มืดดำที่สุดคือใจสัตว์โลก
วันที่ 26 สิงหาคม 2549 เวลา 8:00 น. ความยาว 52.58 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙

มืดดำที่สุดคือใจสัตว์โลก

ก่อนจังหัน

วันนี้เขาอาจไปภูวัวก็ได้ เขามักจะไปวันที่ ๒๖-๒๗ พอดีวันเสาร์วันอาทิตย์ วันนี้เขาอาจไปภูวัวก็ได้ ให้ท่านอุทัยไปอยู่เขาใหญ่ เราละปรึกษาหารือท่านอุทัยเองท่านก็พอใจตามคำที่เราต้องการและขอร้องท่าน ส่วนที่วัดภูวัวก็ให้อยู่ตามเดิม มีหัวหน้าที่รองกันอยู่นั้น ท่านอุทัยไปอยู่ทางโน้น พระดูว่าไปจากทางนี้สิบกว่าองค์ ๑๔-๑๕ องค์ละมั้งไปอยู่เขาใหญ่ ทางนี้ก็ ๓๐ กว่า คืออยากให้ได้พระดีๆ ไป เป็นที่ร่มเย็นแก่ตัวเองและผู้เกี่ยวข้อง

เรื่องศาสนาเป็นเรื่องเล็กน้อยเมื่อไร พระนี้เป็นผู้นำที่ชุ่มเย็นสุดยอดเลย ขอให้ปฏิบัติดีตามหลักศาสนธรรมของพระพุทธเจ้าในแบบของพระ คือมีธรรมมีวินัยเป็นกฎเป็นเกณฑ์เป็นหัวใจ เป็นชีวิตจิตใจของพระเถอะ ไปที่ไหนตัวเองเย็นไปเลย และผู้มาเกี่ยวข้องมากน้อยเย็นไปตามๆ กันหมด นี่ละธรรมเป็นอย่างนั้นนะ ผิดกันกับโลก โลกมีแต่ฟืนแต่ไฟ ใครก็อวดเก่งๆ มีแต่คนเลวนะที่อวดเก่งๆ นั้นน่ะ พวกเลวทั้งนั้นอวดเก่งๆ ท่านผู้เก่งท่านไม่ได้อวด

พระพุทธเจ้า สาวกและท่านผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบท่านไม่อวด ท่านชุ่มเย็นตลอด ไปที่ไหนชุ่มเย็นๆ ไอ้พวกเป็นฟืนเป็นไฟมักจะโฆษณาตัวเอง ใครจะไปนับถือก็กองขี้นับถือหาอะไร ทำตัวเป็นมูตรเป็นคูถจะให้คนเขากราบไหว้บูชา ใครจะไปกราบได้ลงคอ ขอให้ทำตัวให้ดีเถอะเทวดาก็มากราบ จะว่าอะไรแต่มนุษย์เรา เทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมลงมากราบทั้งนั้นท่านผู้ทรงศีลทรงธรรม ท่านกราบอย่างเงียบๆ นะ โลกตาบอดไม่เห็น ท่านเองกับพวกเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมติดต่อสื่อสารกันอยู่ตลอดเวลา นั่นละธรรมเข้าได้หมด ขึ้นชื่อว่าธรรมแล้วเข้าได้หมด เย็นไปหมดธรรม อย่างที่ว่าเมตตาธรรมดังพระพุทธเจ้าสงเคราะห์โลก ทั้งอรรถทั้งธรรม ทั้งด้านวัตถุ ทุกแง่ทุกมุมที่จะเป็นประโยชน์แก่ผู้มาเกี่ยวข้องหรือมาอาศัย เสียสละๆ นั่นละธรรมไปที่ไหนเย็นไปหมด ธรรมเป็นอย่างนั้น ถ้ากิเลสไปที่ไหนขวางโลกๆ

วัดเราพระมาฉันเท่าไร (๒๖ ครับผม) เอ๊ะ ภูวัวในพรรษานี้เท่าไรลืมแล้ว (๓๖ เจ้าค่ะ) เออ ๓๖ ทางเขาใหญ่เท่าไร น่าจะไม่ต่ำกว่า ๑๔-๑๕ องค์ (๑๔ องค์ครับ) เออ นั่น ๑๔-๑๕ องค์ นั่นก็ให้ท่านวางแนววางแถว ท่านทำดีนะเราไปดูแล้ว ท่านทำกระต๊อบเล็กๆ เหมือนกระต๊อบหลวงตานั่น ท่านทำแบบเดียวกัน ดูจะเล็กกว่านี้อีก นั่นกระต๊อบหลวงตา เจ้าของยืนอยู่นั่นเห็นไหม ตั้งแต่มาสร้างวัดใหม่ๆ สร้างอย่างนั้นละ นี่พังลงไปสามหลังนะ หลังสี่จึงได้ขึ้นมาจนกระทั่งทุกวันนี้ พังไปสามหลัง คือเสามันแห้งแล้วปลวกกินเสา พัง ถ้ามันยังชุ่มอยู่มันไม่กินปลวก  เราฝังลงดินไปพอแห้งนี้ปลวกกิน ลงๆ ของเรา

ยังหนุ่มน้อยนะนั่นมองดู หนุ่มฟ้ออีตาบัว กุฏิหลังนี้มุงหญ้าคา เย็นเป็นที่หนึ่ง หญ้าแฝกเป็นที่สอง จากเป็นที่สาม จากไม่ได้เย็นนะ หญ้าคาเป็นอันดับหนึ่ง หญ้าแฝกอันดับสอง พวกจากรู้สึกจะไม่ค่อยเย็นนัก มองไม่ทันนะเรา มองดูรอบๆ วัด ไปที่นั่นไปที่นี่ไปดูนั้นดูนี้ ไปที่ไหนเห็นแต่สิ่งบกพร่องๆ ในบริเวณวัดนี่ละ ไปมาต้องได้สั่งได้เสียอย่างนั้นๆ ไปที่ไหนมองมีแต่ความบกพร่องๆ ส่วนใหญ่มันมีฆราวาสเข้ามาเกี่ยวข้อง ฆราวาสมันสมบูรณ์ที่ไหนมีแต่ความบกพร่อง พระท่านรักษาอยู่มันก็ขวางหูขวางตาซิ

ไปดูซินอกกำแพงก็เป็นวัด ไปเที่ยวดูซอกแซกซิกแซ็กในฐานะว่าเราเป็นผู้รับผิดชอบ ต้องได้ดูตลอด ไปทางโน้นไปทางนี้ อย่างในวัดนี่ก็เหมือนกัน ในวัดเรานี้กลางคืนใครเห็นเราเมื่อไร บางทีไปโดนเอากับพระ กลางคืนท่านกำลังเดินจงกรม พระท่านเดินจงกรมกลางคืนไม่มีไฟนะ เราก็ไปกลางคืนไม่มีไฟ เราตัวหาจับโจรหาโจร เลยกลายเป็นโจรไป ไปโดนเอาพระท่านกำลังเดินจงกรม อย่างนั้นแล้วซอกแซกๆ ไปหมด จะไม่ทราบนะว่าไป มีโอกาสมาพูดก็พูดเฉยๆ ความจริงเป็นประจำแหละ ยิ่งหนุ่มกว่านี้ด้วยแล้วยิ่งเก่งกว่านี้นะ เอาจริงเอาจังมาก

องค์ไหนบกพร่องๆ เช่น มีแต่นอนๆ นั้นตามจับนะ พอได้เรื่องได้ราวไล่หนีทันทีเลยไม่ให้อยู่ เอาขนาดนั้นนะแต่ก่อน เดี๋ยวนี้เฒ่าแก่ไปไหนไม่ไหวแล้ว แต่ก็ยังมีลวดลายอยู่งั้นแหละ ปั๊บโน่นปั๊บนี่ ไปโดนกันกับพระท่านกำลังเดินจงกรมมืดๆ เราก็ไปมืดๆ ให้พร

หลังจังหัน

วันนี้จะไปนาหว้า โรงพยาบาลอำเภอนาหว้านี้เราก็ได้ช่วยเหมือนกัน โรงพยาบาลนาหว้า โรงพยาบาลศรีสงคราม จากนาหว้าไปศรีสงคราม วันนี้จะไปนาหว้า เราเคยไปเที่ยวกรรมฐาน บ้านนาวัว นาหว้า เราเคยไปหมดแล้วเที่ยวกรรมฐานแต่ก่อน ตอนนั้นเป็นพรรษา ๑๑  หรือเท่าไรน้า มาทางบ้านนาวัว นาหว้า แล้วก็เข้าดงศรีชมพู ดงใหญ่ ไปแต่องค์เดียวเท่านั้นแหละ ไปองค์เดียว เป็นอย่างนั้นแหละเรา มันเป็นอยู่ในจิตนี่นะ ถ้ามีใครไปด้วยมันเป็นน้ำไหลบ่า คือความรับผิดชอบมันกระจายของมันไปเอง รับผิดชอบกัน มันหากเป็นของมันไปเอง ถ้าเราไปคนเดียวนี้ป่าช้าอยู่กับเราเท่านั้นพอ ถ้ามีสององค์สามองค์แล้วเป็นน้ำไหลบ่า ไม่มีกำลังทางความเพียร ถ้าไปองค์เดียวมันพุ่งๆๆ เลย ต่างกัน

สำหรับนิสัยเราเป็นอย่างนี้โดยแท้ ไปที่ไหนไปองค์เดียวๆ ตลอด เที่ยวกรรมฐานมีแต่ไปองค์เดียว พ่อแม่ครูจารย์ก็ส่งเสริมเสียด้วย องค์เหล่านั้นจะไปกับเพื่อนฝูงนี้ท่านยังว่านี่นะ ไปอะไร ตั้งแต่อยู่นี้มันก็ตกนรกให้เห็นต่อหน้าต่อตาอยู่แล้ว ออกจากนี้มันจะไปตกนรกหลุมไหน นั่นแสดงว่าไม่เห็นด้วย แล้วใครจะกล้าไป แต่เราไม่เคย มีแต่เอ้อ ขึ้นทันทีเลย ใครอย่าไปยุ่งท่านนะ ท่านมหาไปองค์เดียว มีแต่อย่างนั้นแหละ ไปองค์เดียวๆ ตลอด

ท่านก็คงเห็นความตั้งใจของเรา เพราะตั้งใจจริงๆ ไม่ใช่ธรรมดา มาหาท่านทีไรนี้หนังห่อกระดูกลงมา ไม่มีเนื้อ มีแต่หนังห่อกระดูก เรียกว่ารอดตายมาละ มีแต่ทรมานร่างกาย มันมีกำลังทับจิต ทับจิตก็ไปขึ้นอยู่กับสติ สติไม่ดี สติสำคัญมาก ใครประกอบความพากเพียรถ้ามองข้ามสติแล้วไม่มีหวัง พูดชี้นิ้วเลย สติเป็นพื้นฐานสำคัญมาก ตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลานก็เพราะสติไม่ดีนั่นเองมันถึงล้มลุกคลุกคลาน พอสติดีเข้าๆ จับติดๆ เรื่อย เป็นอย่างนั้นนะ สติจึงเป็นสำคัญ

อย่างพระท่านอดอาหารท่านไม่ฉัน ขึ้นอยู่กับสตินะ พอฉันลงไปนี้สติจะมีลักษณะผิดๆ พลาดๆ จับไม่ติด ถ้าสติดีจับติดปั๊บๆ เรื่อย ตั้งหลักได้อย่างนั้น ถ้ามีผิดพลาดอย่างนี้ไม่ดี ถ้าสติดีอยู่แล้วๆ กิเลสจะหนาแน่นขนาดไหนก็ออกไม่ได้ มันออกไปที่ไหนไม่ได้ สติบีบไว้ๆ สติจึงเป็นสำคัญๆ สติเป็นเหมือนกับคูเขื่อนใหญ่กั้นน้ำ ไม่ให้น้ำล้นไปได้เลย สติสำคัญมาก ที่ล้มลุกคลุกคลานก็เพราะสตินั่นแหละผิดๆ พลาดๆ  กิเลสมีกำลังมากมันก็เหยียบหัวใจเรา มีแต่ความทุกข์ความเดือดร้อน สังขารรู้ไหมนักภาวนา สังขารคือความคิดความปรุงของจิต

สังขารที่ปรุงแต่งขึ้นมาเป็นตึกรามบ้านช่อง เป็นสังขารประเภทหนึ่ง สังขารที่เป็นกิเลสคือสังขารความคิดปรุงนี้ กิเลสมันดันออกมาให้คิดให้ปรุง สมุทัยมันอยู่ในจิตมันผลักดันออกมาให้อยากคิดอยากปรุงอยากรู้อยากเห็น อยากๆ ตลอด มีแต่กิเลสตัวสมุทัยภายในดันออกมาๆ อยากคิดอยากปรุงอยากรู้อยากเห็น ถ้าสติไม่ดีมันคิดได้สนุกไปเลย แล้วนำไฟกลับมาเผาเรา ถ้าสติดีแล้วมันออกไม่ได้ ไม่ให้มันคิดไปไหน กำลังเริ่มตั้งรากตั้งฐานให้อยู่กับบทธรรม บทธรรมบทใดที่นำมาใช้ สติกับบทธรรมบทนั้นติดอยู่กับใจ เช่น พุทโธๆ เป็นต้น

พุทโธกับสติอยู่ด้วยกันและติดอยู่กับจิต กิเลสเกิดไม่ได้ อำนาจสติสำคัญมาก ถ้าสติดีอยู่แล้วกิเลสจะหนาแน่นขนาดไหนก็เถอะว่างั้นเลย เกิดไม่ได้ พอสติอ่อนตัวหรือเผลอนิดหนึ่งปั๊บออกแล้วๆ  เพราะฉะนั้นจึงต้องได้ฝึก สตินี้สำคัญมากทีเดียว ขั้นล้มลุกคลุกคลานสติต้องได้ตั้งเอาอย่างหนัก พอได้รากได้ฐานแล้วสติค่อยดีๆ ขึ้น จิตก็มีความสงบ สงบแน่นหนามั่นคงเป็นสมาธิขึ้นมา

สมาธิคือจิตใจสงบแน่นปึ๋ง เรียกว่าสมาธิ สงบแน่ว คิดอ่านไตร่ตรองอะไรก็ได้ แต่ย้อนเข้ามาดูฐานของจิตนี้แน่นปึ๋ง นั่นเรียกว่าจิตมีสมาธิ ทีนี้พอมีสมาธิแล้ว เรียกว่าจิตเริ่มอิ่มอารมณ์ อารมณ์คิดต่างๆ คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ เรียกว่าอารมณ์ของจิต อยากคิดอยากปรุงอยากรู้อยากเห็น อยากไม่มีสิ้นสุด นี่เรียกว่าอารมณ์ของจิตที่หิวอารมณ์ ใช้ทางด้านปัญญาไม่ไปมันเป็นสัญญาอารมณ์ไปเสีย เลยกลายเป็นสมุทัยไม่เป็นมรรคให้

เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนว่า ศีลเป็นเครื่องอบรมจิตใจให้มีความอบอุ่น สมาธิเป็นเครื่องหนุนปัญญาให้เคลื่อนไหว เดินได้คล่องตัว ปัญญาเป็นเครื่องแก้กิเลสจนกระทั่งหมดสิ้นไปได้ ต่อเนื่องกันไปตั้งแต่เริ่ม สีลปริภาวิโต สมาธิ มหปฺผโล โหติ มหานิสํโส สมาธิเมื่อศีลอบรมแล้วย่อมมีผลมากมีอานิสงส์มาก นี้ทางปริยัติ สมาธิปริภาวิตา ปญฺญา มหปฺผลา โหติ มหานิสํสา ปัญญาเมื่อสมาธิคือความแน่นหนามั่นคง ความอิ่มอารมณ์ของใจหนุนแล้ว ย่อมเดินได้คล่องตัว ปญฺญาปริภาวิตํ จิตฺตํ สมฺมเทว อาสเวหิ วิมุจฺจติ จิตเมื่อปัญญาซักฟอกเรียบร้อยแล้ว ย่อมหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงโดยชอบ หลุดพ้นไม่ชอบก็มี ความสำคัญว่าหลุดพ้นเรียกว่าไม่ชอบ ถ้าชอบก็เรียกว่าหลุดพ้นด้วยปัญญา ท่านบอกไว้หนุนกันอย่างนี้

มีศีลอยู่ในตัวเอง ไม่ทำศีลให้ด่างพร้อยนี้จิตใจอบอุ่น เท่านี้ก็ไม่สร้างความกังวลให้เรา ภาวนาจิตก็สงบได้ง่าย พอจิตสงบแล้วจิตอิ่มอารมณ์ไม่อยากคิดอยากปรุงเรื่องนั้นเรื่องนี้ พาพิจารณาทางด้านปัญญาแยกธาตุแยกขันธ์แยกเขาแยกเรา แยกอสุภะอสุภัง ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา มันก็แยกออกๆ ปัญญากระจายออกๆ มันตั้งหน้าตั้งตาทำงานให้ ไม่กลายเป็นสัญญาอารมณ์เพราะความหิวอารมณ์ มันไม่ทำงานให้ มันเถลไถล ท่านจึงว่าเมื่อจิตสงบแล้วให้พิจารณาทางด้านปัญญา คำว่าจิตสงบก็คือจิตอิ่มอารมณ์นั่นแหละไม่อยากคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ พอให้พิจารณาทางด้านปัญญามันก็ออกเลย ออกๆ เรื่อย ทีนี้ความกระจ่างแจ้งจะเกิดขึ้นทางปัญญา ไม่เคยคิดเคยเห็นไม่เคยรู้มันก็เป็นขึ้นมาทางด้านปัญญา ออกเรื่อยรู้เรื่อย

ถ้าจิตได้ออกทางด้านปัญญาแล้วเบิกกว้างนะ มองเห็นทางพ้นทุกข์ชัดเจนๆ แจ่มแจ้งเรื่อยๆ เลยกลายเป็นสติปัญญาอัตโนมัติ สติก็เป็นอัตโนมัติ ปัญญาก็เป็นอัตโนมัติ  หมุนตัวเพื่อฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติ นั่น เมื่อถึงขั้นนี้แล้วกิเลสหาทางหลบซ่อนได้ยาก คอยแต่จะขาดสะบั้นลงไป นี่ละการฆ่ากิเลส จิตเป็นศูนย์กลาง กิเลสก็เหมือนสนิมอยู่ในเหล็ก เกิดจากเหล็กนั้นแหละ มันกัดเหล็กสนิมน่ะ มันกัดเหล็กให้สึกให้กร่อนจนกระทั่งเสียเหล็ก นี่กิเลสมันกัดหัวใจให้สึกให้กร่อน ให้อับเฉาเบาปัญญา โง่เขลาทุกอย่าง กิเลสเป็นสนิมกัดใจ มันเกิดอยู่ในจิต ธรรมเป็นเครื่องซักฟอกก็อยู่ที่ใจ

         จิตดวงนี้ไม่เคยตาย กิเลสตัณหานี่มันเกิดกับจิตดับได้ ทำลายได้ แต่ใครก็จะไม่รู้ว่ากิเลสเป็นยังไง ธรรมเป็นยังไง อาการของกิเลสที่แสดงออกมาคือความโลภความอยากได้ในสิ่งที่เป็นภัยแก่ตัวเอง ความอยากความทะเยอะทะยาน อยากไม่หยุดไม่ถอย นี่ความโลภ ความโกรธ ความเคียดแค้นผูกอาฆาตมาดร้าย ความโมโหโทโสนี้เรียกว่ากิเลส ก็เกิดขึ้นจากใจ ไอ้ความหลงมันครอบอยู่แล้วละ อวิชชาอยู่ในจิต เรียกว่ากิเลสอยู่ในจิต ทีนี้การชำระซักฟอกก็ซักฟอกที่จิต แต่ซักฟอกวิธีไหน ต้องมีวิธีซักฟอก ขั้นเริ่มตั้งแต่จิตคนเราธรรมดามันฟุ้งซ่านรำคาญ มันคิดมันปรุงไม่หยุดไม่ถอย ติดเครื่องแล้วดับไม่ลง เป็นอย่างนั้น แล้วก็เผาเครื่องนั่นแหละแหลกไปหมด

จิตนี่เวลามันปรุงแล้วมันดับไม่ลง ต้องอาศัยเวลานอนหลับ นั่นละเรียกว่าดับเครื่องในขณะนอนหลับ ถ้าไม่ได้นอนแล้วตายมนุษย์เรา ตายเร็ว มีการพักผ่อนนอนหลับ นี่เรียกว่าดับเครื่องคือสังขารความคิดปรุง เราภาวนาหาอุบายให้จิตสงบ จึงต้องเอาคำบริกรรมเข้ามา อยู่ลำพังไม่ได้ถูกกิเลสลากไปเลย ต้องเอาคำบริกรรม จะเป็นบทใดก็ตามที่ถูกกับจริตนิสัยของตน ให้ยึดธรรมบทนั้น เช่นพุทโธก็ได้ ธัมโมก็ได้ สังโฆก็ได้ หรืออานาปานสติ หรือธรรมบทใดก็ตามถ้าถูกกับจริตนิสัยของตนเอามากำกับใจ แล้วสติครอบไว้นั้น ไม่ให้เผลอ นี่เรียกว่ารักษาใจเพื่อใจจะได้มีความสงบจากอารมณ์ของกิเลสที่ฉุดลากไป ค่อยสงบลงๆ

นี่วิธีการ พระพุทธเจ้าที่ทรงสอนนี้ถูกต้องแม่นยำ หาที่ต้องติไม่ได้เลย พุทธศาสนาเป็นศาสนาชั้นเอกในโลก เป็นศาสนธรรมโดยแท้ ไม่ใช่ศาสนกิเลส ผู้เป็นเจ้าของของศาสนาเป็นคลังกิเลสมันก็เป็นศาสนกิเลส เป็นศาสนาของกิเลส ถือกิเลสเป็นศาสนาไปเสีย มันก็ทำความเดือดร้อนแก่โลก เพราะกิเลสมันทำความดีเมื่อไร ศาสนธรรม ธรรมที่เป็นศาสนาคือพุทธศาสนา เอา เปิดให้ท่านทั้งหลายฟัง พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เลิศเลอสุดยอดแล้ว ในสามแดนโลกธาตุจะหาศาสนาใดมาเสมอพุทธศาสนาเรียกว่าไม่มี ค้นเข้าไปทางด้านจิตตภาวนามันถึงได้ชัด

จิตตภาวนาจะค้นศาสนาได้ถูกต้องแม่นยำไม่ผิดพลาด อย่างอื่นผิดทั้งนั้น เพราะเรื่องกิเลสเป็นศาสนามันจะเอาของดิบของดีอะไรมาให้เรา ของจริงของจังไม่มี มีแต่ของปลอม แต่เรื่องศาสนของผู้สิ้นกิเลส ความสิ้นกิเลสแล้วสงสัยอะไร ว่าไปตรงไหนตรงแน่วๆ เรียกว่าผู้สิ้นกิเลส โลกวิทูรู้แจ้งทุกอย่าง พูดออกมาไม่ผิด เช่นอย่างพระญาณหยั่งทราบ อย่างนี้นะ ลงหยั่งปั๊บลงไปแล้วไม่มีคำว่าสอง แน่วเลย พระญาณใครล่ะมีในโลกอันนี้ ก็มีแต่พระญาณของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ รองลงมาก็เป็นญาณหยั่งทราบของพระสาวกตามนิสัยวาสนาของตน มี แต่ว่าต่างจากพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทุกพระองค์มีพระญาณหยั่งทราบแม่นยำๆ ไม่มีผิดพลาด

นี้ละผู้เป็นเจ้าของศาสนา นำมาสอนโลกจึงถูกต้องแม่นยำ ไม่ผิด อย่างพุทธศาสนาของเราไม่มีผิดเลย คือเจ้าของศาสนาเป็นผู้สิ้นกิเลส คือพระพุทธเจ้าเป็นผู้สิ้นกิเลสแล้วค่อยนำมาศาสนา สอนได้โดยถูกต้องแม่นยำ วิธีการแก้กิเลสแก้วิธีไหนๆ บอกหมดทุกวิธีการ ระงับกิเลสเช่นภาวนา ระงับอารมณ์ อารมณ์เกิดกับกิเลส ระงับอารมณ์ อารมณ์น้อยลงๆ จิตใจก็ค่อยสง่างามขึ้นมาๆ ภายในใจ นี่ท่านสอนอย่างนั้น เรื่องจิตตภาวนานี่สำคัญมากทีเดียว จะหยั่งทราบถึงฐานอันใหญ่หลวงของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์จากจิตตภาวนา จนกระทั่งถึงความสิ้นกิเลส จะหยั่งทราบเรื่องพระพุทธเจ้าทั้งหลาย แล้วยืนยันรับรองว่าพระพุทธเจ้ามีหรือไม่มี พระพุทธเจ้าเป็นองค์เช่นไร เป็นเครื่องยืนยันกันเลยจากจิตตภาวนาของผู้ปฏิบัติโดยความถูกต้องแม่นยำ เห็นผลประจักษ์ขึ้นมา ไม่มีสงสัยเลย

สรุปความลงแล้ว นตฺถิ เสยฺโยว ปาปิโย บรรดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่มีความยิ่งหย่อนต่างกัน นับตั้งแต่พระพุทธเจ้าลงมาถึงสาวกองค์สุดท้าย เป็นธรรมชาติอันเดียวกัน เป็นน้ำมหาสมุทรเหมือนกันหมด นี่หยั่งทราบกันได้ชัดเจน เช่นพระอรหันต์ก็หยั่งทราบเรื่องพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ไม่มีผิดแปลกกันเลยละ  เพราะฉะนั้นท่านจึงไม่ไปหาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหนท่านไม่หา ท่านไม่สงสัย มันเป็นอันเดียวกันแล้ว เป็นน้ำมหาสมุทรอันเดียวกันแล้ว เป็นความบริสุทธิ์อันเดียวกันแล้ว จึงไม่มียิ่งหย่อนต่างกัน ตั้งแต่พระอรหันต์ไปถึงพระพุทธเจ้าเป็นน้ำมหาสมุทรอันเดียวกัน นี่ละพุทธศาสนาเป็นอย่างนี้

สอนโลกได้เหตุได้ผลชัดเจนอย่างนี้ตลอด คือท่านผู้สิ้นกิเลสสอน พระพุทธเจ้าสิ้นกิเลส เป็นเจ้าของศาสนา ไอ้คลังกิเลสเป็นเจ้าของศาสนามันก็มีแต่กิเลสเต็มตัว อะไรชอบใจอันนั้นว่าถูกอันนี้ถูก อะไรไม่ชอบใจปัดออกไม่ถูก ถึงจะถูกก็ไม่เอา ไม่ชอบใจ..กิเลส ส่วนธรรมไม่มีเอนมีเอียง หยั่งทราบตลอด เป็นอย่างนั้น ให้จำเอานะ เราก็ไม่เคยได้คิดได้พูดอย่างนี้แต่ก่อน เวลาตะเกียกตะกายอยู่ในป่าในเขา จนน้ำตาร่วงอยู่บนภูเขาเราลืมเมื่อไร เคียดแค้นให้กิเลสที่มันมัดเรา ขึ้นไปสู้มันไม่ได้ ตั้งสติไม่อยู่ ตั้งพับล้มผล็อยๆ ตั้งเพื่อล้มไม่ได้ตั้งเพื่ออยู่ คือกระแสของกิลเสมันรุนแรงขนาดนั้น พอสติปั๊บมันปัดทีเดียวขาดสะบั้นไปเลย นี่กระแสของกิเลสมันรุนแรง

สู้มันไม่ได้ก็มีแต่กำปั้น เสืออาวุธมันรอบตัวมัน ตอนนั้นกิเลสกำลังเป็นเสือโคร่งใหญ่ ไอ้เราก็เท่ากับหนูตัวหนึ่ง พอตั้งพับมันตบทีเดียวตกห้าทวีปๆ มันก็เหลือแต่ใจ ก็มีแต่กำปั้นสู้เสือทั้งตัวแล้วก็เคียดแค้นให้มัน จนน้ำตาร่วง อะไรถ้าถึงใจแล้วมันไม่ลืมนะเรา ที่ได้น้ำตาร่วงอยู่บนภูเขาทั้งๆ ที่ไปต่อสู้กับกิเลส สู้มันไม่ได้ พอตั้งพับล้มผล็อยๆ จนงงตัวเอง อ้าว มันมาทำความเพียรยังไง ตั้งสติไม่มีอยู่ได้เลย มีแต่ล้มลง ตั้งเพื่อล้มๆ มันยังไง น้ำตาร่วง เสียใจเคียดแค้นให้กิเลส แต่มันไม่มีอาวุธสู้มัน แต่มันมีอันหนึ่งข้ออาฆาตนะ ข้ออาฆาตนี้เป็นธรรม

คืออาฆาตแบบกิเลสนี้เป็นภัย เป็นบาปเป็นกรรม อาฆาตแบบธรรมนี้เป็นธรรม คืออาฆาตให้กิเลสที่เป็นข้าศึกต่อหัวใจเราเอง สู้มันไม่ได้ๆ ล้ม จนน้ำตาร่วง นี่มันเป็นกับเราแล้วนะ เราถึงได้มาพูดอย่างไม่สงสัยเลย ประจักษ์ ตั้งล้มๆ ตั้งอย่างไรก็สู้มันไม่ได้ น้ำตาร่วง โถ มึงเอากูขนาดนี้เชียวเหรอ นู่นน่ะมันขึ้นอุทานในใจ นี่ละเรียกว่าเคียดแค้นให้กิเลสในหัวใจเรา เพราะมันเป็นภัยต่อหัวใจเรา มึงเอากู กูมึงนะ หากเป็นในใจต่างหาก ไม่ได้ออกมาข้างนอก มึงเอากูขนาดนี้เชียวเหรอ เอาละ นี่บทตัดสินกัน อย่างไรมึงต้องพังวันหนึ่ง ให้กูถอยกูไม่ถอย เคียดแค้นเต็มกำลัง

โรงงานใหญ่ก็คือพ่อแม่ครูจารย์มั่น ออกจากนั้นก็ไปหาท่าน ไปรับการอบรม กลับมาอีกฟัดอีก หงายอีก หงายไม่ใช่หงายแมวนะ มันหงายหมา หงายหมามีแต่ร้องแหง็กๆ หงายแมวมันตบได้นะ อันนี้มีแต่หงายหมา ไม่ลืม ความเคียดแค้นอันนี้ละ มึงเอากูขนาดนี้เชียวหรือ เอาละอย่างไรมึงต้องพังวันหนึ่ง นี้ฝังใจ ความเคียดแค้นอันนี้เป็นธรรม มุมานะให้มีกำลังทางด้านความพากความเพียร หมุนตัวเข้าไป เอาได้ ความมุมานะ ความเคียดแค้นอันนี้จึงยอมรับทันทีเลยว่า ความเคียดแค้นอย่างนี้เป็นธรรม ไม่เป็นกิเลส เหมือนเราเคียดแค้นให้ผู้หนึ่งผู้ใดหรือสัตว์ตัวใดเป็นกิเลสทั้งนั้น แต่ความเคียดแค้นให้กิเลสในหัวใจเราที่เป็นข้าศึกต่อเรานี้เป็นธรรม

         เราประจักษ์กับตัวของเราแล้ว ฟาดเสียจนกระทั่งกิเลสขาดสะบั้นไปหมด ทีนี้เคียดแค้นให้ใคร มันหมดสิ่งที่เป็นข้าศึกต่อกันแล้ว ให้พากันจำเอา นี่ดำเนินมาอย่างนี้ที่ได้มาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง เราผ่านมาแล้ว น้ำตาร่วงเราก็ร่วงมาแล้ว เคียดแค้นให้กิเลสว่า หือ มึงเอากูขนาดนี้เชียวหรือเราก็เป็นมาแล้ว เอาจนกระทั่งถึงว่าเวลามันถึงขั้นกิเลสมันหมอบ เพราะสติปัญญาเกรียงไกร รวดเร็วทุกอย่าง จนกระทั่งกิเลสหมอบ คุ้ยเขี่ยหาที่ไหนก็ไม่เจอ ว่างไปหมดเลย มันก็ขึ้นของมัน เราเป็นของเราเองเราก็ไม่ลืม เหอ นี่มันไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ ขึ้นมาแล้วเหรอ คือพระอรหันต์น้อยๆ มันยังไม่ใหญ่

         เป็นแต่เพียงว่าไม่สำคัญเท่านั้นเอง ว่าเฉยๆ เห็นเวลานั้นมันว่าง กิเลสไม่โผล่ขึ้นมาเลย ก็ว่า นี่ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ ขึ้นมาแล้วเหรอ ว่าเฉยๆ คือไม่ได้สำคัญ  พอต่อจากนั้นมันโผล่ขึ้นมา ทีนี้อรหันต์น้อยๆ ก็ตกไปเลย ซัดกันเลยๆ เรื่อย จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายฟ้าดินถล่มระหว่างจิตกับกิเลสหรือกับขันธ์ ที่มันไหวกัน จึงเป็นเหมือนฟ้าดินถล่ม ร่างกายนี้ดีดผึงเลย รุนแรงมาก กิเลสที่ฝังใจมาตั้งกัปตั้งกัลป์ถูกธรรมฟาดขาดสะบั้นลงไป กายและจิตที่เป็นที่เกี่ยวข้องกันกับกิเลสนี้ไหวเหมือนฟ้าดินถล่ม มันรุนแรงขนาดนั้น ฟ้าดินเขาก็อยู่ของเขานั้นแหละ เขาไม่มีอะไร แต่มันเป็นอยู่ระหว่างกายกับจิต จิตกับกิเลสซัดกัน จนร่างกายนี้ดีดผึงเลย

         จากนั้นอรหันต์น้อยอรหันต์ใหญ่ไม่มีเลย ไม่ถาม แต่ก่อนก็บอกไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ ขึ้นมาแล้วเหรอ พอถึงขั้นฟ้าดินถล่มแล้วอรหันต์น้อยก็ไม่ถาม อรหันต์ใหญ่ก็ไม่ถาม อยู่อย่างนี้แหละ ให้มันเห็นชัดๆ เมื่อมันหายสงสัยโดยสิ้นเชิงแล้วถามอะไร เท่านั้นแหละ นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าเป็นของจริงโดยแท้ๆ พวกเรานี้ถูกกิเลสมันปิดหูปิดตาปิดใจไว้หมด ให้มืดให้บอด ตาจะใสเหมือนตาแมวก็ตาม แต่จิตนี้มืดดำที่สุดคือใจสัตว์โลก เฉพาะอย่างยิ่งใจมนุษย์เรา ย่นเข้ามาใจชาวพุทธมืดหนาที่สุด ให้กิเลสปิดหมด ๆ

พระพุทธเจ้าหูแจ้งตาสว่าง ไม่มีใครเกินพระพุทธเจ้า ว่าบาปมี กิเลสตัวตาบอดมันบอกว่าบาปไม่มี เห็นไหมมันลบ พระพุทธเจ้าเป็นโลกวิทูรู้แจ้ง บอกว่าบาปมี บุญมี นรกมี สวรรค์มี พรหมโลกมี นิพพานมี เปรตผีประเภทต่างๆ มีเต็มโลกธาตุ นี่เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงรู้แจ้งแทงทะลุ ทีนี้กิเลสมันตามลบล้างว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มี มันไม่มีอยู่ในหัวใจของพวกเรานี้นะ มันไม่เชื่อพระพุทธเจ้า ไม่มีๆ นี่ละมันอาภัพที่สุดเวลานี้ พวกเรารู้ไหมว่าเราอาภัพ พระพุทธเจ้าสอนไว้ทุกสิ่งทุกอย่างถูกต้องแม่นยำไม่มีผิดมีพลาด แต่เรานี่ไปลบล้างออกหมดด้วยความผิดพลาดของเราเอง แล้วก็มาเป็นภัยต่อเราเอง

บาปไม่มี บุญไม่มี นรก-สวรรค์ไม่มี พรหมโลก-นิพพานไม่มี เปรตผีประเภทต่างๆ ไม่มี ลบหมด ทั้งๆที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ตามหลักความจริง นี่ละพวกบาปหนาสาโหด พวกลบความจริงที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ พากันจำเอานะ มันลบอยู่ในหัวใจเรานะ มันไม่เชื่อ พระพุทธเจ้าว่าอย่างไรมันก็ไม่เชื่อ มันอาภัพสุดขีดแล้วนะนั่น ยังเหลือแต่ลมหายใจฝอดๆ  พอลมหายใจขาดแล้วก็ผึงเลยละ ลงนรก มีหรือไม่มีทีนี้เวลาไปเจอเข้าแล้ว นรกมีหรือไม่มี มันสายเกินไปแล้วที่นี่ จำเอานะ เอาละพอ

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก