เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๙ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐
อำนาจของกำลังใจ
ศาลาสวนแสงธรรมเป็นอย่างไร ได้ทราบหรือเปล่า หรือได้ไปดูหรือเปล่า (ใกล้จะเสร็จเต็มทีแล้วค่ะ เหลือแต่ตกแต่งข้างในนิดหน่อย บริเวณรอบที่เป็นตัวอาคารจะมีกองหินคิดว่าสิ้นเดือนมีนานี้จะเก็บของที่ระเกะระกะออกได้ค่ะ) มีอันหนึ่งข้างๆ ที่คุณชายมาขออนุญาตให้ทำอะไรๆ ดูว่าเราไม่ได้อนุญาตนะ คือมันยุ่งมากไปๆ เรื่องงานของโลกคืบหน้าๆ เหมือนไฟได้เชื้อ รุกไปเรื่อยๆ นี่เห็นทำไปๆ ดูจะลุกลามไปเรื่อยๆ เราเลยตัดบท อย่ายุ่ง ว่าอย่างนั้นเลย
เรื่องมันจะไปถึงไหนช่างมันเถอะ ตั้งแต่ไม่มีศาลาหลังนี้เรายังอยู่ได้วะ เรื่องกิเลสเป็นแหละ กิเลสแทรกธรรม ทำอะไรลงไปนี้กิเลสจะเข้าแทรกๆ ลุกลามไปเรื่อยๆ โอ๋ มันเร็วที่สุดนะกิเลส แทรกธรรมๆ เหยียบหัวธรรม กลืนธรรมไปเรื่อยๆ พอกลืนกลืนเลยๆ ได้แค่ไหนก็เอา คือหลวมนิ้วนิ้วสอด หลวมแขนแขนสอด หลวมมุดตูมเลย เข้าใจไหม กิเลสกินสัตว์โลกเป็นอย่างนั้น
พอพูดอย่างนี้เราสลดสังเวชนะ แหม ทุกข์ยากลำบากแสนสาหัส ในชีวิตของพระเรานี้ ส่วนฆราวาสก็ทุกข์ทั่วๆ ไปเหมือนกัน มันทุกข์ด้วยความเป็นพระแก้กิเลสนี้ แหม พิลึกจริงๆ นั่งภาวนาจนก้นแตก ฟังซิน่ะ เราทำอะไรงานอะไรเราไม่เห็นก้นแตกวะ ส่วนมากมันมีแต่หมอนแตก เสื่อขาดหมอนแตก อันนี้ฟัดกับภาวนานี้ก้นแตก มันแหลมคมเสียด้วยนะ ความอดความทนพร้อมกับสติปัญญาต้องไปพร้อมๆ กัน บางทีต้องสละเป็นสละตายใส่เลย
พูดเรื่องกิเลสแล้ว แหม ว่าอย่างนั้นเลยเรา คือมันเคยผ่านกันมาแล้ว พูดให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยเสียเลยว่าเอาชีวิตเข้าแลกเลย เอา ใครดีอยู่บนเวที ใครไม่ดีตก สุดท้ายกิเลสตก เราไม่ตก พูดตรงๆ เอาความสัตย์ความจริงใส่กัน เอาชีวิตเข้าแลก บางครั้งเอาจริงๆ คิดดูซินั่งภาวนาก้นแตกๆ มีที่ไหน นั่งที่ว่าก้นแตกคือนั่งตลอดรุ่งๆ เราไม่นั่งเพียงคืนหนึ่งคืนเดียวซิ เว้นคืนหนึ่งหรือสองคืนฟาดตลอดรุ่งๆ หลายครั้งหลายหนสุดท้ายก้นแตก
กิเลสนี้แหลมคมมากครอบโลกธาตุ มีแต่กิเลสเป็นเจ้าอำนาจเป็นนายคุมทั้งนั้น ที่จะให้ธรรมเป็นเจ้าอำนาจก็ยกให้พระพุทธเจ้า-พระอรหันต์ นอกนั้นก็ถัดลงมาตั้งแต่โสดาขึ้นไปเห็นโทษกิเลส โสดา สกิทาคา อนาคา เห็นโทษกิเลสหนักเข้าๆ ถึงขั้นอนาคานี้ไม่ได้ห่วงเรื่องกินเรื่องนอนเรื่องเป็นเรื่องตายละ เป็นอัตโนมัติ ขั้นอนาคานี้เป็นความพากความเพียรโดยอัตโนมัติ คือไม่ต้องบังคับ ได้รั้งเอาไว้
ขั้นสกิทาก็ดูดดื่มๆ โสตะแปลว่ากระแส กระแสพระนิพพานพาดพิงถึงแล้ว เชื่อบุญเชื่อกรรมเต็มที่แล้ว ความดูดดื่มในความเพียร การทำบุญให้ทานทุกอย่างดูดดื่ม ๆ สกิทาคาหนักเข้าๆ ส่วนอนาคามีแต่จะไปท่าเดียว ความเพียรก็เรียกว่าอัตโนมัติ ขั้นนี้ขั้นกิเลสค่อยหมอบ นอกนั้นมีแต่เราหมอบทั้งนั้นแหละ ที่ท่านว่าในคัมภีร์ท่านเอามาไว้เพียงเล็กน้อยนะ ที่เราได้อ่านในคัมภีร์บอกว่า ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ นั่นเรียกว่าท่านยกมาเพียงเล็กน้อยไม่มากนัก ถ้ามากกว่านั้นมันเหลือเฟือฟั่นเฝือ ผู้เรียนผู้ดูจะจับต้นจับปลายไม่ได้ คือมันมากต่อมาก
บทเวลาเข้าภาคปฏิบัติมันถึงได้รู้ชัดเจน โอ๋ ต้นไม้ต้นหนึ่งมันมีกิ่งเท่าไร กิ่งก้านสาขาดอกใบมันเท่าไร แม้แต่ต้นมะเขือมันก็มีกิ่งมีก้านของมันใช่ไหมล่ะ นั่นละกิ่งก้านของกิเลสเป็นอย่างนั้น ต้นใหญ่ต้นโตแล้วครอบโลกธาตุสามโลกธาตุ กิเลสครอบหมดเลย คำเหล่านี้ไม่มีใครมาพูดหนา เราไม่ได้คุย ไม่มีใครมาพูด เพราะไม่ได้ปฏิบัติด้วยและไม่รู้ด้วย ถ้ารู้แล้วปิดไม่อยู่ คัมภีร์เล็กน้อยไป คัมภีร์ใหญ่แตกกระจายออกหมด
พระพุทธเจ้าออกจากคัมภีร์ใหญ่ พระพุทธเจ้า-สาวกทั้งหลายเป็นคัมภีร์ใหญ่ พระไตรปิฎกใหญ่ท่านถอดออกจากนี้แล้วเป็นพระไตรปิฎก เป็นพระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ท่านออกมาจากปิฎกใหญ่ พอเข้าถึงนี้แล้วมันแตกกระจาย พอพูดอย่างนี้แล้วทำให้ระลึกถึงสมเด็จ วัดนรนาถ ท่านเมตตาเรามากนะ รู้สึกจะพูดให้เต็มตามศัพท์ตามแสงตามอรรถตามธรรมเรียกว่าท่านลง ลงจริงๆ ลงกับเรา คิดดูท่านเป็นไข้ ก็หมอวิยะดาเรานี่ละไปเยี่ยมเราตอนเราไปกรุงเทพฯ เราไปสวนแสงธรรม เราพักสวนแสงธรรม หมอวิยะดาไป ก็เลยเล่าเรื่องสมเด็จท่านป่วยอยู่ศิริราช ป่วยหนักอยู่นะว่างั้น
เอ้อ ถ้าอย่างนั้นวันพรุ่งนี้เราจะหาโอกาสไปกราบเยี่ยมท่านจนได้ เพราะท่านเป็นผู้สนใจในอรรถในธรรมมาก สมเด็จองค์นี้ไม่ลืมตัว เราว่าอย่างนี้ เราพูดจริงๆ สมเด็จไม่ลืมตัวเราก็ยอมรับเลย อย่างสมเด็จมหามุนีวงศ์ วัดนรนาถ ไม่ลืมตัวนะ ท่านมาเล่าให้ฟังเราเลยไม่ลืม เอ้อ ผมอยู่ในกรุงเทพฯก็จริง ท่านว่าอย่างนั้น แต่การขบการฉันของผมไม่ได้เหมือนพระทั่วๆ ไปนะ ท่านว่าอย่างนี้ ผมต้องทรมานการขบฉัน
นี่ละที่มันเข้ากันได้กับที่เราดำเนินมาแล้ว การขบการฉันผมจะฉันอาหารดิบๆ ดีๆ ไม่ได้ การภาวนามันขัดมันขวาง ต้องหาเหมือนว่าเก็บๆ เศษๆ เดนๆ มาฉัน ท่านว่าอย่างนั้น แล้วธรรมงอกเงย นี่ฟังซิน่ะ คนไม่ได้ทำพูดอย่างนี้ไม่ถูก พูดอย่างนี้ไม่ได้ ทีนี้เราทำมาหมดผ่านมาหมดพอท่านแย็บเท่านั้นมันเข้าใจทันที อ๋อท่านรู้ แสดงว่าจิตของท่านมีความสงบมีหลักมีเกณฑ์ ท่านจึงรู้ว่าสิ่งใดเป็นข้าศึกต่อจิตใจที่ไปด้วยความโล่งโถง เกิดขัดข้องด้วยเหตุผลกลไกอะไรจับได้ๆ รู้ได้
นี่เราเชื่อท่านตรงนี้เอง คือการภาวนาพอแย็บเท่านั้นรับกันแล้ว เราเป็นมาแล้วนี่ ท่านบอกว่าท่านฉันอาหารนี่ท่านไม่ได้ฉันเหมือนชาวกรุงทั้งหลายฉันกัน ท่านบอกชาวกรุงฉันกันก็หมายถึงพระ ต้องฉันเศษๆ เดนๆ ไป ถ้าฉันดิบๆ ดีๆ แล้วการภาวนามันขัดมันขวางไม่ได้สะดวกอะไรเลย ถ้าฉันแบบเศษๆ เดนๆ แล้วการภาวนามันโล่งๆๆ สะดวก พอว่าอย่างนั้นปั๊บก็เราเคยมาหมดแล้วนี่ เรื่องเหล่านี้เราเคยมาจนพอ
พอเล่าขึ้นมาท่านจะก่อนเราก็ไม่ทราบเพราะท่านพรรษาแก่กว่าเรา แต่เราออกปฏิบัติตั้งแต่หยุดเรียนแล้ว พอเล่านี้มันเข้ากันได้ปุ๊บเลย ต้องฉันเศษๆ เดนๆ ไปอย่างนั้น ธรรมะถึงค่อยเจริญงอกเงยขึ้นได้ ถ้าฉันดิบๆ ดีๆ ไม่ได้ นี่มันเข้ากันปุ๊บเลยกับที่เราได้ฝึกในการขบการฉัน ได้สังเกตตลอดนะอาหารการกิน พ่อแม่ครูจารย์ท่านจับได้ปุ๊บๆ เลยนะตั้งแต่ไปอยู่กับท่านเบื้องต้น ท่านก็คงจะเห็นว่าเราเอาจริงเอาจังแต่ต้นพ่อแม่ครูจารย์มั่น
เพราะจริงจริงๆ เราไม่ได้เหมือนใครนี่นะ ถ้าลงแล้วลงจริงๆ ขาดสะบั้นไปเลย ถ้าไม่ลงก็ไม่ลง เรียกว่าทิฐิก็ไม่แน่นัก คือคำว่าถือทิฐิมานะหมายถึงไม่ยอมลงใครง่ายๆ หรือว่าไม่ยอมลงอย่างนี้เรียกว่าถือทิฐิมานะ ถ้าทิฐิมานะคอยหาเหตุหาผลไม่เรียกทิฐิมานะ อันนี้เราเป็นแบบหาเหตุหาผล ถ้ายังไม่ลงไม่ลงอย่างนี้ละ ถ้าลงหมอบเลย พ่อแม่ครูจารย์ท่านจับเรื่องของเรามาตั้งแต่ต้นเลยนะ เห็นเป็นความตั้งใจ
ควรจะยอเจ้าของก็ยอเสียบ้าง เพราะได้เหยียบเจ้าของขนาบเจ้าของ กิเลสอยู่กับเจ้าของฟาดกันกับกิเลสมาพอแล้ว ทีนี้ยอบ้างเป็นอะไรไปวะ ใครไม่ยอเรายอ ใครไม่ทุกข์เราก็ทุกข์เพราะกิเลสเหยียบหัวเรา ทีนี้เวลาเราเหยียบหัวกิเลสเราก็พูดบ้างซิ เราชนะ ว่าอย่างนั้นเถอะนะ กิเลสตกเวทีเราก็บอกว่าตกเวที นี้ตกจริงๆ เราเคยพูดให้บรรดาพี่น้องลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายฟังอย่างไม่ปิดบัง คือเอาความจริงมาพูดว่าผลแห่งการปฏิบัติธรรมได้เป็นลำดับลำดาไม่เป็นโมฆะ ขอให้ปฏิบัติเถอะ ว่าอย่างนั้นความหมาย
เราเอาหนักขนาดไหนผลที่ได้ก็เป็นอย่างนั้นขึ้นมาเป็นลำดับลำดา เหตุหนักผลก็หนัก เหตุถูกต้องตามทาง อย่าแบบสุ่มสี่สุ่มห้านะ หนักเฉยๆ ไม่เกิดประโยชน์ก็มี อันนี้หนักในทางเหตุทางผลที่ถูกอรรถถูกธรรมมันก็เลื่อนเรื่อยๆ ไป นี่ละเวลามันหนักหนักจริงๆ ประกอบความพากเพียร เราจึงได้บอกว่าในชีวิตของพระเรานี้มีการภาวนา เราได้พูดเสมอ เพราะมันเด่นจริงๆ เด่นในจิตใจ เด่นเพราะอะไร เด่นเพราะถึงคราวที่จะเป็นจะตายเอากันเลย เอาเป็นเป็น ตายตาย เช่นว่านั่งอย่างนี้ เอา ไม่ถึงเวลาไม่ลุก เอา ตายตายเลย
นี่คำสัตย์ขาดสะบั้นลงไปแล้ว ความตายไม่มีความหมายนะ ความสัตย์สำคัญกว่า มันจะตายก็ตายความสัตย์จะปล่อยไม่ได้เลย นิสัยเรารู้สึกว่าจะมีอยู่อย่างหนึ่งคือมีความสัตย์ความจริง ถ้าลงได้ว่าอะไรแล้วเป็นอย่างนั้นๆ พอพูดอย่างนี้แล้วก็ย้อนถึงบิดา บิดาสังเกตดูนิสัยเรามาตั้งแต่นู้นละท่านะ ถ้าเราลงรับคำว่าจะทำให้แล้ว อยากจะเตรียมของไปเดี๋ยวนั้นเลย พูดฉากหน้าฉากหลังให้เรา โอ๊ย ไม่กล้าสั่งไม่กล้าเสียเรา เพราะรู้นิสัยเป็นอย่างนี้ พ่อกับลูกมันถือสิทธิกันใช่ไหมล่ะ ถืออำนาจ พ่อก็ถือว่าตัวเป็นพ่อ ลูกก็ถือว่าตัวเป็นลูก ต่างคนต่างถือสิทธิ์มันก็ไม่ลงกันใช่ไหมล่ะ
เพราะฉะนั้นเวลาพ่ออยากจะไปอะไรๆ นี่พูดฉากหน้าฉากหลัง กูอยากไปอย่างนั้นอย่างนี้ แต่กูมีงานไม่มีใครทำให้กู แล้วพูดฉากหน้าฉากหลังให้รำคาญ คือถ้าเราลั่นคำแล้วไปเลยแหละ พอว่า เออ ไปซิจะทำให้ อู๊ย อยากเตรียมของเดี๋ยวนั้นเลย มาก็เรียบวุธเลย ถ้าลงได้ลั่นคำแล้วเป็นอย่างนั้น นิสัยเป็นจริงอย่างนั้น ถ้าว่าอะไรเป็นอันนั้น ถ้ายังไม่ลงไม่ลงนะ ถ้าลงแล้วขาดสะบั้นเลย
นี่ได้ฟัดกับกิเลส นั่งภาวนาจนถึงก้นแตก นั่งตลอดรุ่งๆ น่ะซีก้นแตก เราไม่ได้นั่งติดกันแหละ เว้นคืนบ้างสองคืนบ้าง แต่มันนั่งไม่ถอยละซี สุดท้ายก็ก้นแตก ทีแรกออกร้อนเป็นไฟเหมือนไฟลนนะก้น หนักเข้าๆ ก็พอง มันนั่งไม่ถอย จากพองมันก็แตก จากแตกก็เลอะ เป็นอย่างนั้นนะ เจ้าของเป็นเองมันผิดไปไหนพูดน่ะ ก้นแตกก็ก้นเจ้าของเองมันก็พูดได้ชัดๆ ละซี เรื่องทำความเพียรนี่เอาจริงละเรา มันจริงทุกอย่างว่าอย่างนั้นเถอะ ถ้าลงได้หมุนทางไหนแล้วเอาจริงทุกอย่าง
พ่อจึงตายใจได้ อะไรถ้าลงเราลั่นคำแล้วให้ไปเลย ไม่เป็นอื่นว่างั้นเถอะ มานี่เรียบ เพราะฉะนั้นเวลาน้ำตาร่วงว่าลูกไม่บวชให้ คือเราไม่บวชให้ มันถึงกระเทือนเราหนักมากทีเดียว ได้ยอ ยกขึ้นเพื่อทุ่มลง เออ ลูกกูมันมีหลายคน เหล่านั้นกูก็ไม่สนใจกับมันแหละ แต่ไอ้บัวนี่น่ะ ว่าอย่างนั้นนะ ถ้าลงมันได้ทำอะไรแล้วกูสู้มันไม่ได้ แต่สำคัญที่กูขอให้มันบวชไม่รู้กี่ครั้งกี่หน มันเหมือนหูหนวกตาบอด ว่าอย่างนั้นนะ มันไม่สนใจฟังเลย เวลากูตายแล้วนี้ถ้าไอ้นี้ไม่ลากกูขึ้นจากนรกเพราะการบวชของมันแล้วกูต้องจมเลย
น้ำตาพังเลย มองเห็นพับนี้สะดุ้งปึ๊งเลย ทีนี้เรื่องทั้งหลายที่คาราคาซังไม่มีอะไรเหลือเลย น้ำตาพ่อนี่มีอำนาจมาก ขาดสะบั้นไปหมดที่มีเรื่องราวอะไรคาราคาซังลงกันไม่ได้นี้ น้ำตาพ่อฟาดขาดสะบั้นลงไป ตัดสินใจปึ๋งเลยเชียว เอาบวช นั่นจึงได้บวช คือความสัตย์ความจริงฟัดเจ้าของสามวันเชียว น้ำตาของพ่อร่วงมันสดมันร้อนมันกระเทือนใจมากทีเดียว
อย่างอื่นอย่างใดโลกเขาทำได้เราทำได้ อันนั้นเขาทำได้ เราทำได้ เขาทำได้ แต่เวลาบวชเขาทำได้ทำไมเราทำไม่ได้ นั่นเอาตรงนี้นะ บวชมาก็ไม่ใช่ไปติดคุกติดตะรางอะไร ไล่เจ้าของเข้าไป มัดเข้าไป เอา ต้องบวช สุดท้ายหมอบยอมรับ มาก็มาเล่าให้แม่ฟัง เออ ที่ว่าจะบวชนั้นน่ะ จะบวชให้แล้วนะ ขู่แม่ด้วย มันติดแม่นะเรา กับพ่อไม่ค่อยติด กับแม่นี่ติด ลูกมักจะติดแม่มากกว่า เราตั้งแต่เป็นหนุ่มยังติดแม่อยู่ตลอดนะ
บวชแล้วจะสึกเมื่อไรก็ได้นะ ว่าอย่างนี้นะเรา ใครมาห้ามว่าบวชเท่านั้นเดือนเท่านี้ปีนี้ไม่บวช เราว่าอย่างนี้ ก็แม่รู้นิสัยเรา ถ้าบวชแล้วอยากสึกเมื่อไรก็สึกได้อย่างนั้นจะบวชให้ แม่ก็ เอ้อ สาธุขึ้นเลย เอา เข้าไปบวชในโบสถ์ แม่ฉลาดอยู่นะสำคัญอยู่ พอไปบวชในโบสถ์ออกมาแล้วพวกทั้งหลายไปบวช พระที่ไปนั่งหัตถบาสอยู่ในโบสถ์เต็มโบสถ์อยู่นั้นกับประชาชนที่ไปบวชเป็นจำนวนมาก เพราะนาคมีหลายคน ใครก็มีลูกมีหลานหลั่งไหลกันไปบวช
เวลาบวชออกมาจากหน้าโบสถ์แล้วจะมาสึกต่อหน้าคนมากๆ แม่ก็ไม่ว่า แม่อยากเห็นผ้าเหลืองในขณะบวช นู่นน่ะฟังซิ แล้วใครจะออกมาสึกได้ต่อหน้าต่อตา นี่เห็นไหมอุบายแม่ฉลาดมากนะ แล้วก็บวชจนกระทั่งอยู่ได้ขนาดนี้ เป็นอย่างนั้น เราสนิทกับแม่นะ นำมาเล่าให้แม่ฟัง แม่ก็ขึ้นสาธุเลย บวชแล้วออกมาจากโบสถ์จะมาสึกต่อหน้าคนแม่ก็ไม่ว่า แม่อยากเห็นผ้าเหลืองในขณะบวช ดูซิฉลาดไหมล่ะ แล้วใครจะออกมาสึกได้ ก็ไม่ไปบวชเสียไม่ดีเหรอที่จะมาประจานตัวเองต่อหน้าคนไปบวชยังเต็มในโบสถ์นั่นน่ะ เรามาสึกต่อหน้าต่อตา อู๊ย จึงได้บวช เรื่องราวเป็นอย่างนั้น
ครั้นบวชมาแล้วมันก็หากจะเป็นตามนิสัยนั่นแหละ พอบวชมาแล้วอ่านดูธรรมะธัมโมตรงไหนมีแต่ตำหนิเจ้าของ ตรงนี้นี่เราก็ผิดมาแล้ว ท่านว่าอย่างนั้นท่านว่าด้วยความถูกต้องตามธรรม เรามันเคยผิดมาแล้วตามกิเลส เอ๊ะอันนี้เราก็ผิดมาแล้ว คือผิดตรงไหนจะพยายามแก้ความหมายว่าอย่างนั้น เอ๊ นี่เราก็ผิดมาแล้ว อันนี้เราก็ผิดมาแล้ว ยิ่งพยายามแก้เจ้าของ สุดท้ายท่านแสดงทางออกๆ เลย ทีแรกบวชว่าจะไปสวรรค์ จากนั้นจะไปพรหมโลก พออ่านเข้าไปๆ ถึงนิพพาน เชื่อมั่นในนิพพานเปิดโล่งเลย อยากไปนิพพานท่าเดียว ชาตินี้ขอให้ได้เป็นพระอรหันต์ ได้ไปนิพพาน ทีนี้หยั่งลึกเลยนะ พอถึงว่าจะไปนิพพานไม่มีถอนเลย พุ่งๆ เลย
นั่นละถึงได้บวชอยู่มาจนกระทั่งป่านนี้ คือมันกำลังใจนะ ถ้ากำลังใจไม่มีแล้วอะไรมันก็ไม่ไปละ ถ้าลงมีกำลังใจทุกข์ยากลำบากมันขาดสะบั้นไปเลย อำนาจของกำลังใจ เช่นอย่างเราฝึกทรมานอยู่ในป่าในเขาใครไปเห็นเราจะเป็นจะตาย เคยพูดให้ฟัง กระทั่งชาวบ้านเขาตีเกราะประชุมกัน เขาว่าเราตายแล้ว นั่นเห็นไหมล่ะ ที่อื่นๆ เราก็ทำแบบเดียวกันแต่เขาไม่ตีเกราะเราก็บอกว่าไม่ตี เราทำตามนิสัยของเราฟัดกับกิเลสอยู่อย่างนั้นตลอด จนเขาตีเกราะให้ไปดูเรา อย่างนั้นก็มี
มันหนักไหมล่ะขนาดนั้น ไปที่อื่นเราก็ทำอย่างนั้นแต่เขาไม่ตีเกราะเราก็บอกไม่ตี ที่นั่นเขาตีเกราะ ก็คือหนักมากเจ้าของไม่รู้ตัวเองจะเป็นจะตาย ชาวบ้านเขารู้ เขาตีเกราะประชุมไปดูคนตาย คนตายที่ยังมีชีวิตอยู่ นั่นละหนักอย่างนั้นละความหนักของเรา ๙ ปี เรียกว่าตกนรกทั้งเป็น ๙ ปีนี้ไม่มีถอยกันละ พรรษา ๗ ออกแล้ว ขึ้นเวที เข้าหาพ่อแม่ครูจารย์มั่นเลย พอเข้าท่านก็เปิดโล่งให้เลย จากนั้นมันก็พุ่งเลย อย่างนั้นละถ้ามันลงใจแล้วเป็นอย่างนั้น ความเพียรไม่มีคำว่าอ่อนแอท้อแท้
เราพิจารณาย้อนหลังถึงความเพียรของเรา ว่ามันท้อแท้อ่อนแอเหลวไหลออบ อูบออบแอบอะไรนี่ไม่มีเลยนะ มีแต่ได้ขยะๆ โถ อย่างนั้นมันก็ทำได้ๆ คือมันเอาจริงเอาจังมาก จนกระทั่งได้มาเป็นครูเป็นอาจารย์สอนหมู่เพื่อนประชาชนทั้งหลายเรานี้ละ มาด้วยแบบรอดตาย เอาจริงเอาจังทุกอย่าง เพราะฉะนั้นเวลามาดูพระดูเณรนี้มันกีดมันขวางอยู่ในหัวใจก็ทนเอา นิสัยวาสนาท่านก็บอกว่า อุคฆฏิตัญญู วิปจิตัญญู เนยยะ ปทปรมะ บอกไว้หลายขั้นหลายภูมิ
เราก็ทน หลับตาดูเอา ถ้าว่าฟังนี่ก็ปิดหูฟังเอา ถ้าจะเปิดตาดูมันดูไม่ได้ มันกีดมันขวางในสายตา ถ้าว่าหูนี่ก็กีดขวางในหู ออกมาด้วยความฉลาดหรือความโง่ ออกมาด้วยความตั้งอกตั้งใจหรือความเหลวไหล พอแย็บออกมามันจับได้ทันทีๆ เป็นอย่างนั้น เรียกว่าแบบหูหนวกตาบอดเฉยๆ ยิ่งทุกวันนี้ด้วยแล้วยิ่งปล่อยไปละ ไม่ค่อยสนใจกับอะไร พระเณรใครจะทำอะไรก็ตามเหมือนขอนซุงเข้าไปแล้วเดี๋ยวนี้ ถ้าเทียบแต่ก่อนกับทุกวันนี้ ทุกวันนี้เป็นขอนซุง
ใครจะทำอะไรๆ แบบหูหนวกตาบอดเฉยไป ความคิดมันไม่บอดนะ แต่มันทดสอบทุกสิ่งทุกอย่างแล้วรวมลงในคนสี่ประเภท อุคฆฏิตัญญู วิปจิตัญญู เนยยะ ปทปรมะ มันจะตกไปปทปรมะก็ช่างหัวมันเถอะ ไปอย่างนั้นเสียเข้าใจไหม นี่ละที่ว่าหูหนวกตาบอด ตกในปทปรมะหลุมไหนช่างหัวมันเถอะ ปล่อยเสีย เลยดูแบบหูหนวกตาบอดไป
(มีคนที่เป็นมะเร็งเขากำลังจะตาย เขาเขียนลายมือโย้เย้มา แล้วฝากถวายเงินมาร้อยบาทก่อนตายค่ะ) ลายมือโย้เย้ก็ไม่เป็นไรขอให้ใจเป็นหลักเถอะ คนไม่ได้หนังสือเขาไปสวรรค์นิพพานได้เยอะ คนที่เป็นดอกเตอร์ดอกแต้ลงไปจมอยู่ในก้นนรกก็เยอะ เอา เทียบเอา
(กราบขอความเมตตาองค์หลวงตาช่วยอนุเคราะห์หลานด้วยเจ้าค่ะ คือหลานได้ปฏิบัติธรรมโดยอาศัยฟังจากวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชนวัดป่าบ้านตาด จิตของหลานสงบและออกรู้เรื่องราวต่างๆ นานพอสมควร กว่าหลานจะรู้ตัวว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ ระยะหลังหลานจึงพยายามมีสติรู้อยู่กับปัจจุบันและทำทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นงานภายนอกหรือแม้แต่ขณะภาวนา หลานจะมีความตั้งใจที่จะทำ หลานได้ดื่มด่ำซาบซึ้งในธรรมความจริงที่มีอยู่เป็นอยู่ ซึ่งแต่ก่อนทำไมเราจึงไม่รู้ว่าจิตของหลานเริ่มใคร่ครวญเข้าหาหลักคือความเป็นจริงที่จริงตามส่วนนั้นๆ ช่วงนี้จิตของหลานจึงว่าง ว่างจากรูป ไม่มีรูปกาย ไม่มีธาตุ ขณะนี้เวลาหลานนั่งภาวนา หลานจึงได้แต่ดูความไม่มีไม่เป็น สักแต่ว่ารู้ แต่ในรู้นั้นยอมรับตามความเป็นจริงของทุกสิ่ง หลานจึงขอกราบเรียนถามหลวงตาว่าหลานจะทำอย่างไร หรือปฏิบัติอย่างไรต่อไป กราบขอความเมตตาจากหลวงตาด้วยเจ้าค่ะ)
ย่นเข้ามาให้ดูสังขารตัวคิดตัวปรุง ตัวนี้ไม่ว่าง คือตัวคิดตัวปรุงมันไม่ว่าง มันคิดมันปรุงของมัน เกิดแล้วดับ ดับแล้วเกิด อยู่ที่หัวใจคือตัวนี้ ตัวนี้ไม่ว่าง ทุกสิ่งทุกอย่างว่างหมด แต่ความคิดความปรุงไม่ว่างจากการคิดปรุง เอา ดูตรงนี้ด้วยสติ แล้วมันจะเข้าถึงใจ พอพูดอย่างนี้เข้าใจทันทีเลย ขอให้ดำเนินเถอะไม่ใช่คุย มันจ้าอยู่หมดแล้ว พอแย็บออกมามันจับได้ทันทีเลย มันผ่านมาหมด ให้จับตรงนี้ตรงสังขาร มันไม่ว่าง ให้ดูความคิดความปรุง คิดดีก็ดับ คิดชั่วก็ดับ อะไรเกิดดับๆ นี่มันไม่ว่าง ให้ดูตัวนี้แล้วมันจะเข้าสู่หัวใจ พอถึงหัวใจแล้วที่นี่ว่างหมด
มันว่างภายนอกไม่ว่างภายใน ทีนี้เวลามันดูเข้าถึงหัวใจจริงๆ แล้ว ว่างภายในแล้วข้างนอกว่างหมดเลย ไม่มีอะไรติดแหละ สามแดนโลกธาตุว่างหมด ท่านจึงว่า สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ โมฆราช สทา สโต ดูก่อนโมฆราช เธอจงดูโลกให้เป็นของสูญเปล่าว่างเปล่า ถอนอัตตานุทิฏฐิความเห็นว่าเราว่าเขาอันเป็นก้างขวางคอนี้ออกเสีย จะพึงข้ามพ้นพญามัจจุราชเสียได้ มันไม่ว่างอยู่ที่สังขาร
มันคิดเรื่องดีเรื่องชั่วให้ดู มันเกิดจากใจ ให้ถามเจ้าของมันเกิดจากไหน คอยดู พอมันปรุงแพล็บเกิดที่นั่น ดับพับที่นั่นๆ มันไม่มีที่ทำงานก็ทำงานที่ตรงนี้ คือมันแคบเข้ามาๆ อย่างที่ว่าพิจารณาอสุภะอสุภัง มันอยู่กับร่างกาย ในขั้นร่างกายที่ติดพันกับรูปกับอะไรๆ อยู่นี้ ต้องได้พิจารณาความสวยงามไม่สวยงาม พอผ่านนี้แล้วอันนี้ไม่มีนะ ผ่านไปแล้วมันก็ว่างไปหมด ว่างจะเป็นอสุภะอสุภังได้ยังไงใช่ไหมล่ะ นี่ก็เกิดดับๆ ด้วยสติๆ ตามเข้าไปถึงใจ มันก็ลงที่นั่น
(สถานีควบคุมไฟป่า อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย ขอความอนุเคราะห์ข้าวสารอาหารแห้งสำหรับพนักงานดับไฟป่าจำนวน ๑๓๐ คน ระหว่างอยู่ปฏิบัติงานในป่าช่วงเดือนกุมภา-เมษา ของทุกปี จึงต้องการเครื่องยังชีพ มีข้าวสาร อาหารแห้ง เป็นต้น หลวงตาเมตตาให้ตามที่ขอ)
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz |