เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๙
อำนาจของธรรมกล่อมใจ
ก่อนจังหัน
เรื่องอาหารนี่สำคัญมาก เราอยากจะรู้ความสำคัญระหว่างอาหารกับธรรมนี้ รู้ได้ชัดเจนเรื่องอาหารนะ เพราะฉะนั้นวัดนี้จึง คิดดูซิพระตั้ง ๕๘ มาฉัน ๒๖ หากมีอย่างนั้น เป็นอัธยาศัยของพระแต่ละองค์ๆ ไม่มีใครบังคับ จะอดสักกี่วันๆ ท่านจะทดสอบอยู่ภายในจิตของท่าน ถ้าน้อยไปมากร่างกายเครื่องมือสำหรับใช้เพื่อธรรมก็ร่อยหรอลงไป ทางธรรมจะเจริญ เมื่อร่างกายเครื่องมือไปไม่รอดแล้วก็ไปไม่ได้ แน่ะ ต้องผ่อนผันสั้นยาวให้พอดิบพอดี อาหารสำคัญ ถ้าได้อิ่มหมีพีหมาแล้วเป็นหมาไปเลย เข้าใจไหม ถ้ากินมากๆ อิ่มหมีพีหมาแล้วเป็นหมาไปเลย ไม่ใช่อิ่มหมีพีมันนะ ต้องระวัง
คำเหล่านี้ท่านทั้งหลายเคยได้ยินไหม เราเป็นลูกชาวพุทธไม่ได้ยินกัน บอกไม่ค่อยได้ยินเราไม่อยากพูด ว่าไม่ได้ยินคำพูดอย่างนี้นะ เพราะไม่มีใครสนใจปฏิบัติธรรม ผู้ปฏิบัติธรรมจะเจอเหตุการณ์ต่างๆ ยิ่งภายในจิตนี้พิสดารมาก อย่างพระพุทธเจ้าดูพวกเปรตพวกนรกอเวจีมีเท่านั้นหลุมเท่านี้หลุม ดูจากพระทัยมองเห็นหมดเลย นั่นละตาศาสดาองค์เอกเอามาสอนพวกเรา แล้วพวกเราตาบอดหูหนวก ใจบอดอีกไม่ยอมเชื่อ แล้วจมกันไปๆ พระพุทธเจ้าองค์ไหนน่าที่มาหลอกโลกไม่เคยมี ฟังซิ ทำความปรารถนามา ๑๖ อสงไขยบ้าง ๘ อสงไขยบ้าง ๔ อสงไขยบ้าง นี่ประเภทของพระพุทธเจ้าที่ได้มาสั่งสอนสัตว์โลกเป็นสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบทั้งนั้น จากพระญาณหยั่งทราบเรียบร้อยๆ
ถ้าลงได้หยั่งลงไปแล้วไม่มีอะไรค้านได้เลยพระญาณ ไม่ว่าพระพุทธเจ้า สาวก ความแม่นยำเต็มภูมิของแต่ละพระองค์ๆ นั่นแหละ นี่พระพุทธเจ้าเสียด้วย แล้วไม่มีพระองค์ใดด้วย พระพุทธเจ้ามีกี่พระองค์ จะปฏิเสธว่าบาปไม่มีบุญไม่มี นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี นิพพานไม่มีไม่เคยมี ยอมรับแบบเดียวกันหมด เหมือนพวกเราที่ตาดีหูดีมองไปไหน เขาว่าอันนั้นๆ เป็นอย่างนั้นๆ ไปดูเห็น หมดการปฏิเสธ ยอมรับกันๆ ในบรรดาคนตาดีดูวัตถุต่างๆ แต่คนตาบอดชนแต่ต้นไม้ มันไม่ได้ยอมรับว่ามีว่าเป็น
ขอให้พากันคิดให้ดี พวกเราพวกคนโง่ ขอให้เชื่อผู้ฉลาด ให้ยึดหลักเกณฑ์ของผู้ฉลาด บึกบึน เอ้า ทุกข์ยอมรับไป ทุกข์เพื่อสุขจะเป็นอะไรไป ไอ้สุขเพื่อทุกข์นี่ซิมันจม พวกที่สุขเพื่อทุกข์นี้สุกเอาเผากิน พวกนี้น่ะ อะไรๆ ถูกมือแล้วคว้ามาๆ มันเป็นยาพิษๆ จม ต้องใช้ความพินิจพิจารณาบ้างซิ ศาสดาองค์เอกสอนโลกนี้สอนด้วยความพินิจพิจารณา ถูกต้องแม่นยำทั้งนั้น แล้วพวกเราที่จะรับอรรถรับธรรมควรจะพิจารณาตามศาสดา อย่าวิ่งแต่ตามกิเลสๆ มันจะพาจมกันตลอด ผู้จมก็จมไป ผู้อยู่ข้างหลังกิเลสก็บอกว่านรกไม่มีๆ ปฏิเสธแล้ววิ่งตามกันไป พวกนี้วิ่งตามมันไป เอาละให้พร
หลังจังหัน
(โยมเอาเด็กพิการมาแต่กำเนิดให้หลวงตาพิจารณา) เออ จะว่าไงกรรมของสัตว์ ก็เท่านั้นแหละ เป็นได้ทั่วๆ ไป ท่านจึงว่ากรรมของสัตว์ ใครจะไปคาดไปคิดเอาตามความเห็นของตนไม่ได้นะ ถ้าจะคาดจะคิดตามความเห็นของตน ให้เป็นไปตามความรู้ความเห็นของตนแล้วศาสนาก็ไม่มี ศาสนาอยู่เหนือความรู้ความเห็นของคนมีกิเลสทั้งหลาย กลั่นกรองมาจากพระพุทธเจ้า กมฺมํ สตฺเต วิภชติ ยทิทํ หีนปฺปณีตํ กรรมย่อมจำแนกแจกสัตว์ให้ประณีตเลวทรามต่างกัน ไม่ได้บอกว่าใครจะไปจำแนกได้ กมฺมสฺสโกมฺหิ กมฺทายาโท คือเรามีกรรมเป็นของเรา เราเป็นผู้สร้างกรรมดีกรรมชั่ว กรรมก็มาเป็นของเรา ถ้าดีก็เป็นสมบัติของเรา ถ้าชั่วก็เป็นภัยต่อเรา นี่ละท่านแสดงไว้ ออกจากนั้นสุดท้ายท่านก็ว่า กลฺยาณํ วา ปาปกํ วา ตสฺส ทายาทา ภวิสฺสนฺติ คือกรรมดีกรรมชั่วทั้งหลายนี้มารวมอยู่ที่เรา เราเป็นเจ้าของจะรับผิดชอบ ทำบาปหรือทำบุญเอาไว้เราจะรับผลกรรมนั้นด้วยกัน ท่านบอกไว้แล้ว ใครอย่าไปฝืนพระพุทธเจ้านะ
(ชาวอำเภอพล จ.ขอนแก่น ขอกราบอนุญาตถ่ายทอดภาพและเสียงจากสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน ออกทางเคเบิลทีวีของอำเภอพล และอำเภอชุมแพขอออกทางเคเบิลทีวีด้วย) ไม่มีความเสียหายอะไรไม่ใช่เหรอ (ไม่มีครับ) เขาออกเรื่องของเราๆ ก็เราไม่ใช่เป็นมหาโจรปล้นบ้านปล้นเมืองพอจะออกไม่ได้ใช่ไหม เราทำประโยชน์เพื่อโลกเพื่อสงสาร ออกก็ออกเพื่อประโยชน์แก่โลกสงสารจะผิดไปที่ไหน ไม่เห็นผิด เพราะฉะนั้นเขาจะออกก็ออกได้เลย เราเล่าเรื่องเล่าราวตามความดีชั่ว จากความเคลื่อนไหวของคนเรานั้นแหละ เป็นยังไงต่อยังไง พูดไปตามนั้นเท่านั้นเองไม่เห็นมีอะไร
เราเสียดายตอนพ่อแม่ครูจารย์มั่นยังมีชีวิตอยู่ เสียดายอย่างถึงใจจริงๆ ไม่ใช่ธรรมดา เสียงธรรมอย่างหลวงปู่มั่นที่ท่านแสดงนี้ไม่เคยมีในชีวิตของเราว่าได้ยินจากใคร ไม่มี ได้ยินจากหลวงปู่มั่นหรือพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี้เท่านั้น แต่นั้นไม่มีเครื่องอัด อะไรเหล่านี้ไม่มี เวลาท่านเทศนาว่าการ คือจิตมันขยับ ที่พระพุทธเจ้าแสดงธรรมแต่ละครั้งๆ บรรดาสัตว์โลกบรรลุมรรคผลนิพพานมีจำนวนไม่น้อย ดูเป็นหมื่นๆ แสนๆ บอกจำนวนก็มี บอกจำนวนไม่น้อยก็มี
แต่ก่อนที่เรายังไม่ได้ออกปฏิบัติ และยังไม่มีหลักมีเกณฑ์ภายในจิตใจพอจะเป็นเครื่องเทียบเคียงกัน ก็ไม่ค่อยมีข้อหนักแน่นอะไรมากนัก แต่พอปฏิบัติเข้าไป จิตใจมีหลักมีเกณฑ์เป็นเครื่องรับกันๆ ได้มาฟังเทศน์พ่อแม่ครูจารย์มั่นนี้แหม จึงได้พูด ก็มันเป็นในตัวของเราเอง ตาก็เห็นอยู่ หูก็ได้ยินอยู่ อะไรๆ ก็เหมือนปรกติ แต่มีธรรมชาติอันหนึ่งหลักใหญ่ก็คือใจ ปรากฏว่ามันดับอยู่ถึงสามวันจากการฟังเทศน์ท่าน ฟังซิน่ะ อะไรดับก็ไม่รู้นะ ถ้าพูดให้มันตรงๆ ก็คือว่ากิเลสไม่ได้ออกเพ่นพ่าน ธรรมตีหัวมันไว้ถึงสามวันจากเทศนาของท่าน เราเลยไม่ลืม ก็เป็นหนเดียวเท่านั้น
ท่านเทศน์ระยะแรกๆ นี้ถึงสี่ชั่วโมง พระนั่งอยู่เหมือนหัวตอเหมือนไม่มีคน เงียบ เสียงของท่านกังวาน สี่ชั่วโมง ลดลงมาสามชั่วโมงถ้าท่านประชุมเทศน์วันไหน เพราะไม่มีใครนี่ มีแต่พระล้วนๆ เทศน์อยู่ในป่า แล้วก็ลดลงมาสองชั่วโมง จากนั้นแล้วก็หยุดเลย ฟังเทศน์ท่านนี่ฟังซิสามสี่ชั่วโมง ไม่ได้สนใจกับเวล่ำเวลา ทุกอย่างขึ้นอยู่กับใจ ใจไม่ดีดไม่ดิ้น ใจมีธรรมเป็นเครื่องเกาะเกี่ยวเป็นเครื่องอาศัย เป็นเครื่องเสวยเสียเท่านั้นเองเย็นไปหมด เป็นอย่างนั้นนะ นั่งสี่ชั่วโมงนี้ไม่รู้ว่าความเหน็ดเหนื่อยเป็นยังไง ไม่สนใจ คือจิตได้ดื่มธรรมเสียอย่างเดียวเท่านั้น
ทีนี้เวลามันมีหลักมีเกณฑ์เป็นเครื่องวัดกัน ก็เอาอันนี้แหละวัดกับธรรมท่าน เช่นเวลานี้เรากำลังพิจารณาติดอยู่จุดนั้นๆ เวลาท่านเทศน์ไปพอจวนถึงจุดนั้น ทีนี้จ่อละเรา จ่อของเราให้มันรับกัน พอมาถึงนั้นท่านผ่านปึ๋งเลย ก็ท่านรู้แล้วเรายังไม่รู้ ผ่านปึ๋ง โดดตามท่านได้ก้าวหนึ่งก็เอา สองก้าวก็เอา ฟังอยู่เรื่อยๆ ก้าวไปเรื่อยๆ ที่นี่มันก็ย้อนไปคิดถึงเรื่องพระพุทธเจ้าแสดงธรรม บรรดาสัตว์ได้บรรลุมรรคผลนิพพานจำนวนไม่น้อย หรือว่าเป็นหมื่นๆ แสนๆ ก็มีบอกไว้ จำนวนไม่น้อย ที่นี่เชื่อ เพราะหัวใจแต่ละหัวใจมันค่อยขยับไปอย่างเดียวกันสำหรับผู้ปฏิบัติธรรม หรือผู้มีอุปนิสัยปัจจัยที่จะควรรู้ควรเห็นได้อย่างรวดเร็วก็เกาะติดๆ ไปเรื่อยๆ นั่นแหละ เชื่อเลยที่นี่
เทศน์แต่ละครั้งนี้ขยับขึ้นเรื่อยนะจิต ท่านเทศน์แต่ละครั้ง คือท่านถอดออกมาจากหัวใจท่านจริงๆ ท่านไม่มีอะไรสงสัย เทศน์ตรงไหนๆ แม่นยำๆ ทีนี้ผู้ฟังก็เพลินซิ ไม่ได้มีคำว่าเห็นจะ ไม่เคยมีพ่อแม่ครูจารย์มั่นเทศน์นี่ เห็นจะไม่เคยมีเลย มีแต่ต้องๆ ด้วยความเด็ดเฉียบขาดจากความรู้จริงเห็นจริงของท่านออก นั่งสี่ชั่วโมงนี้ โอ๋ย เวล่ำเวลาไม่สนใจ ท่านจบลงแล้วยังเพลินอยู่ นี่ละอำนาจของธรรมกล่อมใจ แน่ว ทีนี้ผู้ที่อยู่ในขั้นความสงบนี้ พอท่านเทศน์ปั๊บเข้าแล้วเข้าสู่ความสงบแน่วเลย ต่างกันกับผู้ก้าวเดินทางวิปัสสนาปัญญา
ผู้ก้าวทางด้านวิปัสสนาทางด้านปัญญานี้จะขยับตามนะ ใจดวงเดียวนี้แหละเวลามันอยู่ในขั้นนั้นเป็นอย่างนั้น ขั้นนี้เป็นอย่างนี้ เมื่อจิตก้าวออกทางด้านปัญญาแล้วเทศน์นี้มันจะไม่อยู่นะ ขั้นความสงบ นิ่งเหมือนแม่กล่อมลูกด้วยบทเพลง ลูกก็หลับไปเลย อันนี้จิตก็แน่วลงเลย นี่จิตเข้าสู่ความสงบ ทีนี้พอจิตก้าวออกทางปัญญานี้ขยับตามนะไม่อยู่ ท่านเทศน์นี้ขยับตามๆ เรื่อยๆ ไปเลย เราพูดจริงๆ เราไม่ได้ประมาทครูบาอาจารย์องค์ใด แต่ที่เราฟังมานี้ยกนิ้วให้เลย มีพ่อแม่ครูจารย์มั่นองค์เดียวเท่านั้นที่เราได้ยินได้ฟังเต็มหูเต็มตาของเรา จึงว่าลงอย่างสุดขีดกับพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี้นะ ท่านจะเอาอะไรจากเรามอบถวายได้เลย
ถ้าว่ามหาองค์นี้มันโง่จะตาย ให้เป็นหมามันก็เป็น ให้เป็นหมูมันก็เป็น ให้เป็นอะไรมันก็เป็นหมด มันยอมรับหมด จะเอามันไปฆ่าได้ไหม ได้เลยทันที นั่นเข้าใจไหม ยังเหลือแต่ฆ่านะ ให้เป็นหมูมันก็เป็น ให้เป็นหมามันก็เป็นด้วยความพอใจเคารพเลื่อมใส ทีนี้ก็ยังเหลืออยู่แต่ เอามันไปฆ่าจะได้ไหมมันโง่จะตายไป มหาองค์นี้ใส่หมาเข้าไปมันก็เงียบอะไรมันก็เงียบ เอ้า เอามาฆ่าเสีย มอบเลย นี่ละจิตถ้ามันได้ลงแล้วเป็นอย่างนั้น หมอบๆ หมอบราบๆ เลย มีองค์เดียวเท่านั้นที่เราฟังเทศน์มานี้
เสียงท่านกังวานเสียงบรรจงด้วย ทีนี้พอธรรมะท่านออกมากๆ พุ่งๆ มาก บรรจงก็เร่งเครื่องเหมือนกันนะ หากเร่งเครื่องตามนิสัยบรรจง ถ้าเป็นนิสัยคล่องตัวรวดเร็วไปนี้มันก็เร็วของมัน พุ่งๆ ไปเลย อย่างพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี้เป็นนิสัยบรรจง เหมือนกับว่าช้างเดินข้ามทุ่งนา น่าดูช้างเดิน นี้ท่านแสดงธรรมก็แบบเดียวกัน โอ๊ย ฟังแล้วนิ่มทุกอย่างพูดไม่ถูกเลย เวลาท่านเร่งของท่านก็เหมือนช้างวิ่ง อู๊ย น่าฟังมาก มีองค์เดียวที่ถึงใจจริงๆ จนกระทั่งทุกวันนี้เรายังไม่ลืม ธรรมะของท่านที่เข้าถึงใจเราหมอบราบๆ นี้ไม่เคยลืมเลย
เห็นท่านแม้ที่สุดรูป รูปที่ตั้งอยู่ข้างหน้านี่ เราเดินฉากมาข้างหน้า พอเห็นท่านหมอบเลย หมอบในหัวใจ นี่ๆ รูปนี่ นั่นละถ้าลงได้ลงแล้ว มองเห็นที่ไหนเมื่อไรแล้วหมอบ ภายในจิตหมอบทันทีๆ เลย นี่ละเรียกว่าเคารพอย่างถึงใจ มีท่านเท่านั้นที่เอาเราได้ จะว่าตัวทิฐิมานะก็ไม่ผิด อย่างที่ว่าถกเถียงกับท่านนี้ไม่มีใครสู้แหละ ก็มีเรา ถกเถียงหาอะไร หาเหตุหาผลหาหลักหาเกณฑ์ตามนิสัยของเรา อะไรถ้ามันไม่แน่ใจอย่างนี้ การปฏิบัติทางความพากเพียรมันก็ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ถ้ามันลงจุดไหนแล้วทุ่มเลยๆ นี่ละที่ถกเถียงท่านตรงไหนที่มันยังลงกันไม่ได้นี่ถกเถียงท่าน คือถกเถียงหาหลักความจริงที่จะลง พอท่านว่างั้นหมอบปั๊บ ทีนี้พุ่งเลย ไม่มีอะไรเสียดายละถ้าลงลงอย่างนั้น นี่ละที่ว่าถกเถียง
ท่านก็ไม่มีอะไรกับเรานะ เพราะท่านรู้จักนิสัยเรา ครูบาอาจารย์หรือบรรดาลูกศิษย์ลูกหาท่าน นับแต่ชั้นผู้ใหญ่มาโดยลำดับเราก็ทราบมาเป็นลำดับ จนกระทั่งทราบต่อหน้าต่อตาว่าเพื่อนฝูง ครูบาอาจารย์ที่มาเล่าให้ฟังนี้ บรรดาลูกศิษย์หลวงปู่มั่นไม่มีใครจะหัวแข็งเหมือนท่านมหาว่างั้นก็มี ท่านมหานี้เถียงเก่ง ว่าอย่างนั้นก็มี เราฟังด้วยหูของเราเอง เถียงเก่งมากว่างั้น ไม่มีใครจะเถียงพ่อแม่ครูจารย์มั่นได้เลย แต่ท่านมหานี้นักเถียง สู้ไม่ถอย เวลาหมอบก็หมอบจริงๆ ถูก ยอมรับ ตรงไหนที่ลงแล้วหมอบทันทีเลย ทีนี้ทุ่มเลย ถ้าลงได้ลงแล้วทุ่มทั้งตัวเลย ถ้าไม่ลงมันคาราคาซังยังไง เพราะฉะนั้นจึงต้องโต้ตอบหรือซักกันหาความสัตย์ความจริง ทีนี้โลกเขาเป็นโลกกิเลสมันก็เข้าใจว่าถกเถียงอะไรๆ กันไป แต่ภายในใจไม่มี ทีนี้ท่านไม่มีอยู่แล้ว กับเราหาความจริงนี้มันก็เข้ากันได้ ท่านไม่เห็นมีอะไรกับเรา
เวลาขึ้นเวทีฟัดกันนี้กับท่านของง่ายเมื่อไร แล้วก็ธรรมดาๆ คือท่านเป็นธรรมล้วนๆ แล้ว เราก็มุ่งเพื่อธรรมเพื่อความสัตย์ความจริงมันก็เข้ากันได้ซิ คนอื่นเขามาฟังไม่ทราบ พอโว้กเว้กขึ้นมานี้ นี่ทะเลาะกันแล้ว ไปนั่นเลย เขาไม่เข้าไปแง่ธรรมะ เราเข้าแง่ธรรมะ เป็นอย่างนั้นละ นี่รูปของท่านอยู่ข้างหน้าศาลา ตอนเราผ่านมานั้น พอมองเห็นปั๊บหมอบทันทีๆ ไม่เคยพลาด พอมองเห็นปั๊บหมอบทันทีเลย ลงตลอดๆ บรรดาครูอาจารย์ที่แตกฉานมากในสมัยปัจจุบันนี้ยกนิ้วให้หลวงปู่มั่นเลย ทางภายในก็เอา เทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมมานี้เปิดจ้าไปหมดเลย
บางทีพวกเทวดาเขามาขอร้อง ท่านเล่าให้ฟัง เวลาเขามาฟังเทศน์ท่านตอนกลางคืน มาทุกชั้นของเทวโลก ฟังซิมีหรือไม่มี นี่พ่อแม่ครูจารย์มั่นเป็นผู้พูดนะ ท้าวมหาพรหมก็มา นู่นของง่ายๆ เมื่อไร เทวโลกคือสวรรค์ ๖ ชั้นขึ้นไปหาพรหมโลก รวมแล้วเรียกว่าเทวโลก มาทั้งนั้น ทีนี้เวลามาแล้ว เขาขอพรจากท่าน เวลาท่านไปบิณฑบาตที่เขารวมใส่บาตร เขาจะมีโต๊ะเล็กๆ หรือเก้าอี้เล็กๆ เก้าอี้ป่านั้นแหละ ให้ท่านได้นั่ง แล้วเขาก็ห้อมล้อมคอยรับฟังคำอนุโมทนาจากท่าน พอรับบาตรเสร็จแล้วท่านก็มานั่งปั๊บ ท่านก็ให้พร พอให้พรแล้วเขาก็สาธุ แล้วก็กลับไป
ทีนี้พวกเทพทั้งหลายเขามาขอพรจากท่านว่า ขอให้ท่านได้เตือนประชาชนที่เขาใส่บาตร พวกเทพนะ เวลาเขาใส่บาตรท่านท่านก็อนุโมทนาให้เขานั้น ขอให้เขาสาธุดังๆ เทวบุตรเทวดาสาธุการอยู่ทุกแห่งทุกหนเขาจะได้รื่นเริงบันเทิง นี่พวกหัวหน้าเทพมาขอร้องจากท่าน ท่านก็เตือนเขา เวลาให้พร เอ้า พวกสู บางทีพวกในป่านะ สูสาธุดังๆ นะ ให้พวกเทวบุตรเทวดาทั้งหลายได้ฟังบ้างซิ ท่านว่างั้น ท่านไม่ได้บอกว่าเขาขอร้องท่าน เขาก็สาธุลั่น ทีนี้พอเทวดาทั้งหลายเขามาเฝ้ามาฟังเทศน์ท่าน อู๋ย เขาพออกพอใจ เขารื่นเริงบันเทิงได้ยินคำประชาชนสาธุการกับเวลาตุ๊เจ้าหลวงให้พร นั่นละเป็นอย่างงั้น พวกเทพมาขอร้อง
ท่านพูดกับลูกศิษย์ลูกหาท่านพูดธรรมดาเหมือนเราพูดทั่วๆ ไปกับประชาชน เพราะท่านรู้เหมือนกันหมดเลย แต่ในสถานที่ไม่ควรจะพูดเหมือนไม่รู้ไม่ชี้นะ ท่านจะไม่เอามากล่าวเลย พอถึงขั้นท่านพูดนี้ โอ๋ย จะแจ้งไปหมดเลยพวกเทพ นี่ก็ออกมาจากองค์ศาสดา เทวบุตรเทวดา ดังที่ท่านแสดงพุทธกิจห้า อฑฺฒรตฺเต เทวปญฺหากํ ตอนเที่ยงคืนท่านแก้ปัญหาเทศนาว่าการสอนพวกทวยเทพทั้งหลาย นี่ก็อยู่ในโปรแกรมหรืออยู่ในโครงการพุทธกิจห้าข้อของท่านเหมือนกัน คือตอนสามสี่โมงทรงแสดงธรรมโปรดประชาชนทั้งหลาย มีพระมหากษัตริย์เป็นต้น
พอตกค่ำเข้ามาประทานพระโอวาท ปโทเส ภิกฺขุโอวาทํ แก่บรรดาพระเจ้าพระสงฆ์ทั้งหลาย นี่วาระที่สอง วาระที่สาม อฑฺฒรตฺเต เทวปญฺหากํ แก้ปัญหาและเทศนาว่าการอบรมพวกทวยเทพทั้งหลาย สี่ ภพฺเพภพฺพา วิโลกานํ เล็งญาณดูสัตวโลกจากพระญาณ เล็งญาณดูสัตวโลก ใครจะมีอุปนิสัยปัจจัยนิสัยแก่กล้าขนาดไหนแล้วมาเกี่ยวข้องกับชีวิตสั้น พระองค์จะเสด็จไปโปรดคนนั้น พอหลังจากนั้นแล้วเสด็จไปโปรดเขา ปุพฺพเณฺห ปิณฺฑปาตญฺจ ตอนเช้าเสด็จออกบิณฑบาตโปรดสัตว์อีกประเภทหนึ่ง เสด็จออกบิณฑบาต เขาได้เห็นได้ยินก็เป็นมงคลแก่หูแก่ตาของเขาอย่างมากทีเดียว ท่านรับสั่งอะไรๆ นี้ จะเป็นมหามงคลๆ จากเวลาท่านเสด็จออกบิณฑบาต
นี่ละพุทธกิจห้า พระพุทธเจ้าทรงทำเอง เรื่องของศาสดาจึงต่างจากโลกอยู่มาก ไปที่ไหนเป็นมงคลสูงสุดๆ พูดนี้ก็มาจากพ่อแม่ครูจารย์มั่น ที่จิตใจเรานี้ลง ลงสุดขีดเลยกับพ่อแม่ครูจารย์มั่น เรียกว่าลงสุดขีด ดูซินั่นรูปของท่านอยู่หน้าศาลาใหญ่ ออกมาทีไรไม่เคยพลาด หากเป็นหลักธรรมชาติของจิตที่มีความเคารพเทิดทูนท่านอย่างสุดหัวใจอยู่แล้ว พอมองเห็นปั๊บจิตมันจะหมอบทันทีๆ เลย นี่รูปข้างหน้า
ให้พากันตั้งอกตั้งใจปฏิบัติศีลธรรมนะ จิตใจมีตั้งแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้กันทั่วโลกดินแดน เรื่องของกิเลสเป็นอย่างนั้น จะก่อความสงบร่มเย็นให้โลกไม่เคยมี ก่อฟืนก่อไฟเผาโลกมีทั่วโลกดินแดน เพราะไม่มีธรรม ถ้ามีธรรมสงบร่มเย็น ให้พากันปฏิบัติธรรม จิตใจตัวดีดตัวดิ้นไม่มีใครเกินใจ ใจตัวคึกตัวคะนอง ตัวดีดตัวดิ้น เอาคำบริกรรม ถ้าผู้ฝึกหัดจิตใจใหม่ๆ ให้เอาคำบริกรรมปิดช่องที่มันจะคิดเรื่องฟืนเรื่องไฟเผาไหม้ตัวเองออกมาทางสังขารคือความคิดปรุง
แล้วเอาความคิดปรุงทางด้านธรรมะ เช่นพุทโธ หรือธัมโม หรือสังโฆ บทใดก็ได้ปิดช่องมันไว้ เอาสติจับไว้ตรงนั้น จิตจะมีความสงบร่มเย็น หนักเข้าๆ จิตตั้งฐานได้ เป็นความสงบร่มเย็น เป็นพื้นฐานเป็นลำดับลำดา จนกระทั่งก้าวเข้าสู่สมาธิเป็นหินทั้งแท่งเลย จิตที่เป็นสมาธิจริงๆ เหมือนหินนะ แน่นปึ๋งเลย แต่ได้แค่นั้นนะ จากนั้นก้าวออกทางด้านปัญญา ทีนี้แพรวพราว สว่างกระจ่างแจ้งรอบไปๆ กว้างออกๆ ลึกซึ้งๆ ทางด้านปัญญา พร้อมทั้งดูเรื่องภายนอก พร้อมทั้งดูกิเลสของตัวเอง ตามทันกันทุกประเภทๆ พ้นทุกข์ไปเลย เป็นขั้นเป็นตอนอย่างนี้ ให้ท่านทั้งหลายฟัง
จิตให้มีธรรมเป็นที่เกาะที่ยึด อย่าเอาอารมณ์ของกิเลสที่มันติดอยู่กับหัวใจเราตลอดเวลา พอเคลื่อนปั๊บกิเลสจะออกแล้ว เร็วที่สุดนะกิเลส ไม่มีใครตามทันง่ายๆ ละ ถ้าสติตามทัน สตินี้ก็ต้องอาศัยครูบาอาจารย์เป็นผู้ชี้แนะ ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้จักเอามาใช้แหละ สติมีอยู่ก็ไม่ใช้ มันก็คิดสะเปะสะปะไป เห็นสัตว์เห็นบุคคลดูถูกเหยียดหยาม ชมเชยมีน้อยมากนะ แต่ดูถูกเหยียดหยามมีมากในหัวใจของสัตว์โลก คนนั้นไม่ดี คนนี้ไม่ดี ตำหนิคนนั้นตำหนิคนนี้ดะไปหมด มีแต่คนไม่ดีทั่วโลก คนดีคือเราคนเดียว แต่รวมแล้วคนชั่วก็คือเราคนเดียวนี้แหละ มันอาละวาดทั่วโลกดินแดน อย่างเงียบๆ นะ ไปไหนเอาไฟไปเผาเขา แล้วว่าตัวสร้างความดี มีแต่ความดีด้วยการยกโทษเขา จำไหมล่ะพวกนี้ เอาละพอ
(เดี๋ยวนี้ลูกเวลายืนเดินนั่งนอน ไม่ว่าอะไรมันจะเย็นอยู่ที่กลางอกตลอดเจ้าค่ะ) ใช่ๆ ยอมรับทันที (เวลาพูดกับใครก็ตามมันก็ยังอยู่ตรงนี้) อันนี้เป็นตัวของตัวตลอด อันนั้นเพียงผ่านปั๊บๆ ตัวของตัวตลอด เอาละถูกต้องแล้ว (แล้วลูกเอาตรงนี้ตลอดใช่ไหมคะ) เออ ตลอด แล้วถึงเวลาที่จะพิจารณาทางด้านปัญญา แยกธาตุแยกขันธ์ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา พวกกองเนื้อกองหนังเอ็นกระดูกอะไรๆ ให้ตีแตกกระจัดกระจายออกไป เพื่อมันจะได้ปล่อยวางสิ่งที่มันยึดถือ ถึงเวลาเช่นนั้นที่เรียกว่าปัญญาก็ให้ใช้ ถ้าให้อยู่แต่ความสงบอย่างเดียวก็ได้เท่านั้น (ถ้ากำหนดแล้วมันเย็นมากนี่ลูกจะใช้ดูกาย พอดูกายมันจะชัดแจ๋ว พอมันไม่ชัดลูกจะกลับมาพุทโธแล้วก็เย็น สติอยู่ตรงนี้ตลอด) เออถูกต้องแล้ว เวลาจะพิจารณาทางด้านปัญญาดังที่ว่าให้พิจารณานะ อันนี้จะเบิกกว้าง ซึ้งมาก
ตอนนี้เอาระยะนี้ก่อน พอออกจากระยะนี้ออกพิจารณาทางด้านปัญญา เบิกกว้างๆ เวลาเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าด้วยการพิจารณาทางด้านปัญญาแล้วย้อนเข้ามาสู่สมาธิสงบ เรียกว่าพักงาน (แต่เวลาทำงานลูกดูกายไปด้วย มันเหมือนภาวนาอยู่ตลอด) นั่นแหละถูกต้อง ภาวนาอยู่ตลอด อัตโนมัติ เหมือนกิเลสบังคับบัญชาสัตว์โลกให้ทำงานตามอำนาจของมันเป็นอัตโนมัติ ทีนี้พอสติปัญญามีกำลังแล้วมันปราบกิเลสแก้กิเลสเป็นอัตโนมัติเหมือนกัน จะเดินเหินไปไหนทำหน้าที่การงานอะไรก็ตาม จิตมีแต่จะตามฆ่ากิเลสตลอดเป็นอัตโนมัติ ไม่อย่างนั้นแก้กันไม่ตก พอถึงขั้นสติปัญญาเป็นอัตโนมัติแล้วกิเลสอยู่ที่ไหนตามต้อนกันได้หมดเลย เข้าใจแล้วนะ เอาละพอ ให้พร
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |