เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙
นักภาวนาให้ดูวิถีของจิต
ก่อนจังหัน
เรามีงานมาก เดี๋ยวไปนั้นไปนี้ๆ ใครอย่ามายุ่งกับเรื่องของเราไม่ได้ คนนั้นว่าอย่างนั้นคนนี้ว่าอย่างนี้ เราก็ฟังไป เราเฉย เราใช้แบบ ถ้าหากว่าพูดแบบโลกก็เรียกว่าแบบมุทะลุ ไม่สนใจกับใคร ความจริงพิจารณาเรียบร้อยๆ แล้วไป พิจารณาเรียบร้อยแล้วไปๆ ไม่ได้สนใจกับอะไรให้มีน้ำหนักยิ่งกว่าเราพิจารณาแล้ว วันหนึ่งๆ ทำประโยชน์ให้โลกของเล่นเมื่อไร ทางด้านวัตถุก็ดี ทางด้านนามธรรมก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง ไม่ใช่เพียงธรรมดาทางด้านนามธรรม ด้านวัตถุช่วย
วันนี้ก็มีประชาชนญาติโยมมากันเยอะ เต็มไปหมดเลยวันนี้ ให้พากันสนใจในอรรถในธรรมนะถ้าพี่น้องทั้งหลายอยากมีที่เกาะที่ยึด เวลานี้พวกเราชาวพุทธนี้แหละ กำลังพากันจมอยู่ในทะเลหลวง ว่ายน้ำป๋อมแป๋มๆ หาที่ยึดที่เกาะไม่ได้ ที่เกาะที่ยึดคืออะไร เรือใหญ่แหละ ผ่านเข้ามาก็เกาะเรือไปเลยๆ นี่คือบุญกุศลของเรา อยู่ในท่ามกลางมหาสมมุติมหานิยมซึ่งมีทุกอย่าง ส่วนมากมีกองทุกข์มากกว่าทุกอย่าง กำลังว่ายน้ำลอยน้ำป๋อมแป๋มๆ ให้หาที่ยึดที่เกาะนะ
ใจนี้มันดิ้นมันดีด ถ้าใจไม่มีธรรมอย่าเข้าใจว่าจะมีหลักเกณฑ์เหมือนกันกับเขาว่ายน้ำลอยน้ำอยู่ในท่ามกลางมหาสมุทรนั่นแหละ แบบเดียวกันนั้นให้ดูเอา ใจถ้ามีความดีงามแล้วมีที่ยึดที่เกาะ มีๆๆ ตลอดเลย ให้พากันยึดกันเกาะให้ดี พวกนักภาวนานี่สำคัญมาก พวกกรรมฐาน นักภาวนาให้ดูวิถีของจิต จิตจะไขว่คว้าๆ ตลอดเวลา เวลาจิตได้หลักได้เกณฑ์ยึดเกาะเข้าไปๆ แล้วก็แน่นหนามั่นคงเข้าไป แน่นอนเข้าไปๆ แน่จนรู้ชัดเลย
อันนี้ก็อดพูดไม่ได้เหมือนกัน เราเคยพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังแล้วเพราะเป็นคติ มันสะดุดใจมาก ความตายเราก็ไม่เคยกลัว บทเวลามันเป็นเข้าจริงๆ แล้วที่ว่าจะตายอยู่ทางกะโหม-โพนทอง อยู่ตีนเขานั่น เขามาให้กุสลาตั้งแต่เที่ยงแล้วยันค่ำๆ ขนกันมาเผามาฝังที่นั่น ให้กุสลา ไม่ได้กลับที่พัก มันยังไงเรานี่มาภาวนา เลยมากุสลาทั้งวัน สุดท้ายเราเป็นเสียเอง มันเป็นอย่างนี้นะ เหมือนหอกเหมือนหลาวมันทิ่มเข้ามาๆ อย่างรวดเร็วด้วย อ้าว เราจะเป็นแล้วทำไงนี่
นี่ละที่ว่าเป็นห่วงความเป็นความตาย เวลานี้เราเป็นอย่างนี้ก็จะตายเหมือนเขาที่เขากำลังขนเข้ามาเผามากุสลาอยู่เวลานี้เอง รวดเร็วมากนะ มันเหมือนหอกทิ่มเข้ามา ไอไม่ได้นะจะสลบ มันแทง อ้าว ทำไงนี่ เราก็ยังไม่อยากตายจะว่าไง นี่ละที่ว่าไม่อยากตายก็มาเจอกันวันนั้น ไม่อยากตายเพราะอะไร จิตนี้มันยังไม่พุ่งเต็มเหนี่ยว แล้วตายนี่จะไปค้างๆ ค้างวันไหนคืนใดกี่คืนก็ตามไม่อยากค้าง ถ้าจิตบริสุทธิ์แล้วถึงนิพพานผึง ไปเมื่อไรได้เลย เดี๋ยวนี้ยังไปไม่ได้ ยังค้างอยู่ๆ ที่ค้างก็รู้นะ รู้ชัดขนาดนั้น จะค้าง ทีนี้ไม่อยากค้าง เพราะฉะนั้นจึงไม่อยากตาย
ทีนี้ธรรมก็ผางขึ้นมาเลย อ้าว เรื่องเหล่านี้ก็เป็นเรื่องอริยสัจ พิจารณาเพื่อมรรคผลนิพพาน ท่านเคยผ่านมาแล้วไม่ใช่เหรอ ขึ้นทันทีเลย ตั้งแต่อยู่บ้านโคกนามน ฟาดนั่งหามรุ่งหามค่ำๆ เคยผ่านมาแล้ว ท่านมายุ่งอะไรเรื่องความเป็นความตาย เอ้า พิจารณาเข้าไปซิ ที่ยังไม่อยากตายนี่คือตายแล้วมันจะค้าง มันรู้ชัดในจิตนี่ นี่ละศาสดาองค์เอกสอนโลก สอนมาหาพวกเรา พอธรรมะเข้าสู่ใจแน่เลยไม่ต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้า เวลาตายแล้วนี้มันจะค้าง ค้างตรงไหนรู้เลย ค้างกี่วันกี่คืนไม่อยากค้าง ถ้าหากว่าบริสุทธิ์แล้วไปเดี๋ยวนี้ได้เลย เราไม่ห่วง พอธรรมกระตุกเท่านั้น ทีนี้พิจารณาผึงเลย
นี่เราพูดถึงเรื่องไม่อยากค้าง รบกันกับความเป็นความตาย ยังไม่อยากตาย ตายมันจะค้าง นี่ละพิจารณาซิ แต่ก่อนไม่เคย บทเวลาอันนี้มันเป็นเท่านั้นก็เอามาเป็นคติให้ท่านทั้งหลายฟัง คือเวลาตายนั้นมันจะค้าง รู้ประจักษ์อยู่ในหัวใจ ค้างก็พูดให้มันชัดๆ เสียว่า ไม่ได้ค้างชั้นต่ำๆ แหละ อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิษฐา ๕ ชั้นนี้ มันผ่านแล้ว เรื่องความจะมาเกิดตายอีกผ่าน แต่จะค้างนั่นซิจึงยังไม่อยากตาย มันก็มาทะเลาะกันเรื่องความเป็นความตาย เกี่ยวกับเรื่องตายแล้วมันจะค้างๆ ธรรมท่านกระตุกเอา ทีนี้ก็พุ่งใหญ่เลย
พิจารณาซิท่านทั้งหลาย จิตลงมันได้แน่แล้วแน่อย่างนั้น วิถีของจิตพร้อมที่จะไป ต้องอาศัยความดีงามทั้งหลายนะไป ถ้าความชั่วทั้งหลายนี้รอตลอดเวลาเกาะพรึบลงตูมเลยๆ ใครอย่าอวดดีกว่าพระพุทธเจ้า พุทธศาสนาเป็นศาสนาชั้นเอกครอบไตรภพทีเดียว ไม่มีศาสนาใดเหมือนพุทธศาสนาที่ชี้ได้ถูกต้องแม่นยำ เอ้า จำให้ดี ให้นำเข้าไปพิสูจน์กับหัวใจเจ้าของเอง เมื่อพิสูจน์เข้าไปแน่ขนาดไหนๆ มันจะรู้เองๆ ดังที่พูดนี้ ตายนี้มันจะค้าง แน่ะ ค้างชั้นไหนมันรู้แล้วนะนั่น อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิษฐา ๕ ชั้นนี้ ในระยะนั้นมันจะค้างแถวนี้ ไม่ให้ค้าง พุ่งเลยทีเดียวตายเมื่อไรก็ได้ นั่นมันแน่ขนาดนั้นนะจิต ถ้าได้ฝึกแล้วแน่ขนาดนั้น พากันกันจำเอานะ นี่แน่ทางดี
ทีนี้แน่ทางชั่วเวลาจะตายมีแต่ความชั่ว คิดเรื่องอะไรมีแต่ความชั่วๆ จิตใจเป็นไฟเผาเจ้าของ พอลมหายใจขาดผึงทันทีเลย แล้วจะว่าใครมาทำลายเรา ก็เราเป็นคนทำความชั่วช้าลามกทำลายตัวตลอดมาๆ ถึงกาลเวลาแล้วก็ดีดผึงลงนรกเลย ทีนี้ส่งเสริมความดีให้แก่ตนนี้ก็เหมือนกัน พอคิดถึงเรื่องความดีจิตใจอิ่มเอิบๆ เอ้า ตายเมื่อไรไปได้เลย เป็นอย่างนั้นนะ ใครจะเอกกว่าศาสดาของเรา อย่าเก่งกว่าศาสดานะจะจมทั้งนั้นแหละ ใครเก่งกว่าธรรมเก่งกว่าพุทธศาสนาจมทั้งนั้นๆ ท่านทั้งหลายให้รีบจำเอาเสียเวลานี้ หลวงตาบัวพูดได้อย่างเต็มปาก คือหัวใจดวงนี้มันจ้าครอบโลกธาตุไปหมดแล้ว เพราะการปฏิบัติตามพุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ เฉพาะอย่างยิ่งคือภาคปฏิบัติจิตตภาวนา กระจ่างแจ้งในหัวใจพอแล้ว ให้จำเอานะ ให้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ อย่าอวดเก่งกว่าศาสดา อย่าอวดเก่งกว่าธรรม มันจะจมทั้งนั้นละพวกอวดเก่งนี่น่ะ เอาละให้พร
หลังจังหัน
(จากหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ฉบับวันที่ ๓ ตุลาคม เรื่อง พระอาจารย์อยู่ช่วยหม่อมฉันก่อน วันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๔๙ เป็นวันครบรอบวันประสูติ ๙๓ พรรษาแห่งสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก องค์ประมุขสงฆ์ไทย พระผู้ซึ่งสมเด็จบรมบพิตร พระราชสมภารเจ้าทรงเรียกขานว่าพระอาจารย์
นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของราชอาณาจักรไทย ตลอดจนผู้คนทั้งปวงได้พากันไปเฝ้าเพื่อถวายพระพรเนื่องในมงคลสมัยอันสำคัญนี้ ทรงมีน้ำพระทัยอันเปี่ยมด้วยพระเมตตาคุณดุจดังห้วงมหรรณพ ในมหามงคลสมัยนี้พระองค์ทรงประทานพระพุทธรูปสำคัญให้แก่นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ได้เข้าไปกราบถวายพระพรเกือบจะพร้อมกับนายกรัฐมนตรี
เราจึงขอบอกกล่าวมายังพี่น้องประชาชน ผู้รักชาติรักประชาธิปไตยทั้งมวลว่า พระพรและของขวัญซึ่งทรงประทานนั้น ย่อมแผ่ไพศาลไปยังพี่น้องประชาชนทุกหมู่เหล่าด้วยเช่นเดียวกัน ย่อมเป็นที่ประจักษ์แก่ตาของประชาชนชาวไทยทั่วประเทศแล้วว่าพระสุขภาพพระพลานามัยขององค์พระประมุขสงฆ์ไทยในวันนี้ ทรงมีความสมบูรณ์สมกับความที่ทรงพระชนมพรรษาถึง ๙๓ พรรษา หากจะเทียบกับผู้มีอายุขนาดนี้รายอื่นแล้ว พระองค์ก็ยังทรงมีพระสุขภาพและพระพลานามัยที่แข็งแรงดีกว่าคนจำนวนมาก
พี่น้องประชาชนคงจะจำกันได้ว่าในเดือนสิงหาคม ปี ๒๕๔๗ องค์พระประมุขสงฆ์ไทยทรงประชวร มีพระอาการมาก มีข่าวลือหนาหูเป็นระยะๆ ว่าจะทรงสิ้นพระชนม์เพราะการประชวรในครั้งนั้น แล้วต่อมาสื่อมวลชนก็ได้รายงานข่าวว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมพระอาการ ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และมีรายงานข่าวเล็ก ๆ จากการให้ข่าวของแพทย์หรือพยาบาลซึ่งอยู่ในที่เฝ้าว่าก่อนเสด็จกลับ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงคุกเข่าลงข้างเตียงที่ประทับ และทรงตรัสว่า พระอาจารย์ พระอาจารย์ หม่อมฉันขออาราธนาว่าอย่าเพิ่งละสังขาร ขอให้อยู่ช่วยหม่อมฉันก่อน
สื่อมวลชนได้รายงานข่าวว่าสิ้นพระสุรเสียงที่รับสั่ง บรรดาผู้ที่อยู่ในที่นั้นพากันร่ำไห้ระงมด้วยความซาบซึ้งและสะเทือนใจที่องค์พระประมุขของชาติทรงมีความเคารพ มีความผูกพันต่อพระสังฆราชา ซึ่งเป็นพระอาจารย์ถึงเพียงนี้ ข่าวดังกล่าวได้ทำให้ผู้อ่านจำนวนมากพากันน้ำตาไหลด้วยความเคารพ ความรัก ความศรัทธา ความบูชาสูงสุดที่มีต่อพระองค์ท่าน และทำให้ได้เห็นคุณค่าตลอดจนน้ำพระทัยแห่งความกตัญญู ความเคารพบูชาศรัทธามั่นในพระพุทธศาสนา
หลังจากวันนั้นแล้วพระอาการประชวรของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ก็พ้นจากระยะวิกฤต ทุเลาลงโดยลำดับ จนวันเวลาล่วงมาสองปีกว่าแล้ว สำหรับชาวพุทธแล้วย่อมมีความยินดี ย่อมมีความอิ่มเอิบเบิกบานใจเพราะย่อมรู้และเข้าใจได้เป็นอย่างดีว่าการที่เป็นไปเช่นนี้ เป็นผลมาจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงไว้ซึ่งภูมิธรรมขั้นสูงในพระพุทธศาสนา ทรงสามารถอาราธนาเพื่อขยายอายุขัยของผู้ทรงธรรมได้ ดังที่ทรงอาราธนาท่านพุทธทาสภิกขุว่าอย่าเพิ่งดับขันธ์มาหนหนึ่งแล้ว และย่อมเป็นผลมาจากสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงบรรลุภูมิธรรมขั้นสูง ถึงขั้นที่สามารถเจริญอิทธิบาท ขยายเวลาอายุสังขารได้ดังปรารถนา ดังปรากฏความอันมีมาในพระสูตรนั้นแล้ว
ในปีนี้ก็เห็นกันได้ชัด ๆ ว่าทรงมีพระสุขภาพพลานามัยที่ดียิ่ง ทรงปฏิบัติพระราชสมณกิจได้อย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าการลงปาติโมกข์ การฟังธรรม การรับการเยี่ยมถวายสักการะต่างๆ ซึ่งเหล่านี้คือการปฏิบัติภาระหน้าที่ขององค์พระประมุขแห่งคณะสงฆ์ไทย
เมื่อเป็นเช่นนี้คณะผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช จึงสมควรจะได้พิจารณาว่า ถึงเวลาอันพึงยุติการปฏิบัติหน้าที่แทนแล้วหรือไม่ เพราะเมื่อทรงปฏิบัติหน้าที่ได้แล้วก็ต้องถือว่าภารกิจของคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนเป็นอันสิ้นสุดลง พิจารณากันเสียเองจะดีกว่าที่จะให้ใครมาเรียกร้องหรือท้วงติง เพราะจะเป็นการไม่งาม อนึ่งเล่าการพิจารณาความจริงเสียเองจะดำรงรักษาความเป็นที่เคารพศรัทธาเอาไว้ได้ดีกว่า ทั้งจะเป็นสิริมงคลแก่วงการคณะสงฆ์ไทย ตลอดจนชาวพุทธทั้งมวลด้วย
ใน ๔-๕ ปีมานี้มีคนคิดการใหญ่ หวังยึดครองเอาพระพุทธศาสนามาใช้เป็นเครื่องมือของพรรคการเมือง วางแผนคิดการจะตั้งสังฆราชของตนเองแทนที่สมเด็จพระสังฆราชซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนา แล้วสมคบกันยึดอำนาจของพระสังฆราชาอย่างหน้าด้านๆ จำกัดและข่มเหงย่ำยีพระองค์ท่านอย่างอุบาทว์ชาติชั่ว แม้จะทรงพระกรณียกิจใด หรือแม้สื่อมวลชนจะถ่ายทอดพระกรณียกิจ ก็ต้องขออนุญาตจากผู้ถืออำนาจเถื่อน
เราขอฟ้องต่อพี่น้องชาวพุทธทั้งประเทศให้ได้รู้ทั่วกัน ว่าการกระทำที่อุบาทว์ชาติชั่วเช่นนี้กระทบกระเทือนน้ำพระราชหฤทัย สมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้าถึงเพียงไหน
บัดนี้เงาอสูรร้ายผ่านพ้นไปแล้ว ฟ้าเบิกอรุณอันแจ่มใสแล้ว นิยายเรื่องสังฆราชวังจันทร์ส่องหล้าต้องถึงบทสุดท้ายแล้ว จึงเป็นเรื่องที่พุทธบริษัททั้งปวงจะต้องร่วมกันทำความถูกต้องดีงามให้เกิดขึ้น เพื่อความร่มเย็นเป็นสุขของราชอาณาจักรและพุทธบริษัททั้งหลาย เราเห็นว่าอาเพศวิปริตทั้งหลายที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองเกิดจากความคิดชั่ว ก่อ อนัตริยกรรมขึ้นในพระพุทธศาสนา ก่ออนัตริยกรรมแก่สถาบันพระมหากษัตริย์ นับเป็นบาปฉกรรจ์อันแม้พระแม่ธรณีก็จะไม่ยอมรองรับซากศพ
จึงเป็นเหตุให้เกิดเภทภัยที่ไม่เคยเกิดก็มาบังเกิด เป็นเหตุให้บังเกิดโรคที่ไม่เคยเกิดก็มาบังเกิด ทำให้คนไทยเป็นทุกข์เข็ญ และเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า ฝนฟ้าก็ไม่ตกต้องตามฤดูกาล เดือนดาวก็อาเพศวิปริต ราชการบ้านเมืองก็วิปริตผันแปรไป ไก่ตัวเมียก็ขันได้กลายเป็นไก่ตัวผู้ จนในที่สุดพระสยามเทวาธิราชก็ไม่อาจอดรนทนอยู่ต่อไปได้ จึงต้องแผ่พระบารมีดลจิตดลใจให้นายทหารผู้ภักดีต่อชาติราชบัลลังก์เข้ายึดอำนาจการปกครอง
วิกฤตที่สุดในโลกหยุดลงแล้ว แต่นี้ไปจะเป็นเรื่องของการกอบกู้ฟื้นฟูชาติให้เป็นปกติสุข ซึ่งเราขอเสนอสองประการ คือ
ประการแรก ขอเสนอต่อคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราชได้พิจารณายุติบทบาทและถวายพระอำนาจคืน ซึ่งอาจรวมถึงการแก้ไขกฎหมายคณะสงฆ์ในเรื่องที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกันด้วย
ประการที่สอง ขอเสนอต่อท่านนายกรัฐมนตรีได้กำหนดการทำบุญประเทศครั้งใหญ่ ล้างซวยที่คนกาลีเมืองเข้าไปทำพิธีไสยในโบสถ์วัดพระแก้วด้วยการเจริญมหาราชปริตรเพื่อขจัดปัดเป่าสรรพทุกข์ สรรพโรค สรรพภัย และเพื่อปกป้องราชอาณาจักร ตลอดจนประชาชนไทยทั้งประเทศให้มีความปลอดภัย มีความสงบสุขและรุ่งเรืองดังเดิม
ทำเสียก่อนวันที่ ๒๒ ตุลาคม ศกนี้ ก็จะเป็นการดียิ่ง!)
เข้าใจทุกคนแล้วไม่ใช่เหรอที่อ่านนี่ คงเข้าใจทุกคนแล้วนะ เพราะฟังชัดเจน นี่ก็ออกทั่วประเทศด้วย อ่านนี้ก็ออกทั่วประเทศเลย เราสลดสังเวชมากนะ คราวที่แย่งตำแหน่งจะเป็นสังฆราชนี่ ไม่มีใครพูดก็มีหลวงตาองค์เดียว เวลานี้กำลังขึ้นเลยฟาดกระเทือนทั่วประเทศไทยในวันนั้น มันทนไม่ไหว ไม่มีใครพูดได้อย่างนี้ เรานำธรรมออกมาพูดพูดได้สบาย เพราะพูดด้วยความเป็นธรรม ว่าเวลานี้สมเด็จพระสังฆราชกำลังถูกรุมกินโต๊ะกัน ขึ้นเลยเรา พวกตะกละตะกลามเห็นแก่ได้ ซัดกันเข้าไปเลย อันนี้ละที่สงบไป เอาจริงเรา อะไรขัดต่อธรรมนี้ขัดไม่ได้ ธรรมเหนือโลก เพราะฉะนั้นเมื่ออะไรขัดต่อธรรมจึงออกรับทันทีๆ เลย ที่ว่ากำลังรุมกินโต๊ะสมเด็จพระสังฆราชทั้งๆ ที่ยังไม่ตาย ว่าอย่างนี้เลย พวกตะกละตะกลาม
มีอะไรอีก (ไม่มีครับ หลวงตาพูดองค์เดียวก็พอแล้วครับ) ไม่พออย่างไรมันหมดภูมิแล้ว จะเอาภูมิไหนมาพูดอีก ก็มันหมดภูมิแล้วนี่ หลวงตาองค์นี้พูดได้ทุกแง่ทุกมุม ให้ท่านทั้งหลายได้ฟังเสีย ถ้ายังไม่เคยฟังให้ฟัง พูดได้ครอบโลกธาตุ หัวใจดวงนี้ครอบหมด ไม่มีอะไรเหนือกว่าใจที่ว่าเป็นธรรมธาตุ นี่ละที่โลกทั้งหลายกราบไหว้บูชาคือธรรมประเภทนี้แหละ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์-พระอรหันต์ทุกองค์เป็นธรรมธาตุหมดเลย เป็นน้ำมหาวิมุตติมหานิพพาน เหมือนกับน้ำมหาสมุทรทะเลหลวงนั้นแหละ
ทีนี้เวลาเหตุการณ์อะไรขึ้นมาถ้าขัดต่อธรรมรอไม่ได้เรา ออกผางเลยทันที เพราะธรรมเป็นเรื่องใหญ่โตมาก ถ้าเหยียบธรรมได้แล้วเหยียบได้หมด เพราะฉะนั้นจึงไม่ยอมให้เหยียบธรรม
เรื่องอะไรก็เรียบร้อยไปหมดแล้วนะ อันนี้ก็จัดการเอาของไปแล้ว (ไปรอที่ด่านแล้วครับ) ถึงด่านแล้ว ทางนี้ติดต่อไปทางด่านเรียบร้อยๆ แล้ว อยู่ทางวัดนี้จะออกๆๆ ทุกอย่าง ถ้าเป็นเรื่องของเราก็เรียบร้อยไปทุกอย่าง เพราะโลกไว้ใจ ทางราชการงานเมืองก็ไว้ใจเรา เพราะเราทำด้วยความเป็นธรรมล้วนๆ พอเข้าถึงทางนั้นพิจารณาตามเหตุผลกลไกที่เรียนไปแล้วยอมรับๆ เปิดทางให้เลย เป็นอย่างนั้นละ นี่ก็เปิดด่านเลย
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |