เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๒ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙
ขันธ์ล้วนๆ คือขันธ์ของพระอรหันต์
(สันติ หนูนอนภาวนาแป๊บเดียว รู้สึกปล่อยเป็นระยะๆ สุดท้ายเหมือนโลกนี้ไม่มี ร่างกายไม่มี มีแต่ผู้รู้แต่เป็นแบบอนัตตาหมด รู้สึกอัศจรรย์) มีเท่านั้นก็เท่านั้นแหละ อ้าว มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เวลามันว่างมันว่างหมดจริงๆ แต่เรายังมาพูดให้คนฟังอยู่นะ ว่าจิตเราทำไมถึงอัศจรรย์นักหนา คือว่างหมดเลย มันอัศจรรย์อยู่ตรงนี้ จึงมีธรรมเข้ามาเตือน กลัวมันจะหลงอันนี้ หลงที่สว่างไสว มันว่างไปหมดและสว่างไสวอยู่ภายใน เป็นความอัศจรรย์ อัศจรรย์ตัวเอง เอ๊ะ ทำไมจิตเราถึงได้อัศจรรย์เอานักหนา ความว่างก็ว่างหมดไม่มีอะไรเลย แล้วความสว่างไสวก็อยู่ภายในนี้ ทำไมใจนี้จึงอัศจรรย์เอานักหนา
ธรรมท่านจึงเตือนขึ้นมา คือความสว่างไสวนั้นมีจุดอยู่ที่นั่น เหมือนตะเกียงเจ้าพายุ ไส้มันสว่างไสวอยู่ภายในส่องออกไปข้างนอก ไส้ตะเกียงเจ้าพายุมันสว่างอยู่ตรงกลาง มันกระจายออกไปข้างนอกว่างไปหมด มันอัศจรรย์ตัวนี้ สักเดี๋ยวธรรมก็ปรากฏขึ้นมา ท่านเตือนนั่นแหละ เราจึงเสียดาย ถ้าไปกราบเรียนพ่อแม่ครูจารย์มั่นตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ แต่นี้ท่านล่วงไปแล้ว เราไปเป็นอยู่ที่หลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ตอนเดือนสาม เดือนห้าเดือนหกกลับคืนมาปลงกันตรงนั้น
พอว่าอัศจรรย์อย่างนั้น สักเดี๋ยวพระธรรมก็แสดงขึ้นมาเป็นคำพูดทีเดียว บอกชัดๆ บอกขึ้นมาว่า ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน แห่งผู้รู้ก็คือผู้รู้ที่อัศจรรย์นั่นละสว่าง นั้นแลคือตัวภพ ตัวนี้ตัวภพความหมายว่างั้น เราเลยงงไปเลยไม่เข้าใจ ถ้ากราบเรียนพ่อแม่ครูจารย์นี้ท่านก็จะใส่ปั๊วะเข้าไปตรงนั้นเลย อันนี้จะขาดสะบั้นลงไป บรรลุธรรมในเวลานั้นก็ได้ พูดตรงๆ เลย อาจบรรลุธรรมในเวลานั้นก็ได้ แต่นี้ท่านล่วงไปแล้ว กลับมาปลงเองที่วัดดอยธรรมเจดีย์ ความสว่างไสวอันนี้ก็หมด
ธรรมชาติแท้นั้นปรากฏขึ้นมาแล้ว ความสว่างไสวนี้เป็นเหมือนกองขี้ควาย ทีแรกว่าอัศจรรย์ พออันนี้ขาดสะบั้นลงไปแล้ว อันนั้นจ้าทีหลัง อยู่ที่ใต้อันนี้ปกคลุมเอาไว้ ความสว่างอันนั้นมาดูความสว่างอันนี้ อันนี้เหมือนกองขี้ควาย ที่เราว่าอัศจรรย์น่ะ เป็นอย่างนั้นนะ มันเป็นขั้นๆ ธรรม
เอาละก็เท่านั้นละ พิจารณาไปตามที่เคยพิจารณานะ พิจารณาอยู่ในนี้เข้าใจเหรอ มันจะสว่างไสวไปไหน ให้ดูมันด้วยนะมันเป็นอะไรตัวสว่างนั่น นี่เราเคยติดมาแล้วตัวสว่าง ถ้าหลงมันนั่นละตัวภัย เห็นความสว่างว่าเป็นของดีอย่างเดียว นั้นคือตัวภัย ให้ดูความสว่างเข้าไปอีก เข้าใจแล้วนะ พูดถูกต้องดีแล้ว เหมาะ นี่เป็นมาแล้วทั้งนั้น พอพูดปั๊บก็เข้าใจทันที ความสว่างไสวนี้มันก็น่าอัศจรรย์เหมือนกัน คือมันสว่างไสวเอาจริงๆ จ้าแล้วโลกนี้ว่างหมดเลย คือจิตมันว่างอยู่แล้ว ในขั้นนั้นเป็นขั้นจิตว่าง ว่างข้างนอกแต่ยังไม่ว่างข้างใน ปล่อยข้างนอกแต่ยังไม่ปล่อยข้างใน เป็นตัวสว่างอยู่นั้น พออันนี้ขาดปุ๊บลงไปแล้วออกหมดปล่อยหมด ว่างข้างนอก ว่างข้างใน นั่น สว่างข้างนอกสว่างข้างในทั่วถึงกันหมด นั่นหมดปัญหาละถึงจุดนั้นแล้ว
นี่ละจิตถ้าได้อบรมอยู่เสมอมันเหมือนกันหมด คือความรู้อันนี้ไม่มีเพศหญิงเพศชาย เวลาเป็นแล้วมันเหมือนกันหมด อย่างที่ว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้องค์ไหนๆ ก็ตาม พอจ้าขึ้นมานี้เป็นอันเดียวกันหมดเลย เหมือนน้ำไหลลงไปสู่มหาสมุทรทะเล พอเข้าถึงมหาสมุทรทะเล น้ำคลองต่างๆ ที่ไหลมาเป็นน้ำมหาสมุทรทะเลเหมือนกันหมดเลย อันนี้จิตของเราเมื่อเข้าถึงนั้นปั๊บ พุ่งนี้เป็นมหาวิมุตติมหานิพพานเหมือนกันหมดเลย แล้วถามหาพระพุทธเจ้าที่ไหน ดูนี้มันก็ครอบหมดอย่างนั้นละ จึงว่าผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต เห็นธรรมสุดยอดก็เห็นตถาคตสุดยอดเหมือนกันนั่นแหละ
นี่ละจิตฝึกไปฝึกไม่หยุดไม่ถอย แต่เรื่องมารของจิตมันติดอยู่ตลอดนะต้องระวัง อย่างที่ว่าสว่างนี้มันก็เป็นเครื่องพรางตาอันหนึ่งเหมือนกันให้หลง เพราะฉะนั้นจึงว่าอัศจรรย์ เวลาอันนี้ผ่านไปแล้ว อันนั้นขึ้นมาทีหลัง ก็ได้ตำหนิอันนี้ว่าเป็นเหมือนกองขี้ควาย เป็นอย่างนั้นละ แต่ก่อนก็ว่าอัศจรรย์ พออัศจรรย์ทีหลังขึ้น อันนั้นเลยกลายเป็นกองขี้ควายไป
พูดยากเดี๋ยวนี้ เมื่อคืนนี้พูดก็พูดไม่ได้ ลมออกหู วันนี้พอพูดได้บ้างเล็กน้อย ระยะนี้กำลังหูอื้อมาก เพลียมาก ไม่ใช่อะไรแหละ เพลียมาก หูนี่อื้อหมดเลย วันนี้หูไม่ค่อยอื้อ ถ้าหูอื้อก็แล้วแหละไม่เป็นท่าอะไร นี่เริ่มเข้าพรรษามาตั้งแต่เมื่อวาน ให้พากันตั้งอกตั้งใจปฏิบัติจิตใจ อย่าไปดูเรื่องอื่นเรื่องใดมากกว่าจิตใจ ดูเรื่องเขานี่ดูมากนะ ถ้าดูเรื่องเขาก็ให้ดูเรื่องเราพร้อมกัน ดูอะไรให้ดูตัวเองพร้อมกัน ดูข้างนอก ดูข้างใน ไปพร้อมๆ กันถึงรู้รอบทั้งข้างนอกข้างใน แก้กิเลสตัวมันหลงเรื่องราวต่างๆ ที่วาดภาพหลอกตัวเองนั้นไปโดยลำดับ มันจะแก้ของมันไปเรื่อยๆ พอตัวนี้รู้รอบหมดตัวเองแล้วหมดเลย ในสามโลกธาตุนี่ไม่สงสัยอะไร หมดปัญหา ท่านเรียกว่าวิมุตติ พ้นสมมุติไปหมดแล้ว บรรดาสมมุติทั้งหลายที่เป็นตัวปัญหาใหญ่ขาดสะบั้นลงไป ตัววิมุตติไม่มีปัญหาเลย หมดปัญหาโดยสิ้นเชิง
เข้าพรรรษาให้พากันตั้งอกตั้งใจปฏิบัติตัวเอง ให้ดูใจเป็นสำคัญ อย่าลืมสติเป็นสำคัญมาก สติให้ติดแนบตลอด ไปที่ไหนเคลื่อนไหวไปมาสติให้ติดนั่นแหละดี เป็นความเพียรตลอด ถ้าขาดสติเมื่อไรก็เรียกว่าขาดความเพียร ความเพียรประมวลมาแล้วมาอยู่กับสติ มาลงอยู่ที่สติเป็นผู้ควบคุมหมดเลย เวลาสติตั้งดีๆ อยู่นี้กิเลสจะหนาแน่นขนาดไหนเกิดไม่ได้ พอเผลอพับออกปุ๊บเลย เรื่องกิเลสจะออกทางสังขารความคิดความปรุง คือมีอันหนึ่งดันออกมาอยากคิดอยากปรุง เป็นสัญญาอารมณ์ต่างๆ ครอบโลกธาตุ ไปจากอันหนึ่งอยู่ภายใน ทางบาลีท่านว่าอวิชชา มันดันออกมาให้เป็นสังขารความคิดปรุง ความคิดปรุงก็เป็นกิเลสไปเรื่อยๆ ถ้าอวิชชานี้ดับแล้วความคิดปรุงนี้ก็เป็นสังขารล้วนๆ เป็นขันธ์ล้วนๆ
ขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นเครื่องมือของกิเลสทั้งนั้น พอกิเลสขาดสะบั้นไปแล้วเหล่านี้ก็เป็นขันธ์ล้วนๆ คิดอะไรปรุงอะไรไม่มีกิเลส ถ้ากิเลสอยู่ภายใน ไม่ว่าจะคิดจะปรุง เคลื่อนไหวอะไรๆ เป็นกิเลสออกมาตลอดๆ พอกิเลสรากใหญ่มันขาดสะบั้นลงไปแล้ว อันนี้ก็เป็นเพียงเครื่องมือ แต่ก่อนเป็นกิเลสเพราะตัวใหญ่พาเป็นกิเลสมันก็เป็น ทีนี้พอตัวใหญ่หมดแล้วอันนี้ก็เป็นเครื่องมือไป เป็นเครื่องใช้ จึงเรียกว่าขันธ์ล้วนๆ คือขันธ์ของพระอรหันต์ ขันธ์ของเรานี่เป็นขันธ์ของกิเลส กิเลสนำไปใช้ตลอดเวลา พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้วขันธ์ก็เป็นเครื่องมือไม่เป็นกิเลส ถ้าธรรมชาตินั้นเป็นกิเลส ขันธ์นี้ก็เลยกลายเป็นภัยไปด้วยกัน เป็นกิเลสไปด้วยกัน ให้มันรู้อย่างนั้นซิรู้อรรถรู้ธรรม เอาละให้พร
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |