ห้ามไม่ให้ภาวนา
วันที่ 25 กันยายน 2549 เวลา 8:10 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
  วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๙

ห้ามไม่ให้ภาวนา

ผู้กำกับ        ปัญหาธรรมะจากเว็บไซต์หลวงตา คนที่ ๑

         ท่านอาจารย์หลวงตา เป็นอาจารย์คนแรกของผมจริงๆ ผมสนใจการปฎิบัติภาวนาก็เพราะได้ฟังอาจารย์เทศน์ เทศน์ของท่านอาจารย์แปลก ไม่เหมือนใครที่ผมเคยฟัง ฟังแล้วเย็นลง สุขมาก เหมือนมีสุขซ้อนสุขขึ้นในใจด้วยซ้ำครับ แปลกมากครับ

         ระยะแรกผมภาวนาพุทโธ แต่พอพุทโธหายไปมันก็หยุด ไปต่อไม่ได้ มีคนแนะนำให้ผมหัดรู้ คือรู้อารมณ์ที่เข้ามากระทบทั้งภายในและภายนอก ปรากฏว่าผมทำไปสักระยะจิตก็สงบลงมาก สงบอย่างเดียวน่ะครับ สงบเหมือนกับผมภาวนาพุทโธเลย บางทีก็นิ่ง เหมือนไม่มีอะไร แต่ผู้รู้ยังคงอยู่ แต่ก็รู้แบบชัดบ้าง น้อยบ้าง ตอนนี้ผมก็สงบอย่างเดียวเลยครับ เลยอยากจะเรียนขอคำแนะนำจากอาจารย์หลวงตาว่า ผมควรทำอย่างไรต่อไป หรือให้รู้ หรือให้ดูที่สิ่งใด และให้วางสิ่งใดครับ เพราะมันสงบหรือสุข จนแยกไม่ออกว่าจะไปรู้หรือดูสิ่งใด กราบนับถืออย่างสูงสุด ขอกราบฝากถวายตัวเป็นลูกศิษย์ด้วยครับ (จาก ศิษย์ทางบ้าน)

หลวงตา       สติอยู่กับจิตให้เป็นพื้นฐานตลอดไม่มีเสียหาย ถ้าสติเผลอไปมีได้ สติสำคัญมากทีเดียว จะได้อะไรไม่ได้อะไรขออย่าให้เผลอสติ จะเป็นพื้นฐานอันดีงามตลอดไป จิตจะผาดโผนโจนทะยานขนาดไหนหนีสติไปไม่พ้น

ผู้กำกับ        คนที่ ๒ ครับ

ดิฉันมีปัญหาเกี่ยวกับการเดินจงกรม ในขณะเดินไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้นึกถึงคำภาวนาพุทโธ พอเดินไปจะมองเห็นร่างเราที่เดินอยู่เป็นกระดูก แล้วดิฉันก็หยุดเดินและแผ่เมตตา และกราบก่อนออกจากการเดินจงกรม ดิฉันมีคำถามคือ

๑.ดิฉันต้องเดินจงกรมไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมองไม่เห็นกระดูกตัวเองใช่ไหมคะ

๒.เวลาที่หยุดเดินแล้วน้อมจิตมองดูแบบอนุโลม-ปฏิโลมจะชัดมาก ดิฉันควรทำอย่างไรคะ

หลวงตาเมตตาตอบคำถามให้หลานด้วยค่ะ กราบเท้าด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ (จาก วรรณภา)

หลวงตา       โครงกระดูกหรืออะไรเหล่านี้เป็นธรรม ที่แสดงออกเพื่อพร่ำสอนเจ้าของเอง ภายในเห็นว่าเป็นของหยาบโลน ความติดก็ติดเนื้อหนังตัวของตัวทั้งคนนี้เป็นสิ่งที่หยาบโลนมาก การเห็นสิ่งเหล่านี้ก็เพื่อจะปล่อยวาง การพิจารณาการภาวนามันไม่ได้เหมือนกัน คนหนึ่งเห็นอย่างหนึ่งๆ ไม่เหมือนกัน

ผู้กำกับ        คนที่ ๓ ครับ

ผมพิจารณาอารมณ์มาโดยตลอด ที่ผ่านมาผมได้รู้เกี่ยวกับรูป  เวทนา  สัญญา สังขาร วิญญาณ ทำให้จิตใจสงบ เมื่อ ๒ อาทิตย์มานี้ผมได้ปฏิบัติใหม่ โดยการดูที่จิต ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ดูที่จิตอย่างเดียว ได้เห็นว่าจิตเป็นผู้รับรู้ ไม่ว่าวิญญาณ กระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จิตก็เป็นผู้รู้  รู้ก็แยกเป็น ๒ ทาง หนึ่งออกไปเป็น โทสะ โลภะ โมหะ อีกทางหนึ่งเมื่อกระทบแล้วไม่เป็นโทสะ โลภะ โมหะ  เป็นความรู้เฉยๆ ซึ่งผมยังแยกไม่ออกว่าเป็นอย่างไร  ผลที่เกิดขึ้นขณะนี้ จะสงบทั้งกายและใจมากกว่าเดิม  ไม่รับประทานอาหารก็ได้ ไม่บีบคั้นกายและใจเหมือนเดิม จิตก็ทรงตัวอยู่ได้ตามปกติ   ผมได้สังเกตอย่างหนึ่งว่า เมื่อมีสติเพิ่มขึ้นเท่าใดก็จะรู้สิ่งต่างๆ เปลี่ยนไปจากเดิมเสมอ ขณะนี้ผมพยายามให้มีสติอยู่ทุกขณะจิต  ไม่ว่าจะอยู่อิริยาบถใด อิริยาบถก็เป็นเพียงสิ่งสมมุติอย่างหนึ่ง ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดที่พอจะยึดเหนี่ยว และควรจะเดินตามรอยได้เลย นอกจากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

ผมกราบเรียนผลการปฏิบัติด้านภาวนาให้หลวงตาทราบ และช่วยชี้แนะนำสั่งสอน แก่ลูกศิษย์ผู้โง่เขลา เพื่อเป็นอุบายพิจารณากิเลสเหล่านั้นให้หมดไปจากใจครับ  (จาก คนที่ทุกข์)

หลวงตา       การภาวนา เรียกว่ามาดูต้นตอรากเหง้าเค้ามูลของความเกิดตายและกองทุกข์ทั้งหลาย ภาวนาเข้าไปดูจุดนี้เพื่อจะแตกกระจายออกถอนออก การภาวนาจึงสำคัญมากทีเดียว ดูเข้ามาจุดนี้ คือจุดนี้เป็นจุดที่พาให้เกิดให้ตายไม่หยุดไม่ถอย กองทุกข์ทั้งมวลอยู่ที่นี่ เมื่อดูเข้ามาที่นี่จะค่อยแตกแขนงออกไปตามแต่จริตนิสัยของใครจะรู้จะเห็นอะไร มันหากเป็นของมันไปเอง เพราะฉะนั้นการอธิบายให้ฟังทุกอย่างนี้จึงลำบาก ให้พึงทราบตามนิสัยของตัวเอง แต่สติเป็นสำคัญ ถ้าไม่เผลอสติ ยับยั้งด้วยสติแล้วจะไม่เสีย ถ้าเพลินไปๆ แล้วเผลอสติ มีทางเสียได้

คือจิตใจบางรายผาดโผนมาก อันนี้ก็เป็นไปตามจริตนิสัย ใครไม่ตบแต่งเอาได้แหละมันหากเป็นของมันเอง จริตนิสัยบางรายก็เรียบๆ ไปไม่ค่อยล่อแหลม แต่บางรายผาดโผน นั่นละจึงต้องอาศัยครูอาจารย์ อย่างที่พ่อแม่ครูจารย์มั่นท่านสั่งแม่ชีแก้ว เวลาท่านจะไปท่านสั่งให้หยุดภาวนาเสีย คือไม่มีใครสอนจะมีทางล่อแหลมต่ออันตราย แต่ท่านก็ทิ้งท้ายเอาไว้ว่า ต่อไปจะมีผู้มาสอนอยู่นั้นแหละ สุดท้ายก็เรานี่ละไล่ลงภูเขา ก็อย่างนั้นละเห็นไหมล่ะ

เขาว่า ญาท่าน เขาเคารพที่สุดละคำว่าญาท่าน เคารพสูงสุด ห้ามไม่ให้ภาวนา ทีนี้ต่อไปมันอยากภาวนาเป็นกำลัง หนักเข้าๆ คำที่ท่านห้ามนั้นก็เลยมันชักจะแทรกเข้าไปๆ ตกลงก็เลยทำ แต่ระวังเอา ได้สติอันหนึ่งระวังที่ท่านว่าห้ามไม่ให้ภาวนา ต้องมีอะไรอยู่ในนั้น เมื่อระวังแล้วสิ่งที่เป็นอันตรายก็จะไม่ค่อยมี แกจึงภาวนา พอเราไปแกก็เล่าให้ฟังว่า หลวงปู่มั่นท่านห้ามไม่ให้ภาวนา เราก็เข้าใจทันทีเลย มันมีอันหนึ่งจนได้นั่นแหละ เวลาไปเจอจริงๆ จนได้ไล่ลงภูเขา เห็นไหมล่ะ เป็นอย่างนั้นละ ไล่ลงภูเขาร้องไห้ลงไปเลย ร้องไห้ก็เฉย เพราะน้ำตานี้ไม่เกิดประโยชน์ ธรรมต่างหากที่สอน การไล่ลงไม่ใช่ไล่ลงแบบไล่วัวไล่ควาย แต่ไล่ลงเพื่อเป็นคติอันหนึ่งๆ

เมื่อไม่ฟังแล้วก็ไล่ลงให้ไปคิด ได้สี่วันกลับมา เราไม่ลืม ไล่ลงร้องไห้ลงภูเขา คือมันติดมากขนาดที่จะไม่ฟังเสียงครูเสียงอาจารย์เลย หักห้ามเข้ามาเท่าไรๆ ยิ่งบืนไปๆ สุดท้ายก็ไล่ส่ง ไล่ลงภูเขา ร้องไห้ลงไปเลย ไปก็ไปคิดละซี ก็หวังจะพึ่งครูบาอาจารย์ ฝากเป็นฝากตายกับอาจารย์องค์นี้ ครั้นมาแล้วก็ถูกท่านไล่ลงภูเขา ไม่มีที่ยึดที่เกาะแล้วจะทำยังไง เราว้าเหว่มากทีเดียว ก็มาย้อนคิดถึงว่า การที่ท่านไล่ลงภูเขาเพราะเหตุไร แกก็จับเอานี้ไปคิด ก็คือไม่ฟังคำท่าน เมื่อหนักเข้าๆ ท่านก็ไล่ลงภูเขา ถ้าฟังท่านท่านก็ไม่ได้ไล่ นี่เราไม่ฟัง ท่านว่ายังไงก็เอาคำของท่านมาพิจารณาบ้างซิ นี่ตอนจะรู้สึกตัวนะ ทีนี้ก็เลยปล่อยเรื่องของตัวเอง

ทีแรกมีแต่เรื่องตัวเอง สุดท้ายก็มาสอนเราอีก นั่นซีตอนที่ไล่ลงภูเขา สุดท้ายแกจะมาสอนเราให้เป็นบ้าไปด้วยอีก ก็เราไม่เป็นนี่ แกเอานี้ไปคิด ท่านสอนว่ายังไงถึงไม่ฟังเสียงท่าน ท่านไล่ลงภูเขาก็สมควรแล้ว ถ้าพิจารณาตามท่านบ้างจะไม่ดีเหรอ ทำไมจึงเอาตั้งแต่ทิฐิมานะของตัวเองไปรบท่านๆ ท่านไล่ลงภูเขาสมควรแล้ว เอ้า ที่นี่ลองพิจารณาตามท่านดูซินะ จึงได้ปล่อยเรื่องตัวเองมาพิจารณาตามที่เราสอน วันนั้นพอทิ้งเรื่องของตัวเองแล้วเอาคำของเราที่สอนใส่ลงไปมันก็จ้าเลยที่นี่

พอจิตถอนขึ้นมาเท่านั้นก็หันหน้าไปทางภูเขาที่เราอยู่ กราบไปทางภูเขาเลย เป็นเวลาสี่วันกลับขึ้นไปอีก ถูกขนาบอีก มาอะไรนักปราชญ์ใหญ่ ขึ้นเลย บอกนักปราชญ์ใหญ่มาอะไร เดี๋ยวๆ ให้พูดเสียก่อน นั่นเห็นไหมล่ะ ควรหนักมันต้องหนัก ไม่หนักไม่ได้ ถ้าไม่ถึงขนาดนั้นจะไม่ลง ต้องเอาอย่างหนักเทียว แกไปพิจารณาตามเรามันก็ลงอย่างว่า พอจิตถอนขึ้นมาแล้วก็กราบไปทางภูเขา ตอนบ่ายสามสี่โมงก็ไป ไปก็ถูกขนาบอีก เราอยู่กับเณรหนึ่งบนภูเขา หมู่เพื่อนอยู่ข้างล่าง เวลาประชุมเราก็ลงไปประชุม จำพรรษาบนภูเขา หมู่เพื่อนอยู่ข้างล่าง ที่บ้านห้วยทราย

พอไปวันหลังก็เอาละที่นี่ เราปัดกวาดบ่ายสี่โมง กำลังปัดกวาดอยู่ เลยทิ้งไม้กวาดที่นั่น เณรก็ทิ้งไม้กวาดมานั่งด้วยกัน พวกนี้ก็รุมขึ้นมา ก็เลยพูดกันกับลานหินนั้นเลย ทีแรกก็ว่า มาอะไรนี่นักปราชญ์ใหญ่ เราบอกนักปราชญ์ใหญ่มาอะไร เดี๋ยวๆ ให้พูดเสียก่อนๆ พูดอะไร นี่แกยอม อย่างนั้นนะ จิตนี้เวลามันติดติดจริงๆ ถ้าไม่มีผู้เหนือกว่าแก้ไม่ตก ดีไม่ดีสอนครูบาอาจารย์อีก จะไปตำหนิก็ไม่ได้นะมันติดของมันเอง พอถูกไล่ลงภูเขาก็เอาไปพิจารณาแล้วจิตมันก็ลง ลงแล้วก็ยอมรับ ก็สอนต่อไปอีก จากนั้นแกก็ทิ้งหมดเรื่องของแก เรื่องทุกอย่างทิ้งหมดเลย ยึดเอาเรื่องของเราตลอด มันก็หมุนติ้วเลยละที่นี่ นั่นเป็นอย่างนั้นนะ

จิตตภาวนาเป็นเรื่องสำคัญมาก ไปสอนสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ สอนด้วยความถูกต้องแม่นยำแน่ใจของผู้เป็นผู้สอน ผู้เป็นครูเป็นอาจารย์ผู้น้อยยึดได้ ถ้าสอนสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ อะไรจะพิสดารยิ่งกว่าใจ ใจนี้พิสดารมากทีเดียว สำหรับใจของเราเองมันมีได้หลายอย่าง ผาดโผนก็ผาดโผน ไปเรียบๆ ก็มี บางทีก็ผาดโผนโจนทะยานมาก บางทีก็ไปเรียบๆ แต่สำคัญที่สติ สติติดแนบ หนีสติไปไม่ได้ ปัญญาต้องขึ้นอยู่กับสติเป็นหลักใหญ่ ถ้าสติเอนเอียงแล้วไปเลย ถ้าสติตั้งมั่นไม่ให้ไปแล้วแล้วก็เข้ามานี้

บรรดานักภาวนาที่เป็นลูกศิษย์ลูกหามาที่ผาดโผนมากก็คือแม่ชีแก้ว นี้ผาดโผนมากจริงๆ ถึงขนาดที่พ่อแม่ครูจารย์ห้ามไม่ให้ภาวนา เราไปนี้ห้ามไม่ให้ภาวนา ให้หยุดท่านบอก เพราะท่านรู้แล้วว่าทางล่อแหลมมีมากต่อมาก แต่ท่านก็ทิ้งท้ายไว้ ต่อไปจะมีผู้มาสอนอยู่นั้นแหละท่านว่า มันก็มาโดนเอาอย่างที่ว่า ไล่ลงภูเขา สอนหรือไม่สอน นั่นละมาลงกันจุดนั้นนะ ตอนไล่ลงจากภูเขา ไม่มีที่ยึดที่เกาะเสียใจ จิตใจว้าเหว่ เราหวังจะพึ่งครูอาจารย์นี้ก็ถูกท่านไล่ลงภูเขา แล้วจะไปยึดไปเกาะที่ไหน

แต่ก็ดีอันหนึ่งแกว่า ที่ท่านไล่ลงภูเขาเพราะเหตุไร ก็เพราะไม่ฟังคำท่าน แล้วฟังคำท่านเป็นยังไง เอาพิจารณาดูซิน่ะ เราเอาแต่เรื่องของเราไปอวดท่าน ท่านไล่ลงภูเขานี้สมควรแล้ว เอ้า พิจารณาตามท่านซิ พิจารณาตามนี้มันก็ลงผึงละซิที่นี่ นั่นละที่ว่าพอออกจากที่ภาวนาแล้วหันหน้าเข้าไปภูเขากราบเลย ยอม เป็นอย่างนั้น ตั้งแต่นั้นเกาะติดเลย ทิ้งความรู้ของแกที่ผาดโผนโจนทะยานทุกแบบทุกฉบับทิ้งหมดเลย เอาอันนี้เป็นหลักๆ คือหลักแก้กิเลส อันนั้นไม่ใช่แก้กิเลส มันจะผาดโผนโจนทะยานไปไหนถ้าไม่ใช่เป็นเรื่องกิเลส เป็นไปตามนิสัย ถ้าสติไม่ดีเพลินไปหลง

ทางที่สอนนี้สอนเพื่อแก้กิเลสโดยตรง แกยอมรับ พอยอมรับก็ปล่อยเลย ทีนี้ก็พุ่งๆ เร็วอยู่นะแกเร็วอยู่ พอลงเท่านั้นละเร็วอยู่ เป็นฟืนเป็นไฟ คิดดูซิว่าแกหมุนจะเป็นจะตายอยู่ห้วยทราย เราก็เที่ยวทางอำเภอเขาวง เราหนีไปแล้วหนีจากนั้นไปเที่ยว ไปทางอำเภอเขาวง ก็มีแม่ชีคนหนึ่งอยู่สำนัก แกอยู่นั้นละ แกสั่งแกเสียกำชับกำชาเอาอย่างหนักทีเดียว ไปนี้ถ้าพบอาจารย์มหาบัวที่ไหน ขอนิมนต์ท่านมาให้ได้เลย เวลานี้กำลังจะตาย บอกว่ากำลังจะตาย เราก็ยังไม่ว่าอะไร แกบอกว่ากำลังจะตายเวลานี้ แกว่างั้น เอาท่านมาให้ได้

ก็บันดลบันดาลนะ มาพิจารณาดูพระที่ติดตามเราก็หลายองค์ ไปที่ไหนก็ลำบากการสร้างที่อยู่กุฏิ กระต๊อบลำบาก ที่ห้วยทรายดี แน่ะ เลยกลับมาที่นั่น นั่นละจึงได้เป็นจังหวะที่ดี พอมานั้นก็เอากันใหญ่เลย แกก็ผ่านผึงได้เลย แกผาดโผนมากนะ ที่พ่อแม่ครูจารย์ท่านห้ามไม่ให้ภาวนา เราสะดุดกึ๊กทันทีเลย มันต้องมีแง่ใดแง่หนึ่งแน่นอนที่ท่านห้ามไม่ให้ภาวนา พอแกเล่าขึ้นมา อ๋อ ใช่แล้ว เป็นอย่างนั้นละ ถ้าไม่เหนือกว่ามันมันไม่ยอมละนะความเป็นของตัวเอง ต้องให้เหนือกว่า เหนือหรือไม่เหนือก็ตามเถอะขนาดไล่ลงภูเขาแล้วก็เหนือละใช่ไหม ไล่ลงภูเขาเลยร้องไห้ลงภูเขา

คือว่าอะไรก็ไม่ยอมฟังเรา มันติดความรู้ของตัวเอง แต่ความรู้อันนี้เป็นความรู้ที่เพลินไม่ใช่ความรู้แก้กิเลส เอาความรู้แก้กิเลสสอนนี้ไม่ยอมฟัง เอาแต่ความรู้ตัวเอง นั่นละตอนที่ไล่ลงภูเขา จึงไปเห็นโทษตัวเองกลับพิจารณาตามที่เราว่า นี่เป็นความรู้แก้กิเลสละซิ พอจิตลงผางเท่านั้นละ ลุกขึ้นมาก็กราบ ตอนบ่ายก็ไปเลย ก็อย่างนั้นละ ต้องเอาอย่างหนักไม่หนักไม่ได้ สำหรับเราเองเรียบๆ ก็มี ผาดโผนมากก็มีไม่ใช่ธรรมดา ทีนี้เวลาแกเล่าไปเหล่านั้นมันเข้ากันได้หมดแล้วกับที่เราผ่าน เอาสิ่งที่ผ่านมาแล้วสอน ผ่านไปหมดแล้ว

วันนี้ก็อย่าให้พูดอะไรมากนักเถอะนะเหนื่อยแล้ว วันไหนพูดทุกวันๆ เหนื่อย วันนี้ก็พูดเรื่องภาวนาเล็กน้อย เอ้า ก็พิจารณาไปตามนั้นซิ สติปัญญาอยู่กับตัว กิเลสก็อยู่กับตัว แก้กันอยู่ภายในนั่น อย่าให้พูดมากไปเถอะ (ขออนุญาตครับผม มีคนร่วมทำบุญกฐินสงเคราะห์โลก จากนครปฐม จำนวน ๔,๐๐๐ บาท จะให้แยกหรือจะรวม) รวมไว้นี่แหละ เพราะอะไรมาก็เพื่อโลกทั้งนั้น ไม่ได้เพื่อเรา จะให้แยกด้วยนี้เราตายละ รวมลงจุดใหญ่ก็สงเคราะห์โลกแบบเดียวกันหมดนั่นละ เงินวัดนี้เป็นเงินเพื่อโลกยังบอกแล้วไม่ไปไหน ออกเพื่อโลกทั้งนั้นๆ

(ถวายซื้อเครื่องมือตาเจ้าค่ะ) กำลังหมุนเข้ามารอบด้านนะตา แพงด้วย แต่ละรายๆ เข้ามานี้เป็นล้านๆๆ เครื่องมือตา รอบด้านเวลานี้ เราก็เห็นจุดสำคัญคือตา ตาเป็นสำคัญ แข้งขาอวัยวะง่อยเปลี้ยเดินไปมาอะไรๆ ไม่สะดวกๆ แต่ตายังดีใช้ได้ ตื่นขึ้นมาให้มันเห็นเสียก่อน ร่างกายไปไม่ได้ตาเห็นยังดี ถ้าตาบอดเสียอย่างเดียวขึ้นไปนั่งอยู่บนกองเงินกองทองไม่มีความหมาย เราก็เห็นจุดนี้เพราะฉะนั้นจึงได้ช่วยทางตา เวลานี้ทางตามาก รอบด้านเลย มาแต่ละแห่งๆ นี้เป็นล้านๆ นะเครื่องมือตา ๒ ล้าน ๓ ล้าน มีแต่เครื่องมือดีๆ ถ้าเลอะๆ เทอะๆ หรือชุ่ยๆ ไม่เอา สุดท้ายก็ต้องได้สั่งเมืองนอก ให้เขาสั่งมาเลย

คนมีค่ายิ่งกว่าเครื่องมือที่ว่าราคาแพงๆ คนมีค่ามากกว่านั้น เอ้า เอามาเพื่อคน ตกลงก็เลยได้สั่งเมืองนอกมันจึงแพง แพงมากนะ หมุนรอบด้านเดี๋ยวนี้น่ะ เราก็จะได้เงินมาจากไหนพิจารณาซิพี่น้องทั้งหลาย เงินเหล่านี้ออกเพื่อโลกทั้งนั้น ไม่ได้เพื่อเราเลย เราไม่มีคำว่ากำ เปิดตลอด เปิดออกเพื่อโลกเพื่อสงสาร เราเกิดมาในชาตินี้ให้ได้ทำเต็มหัวใจ เพราะคำว่าหัวใจนี้มันเต็มไปด้วยเมตตาครอบโลกธาตุ จึงไม่มีอะไรจะติดมือ เปิดออกหมด ปัดออกๆ ด้วยอำนาจความเมตตากวาดออกๆ หมดเลย เวลานี้ตาหนักมากกว่าเพื่อน เอ้า หนักก็หนัก อย่างอื่นก็จำเป็น แต่ว่าตานี้สำคัญมาก เราเอาตาเสียก่อน เท่านั้นละ ไม่มีอะไร

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก