เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๓ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๙
กิเลสสิ้นสมมุติสิ้น
ก่อนจังหัน
วันนี้คนมาก คนใส่บาตรมากวันนี้ เราออกไปดูอะไรๆ จะต้องสั่งเสีย ยุ่งมาก วันนี้ไปดูแล้วสั่งเสียอะไรๆ ทางด้านนู้น ไปทีไรเป็นอย่างนั้นแหละ ไปเที่ยวดูหมด กลับมาก็สั่งให้จัดให้ทำให้เรียบร้อย กลับเข้ามาก็พอดีพระบิณฑบาตจะมาถึงแหละ พระก็มาก ประชาชนก็มาก ใจบุญใจกุศล ศีลธรรมมี เรียกว่าเป็นใจที่มีความหวังมีหลักมีเกณฑ์ ใจที่มีศีลมีธรรมเป็นใจที่มีหลักมีเกณฑ์มีเครื่องรับรอง ความเป็นอยู่ ความเคลื่อนไหวไปมาในภพชาติต่างๆ ของเราอยู่ที่ใจ ถ้าใจสร้างตั้งแต่ความชั่วช้าลามก ก็เท่ากับสร้างฟืนสร้างไฟเผาตัวเอง
ไม่มีใครเกินศาสดาที่สอนโลกได้ถูกต้องแม่นยำ ในโลกอันนี้ไม่มี นอกนั้นเป็นแต่พวกคลังกิเลสทั้งนั้น ลูบๆ คลำๆ ไป ถ้าของจริงมันไม่สนใจให้เชื่อ ถ้าของปลอมนี่คว้ามับๆ พระพุทธเจ้าตรัสรู้มาเรียกว่าตรัสรู้ธรรมของจริง สิ่งที่รู้ที่เห็นแล้วนำมาสั่งสอนโลกจึงเป็นธรรมของจริงทั้งนั้นไม่มีหลอกเลย ใครที่ว่าพระพุทธเจ้าหลอก ไม่เชื่อพระพุทธเจ้า นั่นละคือผู้ที่จะทำลายตัวเองอย่างฉิบหายป่นปี้ ไม่มีที่หวังแม้นิดหนึ่งเลย
พระพุทธเจ้าเป็นศาสดา ฟังแต่ว่าของโลกทั้งสาม ไม่มีใครสอนได้ถูกต้องแม่นยำเหมือนพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ๆ นี่ท่านสอนได้ถูกต้องแม่นยำทีเดียว เรื่องกิเลสนี้มีแต่ความจอมปลอมๆ โลกที่ไหลไปตามกิเลสมากต่อมาก จึงหากำหนดกฎเกณฑ์ไม่ได้ ไปที่ไหนมีแต่กองฟืนกองไฟเผาไหม้ ที่ว่าฐานะสูงต่ำอะไรๆ เอามาอวดกันอย่างนั้นแหละ กิเลสนั่นละอวด พองตัวขึ้น ข้ามีเงินมีทองข้าวของสมบัติต่างๆ ยศถาบรรดาศักดิ์ อำนาจบ้าๆ มันอะไรก็ไม่รู้เอามาประดับ หลอกกันไปอย่างนั้น ธรรมท่านไม่หลอก ธรรมตรงไปตรงมา ใครปฏิบัติตามธรรมแล้วไม่เชื่อใครเลย เชื่อธรรมอย่างเดียวเต็มหัวใจแล้ว อยู่ไหนแสนสบายๆ
นั่นละธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันแล้วไม่เชื่อใคร แม่นยำ ดังพระพุทธเจ้าตรัสรู้ผางขึ้นมานี่ไม่เชื่อใครเลยสามโลกธาตุ คือเป็นศาสดาองค์เอกเพียงพระองค์เดียว สาวกทั้งหลายบรรลุธรรมขึ้นมาก็แบบเดียวกัน สอนแบบเดียวกันเลย ท่านที่บอกเหล่านี้เป็นผู้ที่ตายอกตายใจได้สำหรับพวกเราที่เป็นชาวพุทธ ยึดท่านเป็นหลักเป็นเกณฑ์ เป็นคู่ชีวิตจิตใจ ให้ยึดพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ คือยึดคำสอนของท่านที่ท่านสอนไว้อย่าปล่อยอย่าวาง
เวลานี้โลกกำลังเลอะเทอะมากทีเดียว ขอให้พูดเต็มปากเสียหน่อยเถอะ หลวงตาบัวสามารถจะพูดได้เต็มปากครอบโลกธาตุด้วยความสัตย์ความจริง ที่เต็มอยู่ในหัวใจซึ่งได้ปฏิบัติมาเต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้วไม่สะทกสะท้าน เราไม่ได้วัดรอยนะ เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าตรัสรู้เพียงพระองค์เดียวเท่านั้นไม่ได้ถามใครเลย จ้าเท่านั้นครอบโลกธาตุ ธรรมอันเดียวกัน ใจอันเดียวกัน เป็นคู่ควรกับธรรมคือใจอย่างเดียวกัน รู้เข้าไปแล้วจะถามใครที่ไหน จ้าขึ้นมาแล้วพอๆ นั่นละธรรมแท้เป็นอย่างนั้น ให้พากันยึด
ทางที่จะเข้าหาธรรมแท้คือการสร้างบุญสร้างกุศล การทำบุญให้ทาน รักษาศีล เจริญเมตตาภาวนา นี้คือทางแห่งความดีงามเพื่อความพ้นทุกข์ ให้ท่านทั้งหลายจับเอาไว้ อย่าทำแบบงูๆ ปลาๆ คนเราทั้งคนมีค่ามีราคา ตัวเองสำคัญก่อนอื่นแหละว่ามีค่ามีราคามีความสำคัญ คือเรานั่นแหละ จึงเรียกว่ารักเราเป็นอันดับหนึ่ง รักคนอื่นเป็นอันดับต่อๆ ไป รักเรานี้เป็นอันดับหนึ่ง เมื่อรักเราแล้วจะทำยังไงปฏิบัติยังไงถึงจะให้เหมาะสมกับคำว่ารักเรา ก็ต้องบำรุงรักษา อย่าทำลายตนเองด้วยความเชื่อกิเลสที่มันหลอกลวงโลก จำให้ดีทุกคน
วันนี้วันอาทิตย์คนมาก ใส่บาตรมาก เราก็พอใจ ดูหม้อนรกเดือดอยู่พล่านๆ ไม่มีวันมีคืน สัตว์ที่ไหลลงไปในนรกๆ ด้วยอำนาจของกิเลสมันปิดหูปิดตาว่านรกไม่มีๆ กิเลสมันไม่ได้ไปตกนรก สัตว์โลกที่ถูกมันหลอกต่างหากไปจมอยู่ในนรก เต็มอยู่ในนรกมีบกมีบางที่ไหน ไม่บกไม่บาง มีแต่หนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็นนำมาสอนโลกผิดที่ตรงไหน พวกเราให้เชื่อนะ ไม่เชื่อพระพุทธเจ้าหมดค่าหมดราคา คนทั้งคนไม่มีราคาเลย หมดถ้าไม่เชื่อพระพุทธเจ้า ธรรมพระพุทธเจ้า
พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ไม่ยึดท่านเป็นหลักเป็นเกณฑ์แล้วจมทั้งเป็น ยังไม่ตายก็ตาม จม ให้จำให้ดี เราพูดนี่พูดอย่างเน้นหนักๆ เรียกว่าเต็มไปด้วยรสด้วยชาติที่เป็นความแม่นยำจากหัวใจ เราไม่ได้มาสอนเล่นๆ สอนโลก จำให้ดี อย่าทำเหลาะๆ แหละๆ เราไม่ใช่คนเหลาะแหละ ให้ทำให้ดี ให้พร
หลังจังหัน
ที่ว่าสมมุติๆ ในโลกอันนี้ก็คือกิเลสเป็นจอมสมมุติ บอกอย่างนั้นเลย เมื่อกิเลสสิ้นไปแล้วสมมุติทั้งปวงก็สิ้นไปด้วยกัน สถานที่อยู่ของกิเลสคือหัวใจ จิตเป็นที่เกิดที่อยู่ของกิเลสทั้งหลาย อยู่ที่ใจ กิเลสทั้งหลายเกิดที่ใจ แล้วก็เป็นเหมือนสนิมเกิดจากเหล็กกัดเหล็ก และธรรมอยู่ที่ใจ ธรรมนะ จะว่าเกิดที่ใจถ้าเป็นปลีกย่อยของธรรมก็พอพูดได้บ้าง ถ้าว่าธรรมแท้แล้วเกิดไม่มี อยู่กับใจเลย ใจนี่เป็นอนันตกาล นั่นละที่ว่านิพพานเที่ยง คือใจนี้เที่ยง ธรรมแท้เที่ยง กิเลสไม่เที่ยง เกิดดับได้ๆ
เวลาสิ้นกิเลสที่ตัวเป็นภัยอยู่ในใจนี้แล้วจิตนี้จึงดีดขึ้น จะเรียกว่าธรรมธาตุก็ได้ หรือนิพพานเที่ยงก็ได้ แยกไปหลายด้าน แยกไปตามธาตุตามขันธ์ก็เช่นอย่างพระพุทธเจ้า-พระอรหันต์ อย่างนี้แยกไปได้ แต่หมายเอาจิตดวงเดียวนั้นละ จิตดวงนั้นเป็นธรรมธาตุก็ได้ นิพพานเที่ยงก็ได้ จิตบริสุทธิ์ก็ได้ พอขันธ์สลายแล้วสิ่งเหล่านี้ก็ไปด้วยกัน ก็พูดได้แต่ว่านิพพานๆ เท่านั้น อย่างอื่นพูดไม่สนิทปาก ที่นำมาพูดเวลานี้ใครเป็นคนคุ้ยเขี่ยขุดค้นขึ้นมาสอนโลกให้โลกได้เห็นได้ชม มีพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้น พอพระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมผึงนี่ขุดค้นธรรมประเภทนี้ขึ้นมาแล้ว ประกาศกังวานให้บรรดาสัตว์ทั้งหลาย ปัจจุบันนี้ก็เรียกว่าพระเบญจวัคคีย์ทั้งห้า นี่กำลังขุดค้นเสาะแสวงหาธรรมอยู่ พอพระองค์เจอแล้วก็มาสอนสาวกห้าองค์นี้ เบญจวัคคีย์ทั้งห้าก็ผ่านผึงได้เลย
จากนั้นก็ค่อยกระจายๆ กระจายเป็นพระสาวกเท่านั้นองค์เท่านี้องค์ เช่นพระยส พระอะไรต่ออะไรหลายจำนวน เลยกลายเป็น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ไปกว้างขวางไม่มีประมาณ นี่ละกิเลสอยู่ที่ใจ เกิดที่ใจนั้นแหละ ทำลายใจ อะไรจะให้ใจฉิบหายไม่ได้นะ ถึงจะทุกข์ขนาดไหนยอมรับว่าทุกข์ แต่จะทำใจให้ฉิบหายไปเลยนี้ไม่ได้ นี่ละใจที่ว่าเป็นนิพพานหรือนิพพานเที่ยง คือใจดวงนี้ ไม่มีคำว่าเกิดว่าตาย ใจนี่คำว่าเกิดว่าตายไม่มี ส่วนที่ว่าเกิดว่าตายนี่สภาพต่างๆ ที่เป็นธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับจิตคือบุญและบาป
บาปนี้ทำให้ไปทางชั่ว บุญให้ไปทางที่ดี ใครสร้างบาปสิ่งที่จะได้รับมาก็เป็นบาป จิตจะเข้าไปสวมสู่อันนั้นแหละ ไปสภาพคือร่างกายหรือสภาพอันนั้นแหละ จะเป็นเทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม นรกจกเปรตอะไรก็ตาม จิตจะเข้าไปสู่นั้นถ้าเป็นฝ่ายชั่ว ให้ฉิบหายไม่ฉิบหาย ก็เรียกว่าเกิดว่าตาย หมายถึงอัตภาพที่จิตเข้าไปอาศัยนั้น ว่าเกิด เข้าไปอยู่นั้นเรียกว่าเกิด พอสภาพอันนั้นหมดความหมายแล้ว สลายเรียกว่าตาย ก็มีอยู่ภายนอกเท่านั้นว่าเกิดว่าตาย
สำหรับจิตแล้วไม่มีคำว่าเกิดว่าตาย พอพ้นจากสภาพทั้งหลายเหล่านี้ คือไม่เข้าไปเกี่ยวข้องแล้วบริสุทธิ์เต็มที่แล้วเรียกว่านิพพานไปเลย ท่านจึงเรียกว่านิพพานเที่ยงก็หมายถึงธรรมธาตุนี้ละ ธรรมธาตุที่บริสุทธิ์สุดส่วนแล้วนี้แล เป็นนิพพานเที่ยงขึ้นมาของผู้บำเพ็ญ ถ้าไม่บำเพ็ญก็ไม่มีอันนี้ มีแต่ความทุกข์ความลำบากลำบน เขาไปสวรรค์นิพพานกันมากขนาดไหน ทางนี้ก็แหวกแนวลงไปนรกจกเปรตจนได้นั่นแหละ เพราะชอบทำตั้งแต่ความชั่วช้าลามก คือบาปบุญไม่ลำเอียง ใครเอนไปทางไหนทางนั้นก็รับ เอนไปทางบาปเป็นบาป เอนไปทางบุญเป็นบุญ ทำบาปได้บาป ทำบุญได้บุญ ว่าอย่างนั้นเลย
จึงให้พากันระมัดระวังให้ดี คำพูดนี้มีพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวเป็นปฐมฤกษ์ ที่พูดว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว เอกนามกึ ไม่มีสอง ตรงแน่วเลย คือความถูกต้องโดยถ่ายเดียว ได้แก่พระวาจาของพระพุทธเจ้า และพระญาณหยั่งทราบของพระพุทธเจ้าแม่นยำ นี่ละนำมาสอนโลก ใครปฏิบัติตามนี้แล้วจะผ่านไปได้ในทางที่ดี พ้นได้เลย ถ้าใครฝืนก็จมได้เลย ให้เป็นอย่างอื่นไม่เป็น ขึ้นได้ลงได้ จมได้ฟูได้ เท่านั้นแหละ ให้พากันจำเอา
อันนี้ท่านก็ท้าให้พิสูจน์อยู่แล้ว ไม่ใช่พูดแบบงูๆ ปลา ๆ ลูบๆ คลำๆ มาสอนโลก ของพระพุทธเจ้าไม่มี พระพุทธเจ้ามีจริงขึ้นมาเลย ยันขึ้นมาเลยละตัวพยาน ตั้งแต่เป็นร่องเป็นรอย สร้างพระบารมีมา เฉพาะชาติปัจจุบันขึ้นเป็นสิทธัตถราชกุมารออกมาเรื่อยๆ จนเสด็จออกทรงผนวช นี่มีร่องรอยมาเรื่อยๆ ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้อยู่ ๖ ปี จากนั้นก็บรรลุธรรมผึงขึ้นมา นี่ละมีร่องรอยๆ มา จนกระทั่งถึงตัวจริง ได้แก่ความบริสุทธิ์ นี่ละจิตดวงนี้ไม่เคยตาย ไม่มีคำว่าตาย พอบริสุทธิ์เต็มที่แล้วก็นิพพานไปเลย ถ้าบาปเต็มที่ก็จมลงในนรกไปเลย แต่ฟื้นขึ้นมาได้ เป็นกฎอนิจจัง สมมุติอยู่ในกฎอนิจจัง ไตรลักษณ์เป็นสมมุติ แดนสมมุติเป็นอย่างนั้น ส่วนวิมุตติผ่านหมดเลยไม่มีอะไรเข้าไปเกี่ยวข้องได้
นักจิตตภาวนาที่จะรู้หลักความจริงของจิตดวงนี้ที่เป็นนักท่องเที่ยวเกิด แก่ เจ็บ ตายมากี่กัปกี่กัลป์ได้เป็นอย่างดี และบทกถา คือจิตตภาวนาตามทางของศาสดาที่สอนไว้ นี่ละจะตามเข้าถึงตัวเลย การทำบุญให้ทานมีแต่เรื่องติดตามรอยของจิตทั้งนั้น จะฉุดลากจิตให้หลุดพ้น รวมเข้าไปแล้ว การให้ทานรักษาศีลมารวมอยู่ในภาวนา เข้าในจุดเดียวกันหนุนจิตให้พ้นไปเลย อย่างอื่นเอาจิตให้พ้นไม่ได้ ไม่มี มีความดีงาม มีการให้ทานรักษาศีลภาวนา คือความดีทั้งหลาย มีเท่านั้น ที่จะฉุดจะลากจิตให้หลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งหลายได้ไม่สงสัย นอกนั้นไม่มี อะไรจะมาช่วยจิตให้พ้นจากทุกข์ได้ไม่มี นอกจากความดีงามทั้งหลาย บาปนี้พาจม พากันจำเอา
นักภาวนาเป็นผู้จะรู้วิถีทางเดินของจิตได้เป็นอย่างดี นอกนั้นก็อย่างพวกเรานี้ ก็นักเกิดนักตายเหมือนกันหมด ใครรู้ร่องรอยของตัวที่ไหน ไม่รู้ ไม่รู้นะ นักเกิดก็คือเรา แก่ เจ็บ ตายก็คือเรา ขึ้นสูงลงต่ำก็คือเรา แต่มันก็ลูบๆ คลำๆ ของมันไปอย่างนั้น พอมีเครื่องมืออันดีงามพอตัว เช่นอย่างจิตตภาวนาตามรอย รอยของจิตมันไปเกิดในภพใดชาติใด แล้วย่นเข้ามาเป็นอารมณ์ของจิตมันไปติดสิ่งใดๆ อารมณ์มันติดสิ่งใดตัดออกๆ ติดสิ่งใดตัดออกเรื่อย หดเข้ามาย่นเข้ามาด้วยจิตตภาวนาดูชัดเจน อันนี้ชัดมากนักจิตตภาวนา ภาวนาได้หลักได้เกณฑ์ต้องรู้อย่างนี้ เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้
ภาวนาแบบสุ่มสี่สุ่มห้านั้นไม่เอามาพูด เอามาพูดเฉพาะนักภาวนาผู้จะทรงมรรคทรงผลและผู้ทรงมรรคทรงผลต้องรู้อย่างนี้ ภาวนาตามหลักพระพุทธเจ้าจะไปแถวนี้เลย ไม่ต้องถามใคร รู้เข้าไปโดยลำดับลำดาๆ มันเป็น ปจฺจกฺขทิฏฐิ หรือว่าเป็น สนฺทิฏฺฐิโก ของเจ้าของผู้บำเพ็ญไปโดยลำดับๆ จนกระทั่งถึงที่สุดผางขึ้นมาถามพระพุทธเจ้าหาอะไร แน่ะ ก็อันเดียวกัน ที่ได้มาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังนี้ นี่ละเรียกว่าตามร่องรอยของจิต ขึ้นเวทีภาวนา อย่างอื่นไม่ทราบร่องรอยของจิต
เรียนๆ อ่านเรื่องมรรคผลนิพพาน อ่านอยู่อย่างนั้นละ ความสงสัยมันก็เหยียบหน้าผากเราไป เอ มรรคผลนิพพานจะยังมีอยู่หรือไม่นา ทั้งๆ ที่อ่านอยู่นั้น นี่เห็นไหมตามันบอดตาใน มรรคผลนิพพานมีหรือไม่มีนา ทั้งๆ ที่อ่านเรื่องมรรคผลนิพพานตามทางของศาสดาที่สอนไว้อยู่นั้นแลแต่มันไม่รู้ แต่พอการปฏิบัติตามเข้าไปๆ ละเอียดเข้าไป อารมณ์ละเอียดนะ คำว่าจิตละเอียดหมายถึงอารมณ์ของจิตละเอียดเข้าไปๆ
จึงได้มาพูดให้ฟัง พูดในฐานะลูกศิษย์กับอาจารย์ เอาความจริงออกมาพูดเลย ไม่มีแปลกปลอมอะไรเลย เวลามันละเอียดเข้าไป เวลามันหยาบก็เคยเล่าให้ฟังแล้ว ไปอยู่บนภูเขานั่งร้องไห้น้ำตาร่วงบนภูเขาลืมเมื่อไร นี่เคยพูดกี่ครั้งแล้ว มันถึงใจ แล้วก็สดๆ ร้อนๆ ด้วย ถึงขนาดออกอุทานเชียว ออกอยู่ในใจ อันนี้ละเป็นต้นเหตุอันสำคัญให้เราเกิดความมุมานะไม่มีถอย ตั้งสติไม่อยู่เลย พอตั้งพับตั้งเพื่อล้มๆ ไม่ได้ตั้งเพื่ออยู่ บังคับเท่าไรๆ ก็เอาเถอะ เราประจักษ์แล้ว ถึงขนาดน้ำตาร่วงอยู่บนภูเขา
ตั้งปุ๊บล้มผล็อยๆ จนงงเจ้าของ อ้าว มันมาภาวนายังไง มันตั้งสติยังไงจึงเป็นอย่างนี้ คือตั้งพับล้มเลย นี่ละกระแสของกิเลสมันแรง เข้าใจไหม ตั้งมันปัดทีเดียวล้มเลยๆ ให้เห็น เราก็ไม่ใช่บ้าสติมีอยู่ แต่สติมันเป็นสติตั้งล้มมันไม่มีกำลัง นี่ละถึงได้พูดเป็นอุทานในใจ อุทานทางเคียดแค้นให้กิเลส ก็ได้ธรรมประเภทหนึ่งขึ้นมา ความเคียดแค้นนี้ถ้าเคียดแค้นให้สัตว์ให้บุคคลผู้ใดก็ตามเป็นกิเลส ถ้าเคียดแค้นให้กิเลสที่เป็นภัยต่อตัวเองนี้เป็นธรรม นั่นเอาแล้วนะ ความเคียดแค้นที่มันถึงใจนี้เป็นธรรม เหอ มึงเอากูถึงขนาดนี้เชียวหรือ มันไม่ลืมนะถ้าลงได้ฝังถึงใจแล้ว เอากูขนาดนี้เชียวหรือ
กูมึงอยู่ในใจ ไม่ได้ออกแหละ โถ มันเอากูขนาดนี้เชียวเหรอ เอาจนขนาดนั้น ตั้งล้มๆ ตั้งยังไงก็ล้มตลอดทำยังไงนี่ สุดท้ายก็เลยเอาน้ำตามอบเป็นดอกไม้ธูปเทียนให้กิเลส เรียกว่ายอมเสียก่อนตอนนี้ ตอนนี้ยอม แต่ยอมเพื่อจะสู้ โถ มึงเอากูขนาดนี้เชียวหนา ทีนี้ก็ตัดสินกันปึ๊บ เอาละยังไงมึงต้องพังวันหนึ่ง ที่นี่เอากันละ ให้กูถอยกูไม่ถอย เป็นเรื่องมุมานะเคียดแค้นอย่างนี้ถึงใจ ความเพียรหนักแน่น ที่ลับเครื่องมือทุกอย่างโรงงานใหญ่ก็คือพ่อแม่ครูจารย์มั่น ลืมเมื่อไรเราไม่ลืมนะ ไปหาท่านท่านให้อุบายแล้วกลับมาอีกล้มอีกๆ ไปอีกอยู่งั้น
ซัดนี้มีล้มบ้าง ตั้งได้บ้างเข้าไป เดี๋ยวตั้งได้บ้าง แล้วกิเลสล้มให้เห็น หือ มึงก็มีท้องเหมือนกันหรือกิเลส มึงล้มหงายท้องให้กูดู นึกว่ากูมีแต่ท้องให้มึงดู ที่นี่ได้กำลังใจแล้วนะ วิธีการใด เน้นหนักเข้ามาเรื่อยๆ นี่ละกิเลสอยู่กับใจ จำให้ดีทุกคน กระแสของกิเลสที่มันรุนแรงเป็นภัยต่อธรรม เป็นอย่างนี้ สติธรรมตั้งไม่ได้ กิเลสเตะทีเดียวพังๆ ดู อยู่ในหัวใจของทุกคน นี้นำมาพูดจากเวทีคือสนามรบบนภูเขา น้ำตาร่วงอยู่บนภูเขาเราไม่ลืม จากนั้นก็เอากันเรื่อยๆ
สรุปความลง กำลังก็เสริมขึ้นมาเรื่อยๆ จนกระทั่งตั้งสติได้ตั้งสติอยู่ จิตสงบร่มเย็นเป็นสมาธิขึ้นมาได้ ที่นี่กระแสของกิเลสแบบนั้นไม่สามารถแหละ สติตั้งได้ๆ จากนั้นก็ก้าวออกทางด้านปัญญา พอออกทางด้านปัญญาตีกระจายนี้ โถ ปัญญาเป็นของเล่นเมื่อไร สมาธิก็ว่าดีๆ เพราะฉะนั้นคนถึงติดสมาธิเป็นเหมือนหมูขึ้นเขียง ที่พ่อแม่ครูจารย์ไล่เราลงจากสมาธิหมูขึ้นเขียงเราลืมเมื่อไร มันไม่ยอมลง มันยังจะปีนขึ้นเขียง ท่านปัดลงมันก็ไม่ยอมลง
ปัญญามีทำไมไม่ใช้ นั่นท่านพูดนะ สมาธิไม่ใช่เรื่องแก้กิเลส ตีกิเลสให้ตะล่อมเข้ามาสู่ความสงบเพื่อปัญญาจะได้แก้ไขทำลายกันได้ง่ายขึ้นเท่านั้น ปัญญาเป็นเครื่องแก้กิเลสนะ นั่นละท่านชี้ปุ๊บๆ เข้าไปตรงนั้นนะ สมาธิไม่ใช่เรื่องแก้กิเลส ตีกิเลสตะล่อมเข้ามาสู่ความสงบเพื่อทำลายได้ง่าย ท่านว่างั้น
พอออกจากสมาธิก้าวเข้าสู่ปัญญาก็เป็นอย่างที่ท่านว่าละซิ พอมันออกทางด้านปัญญานี้มันเห็นเหตุเห็นผลทุกสิ่งทุกอย่างจ้าขึ้นมาๆ โอ้ เป็นอย่างนี้ๆ เอ๊ ชอบกลๆ ปัญญา ทีนี้ก็หมุนติ้วเลยเพราะสมาธิมันพอตัวมาแล้ว ออกทางด้านปัญญามันเร็วสำหรับเรานะ เพราะสมาธิมันนอนตายอยู่นั้นนาน ๕ ปี พอออกทางด้านปัญญาก็ดีดผึงเลย ทีนี้ไม่นอน กลางคืนก็นอนไม่หลับ กลางวันยังนอนไม่หลับอีกมันจะตาย มันหมุนของมันเรื่อยเวลาสติปัญญามีกำลังมันเป็นอัตโนมัติ ต้องวิ่งเข้าไปหาท่านอีก วิ่งเข้าไปหาท่านท่านก็แก้ปั๊บอีกเหมือนกัน
สรุปความลงแล้วว่าเรื่องการออกเดินทางด้านปัญญา กับการเข้าพักสมาธิ ให้ทำไปด้วยกันโดยสม่ำเสมอ เวลาจิตเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าด้วยการพิจารณาทางด้านปัญญาซึ่งเรียกว่าทำงาน ให้ย้อนจิตเข้าพักสมาธิเสียก่อน เรียกว่าพักงาน พักผ่อนนอนหลับพูดง่ายๆ ว่างั้น พอจิตมีกำลังจากสมาธิแล้วออก มีกำลังแล้วดีดผึงเลย พออ่อนกำลังลงเข้ามาสู่สมาธิ พอมีกำลังแล้วออกอีก นี่เป็นทางที่ถูกต้องจำเอาไว้ เรื่อยจนกระทั่งผ่านได้เลยด้วยวิธีการนี้ สมาธิไม่ใช่แก้กิเลส แต่จะไม่พักตายคนเรา จะเห็นว่างานได้จากการทำงานต่างหากไม่พักเลยตายได้ ถึงจะได้งานก็ตาม สมาธิเป็นการพักผ่อน พักผ่อนเอากำลังเพื่อจะทำงานได้สะดวกนั่นเอง เป็นอย่างนั้น แล้วสุดท้ายผ่านได้เลย เท่านั้นละ
วันนี้สายแล้วนะ โธ่ ว่าจะไม่พูดมากมันก็มากอยู่แล้ววันนี้ เอาแต่ธรรมะเด็ดๆ เผ็ดๆ ร้อนๆ มาพูดให้ท่านทั้งหลายฟัง ธรรมะนี้ถอดออกจากหัวใจนะ ไม่มีสะทกสะท้านกับโลกใดในสามโลกธาตุนี้ เราจึงพูดได้เต็มปาก ในสามโลกธาตุนี้ธรรมประเภทนี้เหนือหมดเลย ไม่มีคำว่าสะทกสะท้านกับสิ่งใดพอที่จะหลบจะหลีกไม่มี ผางขาดสะบั้นๆ ไปเลย คำพูดจึงเป็นธรรมล้วนๆ กิเลสไม่มีเข้ามาเจือปน พูดออกมาจะว่าอาจหาญก็เลย อาจหาญชาญชัยก็เลยไปหมดๆ เพราะเหนือสมมุติแล้ว พูดได้เต็มปาก ไม่มีสะทกสะท้าน
เป็นแล้วพูดไม่ได้ยังไง ก็มันเต็มอยู่ที่หัวใจ ควรจะพูดได้ๆ ทั้งนั้นคนเรา เพียงสมาธินี้ก็ของง่ายเมื่อไร โวหารสมาธิขึ้นเก่งนะ จิตเป็นสมาธินี้โวหารเก่งเหมือนกัน แต่มันโวหารอยู่ในวงสมาธิ โวหารของนักโทษในเรือนจำเข้าใจไหม โวหารของปัญญานั้นแหวกเรือนจำออก ทำลายคุกออกนอกโลกออกนอกคุก ทำลายด้วยปัญญา วัฏจักรเป็นกรงขัง สติปัญญาทำลายขาดสะบั้นไปเลย เอาละให้พร
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |