เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙
พุทธศาสนามีร่องรอย
ก่อนจังหัน
การอดอาหารเราก็ได้ผ่านมาแล้ว คือเรามันผาดโผน ทีนี้ก็บวกลบคูณหารการกระทำของเจ้าของออกมาให้อยู่ในระดับพอดีๆ แล้วเอานั้นละมาสอนพระ คือเวลาเจ้าของทำเจ้าของมันผาดโผนเสียมากต่อมาก ส่วนมากมักจะผาดโผน คือกำลังของจิตมันรุนแรงต่อธรรมทั้งหลาย ความหมายว่างั้น ทีนี้ทำอะไรจึงมักผาดโผนไป ถ้าว่าอดอาหารนี้จนเขาตีเกราะประชุม ฟังซิ เขาตีเกราะประชุม พระองค์นี้ไม่ตายแล้วหรือ มาอยู่นี้กี่เดือนแล้ว ไปที่อื่นก็เป็นแบบเดียวกันแต่เขาไม่ได้ตีเกราะเราก็บอกไม่ตีเกราะ เหมือนไม่มีอะไร แต่ความจริงมีอย่างนั้นตลอด มันผาดโผนอย่างนี้
ทีนี้จึงประมวลเอาอันนี้มา คัดเลือกเอาพอสมควรตรงไหนๆ เอามาสอนพระ เช่น อดอาหารให้ดูธาตุขันธ์บ้าง คือเราไม่ดู ดูแต่ธรรม ขอให้ธรรมดีพอ คือธาตุขันธ์อ่อนลงๆ ธรรมนี้ดีดๆ นะ จิตใจสง่างามสว่างไสว ร่างกายออบแอบ จิตใจนี้ดีดผึงๆ อยู่ภายใน อันดีดผึงๆ นี้ละลากธาตุขันธ์ไปเอาให้เป็นให้ตาย ทีนี้ก็มาประมวลเรื่องการดำเนินของเจ้าของให้หมู่เพื่อนเอาไปปฏิบัติ เฉลี่ยให้พอเหมาะพอดี คือให้มองดูธาตุขันธ์บ้าง ถ้ามองดูธรรมอย่างเดียวธาตุขันธ์ซึ่งเป็นเครื่องมือเสียได้ ถ้าธาตุขันธ์เสียธรรมก็อ่อนหรือเสียได้เหมือนกัน สอนอย่างนี้สอนพระสอนเณร
เราได้ใช้ความพินิจพิจารณา การปกครองทั้งฆราวาสทั้งพระเราก็ได้ปกครองเต็มกำลังของเรา อยู่นี้มันมีทั้งสองฝ่าย ในครัวและในนี้ ที่เป็นภาระมากก็คือในครัว เรื่องยุ่งมากอยู่ในครัวนะ ผู้หญิงปากเปราะ เก็บความรู้สึกไว้ไม่ได้ มีแต่จะเปิดปากๆ อะไรๆ ก็แว้ดๆ ใส่กัน แว้ดๆ ใส่กันแล้วก็ทะเลาะกัน แล้วก็ว่าคนนั้นไม่ดีคนนี้ไม่ดี แล้วใครดีล่ะ ไม่มีใครดี มันเลอะเหมือนกันหมด นั่นเป็นอย่างนั้น
พระท่านเก็บความรู้สึกได้ดี ท่านมุ่งต่อธรรมท่านไม่ค่อยมีอะไร เช่นในวัดป่าบ้านตาด พระไม่มีไอ้เรื่องที่ว่าเหล่านี้ ไม่มีสำหรับพระ จิตหนักแน่นต่างกัน ผู้หญิงกับผู้ชายหนักแน่นต่างกัน เราจะได้เห็นชัดเจนตอนที่เราปกครอง เพราะปกครองนี้มีทั้งฝ่ายพระ พระเป็นฝ่ายผู้ชาย ทางครัวเป็นฝ่ายผู้หญิง เก็บเอามาพิจารณา ประมวลมาพิจารณาคลี่คลายออกดู ชั่งน้ำหนัก อะไรหนักอะไรเบา สรุปลงแล้วผู้หญิงมักจะไม่เก็บความรู้สึก ความรู้สึกมักจะออกไปข้างนอก ไปเพ่งคนนั้นเล็งคนนี้ คนนั้นไม่ดีอย่างนี้ๆ เจ้าของไม่ดีไม่ดู นี่มันเสียเสียตรงนี้ จึงมักมีเรื่องเสมอ
ผู้ปฏิบัติธรรมต้องดูเจ้าของ กิริยาของจิตแสดงออกอาการใดๆ ส่วนมากเป็นเรื่องของกิเลสนำออกจะผิดพลาดไปทั้งนั้น เรื่องเป็นธรรมมีน้อยมาก จึงต้องใช้สติปัญญาพิจารณา แล้วเก็บความรู้สึกให้ดี ความรู้สึกนี้ทำให้ปากเปราะปากบอนแล้วทำให้ทะเลาะกันได้ จำให้ดี ทุกสิ่งทุกอย่างให้ทำใจให้กว้างขวาง อย่ามีใจคับแคบต่อกัน เราอยู่ร่วมกันต้องแสดงเป็นผู้มีน้ำใจต่อกัน เห็นแก่ตัวเองเห็นแก่ใจตัวเองคนนี้ไปไหนขวางโลก ชอบจะใช้อำนาจแล้วก็เสีย วางตัวให้เสมอ ใครก็ตามถ้าหนักในธรรมแล้วไม่ค่อยเสีย หนักทางกิเลสเสีย ไปที่ไหนเกิดเรื่องเรื่อยๆ
เราได้เตือนเสมอเตือนผู้ปฏิบัติ สำหรับพระเณรไม่ค่อยมีอะไร นี้เราพูดอย่างตรงไปตรงมา สำหรับพระเณรเราไม่ค่อยมีอะไร มีมากมีน้อยปกครองมาโดยลำดับลำดา ไม่ค่อยมีเรื่อง แต่ฝ่ายผู้หญิงมีเรื่อยมาตลอด มากเท่าไรยิ่งมากฝ่ายผู้หญิงในครัวน่ะ เราไม่ได้ว่าผู้หญิงเป็นอย่างนั้นทุกคน ส่วนมากมีแต่อย่างนั้น เลอะเทอะๆ พากันไปพิจารณานะพวกนี้ เรานี้อกจะแตกแล้วนะการปกครอง สุดท้ายเราเลยกลายเป็นผู้ต้องหา ทำอันนี้ไม่ถูก ทำอย่างนั้นไม่ถูก เขาชี้เข้ามาหาเรา เราเป็นผู้จัดด้วยความเป็นธรรม ด้วยความเมตตาล้วนๆ เลยกลายเป็นผู้ต้องหาไป นักโทษมันกลายเป็นนักคุณไป เรื่องกิเลสมันพลิกตัวของมันอย่างนั้น
ให้พากันดูให้เสมอภายนอกภายใน ใช้ความพินิจพิจารณา เก็บความรู้สึกให้ดี อย่าให้มันออกมาง่ายๆ ปากบอน ปากเปราะแล้วก็ปากบอน แล้วก็ทะเลาะกัน คนๆ นั้นไปอยู่ที่ไหนมักจะขวางๆ ใช้อำนาจป่าๆ เถื่อนๆ ให้พร
หลังจังหัน
คนเราที่มีแต่การดีดดิ้นหาอยู่หากิน การได้การเสียวุ่นอยู่ตลอดเวลา ไม่ค่อยได้ดูชีวิตสังขารความเป็นอยู่ของตัวเอง ทีนี้เวลาหมุนกลับเข้ามามันแก่ คว้าอะไรไม่ทันๆ ตายไปด้วยความคว้าไม่ทัน จม เป็นอย่างนั้น ทีนี้คว้าความดีเข้ามาๆ คือดูความเป็นอยู่ของจิตใจและสังขารร่างกาย ดูไปด้วยกันๆ สังขารร่างกายมันก็ค่อยแก่ไปๆ จิตใจก็แก่ทางศีลทางธรรมไปเรื่อยๆ ร่างกายจะแก่ไปขนาดไหนก็ตามเมื่อจิตใจกับธรรมเป็นอันเดียวกันแล้วหมดปัญหาโดยประการทั้งปวง โลกสมมุติทั้งมวลไม่มีเข้ามาผ่านจิตใจเลย
นั่นท่านเรียกว่าจิตตวิมุตติ หลุดพ้นแล้วจากสมมุติทั้งปวง คือสามแดนโลกธาตุนี้เป็นสมมุติทั้งมวล วิมุตติคือความหลุดพ้น พ้นจากนี้ไปทั้งมวล จึงหมดความกังวล พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่านหมดความกังวล ออกมาจากการวิ่งเต้นขวนขวาย เริ่มต้นออกมาปฏิบัติสนใจกับศีลกับธรรม จิตใจค่อยชินกับศีลกับธรรม สนิทเข้าศีลเข้าธรรมเรื่อยๆ สนิทมากเข้าๆ ความไม่ดีทั้งหลายก็ค่อยจางไปๆ ความดีเด่นขึ้นๆ นี่ละการอบรมตนเองเป็นอย่างนั้น
จนกระทั่งสมมุติทั้งมวล สมมุติจะเป็นอะไรไป กิเลสนั่นแหละคือตัวยอดสมมุติ ยอดสมมุติทั้งมวลคือกิเลสนี้ขาดสะบั้นไปจากใจ สมมุติก็หมดโดยสิ้นเชิง ความยุ่งเหยิงวุ่นวายมากน้อยก็หมดไปโดยสิ้นเชิงเหมือนกัน นั่นละจิตผ่านสมมุติไปแล้ว ไม่เหลือ และไม่มีความกังวล มีความเมตตาเข้ามาแทนที่ คือเมตตาจิตนี้เป็นหลักธรรมชาติ ติดกันเป็นอันเดียวกันกับใจที่บริสุทธิ์ ความเมตตากับใจที่บริสุทธิ์เป็นอันเดียวกันโดยไม่รู้สึกตัว อ่อนนิ่มไปหมดเลย ทีนี้หมดห่วง ไม่มีจะห่วงจะหวงอะไร หมด
นี่การฝึกฝนอบรมจิตใจให้เข้าสู่อรรถสู่ธรรม เป็นความอบอุ่นภายในใจตนเองอย่างนี้ จึงได้เตือน สังขารร่างกายไม่ว่าท่านว่าเรามันก้าวไปอยู่ทุกเวลาด้วยกฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ส่วนจิตที่จะอยู่เหนือกฎได้จากการอบรมก็ให้ฟิตตัวเองเข้าไป ไม่อย่างนั้นก็จะอยู่ในกฎอันนี้แหละ ถ้าฝึกให้ดีแล้วผ่านกฎนี้ได้ พระพุทธเจ้า พูดให้ชัดเจนบรรดาพี่น้องชาวพุทธเราอาจจะยัง ไม่อยากจะว่าอาจ พูดตรงไปเลยถูกต้องดีกว่า ไม่ชัดเจนในพุทธศาสนาที่ตนนับถืออยู่ ถืองูๆ ปลาๆ ไป จากพ่อจากแม่จากครูจากอาจารย์ ไม่ได้หลักเกณฑ์จากพุทธศาสนาโดยแท้จริงเข้ามาเป็นหลักใจ นี่ละเสียตรงนี้
ที่จะให้ศาสนาเข้ามาเป็นหลักใจจริงๆ ต้องเกิดขึ้นจากความสนใจปฏิบัติศาสนาแล้วไหลเข้าไปสู่จิตตภาวนา จิตตภาวนาเป็นธรรมสำคัญมากทีเดียว สามารถที่จะฟื้นเข้าดูพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ได้อย่างชัดเจน โดยไม่ต้องถามว่าพระพุทธเจ้าอยู่ตรงไหนเลย นี่จิตตภาวนา เมื่อจิตตภาวนาเต็มที่ของจิตแล้วพระพุทธเจ้าก็อยู่ตรงนั้น นตฺถิ เสยฺโยว ปาปิโย บรรดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายนับแต่สาวกองค์สุดท้ายขึ้นมาเป็นอันเดียวกันหมด คือไม่มียิ่งมีหย่อน ต่างกัน เทียบกับน้ำมหาสมุทร น้ำมหาสมุทรจะกว้างจะแคบขนาดไหนเอามือจ่อลงไปตรงไหนก็คือน้ำมหาสมุทร จิตใจเมื่อถึงขั้นบริสุทธิ์แล้วเป็นแบบเดียวกัน ไม่ว่ารายใดๆ พอเข้าถึงความบริสุทธิ์แล้วเป็นอันเดียวกันหมดกับพระพุทธเจ้า นี่ละจิตที่บริสุทธิ์
พุทธศาสนานะที่สอนมาได้ถึงขั้นนี้ ขั้นที่เลิศเลอ พ้นจากสมมุติโดยประการทั้งปวงนี้คือพุทธศาสนา มีตนมีตัว พระพุทธเจ้าของเราเวลาเสด็จออกทรงผนวช นี่ละมีร่องมีรอย มีตนมีตัว ตามรอยมา ไม่ใช่ศาสนาพระพุทธเจ้าของเราเป็นศาสนาป่าๆเถื่อนๆ นะ ตามร่องตามรอยเข้ามาๆ จนถึงตัว เหมือนเราตามรอยโค ตามรอยเข้าไปๆ รอยโคจะเข้าไปถึงตัวโค รอยความจริงก็จะเข้าไปถึงความจริง พระพุทธเจ้าเรามีร่องรอยมาอย่างนั้น ตั้งแต่เสด็จออกทรงผนวช นี่ละร่องรอยเริ่มละ เอาเฉพาะอันนี้ก่อน
เบื้องต้นกว่านี้ก็คือพระบารมีหากดลบันดาลมา ให้เสด็จทอดพระเนตรในพระราชวัง ดังที่เราเห็น เมื่อพระบารมีแก่กล้าแล้วหากมีมาดลบันดาลให้เสด็จทอดพระเนตรในพระนคร ไปเจอพวกเด็กคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย แล้วก็ไปสมณะ แล้วก็มาประมวลที่สมณะ ซึ่งองค์ศาสดาเราจะออกบวชเป็นอย่างนี้ ท่านมีร่องรอยมาอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าไม่มีร่องรอย พุทธศาสนามีร่องรอยเต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่ได้คว้าเอาว่าอะไรที่ชอบใจ หรืองูๆ ปลาๆ เห็นเขาถือก็ถือไปอย่างนั้น อย่างนั้นงูๆ ปลาๆ ไม่ใช่ความจริง
พุทธศาสนานี้เป็นร่องเป็นรอย เป็นความสัตย์ความจริง เป็นตนเป็นตัวจริงๆ เสด็จออกทรงผนวช เริ่มต้นตั้งแต่จะเสด็จออกละ เสด็จออกทอดพระเนตรก็ไปเจอธรรมสังเวชถึงสี่อย่างห้าอย่าง เกิด แก่ เจ็บ ตาย เพศสมณะ จากนั้นมาประมวลเสด็จออกทรงผนวช ทุกพระอาการเคลื่อนไหวของพระพุทธเจ้านี้เป็นตัวอย่างต่อสัตว์โลกได้เป็นอย่างดี คือเป็นศาสดาของโลก เริ่มมาตั้งแต่นั้นแหละ ศาสดาคือครูสอนโลกเรื่อยมา ออกทรงผนวช พอออกทรงผนวชก็เป็นคติตัวอย่างอันดีงามมาตลอดอีกแหละ เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ความสะดวกสบายตามโลกสมมุตินิยมอะไรจะเกินพระเจ้าแผ่นดิน ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในนั้นหมด แล้วก็ทรงเสียสละ เหมือนเทวดาตกจากแดนสวรรค์มาลงนรกนั่นแหละ
พอเสด็จออกทรงผนวชแล้วเข้าป่าเป็นคนขอทาน บิณฑบาตอาศัยชาวบ้านเขากิน จากความเป็นพระเจ้าแผ่นดินกลายเป็นคนขอทาน พระองค์ไม่ทรงสนพระทัย มุ่งอรรถธรรมอันเลิศเลอมากยิ่งกว่าสิ่งเหล่านี้ ตะเกียกตะกายได้ ทรงทรมานพระองค์ ก็ทางไม่เคยเดิน อย่างที่ว่าอดพระกระยาหาร ๔๙ วัน นี่คือทางไม่เคยเดิน จะมุ่งตรัสรู้ธรรมด้วยการอดอาหารโดยเฉพาะมันไม่ใช่ทาง ถ้าเป็นอุปกรณ์เครื่องหนุนช่วยกันถูก ดังที่พระท่านอดอาหารอย่างนี้นี่ก็มีร่องรอยมา ไม่ใช่พระท่านมาทำลอยๆ นี่เป็นพุทธบัญญัติด้วย
คือถ้าภิกษุอดอาหารเพื่อการโอ้การอวดตนแล้วปรับอาบัติ คืออาบัติโทษ ปรับโทษทุกอาการที่เคลื่อนไหว ฟังซิน่ะ คือห้ามไม่ให้อดนั่นเอง ปรับอาบัติโทษทุกอาการที่เคลื่อนไหว แต่ถ้าอดเพื่ออรรถเพื่อธรรม เพื่อความพากความเพียรแล้วอดเถิดเราตถาคตอนุญาต นั่นก็เป็นอย่างนั้น อดเพื่ออรรถเพื่อธรรมเป็นเครื่องหนุนความพากความเพียรดังที่พระท่านอด ท่านไม่ได้เอาอันนี้เป็นเครื่องตรัสรู้ เป็นอุปกรณ์เครื่องหนุนในการบำเพ็ญเพียรสะดวกๆ ถ้าเพื่อตรัสรู้หรือเพื่อบรรลุธรรมเพราะการอดอาหารผิด พระพุทธเจ้าทรงปรับอาบัติทุกอาการที่เคลื่อนไหวเลย เรียกว่าห้ามไม่ให้อด ถ้าอดแล้วปรับอาบัติตลอด ถ้าอดเพื่อโอ้เพื่ออวด แต่ถ้าอดเพื่ออรรถเพื่อธรรมเพื่อความพากเพียรแล้วอดเถิดเราตถาคตอนุญาต นั่นฟังซิ อดเถิด ก็เป็นอย่างนั้น ท่านอดเหล่านี้เพื่อเป็นอุปกรณ์เครื่องหนุนความพากเพียร
สติสำคัญมากนะ ถ้าเราฉันอิ่มนี้สติผิดพลาด ตั้งขนาดไหนมันยังผิดพลาด ผิดพลาดไปได้ เผลอได้ เอา จับกันในขณะนั้นซิ มันเป็นอย่างไร ตั้งขนาดนี้มันยังเผลอได้มันเป็นอะไร มันเพราะอะไร หาเหตุหาผล เราก็ตัวเท่าหนูแต่มันคุ้ยเขี่ยขุดค้นนะ หาเหตุหาผลมันเพราะอะไร ก็เราพยายามอย่างเต็มใจว่าจะไม่ให้เผลอสติ แล้วมันเผลอไปได้ยังไง มันมีอะไรพาให้เผลออยู่นี้ อะไรที่เกี่ยวโยงกัน การอยู่การกินการหลับการนอนเป็นความเกี่ยวเนื่องกันในเรื่องความเพียร คือผ่อนอาหาร
ผ่อนอาหารสติเริ่มดีขึ้นๆ อ๋อนี่ดี ผ่อนอาหารอดอาหารดีการตั้งสติ สติไม่ขาดวรรคขาดตอนตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับไม่มีเผลอเลย นี่สติดีเพราะการอดอาหาร แต่ถ้าอดไปจริงๆ มันก็ตายได้ ก็มีอดมีอิ่มบ้างเป็นธรรมดา แต่ให้รู้ทางของมันไว้ก็แล้วกัน นี่ละเราทำอย่างนั้น เพราะฉะนั้นเรื่องอดอาหารส่วนมากถูกนิสัยเพราะเกี่ยวกับเรื่องธาตุขันธ์โดยตรง ถ้าฉันมากๆ นอนก็มาก ความขี้เกียจมาก เผลอมาก ผ่อนลงไปๆ สิ่งเหล่านี้อ่อนตัวลง การอดอาหาร ผ่อนอาหาร การหลับการนอนก็ผ่อนไม่ค่อยง่วงเหงาหาวนอน ทีนี้เวลาเราอดเสียจริงๆ ถึงสองวันไปแล้วนี้ไม่มีง่วงเลย นั่งเหมือนหัวตอ นั่นมันก็บอกชัดเจนว่าขึ้นอยู่กับอาหาร
ต้องฝึกต้องสังเกตเจ้าของไปเรื่อย มีแต่สักแต่ว่าทำไม่ได้เรื่องนะ ต้องใช้ความสังเกตตลอด ผู้ที่จะหาผลประโยชน์จากความเพียรของตนต้องใช้ความพินิจพิจารณา อย่าสักแต่ว่าทำเฉยๆ ไม่เกิดประโยชน์ ที่พูดเหล่านี้ได้ผ่านมาแล้ว เจ้าของได้ทดสอบมาหมด ได้ผลอย่างไรๆ ก็ยึดอันนั้นเป็นหลักๆ จนเป็นหลักเป็นเกณฑ์แล้วนำมาสอนโลก สติสำคัญมากเป็นเครื่องพยุงความเพียร ตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลานจนกระทั่งถึงมหาสติมหาปัญญา พ้นสติไปไม่ได้
ท่านจึงสอนไว้ว่า สติ สพฺพตฺถ ปตฺถิยา สติจำต้องปรารถนาในที่ทั้งปวง ไม่เว้น สติไม่มีเว้น สติสำคัญมาก สติตั้งแต่นี้ก้าวขึ้นถึงสติปัญญาอัตโนมัติ มหาสติมหาปัญญา ไม่มีคำว่าเผลอ ความรวดเร็วรวดเร็วมากทีเดียว กิเลสโผล่มาไม่ได้เลยขาดสะบั้น ถึงขั้นที่กิเลสขาดสะบั้นเป็นอย่างนั้น อยู่ในขั้นของธรรมขาดสะบั้นกิเลสฟัดเอานี้ก็เป็น จนน้ำตาร่วง เรียกว่าสติขาดสะบั้น ตั้งพับล้มผล็อยๆ ตั้งเท่าไรก็ล้มมันเป็นเพราะอะไร จนกระทั่งน้ำตาร่วงบนภูเขา นี่กระแสของกิเลสรุนแรงฟาดสติล้มตลอดเลย พลิกใหม่เปลี่ยนใหม่จนกระทั่งถึงขั้นที่ว่านี้สติปัญญาอัตโนมัติ ไม่มีคำว่าเผลอ เป็นอัตโนมัติของตัวเอง ก้าวเข้าสู่มหาสติมหาปัญญายิ่งหลักแหลมทีเดียว นี่ละเป็นสติปัญญาที่ฆ่ากิเลสโดยตรง ขาดสะบั้นไปเลย ไม่มีเหลือ
ผู้ที่มาศึกษาอบรมพวกนักเรียนก็ให้พากันดูเป็นคตินะ มาวัดมาวาให้ดู ดูท่านเป็นยังไง พระท่านมีกฎมีระเบียบ ชีวิตของพระอยู่ในธรรมในวินัย ท่านไม่ได้ปฏิบัติตัวนอกเหนือจากธรรมจากวินัยไป ความเคลื่อนไหวทุกอย่างของพระท่านที่ปฏิบัติ ไม่ได้หมายถึงพระโกโรโกโส พระที่อยู่หน้าศาลานั่นเห็นไหม เขาเขียนไว้ว่าเปรต หัวหน้าเปรตที่ศาลานั่น ถ้าพระประเภทนี้เลวที่สุด เราต้องหมายถึงพระผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรม ไปที่ไหนท่านมีสติประจำคอยควบคุมความเคลื่อนไหวของตนเสมอ นี่เรียกว่าพระผู้มีธรรมท่านปฏิบัติเป็นอย่างนั้น แล้วกิเลสมันจะเหนือธรรมไปที่ไหน เหนือไม่ได้ สติธรรม ปัญญาธรรม วิริยธรรมเป็นสำคัญมาก บังคับให้ดี
การที่เราอยากเป็นคนดีต้องบังคับ ปล่อยไปตามบุญตามกรรมโกโรโกโสถึงเวลาตายก็ตายแบบตามบุญตามกรรม ไม่มีสถานีที่จอดแวะ ที่ไหนต่ำไหลลง ถ้าความประพฤติของเราเคยต่ำมาแล้วมันไหลลงตลอดเวลา พอลมหายใจขาดปั๊บไหลเลยๆ ถ้าตั้งใจฝึกหัดตัวเองให้ดีแล้วอยู่ยังไงก็ดี ไม่กังวลเรื่องความเป็นอยู่ตายไป ตายแล้วจะไปโลกไหนๆ ไม่ เมื่อพอแล้วทุกอย่าง พอหมด พูดให้มันชัดเจน เวลาจิตมันพอแล้วไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลาเข้ามาบีบบังคับ เป็นหลักธรรมชาติที่พอตัวแล้วด้วยความเลิศเลอ ด้วยความพ้นจากสมมุติเป็นอย่างนั้น นั่นละธรรมท่านฝึกฝนอบรมโลกให้เป็นใจถึงขนาดนั้นละ
พระพุทธเจ้าศาสดาองค์เอกนำสัตว์โลกด้วยวิธีการเหล่านี้ ให้พากันไปปฏิบัติ อย่าทำสุ่มสี่สุ่มห้าลุ่มๆ ดอนๆ อยู่ไปกินไปนอนไป ภาวนาตั้งสติหรือไม่ตั้งก็ไม่รู้ อย่างนี้ไม่ได้เรื่องนะ ต้องมีการตั้งสติให้ดี สติเป็นสำคัญ การภาวนาถ้ายังไม่ได้หลักเกณฑ์ให้ยึดคำบริกรรมเอาไว้ สติจับติดกับคำบริกรรมไม่ให้เผลอ แล้วจิตก็เริ่มเป็นความสงบได้ สงบได้ๆ ต่อจากนั้นก็ขึ้นเป็นสมาธิจิตแน่นหนามั่นคง นั่งอยู่ที่ไหนเหมือนหัวตอ คือไม่อยากคิดอยากปรุง ความคิดปรุงนี้เป็นเรื่องรำคาญ มันรำคาญไม่อยากคิดอยากปรุง
แต่ก่อนไม่ได้คิดไม่ได้รำคาญ ต้องดีดต้องดิ้นต้องคิดต้องปรุงนี่กิเลสพาเป็น ทีนี้เวลาธรรมพาเป็น เช่นสมาธิธรรม ถึงขั้นจิตเป็นสมาธิแล้วอยู่แน่วทั้งวันก็ได้ นั่งที่ไหนเหมือนหัวตอ ความรู้เป็นอันเดียวไม่มีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง อารมณ์คือความคิดปรุงรำคาญ จากนั้นออกทางด้านปัญญา อยู่เฉยๆ มันสงบเล็กน้อยไม่ใช่แก้กิเลสนะ สมาธิไม่ใช่แก้กิเลส ตีกิเลสให้ตะล่อมตัวเข้ามาต่างหากไม่ใช่เป็นการแก้กิเลส การแก้กิเลสแก้ด้วยปัญญา ออกทางด้านปัญญาพิจารณาแยกธาตุแยกขันธ์ แยกเขาแยกเราทั่วแดนโลกธาตุลงในกฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา สุดท้ายปล่อย ปล่อยเป็นลำดับ
ปล่อยทางด้านวัตถุคือเรื่องร่างกายของเขาของเราวัตถุต่างๆ อิ่มตัวแล้วด้วยการพิจารณา ปล่อย เวลาอิ่มแล้วปล่อย พิจารณาร่างกายก็ปล่อย ไม่เอา ผ่านหมดกฎอันนี้ อสุภะอสุภัง ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา ผ่านๆ เรื่อย เข้านามธรรมการเกิดการดับของความคิดความปรุงสัญญาอารมณ์ ตีเข้าไปไล่เข้าไปหาอวิชชา นี่ละเรื่องปัญญาตีเข้าไปๆ ก็มีแต่การเกิดการดับของสังขาร ของสัญญาความคิดความปรุงรับทราบสิ่งต่างๆ เมื่อรับทราบพับดับพร้อมๆ สติมีอยู่รู้ทั้งความเกิดความดับของสิ่งกระเพื่อมขึ้นมา จากนั้นก็เข้าถึงใจ ใจเป็นตัวสำคัญ อวิชฺชาปจฺจยา อยู่ที่หัวใจ ตีเข้าไปในอุโมงค์ใหญ่ ฟาดอวิชชาแตกกระจัดกระจายขาดสะบั้นไปหมดแล้ว หมด เรื่องภพเรื่องชาติไม่มีอะไรเหลือเลยขาดสะบั้นลงไปหมด
นั่นละที่นี่เรียกว่าจบแล้ว วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ กตํ กรณียํ งานที่แสนทุกข์ยากลำบากแสนสาหัสคืองานฆ่ากิเลส ได้ฆ่าได้สิ้นสุดลงไปเรียบร้อยแล้ว งานที่ควรทำก็คืองานการฆ่ากิเลสนี้แหละเป็นงานที่ควร งานอื่นที่ทำให้ยิ่งกว่านี้ไม่มี งานฆ่ากิเลสเป็นงานที่ยิ่งยวดที่สุดลำบากมากที่สุด ขาดสะบั้นลงไปหมดแล้วหมดงาน พระพุทธเจ้าพระอรหันต์หมดงานโดยสิ้นเชิง ท่านหมดอันนี้แล้วไม่มีอะไรกวนใจ เรื่องธาตุเรื่องขันธ์การเจ็บไข้ได้ป่วยปวดหัวตัวร้อน มันก็ดีดดิ้นอยู่ตามอาการของธาตุของขันธ์ แต่ไม่สามารถที่จะเข้าไปดีดดิ้นภายในจิตใจของท่านที่บริสุทธิ์ได้ ใจที่บริสุทธิ์วิมุตติตลอดเวลา เป็นอย่างนั้น
ให้พากันฝึกซิพวกภาวนา อย่ามาหาตั้งแต่เรื่องยุ่งกับคนนั้นยุ่งกับคนนี้ คนนั้นไม่ดีคนนี้ไม่ดี ตัวเจ้าของเป็นอันธพาลเป็นนักเลงโตหาอาละวาดด้วยอารมณ์ต่างๆ ต่อคนนั้นต่อคนนี้ นี่พวกนักเลงโตพวกอาละวาดมันอยู่ในนักภาวนา ยุ่งไปหมด ดูตัวเองตัวมันอาละวาดนี้มันจะสงบตัว จะไม่มีเรื่องอะไรไปยุ่งกับใคร เพราะตัวยุ่งตัวนี้ออก ระงับตัวนี้แล้วไม่มีใครยุ่ง ฟาดตัวนี้ขาดสะบั้นไปหมดแล้วหมดความยุ่งโดยประการทั้งปวง ให้พากันจดจำ
ลูกหลานที่มาฟังอรรถฟังธรรมก็ให้นำไปปฏิบัติ ฝึกกายวาจาใจของตนให้ดี เรื่องจิตมันคึกคะนองตลอดเวลา ให้เอาธรรมเข้าไปตีเป็นน้ำดับไฟมันจะไม่คึกคะนองมาก เราจะเป็นคนดีได้ด้วยการฝึกฝนอบรม ถ้าจะปล่อยเลยตามเลยนี้ตายทิ้งเปล่าๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร พากันจำเอา เอาละพอ
เราเทศน์สอนโลกนี่พิลึกนะ ตั้งแต่เริ่มสร้างวัดป่าบ้านตาดมานี้เริ่มสอนคน แต่ก่อนสอนพระอยู่ในป่าในเขา อยู่แต่ในป่าในเขาไม่มีใคร ประชาชนไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง มีแต่สอนพระ เพราะพระนี้จมูกเก่งติดตามได้หมด ไปอยู่ที่ไหนพระนี้จมูกเก่งติดตามได้หมด พอไปถึงตัวแล้ว มันยังไงพวกจมูกเก่งหมาสู้ไม่ได้ ว่าอะไรเฉยขอให้ได้อยู่ด้วยก็พอ พอเข้าถึงตัวจะว่าอะไรเฉยไม่สนใจ พวกจมูกเก่งหมาสู้ไม่ได้ เฉย เข้าถึงตัวแล้ว เราเซ่อต่างหาก หลบไปที่ไหน อ้าว เดี๋ยวคนนั้นดักแล้วคนนี้ดัก แต่ก่อนเราอยู่แต่คนเดียวเรา เป็นนิสัยอย่างนั้น
ตั้งแต่ออกปฏิบัติคนเดียวๆ ตลอดเลย ทีนี้เวลาผ่านไปแล้วก็ไปคนเดียว แต่ตอนนี้ไม่พ้นหมู่เพื่อนรุมนะ เพราะพ่อแม่ครูจารย์มรณภาพแล้วไม่มีใครเกาะ แต่ก่อนเราก็ไม่เคยคิดว่าเพื่อนฝูงจะจดจ้องมองดูเราเราไม่คิด เราสนใจแต่ตัวเราคนเดียว เช่นอย่างเราจะออกไปเที่ยวนี้ ไปกี่คน พ่อแม่ครูจารย์ถาม ไปกี่องค์ ไปองค์เดียว ท่านขึ้นทันทีเลย เอ้อ ท่านมหาไปองค์เดียวนะใครอย่าไปยุ่งท่าน นั่นท่านส่ายมือไปนี้ แล้วใครจะไปยุ่งกับเรา เราก็ไม่สนใจกับใคร จึงไม่ได้นึกว่าพระเณรจะจดจ้องเรา พอพ่อแม่ครูจารย์มรณภาพพรึบเลย โถ ที่นี่หลบไปไหนไม่ทัน นั่นถึงรู้ว่าพระเณรจดจ้องเรามาตลอด จากนั้นมาแล้วก็ได้เริ่มสอนหมู่สอนเพื่อนอยู่ในป่าในเขา จากนั้นมาก็ค่อยเคลื่อนมานี้ มาเอาโยมมารดาบวช ทีนี้มันก็เลยพะรุงพะรังยุ่งไปหมดทุกวันนี้ เลอะเทอะไปหมด ให้พร
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz