ดูให้ทั่วถึง
วันที่ 13 ตุลาคม 2549 เวลา 8:30 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
  วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙

ดูให้ทั่วถึง

         การฝึกตนไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย คำว่าฝึกตนก็คือฝึกใจ ใจมันเป็นฟืนเป็นไฟ ตัวคึกตัวคะนองอยู่ที่หัวใจทั้งหมด มีกิเลสเป็นเจ้าของเป็นเจ้าอำนาจควบคุมอยู่ที่จิตใจแต่ละดวงๆ ทำให้ดีดให้ดิ้นไม่รู้จักประมาณ ไม่มีขอบมีเขตคือกิเลสฉุดลากจิตใจของสัตว์โลกให้ไปในที่ต่างๆ กิเลสไม่มีขอบมีเขต ธรรมท่านมีขอบมีเขต เพราะฉะนั้นกิเลสกับธรรมจึงเป็นของคู่กันมาดั้งเดิมตั้งแต่ครั้งไหนๆ คิดดูซิพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้นี้น้อยเมื่อไร ก็เพราะสิ่งที่เป็นภัยต่อหัวใจสัตว์โลกมันมีประจำมาดั้งเดิม ธรรมที่เป็นของคู่ควรแก่การแก้ไขดัดแปลงหรือปราบปรามกัน จึงต้องมีมาเป็นลำดับจนกระทั่งปัจจุบันนี้ และยังจะมีต่อไปอีกไม่มีสิ้นสุด กิเลสก็เป็นกิเลสวันยังค่ำตลอดกัปตลอดกัลป์ ธรรมเครื่องแก้กิเลสก็เป็นเครื่องแก้ตลอดไป แล้วแต่ใครจะนำมาแก้มาชะมาล้าง ก็กลายเป็นคนดีไป

ถ้าจะปล่อยให้แต่กิเลสฉุดลากไปอย่างเดียวไม่มีคำว่าดี ไม่มีคำว่าสุข จะมีแต่เรื่องความทุกข์ความทรมานไปเรื่อยๆ แล้วก็ปิดทางเดินมา ปิดร่องปิดรอยไม่ให้รู้สายทางเดินมาว่ามาจากสายไหนๆ ภพใดชาติใดมาถึงปัจจุบันนี้ ที่กิเลสฉุดลากมานั้นไม่รู้ ก็ต้องบืนไปอย่างนั้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นจึงต้องมีธรรมเป็นคู่เคียงกัน ผู้ที่จะนำธรรมมาสอนโลกก็ต้องเป็นจอมศาสดา เป็นจอมโลก คือพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ๆ มาตรัสรู้ธรรม แล้วก็นำธรรมนี้มาสั่งสอนสัตว์โลก ดังปัจจุบันนี้พระพุทธศาสนาของเราก็เรียกว่าพระสมณโคดม

พระองค์ปรินิพพานไปแล้วก็รับสั่งเอาไว้ว่า ธรรมและวินัยนั้นแลจะเป็นศาสดาของเธอทั้งหลายหลังจากเราล่วงไปแล้ว ใครเป็นผู้ยึดธรรมยึดวินัยหลักเกณฑ์เหล่านี้แล้ว ผู้นั้นจะมีหลักมีเกณฑ์ ประหนึ่งว่าเดินตามเราไปตลอด ถ้าใครปล่อยวางศีลธรรมเหล่านี้แม้จะจับชายจีวรเราอยู่ก็เหมือนอยู่คนละโลก นี่เป็นคำรับสั่งของพระพุทธเจ้า เวลาพระพุทธเจ้าสิ้นสุดยุติลงไปแล้วด้วยพระญาณหยั่งทราบของพระองค์เอง ถึง ๕๐๐๐ ปี คำว่าบาปว่าบุญจะไม่มีติดใจของสัตว์โลกแหละ แต่สิ่งที่จะทำให้เสียหายคือกิเลสตัณหานับวันพอกพูนขึ้นไป นั่นละศาสนาหมด คือไม่มีใครเชื่อฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า เชื่อฟังตามอุบายวิธีการต่างๆ ของกิเลสไปเรื่อยๆ ก็จมไปเรื่อยๆ นานแสนนาน

โทษแห่งความไม่มีศาสนานี้เป็นฟืนเป็นไฟ มองเห็นกันเป็นดาบ เป็นศาสตราอาวุธไปหมด ไม่มีความเมตตาเห็นอกเห็นใจกัน นี่เรื่องของกิเลส ใครก็หวังเอาชัยชนะเป็นหัวหน้าๆ ความแพ้ไม่มี แล้วต่างคนต่างมีหัวใจก็ต้องตอบรับกันด้วยการรบราฆ่าฟัน แก้แค้น ผูกกรรมผูกเวรต่อกันไปเรื่อยๆ อย่างนี้ เป็นเรื่องสายทางของกิเลสพาเดิน สายทางของธรรมเป็นเครื่องตัด

ยกตัวอย่างเช่นนางยักษิณีตนหนึ่งวิ่งไล่ ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังอุ้มลูกมา พอดีเข้ามาตรงหน้าวัดพระเชตวันที่พระพุทธเจ้ากำลังประทับอยู่ที่นั่น ยักษ์ตนนั้นวิ่งไล่ตามผู้หญิงคนนี้ซึ่งอุ้มลูกวิ่งเข้าในวัด พอวิ่งเข้าในวัดแล้วพระพุทธเจ้าก็รับสั่งให้เข้ามาเฝ้าทั้งสองคนเลย เด็กคนนั้นก็เตรียมที่จะเป็นอาหารของยักษิณีตนน้น ที่เขาผูกกรรมผูกเวรกันมา พระองค์ก็รับสั่งรื้อมาตั้งแต่ต้นเหตุแห่งการจอมกรรมจองเวรซึ่งกันและกันมาโดยลำดับในหญิงทั้งสองนี้ ไล่มาโดยลำดับลำดา เธอมาเป็นนั้นเธอนั้นเป็นนั้น คราวนี้คนนี้ได้เปรียบ คราวนั้นคนนั้นได้เปรียบ คนนี้เสียเปรียบ ก่อนจะสิ้นสุดลงไปนี้ผูกกรรมผูกเวรเอาไว้ ตายไปนี้ขอให้ได้ผูกเวรคนนี้ ให้ได้ทำคนนี้ให้สมใจๆ

พวกเธอทั้งสองนี้ได้เกี่ยวโยงกันมาด้วยกรรมด้วยเวรต่อกันเหมือนลูกโซ่ ก็มาถึงจุดนี้ที่เราตถาคตนั่งอยู่นี้ ก็ได้สอนว่า นี่ละโทษแห่งการก่อกรรมก่อเวร ผูกอาฆาตมาดร้ายต่อกัน เป็นกรรมมาถึงขนาดนี้ ไม่ใช่ชาติเดียวนี้นะ เป็นมาเท่านั้นๆ พระองค์ไล่มาโดยลำดับเลย เธอทั้งสองนี้ก่อกันมาเป็นฟืนเป็นไฟมาโดยตลอด ทั้งผู้แพ้ผู้ชนะผู้ได้เปรียบเสียเปรียบ เป็นผู้สร้างกองทุกข์ผูกกรรมผูกเวรต่อกันมาตลอดอย่างนี้แหละ นั่น พระพุทธเจ้าทรงรับสั่งให้ผู้หญิงทั้งสองมานั่งฟังเทศน์ นี่ละโทษแห่งการก่อกรรมก่อเวรซึ่งกันและกัน ไม่ใช่เป็นของดิบของดี

นี่ถ้าไม่ได้พบกันกับเราตถาคตในวันนี้ เธอทั้งสองนี้จะต้องผูกกรรมผูกเวรกันไม่มีสิ้นสุดเหมือนกัน แล้วพระองค์ก็ทรงแสดงโทษแห่งความผูกกรรมผูกเวรของกันและกัน น หิ เวเรน เวรานิ สมฺมนฺตีธ กุทาจนํ ตลอดกาลไหนๆ เวรย่อมไม่มีการระงับเพราะการก่อกรรมก่อเวรกัน แต่เวรจะระงับลงไปเพราะการไม่ก่อกรรมก่อเวรกัน พระองค์ทรงแสดงในเวลานั้น ผู้หญิงคนนั้นได้สำเร็จพระโสดาเลย ยักษ์ก็เป็นคนเราธรรมดา มันกินคนได้เรียกว่าเป็นยักษ์ เหมือนพวกเรานี้เป็นยักษ์ กินปูกินปลากินกบกินเขียด กินไก่กินหมูกินหมาก็กินหรือไงไม่รู้นะ พวกนี้ยักษ์ประเภทหนึ่งแต่ไม่เรียกว่ายักษ์เท่านั้นเอง ไปเรียกแต่เขาว่าเป็นยักษ์ เข้าใจไม่ใช่เหรอ ให้พากันเข้าใจอย่างนี้ กินกันมาอย่างนี้ละ

พระองค์ทรงเทศน์โทษแห่งการก่อกรรมก่อเวรมาตั้งแต่เริ่มแรกโน้น ไล่มาเลย ไล่มาโดยลำดับลำดากี่ภพกี่ชาติ เหมือนลูกโซ่ เกี่ยวโยงกันมาอย่างนี้ นี่ถ้าไม่ได้พบเราตถาคตยังจะเป็นลูกโซ่ต่อไปอีก นี่ละโทษของมัน ไม่ใช่เป็นของดิบของดี พระองค์เทศน์พอจบลงผู้หญิงคนนั้นก็สำเร็จพระโสดา เป็นพระอริยบุคคล เรียกว่าศีลนี้มาเอง ศีลในหลักธรรมชาติ ผู้ที่ได้สำเร็จพระโสดาศีล ๕ มาพร้อมเลย เป็นศีลในหลักธรรมชาติ ไม่ต้องรับที่ไหนก็เป็นขึ้นมาเองในใจ

การฆ่าการฉกการลักกัน ในห้าข้อนี้ผู้ที่ได้สำเร็จพระโสดาตัดขาดสะบั้นไปเลย ผู้หญิงคนนั้นสำเร็จพระโสดาเสร็จเรียบร้อย เป็นที่ลงกัน ทั้งสองคนนั้นก็เลยเป็นมิตรเป็นสหายคู่พึ่งเป็นพึ่งตายกันในขณะนั้นแหละ ทั้งๆ ที่แต่ก่อนกำลังก่อกรรมก่อเวร เป็นยักษ์เป็นมารต่อกันมาตลอด พอเสร็จแล้วพระองค์ทรงเล็งญาณดูแล้วในจิต จิตคนนี้สำเร็จพระโสดา โสตะแปลว่ากระแส กระแสแห่งพระนิพพานความสิ้นทุกข์ได้พาดพิงมาถึงแล้ว อย่างช้าที่สุดจะมาเกิดตายอีกเพียง ๗ ชาติ แต่ไม่ตกนรก จากสวรรค์ลงมามนุษย์ จากมนุษย์ไปสวรรค์ ๗ ชาติเป็นอย่างช้าก็ถึงนิพพาน ส่วนกลางก็ ๓ ชาติ ชาติสุดท้ายก็คือชาติเดียวถึงนิพพานเลย สำเร็จพระโสดามี ๓ ประเภท พระโสดาอันดับหนึ่ง อันดับสอง อันดับสาม

พอเสร็จเรียบร้อยแล้วพระองค์ก็รับสั่งให้แม่ของเด็ก เอาเด็กไปให้แม่ใหม่ชมหน่อย ร้องแว้ดๆ มันไล่กินลูกมาตะกี้นี้ แล้วยังจะเอาลูกไปให้มันกินอีกเหรอ ร้องแว้ดๆ เอาเถอะน่ะ พระองค์รับสั่งบังคับเลย เอาไป เลยยกลูกคนนี้ไปให้แม่ใหม่ แม่ใหม่คือยักษ์ตนนั้นนั่นแหละ ยกลูกไปเพราะขัดพระพุทธเจ้าไม่ได้ ฟังเสียงร้องแว้ดๆ พอแม่ใหม่ได้อุ้มแล้ว แม่ใหม่ก้มลงหอมลูก นึกว่าแม่ใหม่ที่เป็นยักษ์จะกินลูก ร้องแว้ดขึ้นอีก แม่ใหม่ก้มลงไปจะหอมลูก นึกว่าก้มลงจะกินลูกเจ้าของ นั่นเรื่องราวเป็นอย่างนั้น นี่ละการก่อกรรมก่อเวร

คำพูดของพระพุทธเจ้านี้เป็นแบบฉบับไม่มีสอง คือพระวาจาของพระพุทธเจ้าที่รับส่งคำใดแล้วต้องเป็นหนึ่งทั้งนั้น และพระญาณหยั่งทราบ หยั่งลงตรงไหนทราบตรงไหนแล้วแม่นยำๆ ไม่มีผิดพลาดเลย นี่พระญาณหยั่งทราบ แล้วพระวาจาที่รับสั่งอะไรลงไปแล้วไม่มีผิดมีพลาดเลย คำสอนเหล่านี้อยู่ในองค์ศาสดาของเราทั้งหลาย เรานำมากราบไหว้บูชาเทิดทูน รักษามรดกอันล้นค่านี้ไว้ภายในตัวเอง เราจะเป็นผู้มีความสงบร่มเย็น ไม่ก่อกรรมก่อเวรซึ่งกันและกันต่อไป สร้างแต่ความดีงามก็จะเป็นความสุขความเจริญ จากนั้นก็หลุดพ้นจากทุกข์ได้เมื่อความดีมีมากๆ เข้าไป พ้นจากทุกข์ได้ หายทุกอย่างในโลกสมมุติที่เป็นกองทุกข์นี้หมดโดยสิ้นเชิง ภายในใจของผู้สิ้นกิเลสตัวกองกรรมก่อเวรนี้แล้ว

นี่ละพุทธศาสนาของเราเป็นศาสนาที่เลิศเลอสุดยอดแล้ว ขอให้พากันนำไปประพฤติปฏิบัติ อย่าเชื่อสิ่งใดยิ่งกว่าเชื่อพระพุทธเจ้า ให้ฝึกฝนอบรมตนให้ดี นี่ลมออกหูแล้ว หูอื้อแล้วจะพูดไปไม่ได้แล้ว ให้พากันฝึกหัดดัดแปลงตนเอง ยากลำบากขนาดไหน ความยากลำบากนั่นกิเลสมันกีดขวางทางเดินเพื่อความดี เอ้า ฝืนเข้าไปๆ เอาจนผ่านมันไปได้ ผ่านเปลาะนี้ผ่านเปลาะนั้น จนผ่านไปได้โดยสิ้นเชิง ทีแรกฉุดลากไปจะเป็นจะตายมันก็ไปไม่ได้ แพ้กิเลส ให้กิเลสเอาไปต้มยำๆ ทีนี้เวลาหนักเข้าสู้ไม่ถอยกิเลสก็เริ่มแพ้ๆ สุดท้ายมีแต่จะฆ่ากิเลสโดยถ่ายเดียว นี่ละจิตที่ได้รับการฝึกฝนอบรมไม่หยุดไม่ถอยมีกำลังได้

เมื่อมีกำลังแล้วทีนี้ชำระความชั่ว ความชั่วผ่านมาไม่ได้เลย ตัดขาดสะบั้นๆ จนกระทั่งความชั่วหมดจากใจโดยสิ้นเชิง กิเลสนั่นละเป็นสาเหตุให้ทำชั่ว ขาดไปจากใจแล้วก็บริสุทธิ์ จากนั้นแล้วไม่มีอะไรมากวนใจให้ได้รับความทุกข์ หรือจากการยุแหย่ก่อกวนของกิเลสประเภทต่างๆ หมดโดยสิ้นเชิง เหมือนจิตพระพุทธเจ้าจิตพระอรหันต์ท่านเป็นอย่างนั้น เห็นประจักษ์ นี่ละศาสนาพระพุทธเจ้าสดๆ ร้อนๆ ขอให้ใครปฏิบัติ เมื่อเจอเข้าไปแล้วพระพุทธเจ้ากับใจดวงนี้เป็นอันเดียวกัน ไม่ได้ว่าห่างเหินเกินกว่าที่จะคิดจะคาดไปอะไร จ้าเข้าในใจแล้วพระพุทธเจ้ากับเราก็เป็นอันเดียวกันสดๆ ร้อนๆ เป็นอย่างนี้ละ ให้พากันตั้งใจปฏิบัติ

การฝึกฝนอบรมนี้เป็นของสำคัญมาก กิเลสแทรกอยู่ทุกระยะ มันไม่ได้ถอย กิเลสแหลมคมมาก ซึมซาบตลอดเวลา ธรรมต้องเอาให้หนักๆ จนกระทั่งกิเลสหมดโดยสิ้นเชิงแล้วไม่มีอะไรกวนใจ พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่านไม่มีอะไรกวนใจ หมดโดยสิ้นเชิง ถ้าหากยังมีชีวิตอยู่ก็เรียกว่าธาตุขันธ์ยังมีอยู่ ก็มีแต่เรื่องธาตุเรื่องขันธ์มันแสดงไปตามอาการของมัน เจ็บท้องปวดหัวอะไรก็แล้วแต่ เจ็บนั้นปวดนี้ เป็นไข้เป็นอะไรเป็นเรื่องของธาตุของขันธ์ จิตหมดโดยสิ้นเชิง เพียงรับทราบเท่านั้นเอง นั่นละจิตหมดภัย คือกิเลสหมดจากใจแล้วไม่มีอะไรเป็นภัยภายในใจ ก็มีแต่ธาตุขันธ์รักษากันไปรับผิดชอบกันไป พอถึงกาลเวลาแล้วก็ดีดผึงเท่านั้นไปเลย หมดโดยสิ้นเชิง

นี่ละการบำเพ็ญธรรม มีเวลายุติ ถึงขั้นยุติถึงขั้นพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิงได้ ไม่เหมือนการดีดดิ้นไปตามกิเลสไม่มีวันสิ้นสุดยุติ หมุนไปตลอดตั้งกัปตั้งกัลป์ก็เป็นอย่างนี้ แบกหามกองทุกข์ไปด้วยกันตลอดเวลา การบำเพ็ญธรรมทุกข์ค่อยเบาไปๆ สุขค่อยมีขึ้นมาๆ จนกระทั่งสุดท้ายทุกข์ภายในจิตใจหมดโดยสิ้นเชิง เอ้า มาถึงขันธ์ ครองขันธ์โดยความรับผิดชอบในขันธ์ อ้าว ขันธ์หมดสภาพแล้วดีดผึงไปเลย นั่นละท่านว่านิพพาน นี่ออกจากธรรมของพระพุทธเจ้า ใครปฏิบัติจะได้รู้ได้เห็นดั่งที่ว่านี้แหละ ไม่ได้ห่างไกลที่ไหนเลย อยู่กับธรรมกับวินัยซึ่งเป็นทางเดินอันแคล้วคลาดปลอดภัยนี้แหละ ประทานไว้กับทุกคนให้ไปปฏิบัติ ถ้าปฏิบัติตามนี้แล้วก็เท่ากับเราตามเสด็จพระพุทธเจ้าทุกฝีก้าวนั้นแหละ แล้วถึงนิพพานไปด้วยกัน ให้พากันตั้งอกตั้งใจ

นี่วันนี้ก็จะเป็นวันเริ่มยุ่งนะ ยุ่ง งานนี้ก็งานเพื่อโลก ทั่วประเทศเขตแดนจะมาในงานวัดป่าบ้านตาด เพราะโลกทราบทั่วกันว่าวัดป่าบ้านตาดนี้บำเพ็ญประโยชน์เพื่อโลกล้วนๆ เราไม่มีเพื่อเรา ไม่มีเพื่อวัดเพื่อวาอะไร เพื่อโลกล้วนๆ งานจึงเป็นงานใหญ่โต ได้มาเท่าไรก็เพื่อโลกทั้งนั้นๆ นี่ก็เริ่มแล้วเต็มไปหมดที่ในวัดเรานี้แหละ กว้างขวางมากมายเต็มไปหมดคน วันนี้ละวันจะมากที่สุด แล้วสมบัติเงินทองข้าวของที่พี่น้องได้มานี้ออกหมด ในวัดป่าบ้านตาดไม่เก็บไม่สั่งสมอะไรทั้งสิ้นตลอดมา มีเท่าไรหมด

ตั้งแต่เริ่มสร้างวัดสร้างวา มีคนมาถวายจตุปัจจัยไทยทานต่างๆ แจกออกไปเรื่อยตั้งแต่เริ่มต้นโน้นจนกระทั่งบัดนี้ เบื้องต้นก็คนทุกข์คนจน แล้วก็โรงร่ำโรงเรียน จากนั้นก็โรงพยาบาล ตั้งแต่เริ่มสร้างวัดนะ ช่วยโรงร่ำโรงเรียนโรงพยาบาลเรื่อยมา จนกระทั่งออกหน้าออกตาทราบกันทั่วประเทศไทย ว่าวัดป่าบ้านตาดเป็นวัดที่ช่วยโลก นับตั้งแต่คนทุกข์คนจนโรงร่ำโรงเรียนโรงพยาบาล แล้วที่ราชการต่างๆ ทั่วไปหมด ช่วยโลกอย่างนั้นละ

งานอันนี้ก็งานช่วยโลก ไม่ใช่งานเพื่อวัดป่าบ้านตาดนะ ไม่เอา วัดนี้จะเอาอะไร ตอนเช้าบิณฑบาตมาอาหารล้น รถก็เต็มรถมา บาตรก็เต็มบาตรมา มองออกไปในท้องเต็มท้องอีกจะให้ว่าไง แล้วมันอดอยากอะไร ผู้เขาอดอยากจะเป็นจะตาย ดูท้องเขาบ้างซิ ถ้าดูท้องเขาเหมือนท้องเรานี่ ท้องเราอิ่มท้องเขาหิวเป็นยังไง ดังที่เราเดินออกจากวัดไปนี้ เห็นเขากำลังไล่วัวฝูงออกไปยั้วเยี้ยๆ ไปตามถนน เอ้า หลีกมันไปทางนี้ๆ พวกนี้มันกำลังหิว เราอิ่มเต็มที่แล้วออกจากวัดมา ท้องเต็มแล้ว นี่เขากำลังหิวเขาไปหากิน ให้ทางเขาเราก็ไปทางนี้ เราอิ่มท้องให้ทางสัตว์ สัตว์กำลังหิวให้เขาไปทางนี้ บอกคนขับรถ เข้าใจไหม ก็อย่างนั้นละ

ดูให้ทั่วถึง ถ้าดูทั่วถึงแล้วโลกนี้จะไม่มีการเบียดเบียนทำลายกัน ไม่มีการอิจฉาพยาบาทจองกรรมจองเวรกัน ขอให้ดูทั่วถึงตามธรรมศาสดาเถอะ แล้วจะสม่ำเสมอไปหมด ไม่มีคำว่าชาติชั้นวรรณะฐานะสูงต่ำ หัวใจมีเมตตาเฉลี่ยถึงกันหมดเลย จำเอานะ เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านี้ละ

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก