สำหรับพ่อแม่ครูจารย์มั่นเรานี้เราลงขนาดนั้นละ ถ้าว่าติดสมาธิท่านก็ขนาบออก สมาธิหมูขึ้นเขียง ไล่ลงจากเขียง ไล่ออกจากเขียง ไล่เข้าสู่ปัญญา ออกทางปัญญามันก็ไปใหญ่อีก ท่านก็รั้งเอาไว้ คือมันผาดโผนเรา

เวลาเป็นสมาธินี้ก็เหมือนกัน นั่งที่ไหนเหมือนหัวตอ คือจิตมันแน่วตลอด ความคิดแย็บเท่านี้มันรำคาญนะ จิตลงได้เป็นสมาธิเต็มที่แล้วความคิดความปรุงเป็นเรื่องรำคาญ ไม่อยากคิดอยากปรุง รู้อยู่อันเดียวเท่านั้น นี่เรียกว่าสมาธิเต็มภูมิ ก็ได้เท่านั้น ถ้าไม่มีปัญญาพาออกก็อยู่แค่นั้น นี่ท่านก็ไล่ออกทางด้านปัญญา ไล่ลงจากเขียงคือสมาธิ ออกทางด้านปัญญา พอออกทางด้านปัญญามันก็ออกจริงๆ เพราะมันพร้อมแล้วเรื่องสมาธิ พอท่านไล่ออกทางด้านปัญญาก็ลงทางด้านปัญญา เอาอีก ไม่นอนทั้งวันทั้งคืน เอาอีกแล้ว พอมาหาท่าน ที่พ่อแม่ครูจารย์ให้ออกพิจารณา เวลานี้มันออกแล้วนะ มันออกยังไง ก็มันไม่นอนทั้งวันทั้งคืน นั่นละมันบ้าสังขาร ใส่ตูม คือสังขารมีสองอย่าง สังขารที่เป็นฝ่ายมรรค สังขารที่มันสมบุกสมบันมากๆ มันเลยเป็นสังขารสมุทัยไปด้วย แทรกไปนั้น นั่นละท่านรั้งเอาไว้อย่างนั้น

เราทุกอย่างได้มาจากพ่อแม่ครูจารย์ทั้งนั้น เพราะท่านสอนอย่างถูกต้องแม่นยำๆ ไม่ผิดเลย นี่ละท่านผ่านไปแล้วแย็บออกตรงไหนรู้เลยๆ สอนทางด้านภาวนาต้องสอนทางด้านจิตตภาวนา ผู้มีภูมิทางจิตใจสอนถูกต้องๆ สอนสุ่มสี่สุ่มห้ามันไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวละ สาธุ เราไม่ได้ประมาทเรื่องการเรียน ท่านวางไว้เป็นกลางๆ เราจะแยกแยะออกไปทางไหนเป็นเรื่องของสติปัญญาของเราเอง จากนั้นยังมีครูอาจารย์คอยแนะอีกทีหนึ่ง เพียงสติปัญญาเราไม่ทัน มีครูบาอาจารย์คอยแนะๆ นี้ก็พ่อแม่ครูจารย์มั่นคอยแนะตลอดเลย สำหรับเราท่านแนะตลอดเลย จนกระทั่งออกสติปัญญาอัตโนมัติ นี่ท่านเริ่มป่วยแล้ว เราออกแล้วนะนั่นสติปัญญาอัตโนมัติ หมุนตลอดเวลา

ท่านเพียบทางธาตุทางขันธ์ เราก็เพียบทางจิต หมุนกันอยู่อย่างนั้น วิ่งจากทางจงกรมขึ้นไปหาท่าน ลงจากท่านก็เข้าสู่ทางจงกรม เปลี่ยนอิริยาบถ ไม่เปลี่ยนไม่ได้ เวลานั้นท่านหนักทางธาตุทางขันธ์ เราหนักทางด้านจิตใจ เวลาท่านจะล่วงไปนี้เราหนักทางด้านจิตใจมาก แล้วก็ดูแลท่านตลอดเวลาเสียด้วย ให้ใครดูมันก็ไม่สนิทใจ ดูแลพ่อแม่ครูจารย์มั่น ท่านฉลาดแหลมคมขนาดไหนจอมปราชญ์ จะเอาเซ่อๆ ซ่าๆ เข้าไปหาท่านมันขวางหูขวางตาซิ เราถึงจะเซ่อก็ตามมอบถวายทุกอย่างแล้ว ท่านว่าอะไร เอ้า สับลงไปเลยเรามอบหมดแล้ว ท่านก็ไม่เคยตำหนิอะไรนะ ท่านเห็นเจตนาของเราว่ามีต่อท่านอย่างแรงกล้า ถวายหมดเลย ท่านคงเห็นเจตนาอันใหญ่นั่นละ ถึงจะเซ่อๆ ซ่าๆ บ้างท่านก็ไม่ว่า ท่านเล็งเอาเจตนากับท่าน

ท่านไม่นอนเราไม่นอน เรื่องใครจะมาเปลี่ยนตัวไม่ต้อง เราคนเดียวเท่านั้นสู้เลย ท่านก็ไม่เคยบอกใครให้มาเปลี่ยนตัวว่าเราเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ท่านไม่เคยว่า ท่านก็เฉย เราก็หมุนของเราต่อท่านจนกระทั่งถึงวาระสุดท้าย เราได้ทำเต็มเม็ดเต็มหน่วยกับพ่อแม่ครูจารย์มั่น พูดแล้วสาธุเราไม่ได้ยกตนข่มท่านนะ พอลืมตาขึ้นมาปั๊บ ท่านมหาไปไหน แน่ะขึ้นแล้วนะ ก่อนที่เราจะออกจากท่านไป เวลาท่านหลับไปงีบหนึ่งเราจะออกไปเดินจงกรมตรงนั้น แล้วสั่งพระไว้ผมจะเดินจงกรมอยู่ตรงนั้น ถ้าท่านตื่นขึ้นมาหรือท่านถามถึงให้ไปหาผม

ท่านก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ พอลืมตาขึ้นมา ท่านมหาไปไหน แน่ะอย่างนั้นนะ ไม่ถามหาใครพระทั้งวัด เราก็ปั๊บเข้ามุ้งเลย ในมุ้งนั้นมีเรากับท่านเท่านั้น องค์ไหนท่านก็รอบอยู่ข้างนอก ท่านก็เคารพแบบหนึ่ง เราก็ทำหน้าที่ของเราแบบหนึ่ง ท่านก็เห็นใจเรา อะไรๆ ถ้าออกจากท่านแล้วยื่นปั๊บนี่ฉวยปุ๊บๆๆ เลยละพระเณรเรา แต่ท่านไม่กล้าเข้าวงใน มีแต่เรากับท่านอยู่ด้วยกัน คือมันไม่สนิทใจนะ จะโง่จะฉลาดก็ถวายท่านหมดแล้ว เอา ท่านจะสับจะเขกอะไรเขกเลย เรามอบหมดทุกอย่างแล้ว

เพราะฉะนั้นถึงหมุนติ้วตลอด ท่านไม่นอนเราไม่นอน เวลาไหนก็ตาม เรื่องความเป็นความตายมอบไว้กับท่านหมดเลย ไม่ให้อยู่กับเราเป็นใหญ่ในเรื่องความเป็นความตาย มอบไปหาท่านเลย ทำอย่างนั้นแหละ เราถึงได้เทิดทูนสุดหัวใจนะพ่อแม่ครูจารย์มั่น สอนไม่มีผิดมีเพี้ยนเลย นิดหนึ่งไม่มี สอนตรงไหนเป๋งถูกต้องๆ เลย เป็นอย่างนั้น พอท่านสิ้นลมเท่านั้นน้ำตาไม่ทราบมาจากไหนนะ ไหลออกเลย เรานั่งติดกับท่านนี่นะ น้ำตาพังเลยเรา

โอ๋ ทีนี้หัวใจเราก็อยู่ที่นี่แห่งเดียว อะไรๆ อยู่นี้หมด แล้วเหมือนกับว่าอันนี้พังแล้วเราจะไปไหน ก็มีแต่จะพัง ถ้าเราไม่ใช้สติปัญญาเต็มเหนี่ยวเราต้องพัง ก็พึ่งท่านอย่างนั้น คนเดียวเท่านั้นละ น้ำตาพังเลยนะ ร่มโพธิ์ร่มไทรทุกสิ่งทุกอย่างชีวิตจิตใจมอบกับท่านหมดแล้ว นี้ท่านก็พังแล้วเราจะทำยังไง เรากำลังวุ่น เวลานั้นเป็นสติปัญญาอัตโนมัติแล้วนะ มันหมุนติ้วๆ แล้ว

วันหนึ่งขึ้นหาท่านถึงสามครั้งก็มี ท่านไม่เคยกับเรานะ แต่องค์อื่นองค์ใดนี้ไม่ได้  หากเป็นเองนะ ไม่กล้าขึ้นหาท่าน กับเรานี่ขึ้นเวลาไหน บางทีท่านนอนอยู่นี่เราขึ้นเลยกราบเลย กราบเรียนเรื่องธรรมะ เวลาท่านลุกนี่ดีดผึงเลยนะ กำลังใจกำลังเมตตาลุกขึ้น เอาฟัง พอเราเล่าของเราเรียบร้อยแล้ว..ท่านนอนฟังอยู่ เล่าภาวนาทางด้านจิตใจติดปัญหา เรื่องปัญหาสติปัญญาอัตโนมัติมันหมุนของมันเอง ความรู้นี้ไปหาในตำราไม่มี หาในภาคปฏิบัติถึงจะรู้ นี่ก็เป็นคลังปฏิบัติท่าน

พอลุกขึ้นปั๊บ เอา ฟังนะ ท่านก็ปั๊บๆๆ แก้ปัญหาของเราที่เล่าถวายท่าน เข้าใจหรือยัง ท่านถาม  ถ้าเรายังนิ่งท่านซ้ำอีกนะ พอเข้าใจปั๊บกราบปุ๊บๆ ท่านล้มนอนตูมเราไปเลย อย่างนั้นละกับพ่อแม่ครูจารย์มั่น ไม่เคยที่จะกีดกันหวงห้ามเรา ไม่มี ไปเวลาไหนไปเถอะ ท่านก็เห็นใจเราทางด้านจิตใจอยู่กับท่านเท่านั้น จิตใจขั้นนี้แล้วขั้นอยู่กับครูบาอาจารย์ผู้คอยแนะนำสั่งสอนที่ถูกต้องแม่นยำ สอนผิดไม่ได้ พอเรากราบแสดงว่าเราเข้าใจแล้ว พอกราบปั๊บท่านล้มนอนปุ๊บๆ เราก็ไปเลย

เราจึงได้เทิดทูนสุดหัวใจพ่อแม่ครูจารย์มั่น คิดดูซิไปสกลนครไปกราบองค์พระธาตุท่านอยู่ที่นั่น นั่นละต้นตอใหญ่อยู่ตรงนั้นเราจึงต้องไปจุดนั้นๆ เราก็นับว่ามีวาสนาได้พ่อแม่ครูจารย์มั่นเป็นผู้ฉุดลากเรา ไม่อย่างนั้นมันจะไปไปทวีปไหนก็ไม่รู้ แต่นี้ท่านใส่ตรงไหนปั๊บติดปุ๊บๆ คือยอมรับๆ เป็นอย่างนั้นนะ ใครจะไปสอนได้ถูกต้องแม่นยำเหมือนพ่อแม่ครูจารย์มั่น เท่าที่เราผ่านมาไม่มี ว่าอย่างนั้นเลย ใส่ตรงไหนปั๊บเลยถูก เข้าใจหรือยัง ถ้าเรายังนิ่งๆ ท่านย้ำอีกนะ นิ่งๆ แสดงว่ายังไม่เข้าใจชัด นิ่งคอย ท่านซ้ำอีก พอซ้ำกราบปุ๊บแสดงว่าเราเข้าใจแล้ว พอเรากราบปุ๊บท่านนอนปุ๊บเลย นั่นเป็นอย่างนั้น

อยากจะว่าปีนั้นเป็นปีที่ท่านเพียบทางธาตุขันธ์ ท่านจะไปท่านจะลาขันธ์ ไอ้เราก็เพียบทางด้านจิตใจ พูดให้มันรับกันเสียเลยว่าจะลากิเลส พูดง่ายๆ เราก็หมุนติ้ว จะลากันกับกิเลส แต่เวลานั้นกำลังซัดกันใหญ่ ท่านก็จะลาขันธ์ ท่านลาไปแล้วเรายังไม่ลา ยังฟัดกันอยู่ จนกระทั่ง ท่านสิ้นไปเดือนสาม เราเดือนหกนู่น สามเดือนจากนั้นไป หมุนกันอยู่ตลอดเวลา อยู่คนเดียว ไปอยู่ที่ไหนอยู่คนเดียว อยู่กับใครไม่ได้ ต้องอยู่คนเดียวๆ

หมู่เพื่อนวิ่งตามดักนู้นดักนี้ เรานี้เหมือนกับโจรผู้ร้าย ดักทางนู้นแล้วดักทางนี้ เราไปอยู่ทางนี้ปั๊บหลบทางนี้ อยู่ทางนี้หลบทางนี้ ไม่ให้เขารู้ชื่อด้วยนะ ไม่จำเป็นจริงๆ จะไม่รู้ชื่อเราแหละ ไปอย่างนั้นละตามประสาป่าๆ ไปเลย ไม่อย่างนั้นผู้ที่รุมตามมันเยอะนี่ นี่ละที่พ่อแม่ครูจารย์มั่นล่วงไปใหม่ๆ ลำบากมาก เราก็อยู่คนเดียวด้วย อยู่กับใครไม่ได้เสียด้วย จึงลำบากมากเวลานั้น พอเดือนหกแล้วลงเวทีละ วันที่ ๑๕ พฤษภา ๒๔๙๓ ลงเวทีตรงนั้นละ กลับไปลงที่วัดดอยธรรมเจดีย์

พ่อแม่ครูจารย์นี่เราเทิดทูนสุดหัวใจ ไม่มีอะไรเหลือเลย หมดทุกอย่าง ลงหมดทุกกระเบียดเลย พอเดือนหกผ่านไปเรียบร้อยแล้วเราถึงได้พอลืมตาอ้าปากได้บ้าง แต่เพื่อนฝูงมันรุมนะ รุมตลอด เราหลบอยู่ในป่าในเขาเดี๋ยวองค์นั้นโผล่ไป เดี๋ยวองค์นี้โผล่ไปอยู่อย่างนั้น เราไปคนเดียวอยู่คนเดียวๆ เวลาปลดภาระลงหมดแล้วความอยู่คนเดียวก็เป็นของสบายมาก ไม่มีใครมายุ่งกวนเป็นสิ่งที่สบายมากที่สุด ก็หาที่อย่างนั้นซิ

ต่อไปก็รุมพะรุงพะรัง อย่างทุกวันนี้เห็นไหม พอกระดิกปั๊บกระเทือนทั่วประเทศไทย ออกหมดแล้ว ยกขบวนกันทั้งประเทศวิ่งตามหลวงตาบัว เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนั้น พอกระดิกว่าจะไปไหนพรึบเลยๆ เดี๋ยวนี้ แต่ก่อน โอ๋ย ไม่ทัน ปั๊บเลยๆ การประกอบความเพียรในชีวิตของมนุษย์เรา เรียกว่าชีวิตของพระเราในวงกรรมฐานหนักมากที่สุด เราไม่ลืม แก้กิเลสหนักมากนะ นอกนั้นใครว่างานการหนักมากขนาดไหนก็ตามเราผ่านมาด้วยกัน พอรับพอสู้กันธรรมดา แต่เรื่องของกิเลสกับธรรมฟัดกันที่จะให้มันขาดสะบั้นจากใจนี่ แหม หนักมาก หนักจริงๆ ไม่ใช่ธรรมดา

อันนี้ขาดลงไปแล้วถึงได้เวิ้งว้างหมด ไม่เคยปรากฏกิเลสตัวใดมาแฝงในจิต ไม่มี หมดตั้งแต่บัดนั้นมา ความทุกข์ในใจจึงหมดโดยสิ้นเชิง ไม่ปรากฏ นอกจากมีในธาตุในขันธ์ เจ็บไข้ได้ป่วยปวดหัวตัวร้อนมันก็มีอยู่นอกๆ มันไม่มีอยู่ในหลักธรรมชาติที่ตายตัวแล้ว ตายตัวแล้วนั้นไม่มีอะไรเข้าไปแตะละ เป็นหลักธรรมชาติ นั่นละท่านว่าจิตกับกายมันแยกกันอย่างนั้น กิริยาอาการนี้จะเป็นอย่างไรก็เป็น แต่จิตนั้นเป็นอฐานะ เป็นไปไม่ได้แล้ว เป็นอย่างนั้นอีกไม่ได้แล้ว ตายตัว

ส่วนธาตุขันธ์เป็น ตลอดกิริยาท่าทางที่แสดงออกเป็น โลกเขาเป็นสมมุติอันนี้ก็เป็นสมมุติต้อนรับกันด้วยกิริยาอย่างนี้เป็น ยอมรับนะ แต่เรื่องจิตที่ตายตัวแล้วนี้ไม่มีทาง เรียกว่าตายตัวๆ เลย ท่านบอกนิพพานเที่ยง เที่ยงตลอดเวลา ยืนเดินนั่งนอนเที่ยงตลอด ถ้าพูดถึงเรื่องความสง่างามสง่าตลอด ยืนเดินนั่งนอนสง่าตลอด ไม่มีการละความสง่างามของจิตที่พอแล้วด้วยความเลิศเลอ นั่นละจิตพอแล้วจากการบำเพ็ญธรรม จากการบำเพ็ญความดีทั้งหลายไปยุติกันที่ตรงนั้น

พูดให้มันตรงศัพท์ตรงแสงไปเลยตามหลักความจริง ไม่ได้โม้ได้คุยอะไรละ อย่างทุกวันนี้ทำประโยชน์ให้โลกเราไม่ได้หวังเอาอะไรนะ เราจะหวังเอาบุญเอากุศลจาก อันนั้นอันนี้บริจาคไม่มี เราทำด้วยความเมตตาล้วนๆ เราไม่เอาอะไร มันพอ พอทุกอย่างแล้ว อะไรๆ ที่มีเข้ามาในวัดในวาออกหมดๆๆ ตลอดเวลาเลย เราไม่เก็บ ปล่อยโดยสิ้นเชิง นั่นจึงเรียกว่าพอ ถ้าพอพออย่างนั้น ไม่เอาอะไรเลย พอทุกอย่าง

เวลามันหิวมันก็หิว เวลาเร่งกับความเพียรนี่ก็เรียกว่าหิวอันหนึ่ง หิวแก้กิเลสฆ่ากิเลส เอาหนักจนจะเป็นจะตาย แต่เวลาผ่านอันนี้ไปแล้วก็หมดปัญหาโดยสิ้นเชิง ไม่มีอะไร มีแต่ธาตุแต่ขันธ์ดีดดิ้นอยู่ธรรมดา ธาตุขันธ์เป็นของสมมุติโลกเป็นอย่างไรมันก็เป็นอย่างนั้น กิริยาของขันธ์อยู่ในวงขันธ์นี้เท่านั้น ไม่ได้นอกจากวงขันธ์นี้ไป กิริยาทุกอย่างจึงเป็นอยู่ในขันธ์ ว่าอันนี้ดีนะอันนั้นไม่ดีอันนี้ดีอยู่ในวงขันธ์ทั้งนั้น ไม่ได้อยู่ในอันนั้นนะ อันนั้นไม่เกี่ยวแล้ว ให้มันรู้อย่างนั้นซิ ความยินดียินร้ายอยู่ในวงขันธ์ที่เป็นสมมุติ ยินดียินร้ายก็เป็นสมมุติอันหนึ่งที่ประจำกับขันธ์ มันก็อยู่ในวงเดียวกัน ส่วนยินดียินร้ายในจิตแท้ที่เป็นกิเลสไม่มี หมดโดยสิ้นเชิง ให้มันเห็นอย่างนั้นซิ

เอาละวันนี้พูดเท่านั้นละ ว่าจะไม่พูดมากมันก็มากแล้ว เทศน์นี้ก็ออกทางวิทยุทุกวัน ให้เมืองไทยเราได้ยินได้ฟังบ้าง เป็นอย่างไรธรรมพระพุทธเจ้าถูกเหยียบย่ำทำลายจากชาวพุทธเรามามากขนาดไหน จนไม่มองเห็นธรรมนะเวลานี้ มีแต่กิเลสเต็มบ้านเต็มเมืองเหยียบย่ำทำลายธรรมจนไม่มีเหลือ นี่กำลังฟื้นธรรมขึ้นมาให้ท่านทั้งหลายได้ฟัง ธรรมที่พูดออกมานี้ถอดออกมาจากหัวใจที่จ้าอยู่ตลอดเวลานี่ให้ฟัง มีจริงหรือไม่จริง ธรรมพระพุทธเจ้าหลอกโลกเหรอ เอาไปฟังซิ มีแต่กิเลสมาเหยียบย่ำทำลายธรรมทั้งหลาย พูดถึงเรื่องธรรมท้อแท้อ่อนแอ จิตใจเหี่ยวห่อ ถ้าพูดเรื่องกิเลสนี่เป็นบ้าไปเลยทั้งหญิงทั้งชาย ทั้งคนเฒ่าคนแก่เป็นบ้าไปด้วยกันหมดเลย เอาละพอ

ผู้กำกับ มีปัญหาธรรมะทางเว็บไซต์อีกคนครับ

คนที่ ๒ เขาว่า ผมปฏิบัติธรรมเป็นเวลา 3 ปี หลังจากที่เริ่มปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 เป็นครั้งแรกครับ ผมอยากกราบขอบพระคุณหลวงตาครับ หลายครั้งที่ผมติดขัด ธรรมะจากหลวงตาได้คลายข้อขัดข้องของผม และหลายครั้งที่ผมฟังธรรมะจากวิทยุ และได้รับประโยชน์อย่างใหญ่ในการฟังธรรมครั้งนั้นๆ ธรรมะของหลวงตาที่ถอดจากหัวใจ จากการปฏิบัตินั้น สามารถช่วยเหลือผู้ปฏิบัติธรรมได้จริง  เพราะน้อยมากที่จะได้ฟังธรรมที่มาจากการปฏิบัติแบบนี้ครับ การฟังธรรมจากหลวงตานั้นทำให้ผมไม่ต้องไปงมหาทางเองเป็นสิบๆ ปีครับ ขอให้โอกาสนี้ผมได้แสดงความเคารพต่อครูบาอาจารย์ ได้แสดงความกตัญญูรู้คุณและกตเวทิตาคุณ ผมขอกราบขอบพระคุณหลวงตามา ณ ที่นี้ ครับ ให้หลวงตาได้มีความชื่นใจว่าธรรมะของหลวงตา ถึงส่งเสียงผ่านทางวิทยุก็ยังมีผู้ที่สามารถได้ประโยชน์ ตามส่วนของท่านนั้นๆครับ สุดท้าย ผมขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย ขอให้หลวงตามีความสบายกายครับ

(อันนี้หมออ้วนส่งมาบอกว่าไปตรวจสอบแล้ว เครื่องมือแพทย์ที่จะให้ไปทางเวียงจันทน์ ประจำตึกฉุกเฉินที่โรงพยาบาลมิตรภาพเวียงจันทน์ ประเทศลาว   ๑. เครื่องช่วยหายใจ ราคา ๑ ล้าน ๒ แสนบาท   ๒. เครื่องดมยาสลบ ราคา ๙ แสนบาท   ๓. เครื่องเอกซเรย์แบบเคลื่อนที่ ราคา ๖ แสนบาท   ๔. เครื่องช่วยหายใจแบบเคลื่อนที่ ราคา ๕ แสนบาท   ๖. เครื่องอัลตราซาวด์ ราคา ๕ แสน ๕ หมื่นบาท   ๗. เครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้า ราคา ๔ แสนบาท   ๘. เครื่องวัดและติดตามสัญญาณชีพ ราคา ๓ แสนบาท   ๙. เครื่องวัดความเข้มของออกซิเจนในเลือด ราคา ๑ แสนบาท รวมทั้งหมด ๘ รายการ เป็นยอดเงินทั้งสิ้น ๔ ล้าน ๕ แสน ๕ หมื่นบาทครับ) แล้วให้บอกหมออ้วนนะ เรารับหมดให้สั่งเลย ก็มันจนจะทำยังไง เราจนพอหาได้เราลากมาช่วยกันไป เอาเลยนะ ให้บอกหมออ้วนให้สั่งหมดเลย อย่างนั้นละช่วยโลกยับยั้งอยู่ไม่ได้ หมัดเดียวไม่พอฟาดสองหมัดเข้าไปซิ เข้าใจไหม หมัดเดียวไม่มีกำลัง เอาสองหมัดซัดเข้าไป เข้าใจ

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก