เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๙
อยู่ใต้อำนาจของกิเลสไม่มีชิ้นดี
ก่อนจังหัน
วันนี้พระเท่าไร (๒๗ ครับผม) ก็อยู่ในราวนี้ ๒๗-๒๘ หรืออย่างมากก็ ๓๐ พระ ๕๘ นะ องค์ไหนไม่ฉันท่านก็ไม่มา แล้วเราไม่ให้มาเกี่ยวข้องกับกิจวัตรเป็นความสามัคคีกัน ออกเป็นพิเศษทั้งหมด อดกี่องค์ไม่ฉันกี่องค์ตัดออกหมดไม่ให้เข้ามายุ่ง ให้ทำหน้าที่ภาวนาอย่างเดียวเท่านั้น เราอนุโลมให้หมดเกี่ยวกับเรื่องการเด็ดเดี่ยวฆ่ากิเลส เพราะเรื่องฆ่ากิเลสมันยากจริงๆ ไม่ใช่เล่นๆ เราเคยพูดเสมอกับพระกับเณรเรา พูดยังไง ก็มันโดนอยู่ในหัวใจเราที่ฟัดกับมันมาแล้ว พอจ่อเข้าไปหาจิตไฟมันอยู่นั่น มันเผาทีเดียวหงายเลย ทีนี้ไม่มีทางไปทางธรรม แล้วก็ไปทำนั้นแก้รำคาญทำนี้แก้รำคาญ เพราะฉะนั้นพระเราจึงชอบสร้างนั้นสร้างนี้ว่าเป็นการแก้รำคาญ มันเพิ่มรำคาญไม่รู้นะ
คือพอเข้าไปนี้ไฟของกิเลสมันแสดงเป็นเปลวอยู่นี้ พอสติเข้าไปนี้มันตีหงายตาย ที่ได้พูดมานี้เราผ่านมาหมดแล้ว เป็นเวลา ๙ ปีเต็ม พรรษา ๗ ออกมาก็เข้าถึงพ่อแม่ครูจารย์มั่น จนกระทั่งพรรษา ๑๖ มีแต่อันเดียวฟัดกันเลยๆ จึงได้เห็นฤทธิ์ของกิเลส คือมันจะไม่ให้สติกับปัญญาเข้าไปได้เลย กิเลสจะทำงานตลอดเวลา ฟุ้งๆ พอจ่อสติปัญญาเข้าไปมันตีหงายๆ ทีนี้ก็รำคาญที่จะเข้าไปหามัน ก็ไปทำอันนั้นบ้างทำอันนี้บ้าง เรารู้หมดเรื่องของพระนี่ จึงได้ว่าให้พระ ว่ามันก็ไม่ฟังคือมันสู้กิเลสในหัวใจไม่ได้
ที่พูดมาเหล่านี้ฟัดหมดเลยนะ การมาเทศน์สอนท่านทั้งหลายจึงเอาแต่ของจริงออกมาสอน นิสัยเป็นอย่างนี้ดังท่านทั้งหลายเห็นจริงจังมาก ว่าเป็นเป็น ว่าตายตายเลยเทียว ถ้าลงได้ลงใจแล้วเอาตายเข้าว่าเลย เพราะฉะนั้นจึงขึ้นเวทีฟัดกับพ่อแม่ครูจารย์มั่น เถียงกันกับท่านละซี พระทั้งวัดแตกมาฮือๆ ทำไมจึงต้องไปเถียงท่าน มาเป็นลูกศิษย์ลูกหาท่าน เถียงหาความจริง ถ้ามันไม่ลงแล้วมันจะคาราคาซัง ความเพียรไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย พอลงปั๊บนี่ยอมรับแล้วนี้ผึงขาดสะบั้นไปหมดเลย นี่ละที่ถกที่เถียงหาจุดลงตัว เหตุผลพร้อมแล้วทีนี้หมอบเลย แล้วก็มอบทั้งหมดเลย ถ้าไม่ลงมันไม่ลงนะ
เห็นนักภาวนาเราไปทำนั้นทำนี้ เราขวางหูขวางตา เพราะเราเคยทำมาแล้วเป็นเวลา ๙ ปี ไม่มีอะไรแตะได้นะ เพราะนิสัยเราเป็นนิสัยคนตับเดียว ถ้าว่าอะไรขาดไปเลยๆ นี้จะออกปฏิบัติเพื่อพระนิพพานอย่างเดียว ขอให้ได้เป็นพระอรหันต์ในชาตินี้ แน่ใจแล้วว่ามรรคผลนิพพานรออยู่แล้วสำหรับผู้ปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพาน ไปลงใจกับพ่อแม่ครูจารย์มั่น จากนั้นก็ทุ่มเลยเทียว ในเวลา ๙ ปีนี้ไม่มีอะไรเข้ามายุ่ง กิจการงานอะไรมีไม่ได้เลย ถึงขนาดนั้นละ ๙ ปี มีตั้งแต่ฟัดกับนี้อยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งวาระสุดท้ายมันก็สู้เราไม่ได้ หงายเลย
ตั้งแต่กิเลสหงายลงไปแล้วไม่มีอะไรกวนใจ หมด สิ่งกวนใจคือกิเลส สมมุติก็คือกิเลสเป็นยอดสมมุติ ฟาดตัวนี้ขาดสะบั้นลงไปแล้วไม่มีอะไรกวนใจ อยู่ที่ไหนสบายหมด คนเดียวเท่านั้นสบายแสนสบาย คนนั้นมายุ่งคนนี้มายุ่งมันรำคาญนะ เช่นเราเดินออกมานี้ พอเห็นเขาก็รุมใส่เลย ปัดๆ ทางนี้เดินเรื่อยเอาตัวรอด ทางนี้ปัดโบกออกไม่ให้เข้ามายุ่งเรา อารมณ์อันเดียวพอ อารมณ์ที่เลิศเลอคืออารมณ์อันเดียวของผู้สิ้นกิเลส พูดให้ชัดๆ ไม่มีอะไรเข้ามาเจือปน สกปรกทั้งนั้น อันนั้นอันเดียวอยู่ไหนสบายหมด ไม่มีกลางวันกลางคืน อิริยาบถไม่มี ถ้าจิตได้พรากจากสมมุติโดยประการทั้งปวง ก็กิเลสเป็นยอดสมมุติ เสียโดยสิ้นเชิงไม่มีเหลือแล้วแสนสบาย อยู่สบายๆ
เพราะฉะนั้นจึงได้สอนพระสอนเณรเน้นหนักๆ เพราะเคยผ่านมาแล้วทั้งนั้น มันหนักขนาดไหน เอาลงๆ หาวิธีการ อย่างที่ท่านอดอาหารเหล่านี้เป็นวิธีการช่วยนะ อดอาหารสติจะดี ปัญญาจะคล่องตัว พอฉันอิ่มมันจะอืดอาด สติจะผิดจะพลาดๆ จับไว้ ผ่อนอันนั้นลงสติค่อยดีๆ ทีนี้คนเราไม่ได้กินมันก็จะตายจะทำไง ก็อดบ้างอิ่มบ้างเป็นธรรมดาแต่ฟัดไม่ถอย อย่างนี้ละประกอบความเพียร ไม่มีอะไรเกินกิเลส งานสามแดนโลกธาตุนี้ไม่มีงานอะไรที่จะหนักที่สุดเหมือนงานฆ่ากิเลส
เพราะฉะนั้นท่านจึงว่า วุสิตํ พฺรหมฺจริยํ กตํ กรณียํ พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำคือการละกิเลส ได้ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว กิจอื่นที่จะยิ่งกว่านี้ไม่มี นั่นละท่านเสร็จงานเวลานั้นละ ท่านเรียกว่า วุสิตํ พฺรหมฺจริยํ ตั้งแต่นั้นมาไม่มีอะไรเข้ามายุ่งกวนใจเลย มีกิเลสเท่านั้นรวมตัวลงไป มีกิเลสเท่านั้น พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้วโลกธาตุนี้ว่างหมด ก็มันว่างจากกิเลสตัวสมมุติยอดสมมุตินั่นเอง มันกวนใจตลอดเวลา มีมากมีน้อยจะกวนตลอดเวลา เอาจนขาดสะบั้นไปหมดไม่มีอะไรกวน พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ หมดสิ่งกวนใจ ท่านทรงวิมุตติล้วนๆ หรือว่าบรมสุข คือกิเลสไม่กวน
นั่นละการประกอบความพากเพียร เราจึงเน้นหนักทางด้านความพากเพียรแก้กิเลส กับพระทั้งหลายเหล่านี้เราไม่ไปยุ่งกวนท่านนะ งานการอะไรที่เราจะช่วยโลกก็ช่วยเป็นเรื่องของเราไป ของพระนี้ไม่เข้าไปแตะต้องนะ ให้ท่านประกอบความพากเพียรเต็มเม็ดเต็มหน่วย จะได้เห็นเรื่องราวระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกัน ว่าอำนาจของใครเก่ง ถ้าหากเรื่องของธรรมเก่งแล้วก็เลิศ ผู้นั้นใจดวงนั้นเลิศ ถ้าสู้กิเลสไม่ได้หมอบๆ เลว จะไปนั่งอยู่ที่ไหนก็เถอะ สูงขนาดไหนก็สูงตั้งแต่ความสมมุติ หัวใจต่ำให้กิเลสเหยียบอยู่นั้นดีเมื่อไร อยู่ใต้อำนาจของกิเลสไม่มีชิ้นดีเลย ท่านทั้งหลายให้จำเอาไว้
เราที่สอนนี้เราเอาออกมาจากเวที เราลงเวทีมาแล้วมาสอนบรรดาพี่น้องทั้งหลาย จึงไม่มีคำว่าผิดไป สอนอะไรเด็ดขาดๆ เพราะแน่ทุกอย่างแล้วไม่มีที่สงสัย ควรจะเป็นอย่างนี้ใช่หรือไม่ใช่นา ไม่มี เพราะเราสอนด้วยความแม่นยำ เนื่องจากผ่านมาแล้วทั้งนั้นๆ การฆ่ากิเลส กิเลสมันเป็นภัยอยู่ทุกหัวใจคนนั่นแหละ อย่าไปเห็นว่าอยู่กับวัดกับวากับพระกับเณร อยู่กับตัวของเราทุกคนๆ ที่หาความสุขไม่ได้ก็เพราะกิเลสกวน กิเลสเหยียบย่ำทำลาย กิเลสเผาหัวใจนั่นเอง พอกิเลสเบาลงๆ ความสงบร่มเย็นปรากฏขึ้นมาๆ ฟาดกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้วโลกธาตุนี้ว่างเปล่าไปหมด ท่านจึงเรียกว่า สุญฺญโต โลกํ ดังที่ท่านสอนพระโมฆราช
พระโมฆราชเป็นมานพ ๑ ใน ๑๖ คน ผู้นี้จะได้บรรลุธรรมอย่างรวดเร็ว พระองค์จึงยกคนนี้ขึ้น สอนภาษิตย่อๆ เพราะผู้นี้จะบรรลุธรรมอย่างรวดเร็ว ว่า
สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ โมฆราช สทา สโต
อตฺตานุทิฏฺฐึ อูหจฺจ เอวํ มจฺจุตฺตโร สิยา
เอวํ โลกํ อเวกฺขนฺตํ มจฺจุราชา น ปสฺสติ
ดูก่อนโมฆราช เธอจงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ ฟังซิว่าสติขาดได้เมื่อไร จงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ ดังที่ท่านสอนว่า สติ สพฺพตฺถ ปตฺถิยา สติจำต้องปรารถนาในที่ทั้งปวง ไม่มีข้อยกเว้น นี่ก็ยกให้พระโมฆราช เธอจงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ พิจารณาโลกให้เป็นของสูญเปล่า ถอนอัตตานุทิฏฐิที่เป็นก้างขวางคอออกเสีย ว่าเขาว่าเรานั่นแหละก้างขวางคอ แล้วจะข้ามพ้นพญามัจจุราชเสียได้ พญามัจจุราชจะตามไม่ทันผู้พิจารณาโลกเป็นของว่างเปล่าอยู่อย่างนี้ สุดท้ายแห่งพระโอวาทพระพุทธเจ้าพระโมฆราชทูนสนองพระองค์ บรรลุธรรมปึ๋งเลย นั่นพระโมฆราช
ทีนี้รวมลงมา เอาเถอะน่ะ ขอให้กิเลสขาดสะบั้นลงไปจากใจเป็นพระโมฆราช โดยหลักธรรมชาติเหมือนกันหมด เราอย่าไปมอบให้แต่พระโมฆราชทั้งๆ ที่กิเลสเต็มหัวใจเรา จะฟาดมันขาดสะบั้นให้โลกว่างได้เหมือนกัน อย่าไปมอบให้พระโมฆราช ต้องเอามาหาเราซิ เอาให้มันหนักนะ ไม่มีอะไรที่จะเลิศเลอในโลกอันนี้ เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายดูเอาก็รู้กิริยาท่าทางที่พูดนี่เป็นยังไง การพูดนี้พูดด้วยความสัตย์ความจริงไม่สงสัยทุกแง่ทุกมุม ทั้งเด็ดเดี่ยวเฉียบขาด ทั้งนิ่มนวลอ่อนหวาน เป็นภาษาของธรรมที่เต็มไปด้วยเมตตาทั้งนั้น
เรื่องความโมโหโทโส กิเลสสิ้นไปแล้วจะเอาความโมโหโทโสมาจากไหน ไม่อย่างนั้นจะว่ามันสิ้นเหรอ ค้นหาไหนก็หาเถอะน่ะถ้าว่าสิ้นแล้วไม่มี เอา ดูให้ชัดเจน ค้นดูกระเป๋าท่านทั้งหลายน่ะถ้ากระเป๋าแห้งไม่มีเงินสักสตางค์ ค้นจนกระเป๋าขาดมันก็ไม่มี นี่จึงเรียกว่าเงินหมด กิเลสหมดก็แบบเดียวกัน ไม่มีอะไรกวนใจละที่นี่ เลิศเลอสุดยอด นั่นละนิพพานเที่ยงจ้าอยู่ในนี้ ที่พูดมีอันนี้ละมันจ้าอยู่ครอบโลกธาตุ ไม่ใช่พูดธรรมดานะ
มองดูแล้วมันมีแต่ส้วมแต่ถาน แต่มูตรแต่คูถเต็มบ้านเต็มเมือง เต็มเขาเต็มเรา ยศถาบรรดาศักดิ์สูงต่ำขนาดไหนมีแต่อาหารโอชารสของกิเลสคือมูตรคือคูถ มาเหยียบย่ำทำลายหรือมาเสริมบ้างให้คนเป็นบ้ากันเท่านั้นแหละ จิตเข้าถึงธรรมชาติแล้วไม่มีอะไรมาเสริม ไม่ว่าดีว่าชั่วตกออกหมดเป็นส่วนเกิน ขาดสะบั้นไปหมด นั่นละจำให้ดี เราเห็นพี่น้องทั้งหลายสนใจในอรรถในธรรม เอ้อ มีหวัง เหมือนคนตกน้ำในมหาสมุทรทะเลหลวงว่ายน้ำลอยน้ำป๋อมแป๋มๆ หาฝั่งหาฝาไม่มี แล้วจะเอาความหมายมาจากไหน ก็รอตั้งแต่ลมหายใจจะขาดในท่ามกลางมหาสมุทรเท่านั้น
อันนี้เราไม่มีที่ยึดที่เกาะ พุทโธ ธัมโม สังโฆ การให้ทานรักษาศีลภาวนาไม่มีเราจะเกาะอะไร นี่ละที่ว่ามันไม่มีที่เกาะ เอา เกาะ เกาะทาน เกาะศีล เกาะภาวนา เกาะให้ดี มันจะอยู่ในท่ามกลางมหาสมุทรก็เหมือนเราอยู่บนเรือในท่ามกลางมหาสมุทร เราอยู่สบายไม่จมน้ำ สิ่งที่เราเกาะคือความดีของเราจะท่ามกลางวัฏวนก็ตามไม่ทุกข์ มีบุญกุศลสมภารเป็นที่เกาะแล้วอยู่ได้สบายๆ สุดท้ายพ้น พ้นเลย พากันจำให้ดี
โลกนี้ยิ่งหนาขึ้นทุกวันๆ เราพูดจริงๆ จวนจะตายเท่าไรแทนที่จะมาห่วงเจ้าของไม่ได้ห่วงนะ ดูโลกดูจริงๆ ไม่ใช่ธรรมดา เห็นจริงๆ รู้จริงๆ ไม่ได้มาพูดอุตริ นั่นละธรรมพระพุทธเจ้าจึงว่าโลกวิทู รู้แจ้งโลกนอกโลกในตลอดทั่วถึงเต็มภูมิของศาสดาและสาวก แล้วท่านจะพูดผิดพลาดไปไหนล่ะ ถ้าลงได้เห็นชัดเจนในจิตใจ ตั้งแต่กิเลสที่มันบีบหัวใจท่านมากี่กัปกี่กัลป์ พอความเพียรด้วยอรรถด้วยธรรมฟาดเข้าไปนี้กิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้ว กิเลสตัวไหนมีล่ะ จ้าขึ้นมามันก็รู้เองนั่นแหละ เอาละให้พร
หลังฉัน
แมวตัวนั้นจับได้ไหม(ไม่ได้ครับ) นั่นเห็นไหมพระทั้งวัดความเซ่อ เรียกว่าเซ่อกันทั้งวัด มีฉลาดตัวเดียวคือแมวตัวนี้ เอากันทุกคืน ฟังเสียงกลางคืนมาพาบพีบๆ ไม่ทราบว่ากี่คืนแล้ว ก็ยิ่งไปเสริมสติปัญญาให้แมว มันยิ่งระวังตัว เมื่อคืนนี้เราก็เลยมาบอก เอาละพักเสียก่อน ดูว่าไล่มันทุกคืนไม่เคยได้เลย ก็ยิ่งเตือนสติปัญญาให้มันระวังตัวมากขึ้นๆ พระทั้งวัดไปที่ไหนมีแต่ไฟฉายส่องแมว เลยให้พักเสียก่อน ให้มันเผลอตัวสักหน่อยแล้วค่อยเอา นี่บอกแล้วให้พักเสียก่อน เวลานี้เขาระวังตัวมาก จับไม่ได้แหละ ไปที่ไหนมีแต่ไฟฉาย เขาก็หลบเข้าป่า เลยให้หยุดเสียก่อน ให้เขาตายใจสักหน่อย หยุดจนกระทั่งเขาตายใจแล้ว ได้จังหวะแล้วเอาละที่นี่
แมวนี่ได้เข้าวัดตัวไหนแล้วมันแปลกอยู่ ถ้าลงได้เข้าวัดแล้วจับหางดึงออกนี้หางขาดก็ไม่ยอมออก แมวเข้ามาวัดป่าบ้านตาด ถ้าตัวไหนได้เข้ามาแล้ว จับหางดึงออกหางขาดมันก็ไม่ยอมออก พอจับได้แล้วทีนี้ไปปล่อย ปล่อยก็ปล่อยแบบเนรเทศ ลูกศิษย์ลูกหามาจากที่ต่างๆ บางทีมาจากขอนแก่นบ้าง บุรีรัมย์บ้าง สุรินทร์บ้าง อุบลบ้าง หนองคายบ้าง จังหวัดเลยบ้าง ได้แมวแล้วให้เขาเอาไปปล่อย เขาอยู่จังหวัดไหนเขาก็ไปปล่อย ปล่อยแบบเนรเทศเลย เป็นร้อยๆ นะ ถ้าตัวไหนได้เข้าไม่ยอมออก มันแปลกอยู่นะ เดี๋ยวนี้กำลังไล่เอากันอยู่ กี่คืนแล้วไม่รู้ ซัดกันอยู่กับแมวตัวเดียว เราก็เลยให้พักเสียก่อน ให้เขาตายใจสักหน่อยแล้วค่อยเอาเวลาได้จังหวะ
ยิ่งเร่งจะจับแมวเท่าไรแมวยิ่งฉลาด เลยไม่เห็นกระทั่งตัวมัน เป็นอย่างนั้นละ มันฉลาดนะแมว ตัวไหนถ้าลงได้เอาไปปล่อยแล้วเป็นเนรเทศทั้งนั้น ใครอยู่จังหวัดไหนเขาก็ไปปล่อยจังหวัดเขา นู่นถึงอุบลก็มีไปปล่อย อุบล จังหวัดเลย บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ สุรินทร์ ไปหมดแมวเอาไปปล่อย โห มันฉลาดนะ ได้เข้านี้แล้วจับไม่ได้ง่ายๆ จับก็แบบด้วยความสงสาร แบบหยอกแบบเล่นอยู่ในนั้นไอ้เรานี่นะ ไม่มีอะไรจริงจังกับเขาแหละ แต่ถ้าเรื่องสั่งให้จับแมวก็เราละสั่ง แต่จิตใจจะไปจริงจังกับแมวจริงๆ ไม่เห็นมี รักเมตตาอยู่ในนั้นแหละ ถ้าจะปล่อยไว้นี้แล้วสัตว์ในวัดนี้หมด พวกกระจ้อนกระแตกลางวันมันก็กินได้ กลางคืนพวกหนู มันหากินตลอด ต้องเอาไปปล่อยที่ไกลๆ งูก็จับ ในวัดนี้สำหรับงูจับ แมวจับ
พอฉันเสร็จแล้วเราก็ไปทุกวัน ถ้าวันเสาร์-วันอาทิตย์มักจะไปตามวัด ถ้าวันราชการก็ไปตามโรงพยาบาลต่างๆ เมื่อวานนี้ก็ด้นดั้นเข้าไปภูพาน เอาของไปให้โรงพยาบาลภูพาน เป็นป่าเป็นเขา กันดารมาก เราจึงได้เอาไปให้เสมอ ไม่ค่อยให้ขาด พวกอาหาร พวกข้าวสาร พวกอะไรก็แล้วแต่ พวกน้ำปูน้ำปลา น้ำมันพืช น้ำตาล แห่งละถุง ถุงละ ๕๐ กิโลน้ำตาล ไปทุกโรงๆ เมื่อวานนี้ก็ดูว่าไปภูพาน คือไปมาแล้วตอนเช้านี้ตอนบ่ายระลึกไม่ได้นะ ไม่ทราบว่าไปที่ไหน
นี่ละความจำหดเข้ามาๆ ไปวันนี้ตอนเช้ากลับมาตอนค่ำระลึกไม่ได้ ความจำเสื่อม แต่อันไหนที่มันติดอยู่ในความจำมันมีอะไรๆ ของมัน อย่างนี้มันก็ไม่ลืมนะ ไม่ใช่ว่าจะลืมเสียทุกอย่าง บางอย่างที่มันติดของมันเองมันไม่ลืม ดังที่เคยพูดให้ฟังขบขันจะตายไป มีอีตาหนึ่งที่ว่าเขายกขบวนมาจากบ้านใหญ่เขา เขาจะย้ายครอบครัวออกมา มาอยู่จะว่าตีนเขาก็ไม่ผิดละ มีกองครอบครัวเขา นี่กองหนึ่งนั่นกองหนึ่งเป็นแถวไป ใครอยู่ตรงไหนเขาจะปลูกบ้านที่นั่น กองครอบครัวของเขามาวางไว้ที่ไหนเขาก็จะปลูกบ้านที่นั่นๆ
ทีนี้เราอยู่บนภูเขาก็ทราบว่าเขาย้ายบ้านมาจากบ้านใหญ่มาอยู่ที่นี่ สี่ห้าหลังคาเรือน เราก็เลยไปบิณฑบาตกับเขา สี่ห้าหลังคาเรือน นี่ละที่มันไม่ลืมมันก็ไม่ลืมนะ มันหากมีขบขันอยู่ในนี้แหละ คือแกดีใจจนจะตาย พอไปบิณฑบาตบ้านนั้นเรียกว่าหนึ่งทับ ครอบครัวของเขาวางไว้เป็นครอบครัวๆ ทางอยู่ในป่านั่นแหละ เราทราบเราก็ไปบิณฑบาตสุดท้าย หนึ่งมาจากนู้นละ หนึ่งครอบครัว สองครอบครัว มาถึงครอบครัวที่ห้า อีตาคนนี้ละแกอยู่นั้น เป็นคนสุดท้าย
บิณฑบาตมานี้แกก็ดูว่าอาจหาญดีนะ มันควรจะเข้าสู่ความจำมันถึงไม่ลืม อย่างอื่นทำไมมันลืมของมัน อันนี้มันไม่ลืมมันก็ไม่ลืมก็เล่าให้ฟัง พอมาถึงบ้านสุดท้ายนี้ลูกของแกก็ใส่บาตร พอใส่บาตรแกยืนดูอยู่ ปุ๊บปั๊บออกมาเลย บิณฑบาตได้อะไรบ้างไหมล่ะ แกว่าอย่างนั้นนะ ลักษณะอาจหาญ บิณฑบาตได้อะไรไหมล่ะ แกมาจับดูบาตร พอมอง อู๊ยตายขึ้นเลย ไม่ได้อะไรสักนิดหนึ่ง ได้ข้าวสามสี่ปั้น..ข้าวเหนียว สูรีบๆ บอกลูก สูรีบตำน้ำพริกน้ำปลา แกก็ไปควบคุม เอาพริกเอาอะไรลงในครกแล้วตำ แกบอกว่านิมนต์รอ เราก็ยืนรออยู่นั้น แกก็ปุบปับๆ ๆ
ที่ตำก็คือปลาร้าดิบ แกตักออกมาจากไหมาเทลงในครก ก็ตำไปเรื่อย พอเสร็จแล้วแกก็ห่อ แกใส่เองนะคราวนี้ ปุ๊บปั๊บมาวางปุ๊บ เออ อย่างนี้ค่อยยังชั่วหน่อย แกบอกว่า เอ้อ ต้องอย่างนี้ค่อยยังชั่วหน่อย กินแต่ข้าวเปล่าๆ มีอย่างเหรอ แกดีใจ แต่หารู้ไม่ว่าปลาร้าที่แกตำใส่มามันเป็นปลาร้าดิบ เราก็อยู่คนเดียวในป่าจะทำสุกเองก็ไม่ได้ พระวินัยห้าม อันโตวุฏฐะ อันโตปักกะ สามปักกะ มีสาม คือท่านละเอียดลออ ไม่ให้นำอาหารไปเก็บไว้ภายใน เช่น ในกุฏิ อันโตวุฏฐะ อันโตปักกะ สามปักกะ คือไม่ให้ทำสุกเอง ห้ามไม่ให้พระทำ เรื่องราวเป็นอย่างนั้น
ทีนี้พอแกมาใส่แล้ว เอ้อ อย่างนี้ค่อยยังชั่วหน่อยแกว่า พูดด้วยความดีใจนะ มีแต่ข้าวเปล่าๆ มีอย่างเหรอ แกว่าอย่างนั้น แกดีใจมาก แต่แกหารู้ไม่ว่าปลาร้าคือปลาร้าดิบ เราไม่พูดอะไรเพราะเอาน้ำใจแก เข้าใจไหม เราก็ยืนรออยู่นั้น เห็นอยู่แกทำ พอใส่บาตรแล้วเราก็ไป ขึ้นไปก็จะมีปัญหาอะไรก็รู้อยู่แล้วตั้งแต่เขาทำ ไปก็ไปจับเอาออกแล้วก็ฉันข้าวเปล่าๆ มันก็ไม่ลืมนะ เขาดีใจก็พอ เราไม่ให้เขารู้ เขาจะเสียเส้นใจ เขาพอใจ เป็นอย่างนั้นนะ
ที่จำได้มันก็เป็นของมันอย่างนี้ ไอ้ที่มันเป็นมามากต่อมากมันจำไม่ได้ เหมือนไม่มีๆ ที่จำได้ก็อย่างนี้แหละ อยู่ในภูเขา ลงจากภูเขามาบิณฑบาต ซึ่งเขาย้ายจากบ้านเก่าจะมาอยู่บ้านใหม่มาตั้งที่นั่น ๓ กิโลกว่าไม่ไกลนัก ถ้าเข้าในหมู่บ้านประมาณสัก ๕ กิโล แต่เราไปแค่นี้พอ บิณฑบาตกับหมู่บ้านเขา เวลาออกเที่ยวกรรมฐานเราอย่าไปถามนะเรื่องความสมบูรณ์พูนผล เรื่องอาหารการอยู่การกินที่หลับที่นอนอย่าไปถาม เพราะผู้ปฏิบัติอันนั้นท่านก็ไม่ถามถึง จิตของท่านมุ่งใส่ธรรมอย่างเดียว
ขอให้ได้ปฏิบัติธรรมด้วยความสะดวกสบายเป็นที่พอใจ ท่านพอใจกับสถานที่ที่บำเพ็ญ การอดอยากขาดแคลนกินเมื่อไรก็ได้ จะไปหาที่สมบูรณ์ไปเมื่อไรก็ได้ แต่สมบูรณ์ทางธรรมนี้หายาก ต้องเอาทางนี้ให้หนักๆ เพราะฉะนั้นพระกรรมฐานที่มุ่งอรรถมุ่งธรรมจริงๆ สมบุกสมบันทั้งนั้นแหละ ครูบาอาจารย์ที่มีชื่อมีเสียงโด่งดังสอนพวกเราอยู่ทุกวันนี้ อย่างลูกศิษย์หลวงปู่มั่นเรานี่มีแต่ท่านผู้สมบุกสมบันทั้งนั้นแหละ
ธรรมมักเจริญในที่เช่นนั้น ในที่สมบูรณ์พูนผลด้วยอาหารการอยู่การกินไม่มี เราอยากพูดชัดเจนอย่างนี้มันไม่มีจริงๆ สมบูรณ์พูนผลเรื่องอาหารการกินนี้ธรรมแห้งผากๆ อดอยากขาดแคลนทางอาหารการกินแต่ธรรมนี่เจริญๆ เป็นอย่างนั้นผู้ปฏิบัติธรรม ครั้งพระพุทธเจ้าท่านทรงอดพระกระยาหาร ๔๙ วัน นี่ท่านมุ่งเพื่อตรัสรู้ด้วยการ อดอาหารล้วนๆ ท่านไม่มีจิตตภาวนาเข้าแฝง หากท่านมีจิตตภาวนาเข้าแฝงในระยะนั้นท่านอาจจะตรัสรู้ธรรมในระยะนั้นก็ได้
แต่นี้ได้ลงพระทัยตอนที่พระราชบิดาพาไปแรกนาขวัญ ไปประทับนั่งอยู่ร่มหว้าใหญ่ภาวนาระลึกถึงอานาปานสติ กำหนดลมหายใจเข้าออก จิตสว่างไสวอยู่ในนั้นเกิดความอัศจรรย์ ท่านมาระลึกได้จุดนั้น ที่อดอาหารมากี่วันท่านก็ไม่ระลึกอันนี้ได้นะ พอท่านระลึกนี้ได้หยุดอดอาหาร ทีนี้จะเสวยพระกระยาหาร ที่ว่านางสุชาดาเอาข้าวมธุปายาสไปถวาย ๔๙ ชิ้นนั่นละ ก็พอดีพระสรีระของท่านกำลังเบาหวิวๆ พอเสวยพระกระยาหารเสร็จแล้วก็เข้ากับจุดที่ถูกต้องดีงาม คือจิตตภาวนาอานาปานสติ นั่นเข้ากันได้ปุ๊บเลย
จึงต่อกันเป็นลำดับ ปฐมยามก็บรรลุ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ทรงระลึกชาติย้อนหลังได้กี่ภพกี่ชาติ ร่องรอยของพระองค์เอง คือเคยเกิดเคยตายมาจากสถานที่ใด เป็นภพใด ภพสัตว์ภพบุคคล เทวบุตรเทวดา ภพนรกอเวจีอะไร จะเป็นจิตดวงนี้เป็นผู้สมบุกสมบันเป็นนักท่องเที่ยว ทีนี้พอปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ทรงระลึกชาติย้อนหลังได้ในปฐมยาม ตอนวันหน่อย ตั้งแต่ทุ่มหนึ่งไปถึงสามสี่ทุ่ม บรรลุธรรม ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติย้อนหลังของพระองค์ได้หมด เคยเกิดเป็นอะไรๆ มา เพราะจิตดวงนี้ไม่เคยตาย ไปเป็นร่องเป็นรอยไปโดยลำดับลำดา เป็นแต่เพียงเจ้าของจำร่องรอยเจ้าของไม่ได้ ถูกลบไปหมดด้วยความหลงลืมในภพชาตินั้นๆ
ทีนี้พอบรรลุธรรมนี้ปั๊บเปิดร่องรอยให้เห็น นี่เรียกว่าปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติย้อนหลังได้ มัชฌิมยามก็บรรลุจุตูปปาตญาณ บรรลุเรื่องความเกิดความตายของสัตว์ทั้งหลายนี้ที่เป็นเหมือนท่าน จนได้เป็นชาติย้อนหลัง ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ แล้วสัตว์ทั้งหลายเป็นยังไง พิจารณาดูสัตว์ยิ่งมากต่อมาก แต่ละรายๆ เป็นแบบเดียวกันหมด โถ ทำไมถึงมากมายเอานักหนา การเกิดการตายเปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติสถานที่อยู่บาปบุญเปลี่ยนไปเรื่อยๆ หาที่แน่นอนไม่ได้ เอ้า คราวนี้เกิดเป็นมนุษย์ พลิกปั๊บไปนี้ไปเป็นสัตว์ก็มี เป็นสัตว์ทุกประเภทไหนที่ควรแก่กรรมของตัวไป ปั๊บไปสวรรค์ก็มี พรหมโลกอย่างนั้นก็มี นี่ละร่องรอยของจิต
มัชฌิมยามพิจารณาดูสัตว์ทั้งหลายที่เกิดตายๆ มันก็เหมือนพระองค์ ยิ่งมากกว่าพระองค์อีก โถ ทำไมมันถึงมากมายเอานักหนา การเกิดการตายของสัตว์โลกนี้หาความสงบไม่ได้เลย ที่จะยุติเช่นวันเสาร์-วันอาทิตย์พักงานแห่งการเกิดตายของสัตว์ไม่มี มีแต่เกิดตายๆ ไม่ว่ากลางวัน กลางคืน ยืน เดิน นั่ง นอน ตายได้ทุกแห่งทุกหน ตายได้ทุกเวล่ำเวลา เปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติได้ทุกระยะกาล นี่ละอำนาจแห่งกรรม จำเอานะท่านทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายที่ว่าเกิดตายๆ เป็นเหมือนพระองค์
ทีนี้ก็ประมวลเอาเรื่องปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ที่พระองค์ทรงเคยเกิดเคยตายมาแล้วกี่ภพกี่ชาติมาบวกกันกับจุตูปปาตญาณ คือสัตว์ทั้งหลายเหมือนเราไหม เกิดตายเหมือนเราไหม อู๋ย ยั้วเยี้ย มากต่อมาก จึงประมวลทั้งภพชาติของพระองค์และภพชาติของสัตว์ ที่มาเกิดมาตายอยู่ไม่หยุดไม่ถอยนี้ เป็นมาเพราะอะไร นี่ละที่จะเข้าหาปัจจยาการ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา อะไรเป็นสาเหตุให้สัตว์ทั้งหลายเกิดตายๆ ไม่หยุดไม่ถอย ทุกแห่งทุกหนไม่มีที่ว่างหรือเว้นที่สัตว์จะเกิดจะตายไม่ได้ไม่มี นั่น จึงทรงเล็งญาณ อะไรเป็นสาเหตุให้พาให้เกิดให้ตาย
ย้อนตามเข้าไปๆ เรียกว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา อวิชชานี้เป็นรังใหญ่ตัวดันความคิดความปรุงเพื่อเป็นภพเป็นชาติ บาปบุญคุณโทษจะออกจากอวิชชาดันออกไป ปจฺจยา สงฺขารา เกิดสังขารเกิดภพเกิดชาติเรื่อย เพราะอันนี้ ตีเข้าไปๆ ก็ไปถึงรากเหง้าของภพของชาติแห่งสัตว์ทั้งหลาย คืออวิชชาเป็นต้นเหตุ พอเข้าไปถึงอวิชชาก็ถอนรากแก้วของมันพรวดขึ้นมาหมด อวิชฺชายเตวฺว อเสสวิราคนิโรธา สงฺขารนิโรโธ พออวิชชาดับเท่านั้นทุกสิ่งทุกอย่างดับหมดไม่มีอะไรเหลือเลย
นั่นละที่ว่าตรัสรู้ธรรม ตรัสรู้ที่ถอนรากแก้วคืออวิชชาออกจากใจ นั่นบรรลุธรรม ไปจาก จุตูปปาตญาณ ดูความเกิดความตายของสัตว์ทั้งหลาย ทั้งเขาทั้งเรา ประมวลมาแล้วอันนี้อะไรเป็นสาเหตุให้พาเกิดพาตาย สูงๆ ต่ำ ลุ่มๆ ดอนๆ ไล่กันไปๆ จึงไปถึงตัวเหตุคืออวิชชา พอไปถึงนั้นแล้วก็ถอนรากแก้วคืออวิชชาออก.อวิชฺชายเตวฺว อเสสวิราคนิโรธา สงฺขารนิโรโธ ออกโดยสิ้นเชิง นั่นละตรัสรู้ธรรมตรงนั้นเอง จวนจะสว่างวันเพ็ญเดือนหก ตรัสรู้ธรรมเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมาตรงนั้น อวิชชาดับ
นี่เราพูดถึงเรื่องอะไร อย่างนี้ละจำไม่ได้ ให้ฟังไปตามประโยคที่พูดก็แล้วกัน ที่จะเอาความจำมากางให้ท่านทั้งหลายทุกแง่ทุกมุม เราจำไม่ได้แล้วทุกวันนี้ พูดไปมันเป็นปัจจุบันไปเรื่อยๆ พอจบแล้วหายเงียบไปเลย ความจำไม่เป็นท่า ที่มันเป็นท่าพอจำได้ก็อย่างที่ไปบิณฑบาต เขาเอาห่อหมกมาใส่บาตร เอ้อ ต้องอย่างนี้ค่อยยังชั่วหน่อยแกว่า เราจำได้อันนี้ เพราะเขาดีใจมาก เขาได้ห่อใส่บาตรเรา แต่เขาไม่รู้เรื่องเรา เขาเป็นฆราวาส เราเป็นพระ อาหารการกินชีวิตจิตใจของเราต้องอยู่ในกรอบของพระวินัย ทีนี้ปลาร้าก็ปลาร้าดิบ ไปก็เอาออกเฉยๆ นั่นน่ะที่ว่าจำได้ นี่ละที่ว่าอวิชชาดับ อวิชชาดับนั้นคืออวิชชาเป็นยอดสมมุติ กิเลสอวิชชาคือยอดสมมุติ ทำอันนี้ขาดสะบั้นลงไปแล้ว ยอดสมมุติทั้งมวลไม่มีเหลือภายในพระทัย เป็นใจที่บริสุทธิ์ล้วนๆ นั่นละตรัสรู้ธรรม ถึงแดนนิพพาน พ้นจากทุกข์
เรียกว่าสมมุติไม่มีเลยในจิตของพระอรหันต์ จะยังเหลืออยู่ตั้งแต่ธาตุแต่ขันธ์นี้ ธาตุขันธ์คือสกลกายของเรา รูปก็คือรูปกาย เวทนาความสุขความทุกข์มีอยู่ภายในกาย ส่วนในจิตหมดแล้วจากจิตพระอรหันต์ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็มีนิดๆ ที่มันหมุนไปหมุนมาอยู่ในขันธ์นี้เป็นสมมุติ ส่วนจิตเป็นจิตตวิมุตติหลุดพ้นไปหมดแล้วจากสมมุติทั้งมวล เพียงแต่รับผิดชอบในธาตุขันธ์อยู่เป็นวันๆ ไปเท่านั้นเอง พออันนี้หมดสภาพที่จะสืบต่อไปแล้วขาดสะบั้น เขาเรียกว่าตาย พออันนี้ขาดพับ จิตที่รับผิดชอบก็คือจิตที่บริสุทธิ์ดีดผึงเท่านั้น เป็นอันว่าหมด อนุปาทิเสสนิพพาน จิตบริสุทธิ์ล้วนๆ ไม่มีสมมุติ มีขันธ์เป็นต้น เข้าไปเกี่ยวข้องเลย นั่นเรียกว่า อนุปาทิเสสนิพพาน สอุปาทิเสสนิพพาน คือท่านผู้บรรลุธรรมแล้วธาตุขันธ์ยังครองตัวอยู่ ท่านก็รักษาไปอย่างนั้นแหละ ให้พากันจดจำเอา
ประเทศไทยเราเป็นเมืองพุทธ เวลานี้เป็นเมืองเปรตเมืองผีไปหมดแล้ว มันไม่มีศาสนาติดหัวใจ มีแต่ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหาเต็มบ้านเต็มเมือง แสดงออกจุดไหนๆ เอาไฟเผากันๆ ก็ถือว่าเป็นความดีงามของพวกเปรตพวกผีกินไม่อิ่มไม่พอนี้ทั้งนั้นแหละ มันกินไม่พอพวกนี้ ก็คือพวกชาวพุทธเรานี้แหละ ฟังให้ดี ชาวพุทธเรานี้แหละที่ว่าถือพุทธศาสนา ถือพระพุทธเจ้าเป็นพ่อเป็นแม่ พวกชาวพุทธเราลูกเต้าหลานเหลนเรานี้เหยียบหัวพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์อยู่ ด้วยการปฏิบัติแบบกิเลสตัณหาครอบหัวใจมัน เอาส้วมเอาถานไปโปะหัวพระพุทธเจ้า
บาปบุญนรกสวรรค์ไม่มี นิพพานไม่มี มีแต่ความทะเยอทะยานดีดดิ้นไม่มีฝั่งมีฝาในหัวใจนี้เท่านั้น อันนี้มี ตายแล้วจมไปเลยๆ มีทางจม ทางจะเจริญฟื้นฟูมีไม่ได้ถ้าไม่เชื่อคำสอนพระพุทธเจ้า ถ้าเชื่อคำสอนพระพุทธเจ้ามีบอกตรงๆ เพราะท่านสอนในสิ่งที่มีที่เป็น สิ่งไม่มีพระพุทธเจ้าไม่มาสอนโลก ท่านสอนด้วยความมีความเป็นจริงๆ พระพุทธเจ้ารับสั่งตรงไหนแล้วไม่มีผิด ที่จะลูบคลำมาสอนโลกไม่มีในบรรดาพระพุทธเจ้าทั้งหลาย จึงเรียกว่า สวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว ไม่ว่าธรรมขั้นใดภูมิใด จนกระทั่งถึงนิพพานเป็นธรรมที่ชอบทั้งนั้น
แต่กิเลสตั้งแต่พ่อแม่ปู่ย่าตายายของกิเลสมาถึงลูกเต้าหลานเหลน นี้จอมโกหกทั้งนั้น ไปเที่ยวลบล้างบาปบุญนรกสวรรค์ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ด้วยความเป็นจอมปราชญ์ จะไม่ให้มีในโลก ให้มีแต่ฟืนแต่ไฟเผาหัวมันเท่านั้น เข้าใจไหม พวกเราจะเป็นลูกชาวพุทธหรือลูกไฟเผาหัวมันล่ะ จำได้หรือยัง นี่ว่าหยุดแล้วมันขึ้นยังไงอีก เอาละพอ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |