จิตนี้แม่นยำเต็มส่วนแล้ว
วันที่ 18 ตุลาคม 2549 เวลา 8:10 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙

จิตนี้แม่นยำเต็มส่วนแล้ว

         ให้พากันตั้งใจอบรมศีลธรรมเข้าสู่ใจ อย่าให้ใจมันวอกแวกคลอนแคลนไขว่คว้า  ไม่มีอาหารเป็นที่พอใจมันดีดมันดิ้น ใจนี้ดีดดิ้นที่สุด อาหารเป็นที่พอใจก็คือธรรมเครื่องหล่อเลี้ยงจิต ใจนี้เวลามันดื้อดื้อจริงๆ นี่ดูใจเจ้าของตั้งแต่ต้น คือเวลาเรียนหนังแส่หนังสือนี้มันลามปามไปหมด ไม่รู้ไม้สดไม้แห้งมันเผาไปได้ใจนี้ แต่เวลาออกปฏิบัตินี่เป็นเวลาที่ฟัดกันละ จึงได้รู้ความคึกความคะนองของใจ ไปรู้เอาตอนฝึกทรมานใจ เวลาเรียนหนังสือไม่รู้ เวลาออกปฏิบัติแล้วมันดีดมันดิ้น โธ่ ต้องได้ฝึกทรมานกันอย่างหนัก

ส่วนมากเรามักอดอาหาร ช่วยทรมานได้ดี คิดดูจนท้องเสีย เราอดอาหารนี้จนท้องเสีย อายุ ๘๕ ละมั้งที่มันจะไป ทั้งจะช่วยชาติบ้านเมือง ทั้งอันนี้ก็จะไป จึงได้ยาหมอเติ้งมาช่วย ไม่อย่างนั้นไปชนพรรษาปีนั้น คือเราผ่านก่อนแล้วก็ได้เตือนหมู่เพื่อน การอดอาหารเป็นเครื่องหนุนจิตใจได้ดีทางด้านภาวนา แต่มันเสียธาตุขันธ์ถ้าอดไม่รู้จักประมาณ จึงได้เตือนหมู่เพื่อน เพราะเราเดินมาแล้วรู้แล้ว กระทั่งท้องเสีย ปี ๘๕ มันเสียมากทีเดียว หมอเขาไม่บอก เขาบอกเป็นมะเร็งในลำไส้แล้ว เขากลัวเราจะเสียใจหรืออะไรไม่รู้ละ พอดีได้ยาหมอเติ้งมานี้ฟิตขึ้นใหม่เลย ตั้งลำขึ้นก็เอาล่ะช่วยชาติละที่นี่

นี่ก็คือท้องเสียเพราะอดอาหาร จึงได้เตือนหมู่เพื่อน อดอย่าอดมากเกินไป อดพอเบาๆ พอทรมานจิตได้สะดวก ให้เอาตรงนั้นๆ ผ่านไปแล้วๆ อะไรมันหนักมันเบาก็ได้นำมาสั่งสอนหมู่เพื่อน สำหรับการฝึกภาวนานี้มักจะถูกทางด้านผ่อนอาหาร คืออาหารนี้เป็นกำลังของร่างกาย เมื่อร่างกายมีกำลังก็ทับจิต ก้าวไม่ค่อยออก ถ้าผ่อนลงเบาลง แต่เรามันไม่ค่อยเห็นมีผ่อนนะล่ะ มีแต่อด เอาเสียจนท้องเสียเลย คือเห็นว่าดีทางด้านภาวนานี้ก็อดเรื่อยๆ ท้องเสีย ๑๐ พรรษาท้องเริ่มเสียแล้ว ออกปฏิบัติพรรษา ๗ พอสอบเปรียญได้แล้วออกเลย ๗-๘-๙-๑๐ สามปีฝึกทรมานท้อง ท้องเริ่มเสีย แต่ก็ไม่ได้สนใจมัน

นี่ละที่มันเสียมากเพราะเราไม่สนใจ หนักเรื่อยเลยเชียว ฉันลงไปนี้ถ่ายหมดก็ยังไม่สนใจกับมัน พอตอนบ่ายนี้ท้องมันจะร้องโก้กเก้กๆ พอตกกลางคืนมาถ่าย ถ่ายหมดเลย มาวันหลังอดอีกอยู่อย่างนั้น ไม่ได้คำนึงเพราะมันดีทางด้านจิตตภาวนา เร่งทางจิตมากจนท้องเสีย จึงได้เตือนหมู่เพื่อนให้พอเหมาะพอดี อย่าให้เลยเถิด เรานี้มักจะเลยเถิด ทำอะไรรู้สึกจะผาดโผนอยู่ มันเป็นนิสัยอะไร คือความตั้งใจนี่ไม่ใช่มันตั้งใจผาดโผนนะ ความตั้งใจมันมีกำลังมาก อดอยากขาดแคลนอะไรมันไม่สนใจ มันพุ่งๆ ต่อธรรม

ทีนี้เวลาหันกลับมาร่างกายมันเสียแล้ว ท้องเสียมาตั้งแต่พรรษา ๑๐ เรื่อยมา พอถึงพรรษา ๑๖-๑๗ จะย่างเข้า พูดง่ายๆ ก็คือเดือนพฤษภา ๒๔๙๓ พักละที่นี่ ฉันเรื่อยๆ ไป  ไม่เคยอด ตั้งแต่ก่อนอดตลอดเรื่อยไป เป็นเวลา ๙ ปี นี่ละการฝึกทรมานเจ้าของไม่ได้มองหน้ามองหลัง มองแต่ธรรมอย่างเดียว ร่างกายจะเป็นอะไรก็ไม่สนใจ อดอาหารนี่อดเรื่อยๆ จนพรรษา ๑๖ ล่วงไปแล้วถึงพฤษภา ตั้งแต่นั้นมาไม่อดนะ ทีนี้เวลาท้องมันได้เสียเสียไปเรื่อย เสียไปเรื่อยๆ ไปเลย เราฉันอยู่มันก็เสียของมัน หกเจ็ดวันถ่ายสักทีหนึ่ง ถ่ายหมดเลย ก็ไม่สนใจกับมันแหละ เพราะเป็นมาแต่ต้นแล้ว

การฝึกทรมานตัวเองเราหนักทางอดอาหาร อย่างอื่นไม่ค่อยได้ผลดี การอดอาหารสติดี ตั้งได้ๆๆ เรื่อย จึงต้องมาหนักการอดอาหาร ทีนี้เวลาเรื่องมันผ่านไปแล้วได้บวกลบคูณหารได้นำมาสอนหมู่เพื่อน ไม่ให้มันเกินไป ให้พอเบาะๆ พอฝึกพอทรมานกันได้ อย่าให้มันหนักมากไป สำหรับเรานี่มันหนักมากจริงๆ คือทำอะไรมันเป็นนิสัยเรียกว่านิสัยจริงจังทุกอย่าง พูดตรงๆ ไม่เหลาะแหละนะ ถ้าลงได้ลงจุดไหนแล้วขาดสะบั้นไปเลย ทีนี้มันก็รุนแรงทางอดอาหาร ภาวนาดี

จากนั้นมาก็ได้มาสอนหมู่เพื่อน การอดอาหารดีสำหรับการภาวนา แต่อดมากไปเสียธาตุขันธ์ เสียท้อง บอกหมู่เพื่อนอย่างนั้นละ อะไรถ้าผ่านไปแล้วๆ ก็ได้นำเรื่องนั้นละมาสอนหมู่เพื่อน ล้วนแล้วแต่ที่เราผ่านไปแล้วๆ สอนหมู่เพื่อนเพื่อจะไม่ได้ลูบๆ คลำๆ ให้ตรงแน่วเลยๆ มันดีไปตลอดนะอดอาหาร ตั้งแต่พื้นๆ ของจิตตั้งจิตได้ เข้าสมาธิออกทางด้านปัญญาคล่องตัวตลอด อดอาหารนี่ลงถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัติเป็นความเพียรโดยลำพัง หมุนติ้วๆ ก็ตาม อดอาหารมันยิ่งรวดเร็ว ยิ่งคล่อง ไม่มีทางเสียเรื่องอดอาหาร ก็เสียแต่ธาตุเท่านั้นแหละ ทางด้านธรรมะนี้ดีตลอด

ถึงขณะที่ว่าเป็นสติปัญญาอัตโนมัติ เป็นความเพียรเองตลอดเวลา หมุนติ้วๆ ก็ตามเวลาอดอาหารมันยิ่งคล่อง จึงว่ามันไม่มีทางเสีย มีแต่ทางดี ถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัติเรียกว่าขั้นธรรมฆ่ากิเลส แต่ก่อนเราก็ไม่เคยได้ยินไม่เคยคิด เวลามันมาเป็นกับเจ้าของมันเป็นข้อเทียบเคียงกัน เป็นคู่กัน คือตามธรรมดานี้กิเลสมันจะทำงานของมันบนหัวใจสัตว์โดยอัตโนมัติ คิดเรื่องอะไรๆ เป็นกิเลสทั้งนั้นๆๆ เราก็ไม่เคยคิดว่ากิเลสมันทำงานบนหัวใจสัตว์โดยอัตโนมัติของมัน แต่เวลาภาวนาเข้าไปถึงขั้นนี้ถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัติฆ่ากิเลสโดยลำพัง ถึงได้รู้ว่า อ๋อนี่เวลาธรรมมีกำลังมันก็ฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติ แต่ก่อนกิเลสก็ทำลายธรรมโดยอัตโนมัติเหมือนกัน นี่ซิมันก็เทียบกันได้เลย

พอถึงขั้นนี้แล้วมีแต่ฆ่ากิเลสตลอดสติปัญญาอัตโนมัติ ได้รั้งเอาไว้ คือบางคืนมันไม่นอนตลอดรุ่งเลย มันหมุนของมันเอง เป็นเอง จึงเรียกว่าอัตโนมัติ กลางวันมันยังจะไม่หลับ คนละจะตาย ถ้าได้ลงทางจงกรมจนก้าวขาไม่ออก ถึงจะหยุด คือมันไม่ไปคิดถึงเวล่ำเวลานาทีอะไร เดินจงกรมจนจะก้าวขาไม่ออก เออเหนื่อยแล้วพัก นั่นก็คือจิตมันหมุนของมันตลอดเวลา นี่เรียกว่าธรรมะฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติ ถึงขั้นฆ่าฆ่าอย่างนี้ ให้มันผ่านทางหัวใจเสียก่อนมันรู้พูดได้ทั้งนั้นละคนเรา

แต่ก่อนมีแต่กิเลสทำลายธรรมทำลายจิตใจโดยอัตโนมัติ แต่เวลาธรรมมีกำลังขึ้นมาแล้วธรรมนี้ฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติเหมือนกัน บางคืนนอนไม่หลับตลอดรุ่งเอาเลย มันไม่ยอมหลับ เหมือนนักมวยต่อยกันเข้าวงในกันอย่างนั้นแหละ นี่ก็พ่อแม่ครูจารย์รั้งนะ เรานี่มักจะผาดโผน คือมันไม่รู้ตัวทำอะไรมันหมุนของมันเลย ท่านต้องรั้งเอาไว้ๆ เพราะท่านรู้นิสัยอย่างนี้ต้องรั้ง ถ้าว่านั่งตลอดรุ่งก็เอาเสียจนก้นแตกมันก็ไม่ถอย นี่ท่านก็รั้งเอาไว้ สติปัญญาเวลามันออก ก็เพราะไปเล่าถวายท่านละซิ ท่านเป็นผู้คอยเตือน นี่ก็ต้องรั้งเอาไว้

ถึงเวลาพักให้พักสมาธิ มันจะหมุนขนาดไหนก็ตามหักเข้ามา ท่านว่าอย่างนั้น การทำงานได้ผลจริงแต่ตายได้ เมื่อหมดกำลังแล้วมันตายได้คนเรา เวลาพักต้องพัก พักนั้นก็ไม่ได้การได้งานแต่ได้กำลังเพื่องานต่อไป นั่นท่านสอน คือพักนั่นก็พักสมาธิ ให้จิตเข้าสู่สมาธิ จะบังคับเข้ามาให้อยู่ในสมาธิเฉยๆ ไม่ได้นะ เวลามันได้หมุนทางด้านปัญญาแล้วมันรุนแรงมากทีเดียว ต้องได้บังคับด้วยคำบริกรรม คำใดก็ตามตามแต่จริตนิสัยเราชอบ เช่นกำหนดพุทโธ เอาพุทโธเป็นคำบริกรรม สติติดอยู่กับพุทโธ ทั้งๆ ที่สติมันไม่เผลอนะ แต่มันไปทางด้านปัญญาเสีย

ทีนี้เวลาจะหักเข้ามานี้มันพุ่งๆ ทางด้านปัญญา ทีนี้หักเข้ามาด้วยสติ เอาพุทโธเป็นคำบริกรรมมัดจิตไว้ อยู่กับจิต ลง สงบแน่วเลย เหมือนถอดเสี้ยนถอนหนาม เวลาจิตเข้าสู่สมาธินิ่งอยู่กับความรู้อันเดียวแน่ว ตอนนั้นละสั่งสมกำลังจิต จิตมีกำลังตอนนั้น ทีนี้พอจิตได้กำลังแล้วก็ถอยออกมา ถอยออกมาก็ผึงเลย เพราะมันจะออกทางด้านปัญญาอยู่แล้ว ต้องได้พักนักภาวนา เวลาเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าแล้วให้เข้าพัก ไม่อยากพัก็บังคับให้พัก พักเข้าสู่สมาธิแล้วจิตหยุดงานทำ ไม่คิดอ่านไตร่ตรองอะไรเลย สงบแน่วลงไป นี่เรียกว่าจิตสงบ จิตพักตัว พอออกจากนี้แล้วออกทางด้านปัญญาไม่ต้องบอกแหละ พอรามือเท่านั้นมันจะดีดผึงเลยทางด้านปัญญา เหน็ดเหนื่อยแล้วกลับมาอย่างเก่า จนผ่านพ้นไปเลย การฝึกหัดภาวนาเป็นอย่างนั้น

ถึงขั้นมันหมุนมันหมุนจริงๆ สติปัญญาอัตโนมัตินี้จะไม่มีวันหยุด ถ้าไม่หักไม่ห้ามเข้ามาไม่ได้ ต้องหักห้ามเข้ามาพักในสมาธิ หักห้ามเข้ามาพักหลับนอน หลับนอนก็ต้องเอาพุทโธกล่อมบังคับไว้ ให้มันมีอารมณ์อันเดียว มีอารมณ์อันเดียวแล้วค่อยสงบเข้าๆ แล้วหลับไปได้ อันหนึ่งสงบเข้าๆ แล้วแน่วลงเป็นสมาธิได้ มันสองอย่างนะ พักในสมาธิก็ต้องอาศัยคำบริกรรมมีสติบังคับเอาไว้ แล้วก็ลงสมาธิ หยุดงานทั้งหลายทางด้านปัญญา ทีนี้เวลาจะพักนอนก็แบบเดียวกัน พักเข้าๆ แล้วก็ให้จิตอยู่กับคำบริกรรมนั่นก็หลับได้ นี่ละถึงขั้นสติปัญญาทำงานเพื่อฆ่ากิเลสแล้ว เป็นอัตโนมัติเหมือนกันกับกิเลสทำงานอัตโนมัติบนหัวใจสัตว์

เวลามันเป็นมันถึงรู้ แต่ก่อนเราก็ไม่รู้ว่ากิเลสทำงานบนหัวใจสัตว์มันทำยังไง ไม่รู้ บทเวลาธรรมออกทำงานฆ่ากิเลสนี้มีแต่ฆ่าโดยถ่ายเดียว นี่เป็นอัตโนมัติ ทีนี้มันก็เทียบกันได้ กิเลสออกไม่ได้เลยนะ มีแต่มุดมอดลงๆ มุดมอดลงเรื่อยๆ เพราะทางนี้มีกำลังกล้าแหลมคมมาก เป็นอย่างนั้นละ จิตนี้ละเอียดเข้าเป็นลำดับการฝึกจิตนะ เพราะฉะนั้นจิตตภาวนาจึงสำคัญมากทีเดียว จิตตภาวนาเป็นรากแก้วของพุทธศาสนา ลงจิตตภาวนาแล้วความดีทั้งหลายจะมารวมอยู่ในจุดนั้นหมดเลย ออกก้าวได้จนกระทั่งพ้นเลย

ก็คิดดูซิจิตของเรามันหมุนทั้งวันทั้งคืน จนกระทั่งบางคืนนอนไม่หลับ แต่พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปโดยสิ้นเชิงแล้ว งานที่มันหมุนเป็นธรรมจักรมันหยุดเองนะ ไม่ต้องบังคับ หยุดเอง ก็จะไปทำกับอะไรกิเลสที่เป็นข้าศึกให้ต่อสู้กันมันตายแล้วนั่น มันก็ระงับหยุดเลย เป็นอย่างนั้นละ บางทีจนกระทั่งได้รำพึงเจ้าของ คือเวลาจิตมันล้มลุกคลุกคลานก็ปลอบโยนตัวเอง เอ้าๆ ถูไถไปเถอะน่ะ ต่อไปพอมีกำลังวังชาพอสมควรแล้วมันจะค่อยราบรื่นไปสะดวกไปสบายไปว่างั้นนะ ก็เราพูดด้วยความคาดคิด ไม่ใช่พูดด้วยหลักความเป็นจริง

ทีนี้พอมันได้กำลังอันนั้นแทนที่มันจะสะดวกสบาย อู๋ย ไม่นะ งานนี้หนักที่สุดจนกระทั่งถึงนอนไม่หลับทั้งคืน นั่น มันสะดวกสบายยังไงอย่างงั้น มันหากขยับของมันเรื่อยๆ จนกระทั่งกิเลสขาดเป็นเครื่องตัดสินกัน พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปหมดโดยสิ้นเชิงไม่มีอะไรเหลือแล้ว ที่มันหมุนกันเป็นธรรมจักรมานั้นหยุดเอง หยุดหมด เพราะไม่มีอะไรจะต่อสู้ ขาดกันแล้วคนละฝั่ง นี่ละการฝึกจิตเมื่อถึงขั้นหมดกิเลสเป็นตัวข้าศึกแล้ว เรื่องธรรมะที่หมุนฆ่ากันก็ดับไปเหมือนกัน เงียบเลย มีแต่บรมสุขขึ้นเท่านั้นเอง

ให้พากันดูหัวใจตัวเอง หัวใจนี้มันดีดมันดิ้นที่สุดเลย แล้วฝึกไปๆ ก็อย่างว่าละ เอาจนกระทั่งกิเลสมันหมอบ บางที...แต่มันไม่สำคัญนะ ว่าเฉยๆ นี่ละ พิจารณาไปจนกระทั่งกิเลสเงียบหมดเลย ยังเหลือแต่สติปัญญาสง่างามครอบอยู่นั้น เหอ กิเลสมันตายแล้วเหรอ มันไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ ขึ้นมาแล้วเหรอนี่กิเลสไม่เห็นมี แต่คิดเฉยๆ ไม่ได้สำคัญตน คือเวลานั้นกิเลสมันหมอบราบ สติปัญญามันคุ้ยเขี่ยขุดค้น สักเดี๋ยวโผล่ขึ้นมาก็ขาดสะบั้นๆ นี่ละถึงขั้นสติปัญญามีกำลังกิเลสโผล่ไม่ได้ แย็บนี้ขาดทันทีๆ เป็นอัตโนมัติเหมือนกันกับเราเริ่มความเพียรทีแรก ตั้งสติพับล้มผล็อยๆ ตั้งหน้าตั้งตาตั้งสติพับล้มทันทีต่อหน้าต่อตา จนน้ำตาร่วงบนภูเขาเราลืมเมื่อไร

อันนี้ละเป็นสิ่งที่ให้มุมานะต่อการฆ่ากิเลส ตั้งยังไงก็ไม่อยู่ๆ ทั้งๆ ที่ตั้งหน้าตั้งตาตั้งสติ กำลังของกิเลสมันรุนแรงกว่า พอตั้งพับล้มเลยทันทีๆ จนน้ำตาร่วง นั่นละเอาอันนั้นละมาเป็นกำลังใจหมุนจะสู้กิเลส มันก็ได้อย่างนั้นจริงๆ พอถึงขั้นกิเลสสิ้นซากลงไปโดยสิ้นเชิงแล้วมันไม่มีงานอะไรนี่ หมด ท่านจึงว่า วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ กตํ กรณียํ พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว งานหนักที่สุดคืองานรื้อภพรื้อชาติรื้อกิเลสตัณหาได้สิ้นสุดลงไปแล้ว ตั้งแต่นั้นมาไม่มีงาน หมด ทีนี้ก็เสวยบรมสุข การปฏิบัติเป็นอย่างนั้น แล้วไม่มีอะไรเข้ามากวนใจละ หมดโดยสิ้นเชิง พอกิเลสตัวกวนใจตัวสำคัญๆ ดับลงไปแล้วไม่มีอะไรกวน มีกิเลสเท่านั้นกวน นั่น ชี้นิ้วได้เลยว่ากิเลสเท่านั้นกวน พอกิเลสสิ้นไปแล้วไม่มีอะไรมากวนใจ

ที่ว่า วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว งานที่จะแก้กิเลสนี้ไม่มีเลย มีแต่งานประจำธาตุขันธ์ งานประจำโลกด้วยความเมตตาสงสารพิจารณานั้น งานของพระอรหันต์ท่านพิจารณา เพราะเมตตานี้เป็นหลักธรรมชาติ เป็นอันเดียวกันกับความบริสุทธิ์ อ่อนนิ่มไปหมดเลย นี่ละทำงานเพื่อโลก จากนั้นก็มาพักธาตุพักขันธ์ในทิฏฐธรรม เวลาธาตุขันธ์ยังมีชีวิตอยู่ก็ภาวนาพักธาตุพักขันธ์ ขันธ์นี้ทำงานแล้วเราเข้าสู่สมาธิภาวนาระงับการทำงานของขันธ์ ไปอย่างนั้นเรื่อยจนกระทั่งถึงวันแล้วนิพพาน ส่วนงานอื่นใดที่จะมาวุ่นเหมือนแต่ก่อนที่กิเลสยังมีอยู่ในหัวใจไม่มีแหละ หมด

วันนี้พูดเท่านั้น เป็นคติเครื่องเตือนใจแก่พี่น้องทั้งหลาย การพูดนี้ถอดออกมาจากหัวใจทั้งนั้นมาพูด ไม่ได้พูดแบบด้นๆ เดาๆ พูดที่ตรงไหนไม่มีคำว่าสงสัย แม่นยำๆ เพราะจิตนี้แม่นยำเต็มส่วนแล้ว พูดออกไปตรงไหนออกจากจิตตัวแม่นยำแล้วจะผิดไปไหน เอาละพอ ทีนี้ให้พร

เงินกฐินนี้ได้ ๑๐ ล้านนะ หมดความหมายแล้ว เห็นไหมล่ะ วันหลังมานี้ทางโพธารามหรือทางไหนมา เท่าไรล้านๆ มาเรื่อย ค่ายประจักษ์มาที่ไหนมา เงิน ๑๐ ล้านหมดความหมายเลย อย่างนั้นแหละ มีอะไรปั๊บนี้เขารุมมาเลย เพราะเขารู้ว่าหลวงพ่อเป็นผู้ให้ผู้เสียสละ มาเลย หมด ๑๐ ล้าน

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก