ยังไงมึงต้องพังวันหนึ่ง
วันที่ 15 มกราคม 2550 เวลา 8:45 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
  วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)   วิดีโอแบบ(Win High Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๐

ยังไงมึงต้องพังวันหนึ่ง

         (กราบเรียนเจ้าค่ะ มีลูกศิษย์กำลังเรียนปริญญาโทคนหนึ่งถูกระเบิดตายคาที่ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ระเบิดวางอยู่ในถังขยะ ขอทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เขาสามพันบาทเจ้าค่ะ) มีทุกแบบ จิตใจถ้าลงได้ต่ำทรามแล้วเป็นอย่างนั้น จิตใจพวกนี้ประเภทฟืนประเภทไฟ จิตใจต่ำเท่าไรยิ่งสร้างแต่ความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น ถ้าจิตใจมีธรรมจิตใจสูงทำไม่ลง ถ้าจิตใจต่ำไม่ได้ทำความชั่วอยู่ไม่ได้วันหนึ่งๆ มันจะเป็นจะตายในตัวของมัน มันหมุนของมันเองอยากทำชั่ว เป็นความสนุก ถ้าลงได้ทำความชั่วช้าลามกแล้วถือเป็นความสนุกสนานรื่นเริง คนอื่นจะได้รับความลำบากลำบนทุกข์ทรมานถึงขนาดตายฉิบหายเท่าไรไม่สนใจ ถือเป็นความสนุกของคนที่จิตใจต่ำทราม เป็นอย่างนั้นละ

คือคำว่าจิตใจต่ำ จิตใจสูงนั้น คือใจนี้เป็นกลางๆ ดีและชั่ว ชั่วเป็นฝ่ายต่ำอยู่ในนั้น ถ้าชั่วมีกำลังมากมันผลักมันดันพาให้ทำชั่ว ถ้าดีมีกำลังมากก็ทำแต่ดี ชั่วไม่ทำ มันอาศัยใจนั่นละ เพราะฉะนั้นจึงซักฟอกได้ ถ้าจิตใจต่ำทราม จิตใจมัวหมองมืดตื้อนี้ซักฟอกด้วยความดีงามก็สะอาดสะอ้านไปได้ แล้วก็ไม่ทำชั่ว มีหิริโอตตัปปะ สะดุ้งกลัวต่อบาปต่อกรรม คนที่จิตใจต่ำทรามมากแล้วใจมันด้านไปหมด ไม่ฟังเสียงความดิบความดีอะไรเมื่อใจมันด้าน ใจประเภทนี้ละพาเจ้าของให้จม

พวกเรายังมีวาสนานะ เมืองไทยเราเป็นเมืองพุทธนับว่ามีวาสนา เกิดมาได้ยินบาปยินบุญ เชื่อบุญเชื่อกรรม โลกเขาหูหนวกตาบอดเขาไม่ได้สนใจ ที่โลกมันหนาพอแล้วไม่มีบาปมีบุญ ให้ได้ทำสมใจแล้วพอ ทำที่แจ้งไม่ได้ก็ทำที่ลับ คือความอยากทำมันอยู่ที่ใจ ได้โอกาสเมื่อไรมันทำ นี่มีพุทธศาสนาแสดงบอกเรื่องบาปเรื่องบุญ เพราะเป็นของมีมาดั้งเดิม ใครจะลบล้างไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าตรัสรู้ก็ตรัสรู้ตามสิ่งที่มีทั้งหลาย ไม่ได้มาอุตรินะ

ว่าบาปมีบุญมี ธรรมชาตินี้มีอยู่แล้ว เหมือนไฟกับน้ำ จ่อเข้าไปควรเย็นเย็น ควรร้อนร้อนทันที เพราะเป็นของมีอยู่แล้ว ทรงสอนวิธีละวิธีบำเพ็ญ ละความชั่ว บำเพ็ญความดี เพราะฉะนั้นพุทธศาสนาจึงเป็นศาสนาที่เลิศเลอสุดยอด แต่ก่อนก็เป็นอยู่นะทั้งๆ ที่ไปบวชไปเรียนหนังสือ เรียนทีแรกก็ได้แนวทางพอเป็นข้อคิดๆ บ้าง บทเวลาจะได้ไปได้เอาภาคปฏิบัติ ภาคปฏิบัติเป็นภาคลึกซึ้งมากทีเดียว สุดยอดของศาสนาอยู่ที่ภาคปฏิบัติ พระพุทธเจ้าก็ปฏิบัติ พระสาวกทั้งหลายปฏิบัติจิตตภาวนา คุ้ยเขี่ยขุดค้นถึงต้นตอเลย พอถึงนั่นแล้วก็รู้หมดเลย

เพียงเราเรียนเฉยๆ มันผิวเผิน ที่พูดได้อย่างนี้เพราะเราก็เรียนมาแล้ว จิตใจมันผิวเผินๆ เพียงแต่ได้ความจำมา ความจริงไม่ได้ จำมาเราก็เอามาพินิจพิจารณามันจริงหรือไม่จริงน้า เท่านั้น จะให้ลงใจจริงๆ ไม่ลง เช่นอย่างเรียนบาปเรียนบุญ เอ๊ บาปมีบุญมีจริงๆ เหรอ ทั้งๆ ที่ท่านเขียนไว้ จอมปราชญ์คือศาสดาองค์เอกว่าบาปมีบุญมี ไปอ่านแล้วตัวจอมปลอมอยู่นี้มันก็ปฏิเสธหรือทำความสงสัยขึ้นมา เอ๊ บาปมีหรือไม่มีน้า นั่น นี่ละภาคศึกษาเล่าเรียนธรรมดา แต่เวลาเข้าภาคปฏิบัติยอมรับเลย

พอถึงภาคปฏิบัติ หมายถึงปฏิบัติจริงจังนะ ได้รู้ได้เห็นตามความจริงจากภาคปฏิบัติจริงๆ มันยอมรับเลย ไม่ต้องมีใครมาบอกมันยอมรับในหัวใจนี้เอง ภาคปฏิบัติพอรู้ตรงไหนก็พระพุทธเจ้าสอนไว้แล้วๆ เรายอมรับแล้ว พระพุทธเจ้าสอนไว้อีกแล้วด้วย นั่น มันจะไม่หมอบยังไงคนเรา ลงๆ อย่างนั้นละ ทีนี้พูดสุดยอดเอาเลย สุดยอดของธรรม เวลาปฏิบัติเข้าไปรู้ตรงไหนพระพุทธเจ้ารู้แล้วๆ เรียกว่าเปิดออกกิเลส ถอดกิเลสจากหัวใจนี้จ้าขึ้นมา พระพุทธเจ้าจ้าแล้ว พระพุทธเจ้ากับธรรมชาตินี้เป็นอันเดียวกัน นั่นเห็นไหมล่ะ

ใครไปอาจเอื้อมใครไปวัดรอย เป็นเอง เข้าใจไหม นั่นละเรียกว่าผู้ที่บริสุทธิ์แล้วอยู่ท่ามกลางพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายทุกพระองค์ นั่นละผู้บริสุทธิ์เข้าถึงจุดนั้นแล้วเป็นอันเดียวกันเลยๆ อย่างนั้น ไม่ต้องไปถามใคร พระพุทธเจ้ามีหรือไม่มีถามหาอะไร ถามหาก็เป็นบ้าเงาตัวเอง ตัวเองจับอยู่นี่แล้วจะไปถามหาอะไร นั่นละรู้ธรรมรู้อย่างนั้น ไม่ได้รู้งูๆ ปลาๆ นะรู้ทางภาคปฏิบัติ ผิดกันมากทีเดียว

คิดดูซิว่าบรรดาพระอรหันต์ พอบรรลุธรรมปึ๋งเข้าอยู่ในท่ามกลางพระพุทธเจ้าและอรหันต์ทั้งหลายทันทีเลย เป็นอันเดียวกันเลย ไม่ต้องบอกไม่ต้องเสกสรร เป็นอันเดียวกันแล้ว พอบรรลุธรรมปึ๋งนี้เข้าแล้ว เป็นอันเดียวกันแล้วๆ แล้วถามกันหาอะไร ถามพระพุทธเจ้าถามพระสาวกหาอะไร พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหนกี่องค์ๆ ถามอะไร มันจ้าอยู่เป็นอันเดียวกันแล้ว เป็นยังไง ถ้าพิจารณาตามที่พูดนี้น่ะ เอามาหลอกเหรอ

พูดให้มันชัดเจนอย่างนี้ซิภาคปฏิบัติ ดึงออกมาจากหลักความจริง เพราะคำสั่งสอนพระพุทธเจ้ามีแต่ของจริงทั้งนั้น แต่หัวใจเรามันปลอมมันไม่ยอมรับซิ มันถึงเกิดเรื่องกับเจ้าของ ไม่ได้เกิดเรื่องกับพระพุทธเจ้าแหละ มันเกิดเรื่องกับเจ้าของผู้ไม่ยอมรับนั่นแหละ พอยอมรับแล้วก็หมอบเลยๆ อย่างที่ว่าพระอรหันต์อยู่ท่ามกลางพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายทั้งนั้น พอบรรลุธรรมปึ๋งเป็นอันเดียวกันแล้ว เป็นอันเดียวกันแล้ว ถามกันหาอะไร ไม่ต้องถาม มันจ้าขึ้นมาเป็นอันเดียวกันแล้ว

นี่ละธรรมแท้ มีหรือไม่มีธรรม บาปมีหรือไม่มี บุญมีหรือไม่มี พากันพิจารณานะชาวพุทธเรามันจะตายกองกันอยู่นี้กี่กัปกี่กัลป์ ตายกันมาเท่าไร นี้ยังเป็นภพมนุษย์ยังดีนะ ภพเปรตภพสัตว์ภพผีทุกสิ่งทุกอย่างที่มันเคยไปเกิดไปทับถมถูกตัวเองนั้นมันมากต่อมากแล้ว แล้วยังจะไปอีกนะจิตดวงนี้ มันมีดีมีชั่ว เชื้อของมันคืออวิชชา มันฝังอยู่ในนั้น พอถอนอวิชชาออกแล้วเรียกว่าหมด บาปบุญหมดโดยประการทั้งปวง ไม่มีเหลือ บาปบุญแทรกอยู่กับอวิชชา มันแทรกอยู่ด้วยกัน พออวิชชาถูกถอนพรวดขึ้นมาแล้วขาดสะบั้นไปหมด ทีนี้ก็เป็นอันเดียวกันแล้ว พระพุทธเจ้าและอรหันต์ทั้งหลายถามหาทำไม

ให้รู้อย่างนั้นซิรู้ธรรม เพียงเรียนเฉยๆ ไม่รู้ ยังไงก็ไม่รู้ เรียนธรรมท่านสอนไว้ตามความจริงๆ ตัวจอมปลอมมันก็ไปแฝงเข้าไปๆ บาปบุญนรกสวรรค์มรรคผลนิพพานมีมาตั้งแต่องค์ไหนๆ พระพุทธเจ้า ไม่มีองค์ใดปฏิเสธเลย แต่เราคนเดียวเข้าไปขวางเป็นก้างขวางคออยู่นั้น มีหรือไม่มีน้า นั่นเห็นไหมล่ะ กิเลสตัวนี้เป็นของเล่นเมื่อไร กิเลสนี่คือก้างขวางคอทางก้าวเดินเพื่อความสุขความเจริญ คือกิเลสนั่นละเป็นก้างขวางคอกีดขวางเอาไว้ไม่ให้ก้าวเดินได้

ความขี้เกียจขี้คร้านการทำบุญให้ทานมีแต่เรื่องกิเลสกีดขวางไว้ทั้งนั้น จำให้ดี นี่เราจวนจะตายแล้วเปิดให้ฟังเสียชัดๆ ถ้าลงบืนไปตรงไหนทะลุๆ มีความดีมากเท่าไร โอ๋ย เรื่องของกิเลสตัณหานี้ขาดสะบั้นๆ ไปเลย ดังที่เคยพูดให้ฟังถึงขั้นมันหมอบ มันหมอบจริงๆ กิเลสมันฉลาดละเอียดลออ สติปัญญามันแหลมคม มันทันกันทุกอย่าง  แพล็บออกมานี่ขาดสะบั้นๆ นี่ถึงขั้นสติปัญญาจากจิตตภาวนา เวลามีกำลังแล้วเป็นอย่างนั้น

เวลากิเลสมีกำลังก็ดังที่เคยพูดให้ฟัง ไปนั่งน้ำตาร่วงอยู่บนภูเขา เราลืมเมื่อไร ก็มาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ทั้งหยาบทั้งละเอียดก็มาเล่าให้ฟัง จนขนาดที่ว่า โห มึงเอากูถึงขนาดนี้เชียวเหรอ น้ำตาร่วงบนภูเขา ตั้งสติพับล้มผล็อยๆ ต่อหน้าต่อตา ไม่ได้ตั้งเพื่ออยู่นะ ตั้งเพื่อล้มโดยถ่ายเดียว บังคับไว้ไม่อยู่ ตั้งสติพับ ล้มๆ น้ำตาร่วง เราไม่ลืม ถึงอุทานภายในใจ โถ มึงเอากูถึงขนาดนี้เชียวเหรอ มันเป็นอยู่ภายในใจ โถ มึงเอากูถึงขนาดนี้เทียวเหรอ

เอาละ นี่อันหนึ่งที่มันซัดกัน นี่ละเคียดแค้นให้คนอื่นคนใดสัตว์ตัวใดเป็นบาปเป็นกรรม แต่เคียดแค้นให้กิเลสที่เป็นภัยต่อตัวนี้เป็นธรรม จับได้ตรงนี้ละ เอาอันนี้ละมา ความเคียดแค้นให้กิเลสที่อยู่ในหัวใจถึงขนาดน้ำตาร่วง โห มึงเอากูถึงขนาดนั้นเชียวเหรอ เอาละอย่างไรมึงต้องพังวันหนึ่ง ให้กูถอยกูไม่ถอย นี่เคียดแค้นให้กันแล้ว อันนั้นละฝังลึก เป็นมุมานะ ซัดกันเลย จนกระทั่งถึงขนาดที่ว่ากิเลสตัวไหนมองหามันไม่เห็น หมดเลย

ปรากฏว่า เหอ มันไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ ขึ้นมาแล้วเหรอ แต่ไม่สำคัญตรงนั้นแหละ คือเอาเวลามันสงบเงียบค้นหาที่ไหนก็ไม่เจอๆ เห็นแต่ธรรมจ้าอยู่ตลอดอย่างนั้น เหอ ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ ขึ้นมาแล้วเหรอ ก็เราเป็นเอง เราพูดตามเรื่องของเรา เป็นแต่เพียงว่าไม่สำคัญ ยังอยู่แต่มันไม่แสดงก็ว่า เหอ ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ ขึ้นมาแล้วเหรอ  สักเดี๋ยวมันโผล่ขึ้นมาก็ใส่ปั๊วะๆ บทเวลามันถึงขั้นมันแล้วฟาดนี่ผางขาดสะบั้นไปเลย ไม่มีคำว่าอรหันต์น้อยอรหันต์ใหญ่ หมดโดยสิ้นเชิง ไม่ถามหาละอรหันต์น้อยอรหันต์ใหญ่

คนๆ เดียวนั่นละเวลามันรู้มันรู้อย่างนั้น จะไปถามใคร พระพุทธเจ้าตรัสรู้ท่านถามใคร สอนโลกได้สามโลกธาตุ สาวกอรหันต์ไปทูลถามพระพุทธเจ้าที่ไหน องค์ไหนบรรลุธรรมผางขึ้นมาเป็นอันเดียวกัน เป็นอันเดียวกันแล้วถามกันหาอะไร นั่นของจริงเป็นอันเดียวกัน ให้มันเป็นอย่างนั้นซีการปฏิบัติธรรม ถ้าลงได้รู้แล้วสามโลกธาตุไม่มีอะไรที่จะมาค้านได้เลย ขาดสะบั้นไปหมด ธรรมชาติของจริงนี้มีกำลังมาก ไม่มีอะไรจะมาคัดค้านต้านทานได้ ล้มไปหมดเลย ความจริงนี่ฟาดขาดสะบั้นไปเลย

นั่นละพระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมผางเท่านั้นละ ภพชาติขาดสะบั้นไปเลย สาวกทั้งหลายบรรลุธรรมผางเท่านั้น ภพชาติทั้งหลายที่เกิดแก่เจ็บตายกองกันอยู่นี้ ขาดสะบั้นไปหมดเลย เคยรู้มาเมื่อไรแต่ก่อน แต่เวลาปฏิบัติธรรมรู้ธรรมเข้าถึงที่สุดแล้วมันก็ชัดเจนอย่างนั้น แล้วจะไปถามใครล่ะ ธรรมเป็นของมีอยู่ บาปบุญเป็นของมีอยู่ ให้พากันระวัง มันชินชาหน้าด้านนะกับบาป มันไม่กลัวบาปนะ มันทำแต่บาป แล้วก็จมเอาๆ

เวลามันหนามันหนาจริงๆ นะจิตนี่ จิตดวงนี้ละ ดูมาตั้งแต่ตั้งสติไม่อยู่ ล้มผล็อยๆ จนน้ำตาร่วง จึงออกอุทานในใจ มันเคียดแค้นกัน โถ มึงเอากูถึงขนาดนี้เชียวหรือ เป็นอยู่ในใจนะไม่ได้ออกปาก เอาละยังไงมึงต้องพังวันหนึ่ง ให้กูถอยกูไม่ถอย น้ำตาร่วงแล้วนั่น เคียดแค้นมากทีเดียว แต่โรงงานใหญ่ก็คือพ่อแม่ครูจารย์มั่น นี่โรงงานใหญ่ เข้าไปนั้นไปหาท่านก็ฝึกหัดฝึกซ้อมเต็มที่แล้วมา หงายอีก ไปอีก อยู่อย่างนั้นนะ ฝึกซ้อมมาว่าเต็มที่แล้ว เข้าไปยกครูยังไม่แล้วมันเตะเราตกเวทีไปแล้ว เอาอีกอยู่งั้น

สุดท้ายมันก็หงายท้องให้เราเห็นมันล้มทั้งหงาย มันเอาเราล้มตลอดเวลา ทีนี้เวลาหมัดเราฝึกหัดมาหลายครั้งหลายหนมันก็ค่อยเข้าใจ แล้วซัดกิเลสหงายเป็นบางครั้ง หือ มึงก็มีท้องเหมือนกันหรือ กูนึกว่ากูมีท้องแต่กูคนเดียวหงายให้มึงดู มึงก็มีท้องเหมือนกัน มีกำลังแล้วก็ซัดกันเลย จากนั้นก็เรื่อยๆ ทีนี้กิเลสมีแต่หงายท้องๆ ถึงขนาดที่ว่า หือ มันไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ ขึ้นมาแล้วเหรอ กิเลสเงียบเลย สักเดี๋ยวโผล่ขึ้นมา โผล่ก็โผล่เถอะถ้าลงสติปัญญาขั้นนี้แล้วไม่มีอะไรต้านทานอยู่ พังหมด

นั่นละเห็นไหมกำลังของจิตกำลังของธรรม กับกำลังของกิเลสอยู่ในใจดวงเดียวกัน เวลากิเลสมีกำลังตั้งสติไม่ได้ ล้มผล็อยๆๆ เวลาธรรมมีกำลังกิเลสโผล่ไม่ได้เหมือนกันขาดสะบั้นๆ จนกระทั่งขาดโดยสิ้นเชิง นั่นละการฝึกหัดจิตใจ พระพุทธเจ้าฝึกมาแล้วถึงมาสอนพวกเรา สาวกทั้งหลายฝึกมาแล้วมาเป็นธรรมสอนโลกเวลานี้ เป็นสิ่งที่ได้ผลมาแล้วทุกอย่าง ทดสอบทุกอย่างได้ผลมาเป็นที่พอใจพอพระทัยพระพุทธเจ้าแล้วมาสอนพวกเรา ทำไมจึงจะไม่มีแก่ใจฝึกหัดดัดแปลงตนเอง

ใจนี้มันผาดโผนโจนทะยานอยู่ตลอดเวลาไม่มีวัยนะ ร่างกายสังขารซึ่งแก่ขนาดไหนจิตใจมันไม่มีวัย มันคึกมันคะนองมันดีดมันดิ้นตลอดเวลา ถ้าไม่มีธรรมเข้าไประงับ ถ้ามีธรรมแล้วระงับได้ไม่ว่าวัยใด อายุ ๗ ขวบสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว ฝึกไม่ได้สำเร็จอรหันต์ได้ยังไง นั่น ท่านฝึกได้ มันอยู่กับการฝึกอบรม ให้พากันจำ เอาละพูดเท่านั้นละ พูดไปพูดมาเหนื่อยแล้ว

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก