เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙
ธรรมปรากฏ จิตใจสว่าง
เมื่อวานนี้ไปโรงพยาบาลบุ่งคล้า เลยบึงกาฬไปอีก เห็นว่าอยู่ซอกแซกลำบากมากเลยไปส่ง ทางจากนี้ไปตั้ง ๒๔๖ กิโล เมื่อวานรถวิ่งกลับไม่แวะที่ไหนเลยพอดีสองชั่วโมงครึ่งถึงที่นี่ ไปโรงพยาบาลก็ไม่ลงรถ ไม่ว่าไปโรงพยาบาลใดไม่ลงทั้งนั้น ไปจอดรถกึ๊กเขาขนของลงๆ มีอะไรก็มาพูดที่ประตูรถเรา หมอมาพูดประตูรถ หรือขาดเหลืออะไรจำเป็นก็พูดกันที่นั่น จากนั้นก็ออกเลย แต่ก่อนลงจากรถก็ไปนั่ง มีอะไรก็พูดกับเขาบ้างเล็กน้อย เดี๋ยวนี้ไม่ลง ขึ้นลงลำบากมันแก่ไปทุกวัน เป็นอย่างนั้นนะ
แต่ไม่ว่าขึ้นลงลำบาก บทเวลาจะว่าไม่ลงเพราะโรงพยาบาลสู้รถเราไม่ได้ ไปนั้นเสีย บอกว่าโรงพยาบาลสู้รถเราไม่ได้ เราไม่ลง เท่านั้นให้เขาพิจารณาเอง ให้เราพิจารณาก็ว่าขึ้นยากลงยาก ไปทุกวันโรงพยาบาล ไปใกล้ไปไกล บุ่งคล้าไกล รู้สึกไกลอยู่ กับชัยภูมิพอๆ กัน เลยสาขาจังหวัดชัยภูมิไป สงสารจะทำไง
การจ่ายนี้แหม รอบด้านนะ ไหลออกตลอดเวลา มันก็มาของมันเรื่อยๆ นะล่ะ นึกว่าจะหมดเดี๋ยวก็มา เป็นอย่างนั้นละ การจับการจ่ายไม่ได้คำนึงคำนวณว่าหมดว่ายัง เอาอะไรเอาเลย แต่เกี่ยวข้องกับผู้มาขอ ถามกันเรื่องราวเหตุผล แต่ที่เปิดไว้อย่างโกดังนี้รถใดมาไม่ถาม เอาไปเลย ถ้าจะขอเป็นพิเศษอย่างเครื่องไม้เครื่องมือหรือให้ช่วยอย่างอื่นๆ อันนั้นก็ต้องได้ถามกัน
ของที่จะเอาไปเวียงจันทน์กำหนดเรียบร้อยแล้วไม่ใช่เหรอ (ครับ) ก็เยอะอยู่นะ เพราะเป็นเมืองคนจน ต้องสงเคราะห์ช่วยเหลือกัน ไม่ช่วยเหลือไม่ได้ นี่เราก็ช่วยสองหนแล้ว ไปสองหนแล้วไปช่วย ทางโน้นก็มารับของจากนี้ดูสองหนเหมือนกัน เอาไปทีละมากๆ ดูว่ารถประมาณ ๕ คัน ของเอามาไว้ที่ศาลาใหญ่ขนขึ้นไปเลย สองหนแล้ว ไปคราวนี้เอาไปแต่รถเรา ส่วนข้าวเขาจะเอาไปนู้นเลย เราจะเอาแต่สิ่งของที่กำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว ก็มากพอสมควรอยู่
เฉลี่ยทางโน้นทางนี้ ไปทางไหนช่วย ไปทางนี้ก็ช่วยทางเวียงจันทน์ ถ้าไปทางภาคเหนือก็ไปช่วยทางพม่า พวกเครื่องมือแพทย์เราช่วยเป็นล้านๆ ทางนู้นก็ดี ไปที่ไหนช่วยที่นั่นละ ไม่ช่วยยังไงผู้อดอยากขาดแคลนมีมากต่อมาก ผู้มีพอเป็นพอไปหรือมีเหลือเฟือมีน้อยมาก ผู้ที่ขัดสนจนใจมีมาก เพราะฉะนั้นมีอะไรมาถึงหมดๆ สำหรับวัดนี้ไม่มีเก็บ มีเท่าไรออกหมดเลย เราช่วยโลกด้วยความเมตตา เมตตาอันนี้เราก็ไม่เคยคิดว่าจะมีขึ้นมายังไงบ้าง ตอนปฏิบัติธรรมก็มุ่งมั่นต่อธรรม จะทุกข์จะยากลำบากอะไรไม่มาเป็นอุปสรรคต่ออรรถต่อธรรมขั้นสูงสุดได้เลย
มุ่งไม่ใช่มุ่งธรรมดา มุ่งธรรมขั้นสูงสุดเลย คือนิพพานว่างั้น พูดตรงๆ เลย เมื่อมันลงเต็มหัวใจออกก็จริงตามนั้นไม่เป็นอื่น พูดเหลาะๆ แหละๆ ไม่พูด ถ้าลงได้พิจารณาเต็มแล้วออกใช่แล้วๆ ทั้งนั้น ปฏิบัติธรรมก็ไม่เคยคิดว่าเมตตานี้จะกระจายออกทั่วโลก ตอนที่กำลังขวนขวายธรรมก็ขวนขวายเต็มเม็ดเต็มหน่วยแทบเป็นแทบตาย พิจารณาย้อนหลังที่ไปอยู่ตามป่าตามเขา ใครจะรู้ว่าเป็นว่าตายอะไร ไม่รู้นะ อยู่ในป่าในเขาอาศัยพวกคนในป่าแหละ บ้านละสามสี่หลังคาเรือน อยู่ในภูเขามองไปนึกว่าไม่มีบ้านนะ มี มีเป็นแห่งๆ อยู่ตามไหล่เขาบ้าง หลังเขาเตี้ยๆ บ้าง มีอยู่ทั่วไป เราไปอาศัยเขา
การขบการฉันก็ไม่ได้ฉันทุกวัน เวลามันหิวโหยมากก็ไปฉันเสียทีหนึ่งแล้วก็อยู่ไป อย่างนั้นเรื่อยๆ เรื่องทรมานทางร่างกายเรียกว่าหนักมากอยู่ ทรมานทางร่างกายนี้เพื่อทางจิตใจ ร่างกายนี้กำลังวังชามาง่าย แต่ทางจิตใจนี้มายาก จึงต้องพยุงทางจิตใจ บังคับทางร่างกายไว้ ไม่ค่อยได้ขบได้ฉันได้อยู่สบายๆ แหละ จะมีบ้างก็ประเดี๋ยวประด๋าว มันหากมีนะ ไปอยู่ที่ไหนว่าจะไม่มีมันหากมี ถูกเขานิมนต์ไปฉันอย่างนั้นมี ไปพักอยู่ข้างบ้านเขา เขามานิมนต์ไปฉัน เขามีงานในวัดบ้านเขา เขามานิมนต์เราไปฉัน แล้วก็มีเทศน์แหละ ถ้าลงได้ไปฉันแล้วมีเทศน์
มหานี่มันฆ่าตัวเองนะ ว่าเทศน์ไม่เป็นเขาไม่ยอมฟัง โอ๊ย ขนาดเป็นมหาแล้วเทศน์ไม่เป็นอย่าพูดถึงเลย เขาไม่เชื่อเลย จำเป็นก็ต้องไปเทศน์ วันเช่นนั้นก็ไปกินอิ่มหนำสำราญแหละ วันไปในงานเขาคือเป็นวันอนุโลมผ่อนผันตามการตามงาน เราก็ฉันธรรมดาไปเลย พอออกจากนั้นก็พลิกปั๊บเลย ของจตุปัจจัยไทยทานเขาถวายมากน้อยเพียงไรทุ่มให้วัดทั้งหมดเลยเราไม่เอาอะไร ไม่เอาทั้งนั้น เช่นอย่างปัจจัยเงินนี้ไม่เอาเลย ส่วนวัตถุไทยทานต่างๆ ก็ยิ่งแล้ว โละหมดๆ เราไปแต่บริขาร ๘ เท่านั้น
ลำบากลำบนการปฏิบัติธรรม ถ้าไม่เป็นอย่างนั้นจิตใจก็ไม่มีความสง่าราศีขึ้นมา ถ้าอยู่ไปกินไปให้ปากให้ท้องอิ่มหนำสำราญ ธรรมนั่นแห้งผากๆ ปากท้องต้องได้กดลงตลอดเพื่อบำรุงธรรม ให้ธรรมได้สง่างามขึ้นมา ส่วนมากต้องบังคับอยู่ตลอดๆ ที่จะให้ได้ขบได้ฉันตามสะดวกสบายนี้ไม่ค่อยมีละ มีก็มีอย่างที่ว่านี่ เป็นกาลเวลาชั่วประเดี๋ยวประด๋าว นอกจากนั้นโดยลำพังเจ้าของมีแต่บังคับตลอด จิตเล็งอยู่การภาวนา จิตจ่อลงที่จุดใหญ่คืออรรถคือธรรม มรรคผลนิพพาน ไม่ได้ไปที่ไหน ทุกข์ยากลำบากก็ประมวลมานี้หมด ทุกข์ยากลำบากขนาดไหนสู้ความมุ่งมั่นเพื่อแดนพ้นทุกข์ไม่ได้
ความมุ่งมั่นนี้รุนแรงมากทีเดียว จะอดอยากขาดแคลนอะไรๆ ตีเข้าไปหาความมุ่งมั่นๆ จึงต้องเป็นการทรมานไปตลอด ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วจิตใจก็ค่อยเจริญๆ ถ้าปล่อยอนุโลมไปตามธาตุขันธ์แล้วไม่เป็นท่า ไม่ว่าใครก็ตามมันเป็นเหมือนกัน กิเลสกับร่างกายเป็นเครื่องเสริมได้ดี กำลังทางร่างกายเป็นเครื่องเสริมกิเลสให้เหยียบย่ำทำลายธรรม ก้าวไม่ค่อยออกและก้าวไม่ออก จึงต้องได้บังคับบัญชากันเสมอ
การภาวนาหาที่สงัดเงียบเลยกลางคืน เหมือนว่าโลกอันนี้ไม่มี อยู่ในภูเขาและอยู่บนเขาด้วย อากาศโล่งดีอยู่บนเขา มันว่าง กลางคืนนั่งภาวนานี้หัวใจทำงาน เวลาเราเริ่มภาวนาทีแรกหัวใจทำงานตุบตับๆ ได้ยิน คือมันเงียบหมด ใจก็เงียบใจไม่มีอารมณ์ยุ่ง อากาศดินฟ้าอะไรก็เงียบ กำหนดลงที่ใจนี้หัวใจทำงานตุบตับๆ เริ่มแรกนะ พอจากนั้นก็เริ่มทำงาน หัวใจทำงานหายไปเลย มีแต่ธรรมกับกิเลสฟัดกันเท่านั้น
คิดดูซิพระพุทธเจ้าเป็นกษัตริย์เสด็จออกทรงผนวชบำเพ็ญธรรมเป็นเวลา ๖ ปีที่หนักมากที่สุดสำหรับพระพุทธเจ้าเรา บำเพ็ญอยู่ ๖ ปี ออกก็ไม่มีใครทราบ ก็มีม้ากัณฐกะเท่านั้นกับนายฉันน์ พอไปถึงที่แล้วก็ปัดม้ากับนายฉันน์ออก พระองค์ก็ทรงบำเพ็ญเรื่อย ทุกข์ยากขนาดไหนเป็นมหากษัตริย์ไปทรมานตนอยู่ในป่าในเขา อดอยากขาดแคลนแค่ไหน ก็เหมือนตกจากสวรรค์ลงแดนนรกนั้นแหละ พระองค์ก็ไม่สนใจ ปฏิบัติพระองค์อย่างนั้นจนได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา จากความลำบากลำบนของพระองค์ เราผู้ปฏิบัติธรรมต้องคำนึงถึงศาสดาเสมอ อะไรถ้ามีความลำบากลำบนก็มีแต่เอาเสื่อเอาหมอนมายันกันๆ เอาพระพุทธเจ้ามายันเป็นสักขีพยาน ความอุตส่าห์พยายามมันก็มีมาคนเรา
ไปที่ไหนหาแต่ความสะดวกทางร่างกาย ดูไปมันขวางตาไปเรื่อยนะความสะดวกทางร่างกาย เอะอะความสะดวกทางร่างกายขึ้นแล้วๆ ความสะดวกทางด้านจิตใจไม่ค่อยมี แม้ที่สุดสถานที่ภาวนาความสะดวกทางร่างกายมันก็แซงไปจนได้นั่นละ ความสะดวกทางด้านจิตใจอยู่ที่ไหนอยู่ได้หมด นั่นจิตมุ่งต่อธรรมๆ กิเลสกับธรรมฟัดกันตลอดไม่มีห่างกันเลย ใส่กันตลอด ที่อยู่กินหลับนอนพออยู่พอกินหลับนอน เอา กินไปๆ แต่การสู้รบกับกิเลสไม่มีถอย นี่ละท่านภาวนา ผู้ทรงมรรคทรงผลคือผู้เช่นนี้ ผู้ที่กลัวแต่ลำบากลำบนผู้นี้จะทรงแต่กองทุกข์ไม่จืดจางว่างเปล่าไปได้ละ ถ้าผู้ฝึกหัดตนเองเอาจริงเอาจังเพื่อมรรคผลนิพพานแล้ว ธรรมทั้งหลายจะค่อยปรากฏขึ้น จิตใจจะมีความสว่างไสวขึ้นมา
อะไรสว่างสู้ใจไม่ได้นะ ในโลกนี้คำว่าสุขก็ดีทุกข์ก็ดี มารวมอยู่ที่หัวใจหมด สัตว์ตายคนตายไม่มีทุกข์ไม่มีสุข ร่างกายทิ้งเปล่าๆ ไม่เกิดประโยชน์ ผู้รับทราบความสุขความทุกข์ออกจากร่างไปแล้ว ร่างกายก็ไม่ปรากฏความสุขความทุกข์ เพราะฉะนั้นความสุขก็ดีความทุกข์ก็ดีจึงไปรวมอยู่ที่ใจ ทีนี้เวลาเราบำเพ็ญไปซึ่งยังไม่ตายนี้ จิตค่อยสง่างามขึ้นมันก็รู้รู้ตลอด อารมณ์ทั้งหลายที่เป็นกิเลสเป็นภัยค่อยจางไปๆ มีแต่ธรรมหนุนจิตเรื่อย จิตก็มีความสง่างามเรื่อยๆ สงบเย็นๆๆ ชำระไป กิเลสมีหลายประเภท กิเลสอย่างหยาบต้องทรมานกันอย่างหนัก อย่างกลาง อย่างละเอียด พออย่างกลางไปแล้วนี้ค่อยก้าวเดินได้สะดวกสบาย พอขั้นสูงทีนี้มีแต่หมุนธรรมะล้วนๆ กิเลสเข้ามายุ่งไม่ได้นะธรรมะขั้นสูง ธรรมะขั้นกลางนี้พอฟัดพอเหวี่ยงกันไปกับกิเลสไม่มีถอยกันละ
แต่ขั้นต้นนี้ซิล้มลุกคลุกคลาน มีแต่เสื่อแต่หมอน แทนที่จะเอาความเพียรมาช่วยไม่ช่วยนะ ต้องเอาเสื่อเอาหมอนมาช่วย ขั้นเริ่มแรกมีแต่เสื่อแต่หมอนช่วย หลับดังครอกแครกๆ ขั้นเริ่มแรก มันขี้เกียจอ่อนแอท้อแท้ ภาวนาพอพุทโธทีเดียวออกห้าทวีปนู่น พุทโธได้วินาทีสองวินาทีออกไปนอกทวีปนู่น นี่ละล้มลุกคลุกคลาน ขั้นนี้บำบาก ตั้งจิตเท่าไรมันก็ไม่อยู่เพราะอำนาจของกิเลสมันรุนแรง กระแสของกิเลสนี้ปัดทีเดียวขาดสะบั้นไปเลยธรรมไม่มีเหลือ ขั้นนี้ลำบากมากทีเดียว ต้องได้หาอุบายฝึกทรมานกันหลายแบบหลายฉบับอย่างมากทีเดียว พอได้หลักได้เกณฑ์แล้วทีนี้ก็ค่อยเริ่มเรื่อยๆ พอก้าวเข้าสู่สติปัญญาอัตโนมัติ ทีนี้ก้าวเองละ
ผู้บำเพ็ญธรรมจะรู้วิถีจิตของตน เวลาลำบากๆ ล้มลุกคลุกคลาน ถึงกาลเวลาที่มันค่อยเป็นค่อยไปมันค่อยเป็นค่อยไปของมัน ต่อจากนั้นก็หมุนไปเองเลย หมุนไปเองๆ เริ่มเป็นสติปัญญาอัตโนมัติ จากนั้นก็สติปัญญาอัตโนมัติความเพียรโดยลำพังตัวเองนี้เต็มตัวๆ อยู่ที่ไหนไม่ขาดเลย ตื่นขึ้นมาพับความเพียรเป็นแล้วๆ จนก้าวเข้าสู่มหาสติมหาปัญญา กิเลสมองแทบไม่เห็นนะ ถึงขั้นมหาสติมหาปัญญานี้มองดูกิเลสทั้งๆ ที่มีอยู่เหมือนไม่มีนะ เพราะอำนาจของมหาสติมหาปัญญารุนแรงมาก โผล่ไม่ได้ขาดสะบั้นเลย
นั่นเห็นไหมเวลาธรรมมีกำลังกิเลสโผล่ไม่ได้ ขาดสะบั้นไปเลย แต่เวลากิเลสมีกำลังสติตั้งขึ้นมาพับล้มผล็อยขาดสะบั้นเข้าใจไหม สติปัญญาขาดสะบั้น กระแสกิเลสฟาดเอาขาดสะบั้น ทีนี้พอเราฝึกซ้อมจิตใจของเราให้สติสตังดีความเพียรดีแล้ว เข้าไปถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัติแล้วกิเลสขาดสะบั้นๆ มันแก้กันอย่างนั้น เห็นอยู่ในหัวใจของเรา ยิ่งเป็นมหาสติมหาปัญญาด้วยแล้วกิเลสมองดูแทบไม่มีนะ มันว่างไปหมดแทบไม่มี แต่ดีที่ไม่เคยสำคัญตนว่าได้สิ้นสุดลงไปแล้ว ทั้งๆ ที่กิเลสส่วนละเอียดยังมีอยู่ ไม่เคยสำคัญ ถ้ามีอยู่ละเอียดก็ยอมรับว่ามีๆ อยู่งั้น
บางทีถึงได้คิดขึ้นมาว่า หือ มันเป็นยังไงกิเลสมันม้วนเสื่อไปหมดแล้วเหรอ ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ ขึ้นมาแล้วเหรอ ว่าเฉยๆ แต่ยังไม่สำคัญตนว่าเป็นอรหันต์น้อย เพราะตอนนั้นมันว่างกิเลสไม่โผล่ อำนาจของสติปัญญามันรุนแรง จากนั้นพอกิเลสขาดสะบั้นลงไปจริงๆ แล้ว สนฺทิฏฺฐิโก ขั้นสุดยอดมาพร้อมกันเลย ทีนี้อรหันต์น้อยอรหันต์ใหญ่ไม่ถามถึงเลย อรหันต์น้อยก็ไม่มีอรหันต์ใหญ่ก็ไม่มี มีแต่ สนฺทิฏฺฐิโก ขั้นสุดยอดในจิต นั่นละบริสุทธิ์แล้วเป็นธรรมธาตุ ผางขึ้นมาทีเดียวหมดเลย
จากนั้นแล้วไม่ได้รบละ จะรบกับกิเลสตัวไหน เป็นสัญญาอารมณ์กับอะไรบ้าง คือธรรมดาจิตนี้จะมีข้าศึกเต็มตัวอยู่ตลอดเวลา จะหมุนของมันอยู่นั้นละ หมุนอยู่นี้คืออะไร คือสมุทัย อวิชฺชาปจฺจยา มันหมุนมันดันออกมาให้คิดเป็นสังขารสัญญาอารมณ์ไปเรื่อยๆ มันดันออกมาเรื่อยๆ ทีนี้พอตีเข้าไปๆ จนกระทั่งกำลังวังชาของอวิชชาอ่อนลงๆ สัญญาอารมณ์ที่หลอกลวงเบาเข้าไปๆ แทบไม่มีๆ สุดท้ายก็ไปมีอยู่ที่จิต มีก็มีอย่างเบาบางที่สุด ที่นี่พอ สนฺทิฏฺฐิโก ขั้นสุดท้ายโผล่ขึ้นมาเท่านั้นละเหล่านี้ขาดสะบั้นไปหมด จากนั้นมาแล้วไม่มีอะไรกวนใจ เห็นได้ชัดเจนว่า โอ๊ โลกอันนี้วุ่นเพราะกิเลส มีกิเลสเท่านั้นเป็นตัวยุ่ง พอกิเลสขาดจากใจแล้วไม่มีอะไรยุ่งเลย
พระอรหันต์ท่านไม่ยุ่ง หมด ที่ท่านแสดงไว้ว่า วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ กตํ กรณียํ นาปรํ อิตฺถตฺตายาติ พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว กิจอื่นที่จะทำให้ยิ่งกว่านี้ไม่มี ก็คืองานอันใหญ่หลวง งานวัฏวนงานวัฏจักรคืองานฆ่ากิเลส เมื่อกิเลสได้ขาดสะบั้นลงไปแล้วเรียกว่างานอันใหญ่หลวงนี้เสร็จเรียบร้อยไปแล้ว นี้เป็นงานที่ควรทำ เป็นงานที่ควรชำระให้ต็มเม็ดเต็มหน่วย กตํ กรณียํ กิจที่ควรทำก็คือการถอดถอนกิเลสได้ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว กิจอื่นที่ยิ่งกว่านี้ไม่มี กิจสำคัญก็คือกิจถอดถอนกิเลส ตั้งแต่นั้นมากิเลสไม่มี
พระอรหันต์ไม่มีกิเลสตัวใดที่จะมาแทรก ตั้งแต่ที่ขาดสะบั้นลงไป เป็น อกุปธรรมทันทีทันใด แล้วก็ไม่มีข้าศึกอีกเลย อดีตอนาคตลบหมด อดีตที่เคยเป็นมาให้วิตกวิจารณ์ดีใจเสียใจเพราะความเป็นมาของตัวเองก็ไม่มี แล้วข้างหน้าเราจะไปเกิดในภพใดชาติใด จะไปได้รับความทุกข์ความทรมานในนรกหลุมไหนๆ หรือจะไปสวรรค์ชั้นพรหม หมด ขาดสะบั้นไปหมด ปัจจุบันก็รู้เท่าหมดแล้วจ้าไป นั่นเรียกว่าสมมุติหมด อดีตอนาคตปัจจุบันเป็นสมมุติทั้งมวลขาดสะบั้นลงไป ท่านทรงแต่บรมสุข ที่เรียกว่านิพพานเที่ยง เที่ยงอยู่ที่ใจซึ่งหมดสิ่งรบกวนคือกิเลส ไม่มีอะไรเหลือแล้ว นั่นละนิพพานเที่ยงอยู่ที่ใจของผู้ปฏิบัติบำเพ็ญ ใครขี้เกียจขี้คร้านแล้วแบกแต่กองทุกข์ ผู้ใดมีความขยันหมั่นเพียรไม่หยุดไม่ถอยจะมีวันเบาบางไปเรื่อยๆ นะ พากันจดจำเอา วันนี้พูดเพียงเท่านี้ละ จะให้พร
พอเห็นหนังสือนี้ละเราระลึกได้ มหาพุทธา เกิดปีเดียวกัน พรรษาเท่ากัน เป็นมหาด้วยกัน เราแก่วันกว่า พรรษาเท่ากัน แต่แก่เดือนกว่าเท่านั้น เกิดก็พอๆ กัน ท่านอยู่วัดท่านเพ็งอยู่ทุกวันนี้ วัดวิเวกธรรม เขาเรียกวัดเหล่างา แต่ก่อนชื่อวัดเหล่างา เขาเอาหนังสือมา มหาพุทธาก็อยู่นั้นอยู่ข้างนอก เขาได้หนังสือมา นี่ได้หนังสือมา ไหนหนังสืออะไรว่างั้น มหาพุทธานะ หนังสืออะไร หนังสืออาจารย์มหาบัวแต่ง ชื่อว่าไงล่ะ ชื่อปัญญาอบรมสมาธิ เหอ มหาบัวมันเก่งกว่าพระพุทธเจ้ามาจากไหนวะ พระพุทธเจ้าว่าสมาธิอบรมปัญญา มหาบัวมันเก่งกว่าพระพุทธเจ้ามาจากไหนวะ ว่าปัญญามาอบรมสมาธิ ไหนมาดูน่ะ เอามาอ่านดู
ว่าจะอ่านดูเล่นๆ ทีแรก นั่งอยู่เก้าอี้ข้างกุฏิข้างล่างนั้น พออ่านแล้ว เอ๊ะ ชอบกลๆ สุดท้ายอ่านปัญญาอบรมสมาธิ ซึ่งจบประมาณเทศน์กัณฑ์หนึ่งนะ อ่านจนจบเลย เอ้อ เข้าท่าดีเว้ย เวลาไปเจอกันก็เลยเล่าให้ฟัง เพราะสนิทกันมาแต่ไหนแต่ไร เอ้อ ยอมรับแล้วละ ทีแรกมันโมโห โมโหยังไง ก็ว่าปัญญาอบรมสมาธิ พระพุทธเจ้าว่าสมาธิอบรมปัญญา มหาบัวมันเก่งมาจากไหนจะมาแข่งพระพุทธเจ้านี่น่ะ ไหนเอามาดู พอดูแล้วเข้าท่าๆ เลยยอมรับว่างั้นนะ สนิทกัน ลงนะลงเรา ลงจริงๆ ไม่ใช่ลงธรรมดา อย่างเทศน์ที่ไหนท่านบอกว่ามันลงเองนะว่างั้น มหาพุทธาเกิดปีเดียวกัน เป็นเพื่อนฝูงกันอยู่วัดบรมนิวาส ท่านเสียแล้วละ อันนี้ยอมรับเลยว่าลง ในภูมิธรรมภาคปฏิบัติยอมรับว่างั้น เอาละไปละที่นี่
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz