ช่วยตัวเอง
วันที่ 27 สิงหาคม 2549 เวลา 8:20 น. ความยาว 31.27 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๗ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙

ช่วยตัวเอง

         (หมออำเภอบ้านดุง อุดรธานี ถวายหนึ่งหมื่นบาทครับ) เออ เราพอใจ วันนี้ได้ยินเสียงหมอถวายปัจจัยวันนี้ละ เคยเตือนไปหมอห่างเหินศาสนามาก เราว่าอย่างนี้นะ หมอเรียนสรีรศาสตร์ร่างกายส่วนต่างๆ อันนี้เรียนสรีรศาสตร์เพื่อแก้โรค พระพุทธเจ้าสอนสรีรศาสตร์เพื่อแก้กิเลสวัฏวน มหาทุกข์อยู่ในนั้น เราเตือนไป สรีรศาสตร์ของหมอแก้โรคแก้ภัย สรีรศาสตร์ของศาสนานี้แก้กิเลสตัณหา เราว่างั้น ก็ดีแล้ว

ธรรมะที่เรานำมาเทศน์สอนสอนโลกอยู่ทุกวันนี้ คือธรรมะของศาสดาองค์เอก เลิศเลอที่สุดคือธรรมได้นำมาสอนโลก จึงไม่มีคำว่าสูงว่าต่ำที่ไหนที่จะเหนือธรรมไปได้ ไม่มีเหนือ ธรรมจึงสอนได้ทุกแง่ทุกมุม ดังที่เราเตือนให้ทราบ เอาธรรมไปเตือน พวกวงราชการต่างๆ พวกสกปรก แน่ะสอนอย่างนั้น เห็นแก่ได้แก่กินแก่กลืน เหมือนปล่อยหมาเข้าถาน สอนอย่างนี้นะ จับหางดึงออกมันยังไม่ยอมออก กินไม่อิ่ม

นี่ละธรรมสอนโลก อย่าโลภมากเกินไป ความหมายว่างั้น นี่ธรรมสอนโลก แล้วหยาบที่ไหน ผู้ที่ทำมันหยาบมากนั่น จับหางดึงออกมาหยาบที่ไหน หางขาดก็ไม่หยาบ โลกมันสกปรกขนาดนั้น ธรรมจับหางดึงออกมันสกปรกมันวิ่งเข้าถาน จับหางดึงออกมันไม่ยอมออก แล้วทางไหนหยาบ จะว่าผู้จับหางดึงออกหยาบหรือ ตัวหมานั่นตัวมันวิ่งเข้าถานนั่นมันหยาบมาก ความโลภมันหยาบมาก อย่าโลภไม่ใช่ความหยาบ จับหางดึงออกหมายถึงว่าอย่าโลภมากเกินไป ความหมายว่าอย่างนั้น

ตายด้วยกันทุกคนนั่นแหละ เวลาตายแล้วก็ไม่เห็นมีอะไร ใครจะเผาจะฝังอะไรก็แล้วแต่ จิตวิญญาณนี้ดีดออกแล้ว จิตวิญญาณอยู่ในร่างของสัตว์ของบุคคลไม่มีใครมองเห็น จิตวิญญาณดวงนี้ตัวเป็นนักท่องเที่ยว ตัวนักสมบุกสมบันคือจิตดวงนี้ อยู่ในร่างของสัตว์ ไปด้วยบุญด้วยกรรมไม่ใช่ไปลอยๆ นะ อวิชชาเป็นเชื้อพาให้เกิด กิ่งก้านของอวิชชาคือบาปคือบุญติดอยู่ในนั้นลากไปให้ไปเกิดในที่ต่างๆ พากันจำเอา

พระพุทธเจ้าเป็นพระองค์แรกที่สอนโลก อย่างที่ไม่มีใครสอนได้เลย พระพุทธเจ้าสอน นำออกมาชี้แจง จิตดวงนี้ใครสอนได้ สอนไม่ได้ พระพุทธเจ้านำมาสอนได้ จากนั้นกระจายออกมาถึงพุทธศาสนาของเรา สอนจิตทั้งนั้นเป็นสำคัญ คือจิตนี้เป็นตัวเหตุตัวสำคัญ ท่านจึงบอกว่า มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺฐา มโนมยา ใจเป็นสำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด ให้ระวังใจ ให้อบรมรักษาใจ ท่านสอนไว้อย่างนั้น นี่ใครสอนถ้าไม่ใช่พระพุทธเจ้า

ใครจะอวดดีอวดเด่นมาจากโลกไหน จะมาเหยียบศาสดาองค์เอก เหยียบมันก็พังเท่านั้นแหละ พวกเหยียบนี้พวกพัง ผู้ถูกเหยียบไม่พัง ถูกตั้งแต่ลมปากเฉยๆ  พวกนั้นละพวกพัง พุทธศาสนาของพระพุทธเจ้านี้เลิศโลกแล้ว ให้พากันนำไปปฏิบัติ พิสูจน์ออกมาจากจิตตภาวนาถึงชัดเจน พระพุทธเจ้าเป็นพระองค์แรก ค้นคว้าโดยพระองค์เอง ทรงทราบตลอดทั่วถึงแล้วมาสอนสัตว์ทั้งหลาย บรรดาสาวกได้ยินได้ฟังการอบรม จ้าขึ้นมาๆ เป็นพยานพระพุทธเจ้าได้เป็นอย่างดี คือพระสาวกอรหันต์ นี้เป็นพยานของพระพุทธเจ้าได้เป็นอย่างดี

ธรรมสอนโลกก็คือน้ำที่สะอาดชะล้างสิ่งสกปรกนั้นแหละ กิเลสตัวสกปรก ธรรมะเหมือนกับน้ำที่สะอาด ชะล้างลงไปๆ  ให้พากันเอาธรรมะนี้ไปชะล้างจิตใจตัวเอง ไม่เช่นนั้นจะมอมแมมไปจมอยู่ในนรก ใครจะเก่งยิ่งกว่าศาสดาไม่มีในโลกนี้ อย่าพากันอวดเก่งทั้งที่เลวที่สุด อย่าไปอวดเก่งกับศาสดานะ มีพระองค์เดียวที่ตรัสรู้ขึ้นมาไม่มีใครสอน ตรัสรู้ขึ้นมานำธรรมมาสอนโลก นอกนั้นมีใครมาสอนได้ไม่มี พิจารณาดูซิ พระพุทธเจ้าเป็นพระองค์แรกสอน จากนั้นก็พระสาวกทั้งหลายสอนสัตว์โลกทั่วๆ ไป

นี่จวนจะตายแล้วค่อยเปิดออกมาเรื่อยๆ มันจ้าอยู่ในหัวอกนี่ๆ ว่าให้ชัดๆ อย่างนี้ละ นี่ผลแห่งการปฏิบัติธรรมที่เคยพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ล้มลุกคลุกคลานจะเป็นจะตายอยู่ในป่าในเขา เขาจนตีเกราะประชุมกันไปดูเราจะตาย นั่นละเวลาตะเกียกตะกายเป็นอย่างนั้น ไปที่อื่นก็ทำอย่างนั้น แต่เขาไม่ตีเกราะเราก็บอกไม่ตีเกราะ บ้านนั้นเขาตีเกราะประชุมจริงๆ  ไปดูพระองค์นี้มาอยู่นี้ได้หลายเดือนแล้ว ไม่ทราบว่ากี่วันด้อมๆ มาบิณฑบาตวันหนึ่งแล้วหายเงียบๆ มาอย่างนี้ตลอด ท่านไม่ตายแล้วเหรอ ถ้าไม่ตายท่านไม่โมโหโทโสอยู่เหรอ นี้ผู้ใหญ่บ้านเขาตีเกราะประชุมลูกบ้าน

ลองไปดูซิ พวกเรากินวันละสามมื้อสี่มื้อยังทะเลาะกัน นี่กี่วัน นี่ก็หายไปหลายวันแล้วท่านไม่ตายแล้วเหรอ พากันไปดูซี แต่ให้ระวัง เขาเตือนให้ระวัง พระองค์นี้ไม่ใช่พระธรรมดา เป็นมหานะ เดี๋ยวท่านจะเขกเอาหลงทิศมา เขาเตือนไป ก็ไปจริงๆ นี่เอาความจริงมาพูด นี่ละเวลาตะเกียกตะกายหาอรรถหาธรรมหาอย่างนี้ พิจารณาซิ เป็นผ้าขี้ริ้วเศษเหลือไม่มีใครปรารถนา อยู่ในป่าในเขา อดจะเป็นจะตายก็ทนเอาดังที่เคยพูดให้ฟังที่มันขบขัน เราก็ได้เอามาเล่าให้ฟัง

อยู่ในถ้ำไกล ลงมาบิณฑบาต ไปถึงหมู่บ้านเขาดูเหมือนประมาณสี่ห้ากิโล แต่นี้เขาย้ายบ้านเก่ามาตั้งบ้านใหม่ที่เคยเล่าให้ฟังนั่นแหละ เวลาจำได้มันจำได้นะ อันไหนที่จำไม่ได้ก็ผ่านธรรมดา แต่อันนี้จำได้ เขายกครอบครัวมาตั้งนี้ก๊กหนึ่ง ครอบครัวนั้นก๊กหนึ่งๆ รวมห้าก๊ก เขาจะมาตั้งบ้านแถวนั้น ดูว่าจะใกล้ไร่นาเขาเขาจึงมาตั้ง เราก็ไปบิณฑบาต ไม่ได้ไปบิณฑบาตหมู่บ้านไกลๆ ละ ไปบิณฑบาตกับเขา เขาใส่บาตรห้าครอบครัว พอกลับออกมาบ้านสุดท้ายครอบครัวสุดท้าย ก็มีผู้ชายคนหนึ่งอายุประมาณสัก ๔๐ นี่แหละ กะประมาณสัก ๔๐ หรือ ๔๐ กว่า พอลูกใส่บาตร ใครก็ใส่บาตรแล้วก็พูดกับเราว่า นี่ท่านบิณฑบาตได้อะไรบ้างไหมล่ะ ว่างั้นนะ เขาก็ปุ๊บปั๊บมา ไหนขอดูบาตรหน่อย

พอเขามาดู ตาย ไม่มีอะไรเลย มีข้าวสองสามปั้นจะไปกินอะไร เอา สูรีบทำ จัดการเอาพริกเอาอะไรมาโขลกลงครกโป๊กป๊ากๆ แล้วเอาทัพพีไปตักเอาปลาร้าในไหเขามาตำคลุกเคล้าเข้าด้วยกัน เขานิมนต์เรายืนรอเสียก่อน เขาก็ทำ นี่เรียกว่าเอาน้ำใจคน ยืนอยู่เห็นเขาเอาปลาร้าดิบแล้วจะฉันได้ยังไงในพระวินัย ก็เฉย คือเราเอาน้ำใจเขา นิมนต์รอเสียก่อน เราก็ยืนรออยู่นั้น เขาใส่ครกโขลกโป๊กเป๊กๆ เสร็จแล้วห่อเอามาวางใส่บาตรปึ๊บ เอ้อ อย่างนี้ค่อยยังชั่วหน่อย ฉันแต่ข้าวเปล่าๆ ฉันได้ยังไง อย่างนี้ค่อยยังชั่วหน่อย เขาดีใจเขาภูมิใจ วันนี้เขาได้ถวายอาหารพระห่อหนึ่ง

เรามองเห็นอยู่แล้ว แต่ก็เอาน้ำใจเขา เขาเอาใส่บาตรก็ปลาร้าดิบจะว่าไง เขาใส่บาตรแล้วก็ไป พอไปถึงเราก็เอานี้ออกไปวางไว้แล้วฉันข้าวเปล่าๆ ไม่ได้บอกว่าอะไรเป็นอะไรนี่ คือเอาน้ำใจเขา เขาดีใจ เอ้อ อย่างนี้ค่อยยังชั่วหน่อย เขาว่างั้น แต่เขาไม่รู้พระวินัยของพระซิ อย่างนี้เราก็ไม่ลืม เขาดีใจเต็มที่แหละวันนั้น เราไม่ได้ฉัน เราเอาน้ำใจเขา ก็อย่างนั้นแล้ว    เวลาทุกข์มันทุกข์มากจริงๆ นะทุกข์จริงๆ

งานการทางโลกทางสงสารเราก็ได้เคยผ่านมา เป็นฆราวาสก็ ๒๐ ปีกับ ๙ เดือนได้มาบวช อายุได้ ๒๐ ปีกับ ๙ เดือน นี่ชีวิตของพระตั้งแต่บัดนั้นมาเข้มงวดกวดขัน บังคับบัญชาให้เป็นชีวิตกิริยาของพระทั้งหมดตั้งแต่วันบวชมา อยู่ในกรอบของศีลของธรรม ไม่ล่วงเกินฝ่าฝืนอะไรทั้งนั้นตลอดมาจนกระทั่งทุกวันนี้ ปฏิบัติมาอย่างนั้น ที่มันหนักจริงๆ ก็ตอนเข้าภาวนา เรียนหนังสือก็ไม่หนักจนสมองทื่อก็ทื่อ ไม่หนัก แต่เวลาออกปฏิบัตินี้หนักมาก

จนเขาตีเกราะประชุม ไปที่ไหนก็เป็นอย่างนั้น แต่เขาไม่ตีเกราะเราก็บอกไม่ตีเกราะ เราหากทำอย่างนั้นของเราเรื่อยไป เพราะความมุ่งมั่นต่ออรรถต่อธรรม คือผ่อนอาหารอดอาหารนี่ ส่วนมากเรามีแต่อดนะไม่ค่อยผ่อน มาอยู่หนองผือผ่อน หนองผือนี้หมู่เพื่อนเต็มวัดเต็มวาเราคอยดูแลคนเดียว พ่อแม่ครูจารย์ท่านเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรอยู่กลางวัด ทีนี้เราก็อยู่ที่นั่นคอยดูแลพระเณร ตาต้องสอดต้องส่อง พระเณรนี้กลัวเราดีไม่ดีมากกว่ากลัวพ่อแม่ครูอาจารย์ เพราะท่านอยู่ท่านไม่ได้เคลื่อนย้ายไปไหน ไอ้เรานี่ไปเรื่อยสอดแทรกไปเรื่อย ดุพระดุเณร กลัวเราละมาก ทะลึ่งไม่ได้ ดูกิริยานิสัยมันก็รู้เองว่าจริงจังขนาดไหน

เราอยู่เราลำบากลำบน ผ่อน อยู่นี้ผ่อนอาหาร คือฉันอยู่แต่ผ่อน ถ้าออกไปแล้วไม่ค่อยฉัน อยู่อย่างนั้นฉันแต่ผ่อน ผ่อน ไม่ให้อิ่ม บังคับเอาไว้เพื่อภาวนา พอถูพอไถไปได้ อยู่กับหมู่เพื่อนมากๆ มันเรือพ่วง รถพ่วง มันลำบาก เราก็ทนเอา เวลาออกไปแล้วดีดผึงเลยๆ กลับมาหาพ่อแม่ครูจารย์นี้มีแต่หนังห่อกระดูกๆ มา ท่านดูตลอดเวลา บางทีท่านร้องโก้กขึ้นเลย จะเป็นเพราะอะไรก็ไม่รู้นะ ลงมาจากภูเขาตัวนี้เหลืองเหมือนทาขมิ้นเลย เหลืองหมดจริงๆ พอลงมากราบ ท่านร้องโก้ก เฮ้ย ทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะ ท่านว่าอย่างนั้น ไอ้เราก็ไม่พูดว่าอย่างไร คอยดูท่านจะออกแง่ไหนอีก คอยฟัง

พอท่านว่าอย่างนั้นท่านกลัวเราจะอ่อนเปียก ท่านพลิกใหม่ พอพลิกทีหลัง เอ้อ มันต้องอย่างนี้จึงเรียกว่านักรบ นั่นท่านกลัวเราจะอ่อนแอ คือมันเหลืองมา มันคงดีซ่านท่า นี่ก็ทรมานทั้งนั้นไม่ใช่อะไร อยู่อย่างนั้นตลอดมา หาอรรถหาธรรมเพื่อพี่น้องทั้งหลายเราหาขนาดนั้น หาจนจะเป็นจะตายตลอด เฉียดสลบแต่ไม่เคยสลบ เฉียดกันไปเฉียดกันมาอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา นี่อุตส่าห์พยายาม การอดอาหารนี้มันดีทางด้านสติ สติสำคัญมาก ความเพียรนี้อะไรก็ตามถ้าขาดสติไม่เป็นท่านะ พากันจำให้ดี นี้ผ่านมาแล้วทุกอย่างสอนไม่ผิด

ทีนี้มันไปได้ผลเรื่องตั้งสติคือการผ่อนอาหาร อดอาหาร สติดี ดีเรื่อยๆ นี่ละมันจะเป็นจะตายจริงๆ ก็ไปฉันให้เสีย ไม่อย่างนั้นมันก็จะตาย ถ้าฉันให้มากกว่านั้นอีกไม่ได้สติล้มเหลว ต้องบังคับ ทางอาหารบังคับเรื่อย ประคองสติให้ดีขึ้นเรื่อยๆ นี่ละตั้งแต่ต้นล้มลุกคลุกคลานก็ด้วยทำอย่างนี้แหละ สติค่อยดีขึ้นๆ จนกระทั่งเป็นสติปัญญาอัตโนมัติเป็นมหาสติมหาปัญญาได้ จากสติที่เราได้ล้มลุกคลุกคลาน ด้วยการอุตส่าห์พยายามตะเกียกตะกายมาเรื่อยๆ อย่างนี้ จึงได้ธรรมมาสอนโลก ไม่ได้ธรรมมาง่ายๆ นะ

งานในชีวิตฆราวาสที่เราว่าเราอยู่เป็นฆราวาสได้ ๒๐ ปีกับ ๙ เดือน นี่ก็ว่าหนัก งานของโลกก็ถือว่าหนักเหมือนโลกทั่วๆ ไป แต่เวลามาประมวลแล้วไม่มีงานใดหนักยิ่งกว่างานแก้กิเลสฆ่ากิเลสด้วยจิตตภาวนา ได้ฝึกทรมานตนทุกแบบทุกฉบับ ถึงขั้นจะสลบไสล เฉียดไปเรื่อยๆ จึงเรียกว่างานหนัก งานฆ่ากิเลสเป็นงานที่หนักมาก ผ่านมาในงานทั้งหลายตั้งแต่เป็นฆราวาสมา มาเรียนหนังสือก็ยากธรรมดาๆ แต่ผ่านเข้าไปเวทีฆ่ากิเลสนี้หนักมากตลอด ไม่มีอ่อนเลย หนักมาก นี่ก็แก้กันด้วยวิธีนี้แหละ เอาวิธีอื่นไม่ได้ ก็ต้องเอาวิธีนี้แก้

อย่างพระวัดนี้ท่านอดอาหารก็คืออดเพื่อสตินั่นละ สติดี ความเพียรตั้งได้ๆ ถ้าสติไม่ดีความเพียรล้มเหลว อยู่กับสตินะเรื่องความพากเพียรทั้งหมด ไม่ได้อยู่ที่ไหนอยู่ที่สติ จับให้ดีนะคำนี้น่ะ ถ้าสติดีแล้วความเพียรจับติดๆ ๆ ตั้งฐานได้ ความสงบร่มเย็นค่อยมีมา จนกระทั่งมีความสว่างไสวภายในจิตใจ ออกถึงขั้นจ้าๆ ไปเลยจากสติทั้งนั้นนะ ได้ฝึกให้เต็มเหนี่ยว ต้องใช้สติเป็นสำคัญ เราได้ดำเนินมาแล้วพูดอะไรจึงไม่ผิด เพราะการสอนเหล่านี้สอนด้วยวิธีการที่เราได้บำเพ็ญมาแล้วดำเนินมาแล้ว ผิดถูกประการใดคัดเลือกๆๆ แล้วเอาแต่วิธีที่ถูกต้องมาสอน จึงเป็นที่แน่ใจสำหรับผู้ฟังจะได้นำไปปฏิบัติ เราสอนด้วยความถูกต้อง เราไม่สงสัยในการสอน จนกระทั่งมาปัจจุบันนี้มันก็จะตายแล้วเวลานี้

ทีนี้ผลแห่งการปฏิบัติ ที่พูดมานี้ลำบากลำบนขนาดไหน พวกเราทั้งหลายที่มานี้หาบเอาเรื่องนิสัยฆราวาสเข้ามาในวัดในวา มาที่ไหนๆ อะไรก็หรูหราฟู่ฟ่าๆ เข้ามาในวัดในวา เอานิสัยฆราวาสตัวพะรุงพะรังกินไม่พอ ใช้ไม่พอ เอามาใช้ในวัดมันเข้ากันไม่ได้กับธรรม ธรรมนี้ต้องช่วยตัวเอง ไม่ต้องยุ่งกับใคร พระพุทธเจ้าเสด็จออกทรงผนวชใครไปตามอุปถัมภ์อุปัฏฐากพระพุทธเจ้า พิจารณาซิ ทรงบำเพ็ญอยู่ถึงหกปี สลบไสลสามครั้งก็ได้ตรัสรู้ขึ้นมา ใครไปตามอุปถัมภ์อุปัฏฐากพระพุทธเจ้าไม่เคยมี  ในตำรับตำราไม่มี

พระองค์เรียกว่าเทวดาตกจากสวรรค์ลงแดนนรกนั่นเอง เป็นพระเจ้าแผ่นดินเสด็จออกทรงผนวช ไปหาขอทานเขากินตามบ้านตามเรือน แต่ก่อนไม่มีศาสนา เขาให้ทานตามมีตามเกิด ตามบ้านตามเรือน พระองค์ก็ไปบิณฑบาตเขา ขอทานเขามากิน ทุกข์ไหมพระพุทธเจ้า ท่านหาใครมาปฏิบัติบำรุงรักษาปรนปรือท่านมีที่ไหนศาสดาของเรา เอามาเป็นคติตัวอย่างซิ อย่าหอบแบบฆราวาสมาใช้ มันมาเหยียบวัดเหยียบวา เหยียบหมด แหลกเหลวหมดละวัด วัดนี้ดีเมื่อไรทุกวันนี้ มันเลอะเทอะไปหมด เราทนไม่ไหวจวนจะตายแล้วก็หลับหูหลับตาดูไปอย่างนั้น หลับตาดู เหมือนไม่มีปาก ไม่รู้อะไรเลย เฉยไปถึงทนได้ ถ้าจะดูตามที่มันผิดมันพลาดแนะนำสั่งสอนนี้ตายเลย คือมันผิดพลาดกันอยู่ทุกแห่งทุกหน มองไปที่ไหนปั๊บมันเห็นแล้วๆๆ

พอพูดอย่างนี้ก็ได้เคยเล่าให้ฟัง โรงน้ำร้อนนี่ ตอนบ่ายสองโมงส่วนมากพระท่านมาฉันน้ำร้อนที่นี่ องค์ไหนท่านต้องการท่านก็มาฉัน ท่านไม่ใช่มารุมฉันนะ องค์ไหนท่านต้องการท่านก็มาฉันที่นี่ เราก็โผล่ออกมานู่น ไม่ได้ออกมานี่ โผล่มาประตูนู่นออกมานี่ เราจะลงไปน้ำบ่อ พระนั่งฉันน้ำร้อนอยู่นี่ พอเห็นเราแตกฮือ เตะแก้วเตะอะไรแหลกไปหมด วิ่งไปทุกทิศทุกทาง หนีตาย เหมือนว่าเสือโคร่งออกมาแล้ว นั่นเป็นอย่างไร ทำไมพระจึงเป็นอย่างนั้น กลัว กลัวด้วยความเป็นธรรม กลัวด้วยความเคารพ ไล่หนีไปไหนไม่ยอมไป แต่กลัว นั้นละคำว่ากลัวเป็นธรรมเป็นอย่างนั้น ผู้เป็นครูเป็นอาจารย์ก็เป็นธรรม

ครั้นออกมานี่มาเห็นแต่แก้วน้ำเกลื่อนอยู่ตามนั้น มันยังไงกัน ทั้งกินทั้งเททั้งเตะทั้งถีบอย่างไรกันนี่น่ะ เห็นเกลื่อนอยู่นี้น่ะแก้วเหล่านี้ โอ๋ พระท่านมองเห็นท่านอาจารย์ท่านเปิดหนีหมด บางองค์เตะแก้วก็มี นั่นฟังซิน่ะ ท่านผิดไหม ท่านไม่ผิดนะนั่น ความเคารพ ไอ้เราก็ไม่ผิด มีแต่มาสอนว่ากล้าอย่างนี้ไม่มีเหตุมีผล กลัวอย่างนี้กลัวไม่มีเหตุมีผล กลัวและกล้าให้มีเหตุมีผลถึงถูกต้อง ผู้สอนก็สอนด้วยเหตุด้วยผล ผู้กลัวผู้กล้าไม่มีเหตุมีผลเข้ากันไม่ได้กับธรรม ก็สอนกันอย่างนั้น นี่เราพูดให้ฟัง ไล่หนีไปไหนไม่ไป หากเห็นแล้วเผ่นเข้าป่า

นั่นเรื่องกลัวเป็นธรรมเป็นอย่างนั้น กล้าเป็นธรรมเป็นอย่างนั้น ไม่ได้เหมือนกับกิเลสพากลัวพากล้านะ ธรรมพากลัวพากล้าเป็นธรรมทั้งนั้นแหละ นี่เราพูดถึงเรื่องการแนะนำสั่งสอนหมู่เพื่อน เผลอแพล็บไม่ได้มองดูแล้ว เหมือนกับครูมวยสอนมวย สอนไปเตือนไปๆ อย่าเปิดตรงนั้น อย่าเปิดตรงนี้ ต่อยกันไปเรื่อย เตือนนักมวย ครูละฝึกซ้อมกันไป ต่อยกันไป แล้วเตือนลูกศิษย์อย่าเปิดตรงนั้น อย่าเปิดตรงนี้ ครั้นว่าไปหลายหนใส่ปั๊วะอย่าเปิดตรงนั้น เอาแล้วนะนั่น ทีแรกบอกเฉยๆ อย่าเปิดตรงนั้นต่อยกันไป อย่าเปิดตรงนั้นๆ หลายครั้งหลายหนมันเปิดอยู่เรื่อยก็ใส่ปั๊วะเข้าไป อย่าเปิดตรงนั้น อันนี้พอมองเห็นปั๊บก็เหมือนว่าอย่าเปิดตรงนั้นนั่นเอง พระกลัวกลัวเพราะเหตุนั้น

เราสอนจริงสอนจัง ไม่ได้เหลาะๆ แหละๆ นะสอนพระสอนเณร เอาจริงเอาจังมาก  ตามองเห็นพับนี่สติปัญญามันจะวิ่งรอบ ในพระเณรองค์หนึ่งๆ เป็นอย่างไรโง่หรือฉลาด กิริยาอาการเคลื่อนไหวไปมาเป็นอย่างไร พอจะแก้กิเลสได้ไหม หรือมีแต่เรื่องกิเลสมัดคอ ถ้าโง่กิเลสมัดคอ ถ้าฉลาดมัดคอกิเลส ความหมายว่าอย่างนั้น ที่มองเห็นครูบาอาจารย์กลัว ก็กลัว ฝึกซ้อมมวย กลัวจะไปเปิดตรงนั้นตรงนี้ละซี พากันจำเอานะ ท่านมาปฏิบัติท่านเอาอะไรมาอุปถัมภ์อุปัฏฐาก ให้พากันระมัดระวังนะ มาในวัดในวาเอาแบบฆราวาสมาใช้ ใช้ไม่ได้นะ ต้องช่วยตัวเองทุกสิ่งทุกอย่าง

พระพุทธเจ้าช่วยตัวเอง สาวกทั้งหลายช่วยตัวเอง สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเราช่วยตัวเองนะ เราไปที่ไหนมีตั้งแต่พะรุงพะรังยุ่งนั้นยุ่งนี้ นิสัยเคยเป็นอย่างไร เคยสะดวกสบายก็หาคนใช้มาใช้มาสอยเพื่อให้สะดวกสะบาย นี่เลว พวกนี้อ่อนแอมาก ไม่ช่วยตัวเอง ให้คนอื่นมาช่วยตลอดเวลาใช้ไม่ได้นะ ต้องฟิตตัวเองสิ่งเหล่านี้นะ จำให้ดี มาปฏิบัติธรรมต้องเอาธรรมเป็นแบบฉบับ อย่าเอากิเลสมาเป็นแบบเป็นฉบับ ถ้าเอากิเลสมาเป็นแบบฉบับมันจะอ่อนแอวันยังค่ำ ไม่ได้อะไรละ ก็ได้แต่เรื่องกิเลส ถ้าเอาธรรมมาเป็นแบบฉบับจะเป็นธรรมไปเรื่อยๆ เอาละพอพูดเท่านั้น

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก