ในพรรษาหนึ่งให้ได้ความดีประจำตน
วันที่ 11 กรกฎาคม. 2549 เวลา 8:15 น. ความยาว 48.5 นาที
สถานที่ : ศาลาใหญ่วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)   วิดีโอแบบ(Win High Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ ศาลาใหญ่วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙

ในพรรษาหนึ่งให้ได้ความดีประจำตน

         (รัศมีขอเมตตาถวายปัจจัยหนึ่งหมื่น รถยนต์ประสบอุบัติเหตุที่โคราช เมื่อวันที่ ๑๐ ก.ค. ๔๙ เวลา ๘ โมงครึ่ง กระดูกซี่โครงหัก ขาหักสองข้าง ตอนนี้รักษาตัวที่โรงพยาบาลนครราชสีมาครับ) รถไปยังไงถึงได้เป็นอย่างนั้น (ไปจากอุดรนี่แหละครับจะเข้ากรุงเทพ) ดูทางก็กว้างขวางตลอด ไม่น่าเกิดอุบัติเหตุ แต่ก่อนรถชนกันนี้ดาดาษไปตามถนนนะ เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมี เพราะทางก็ดี คนก็ระมัดระวังมากขึ้น นี่ได้ยินอีกแล้ว ที่โคราช รัศมีรัศหมาฟังว่ารถคว่ำ ขาหัก ทางก็ดี อย่างแต่ก่อนเป็นอีกอย่างหนึ่ง

คือแต่ก่อนทางแคบๆ รถชนกันดาดาษ จากนี้ไปกรุงเทพเจอบ่อยๆ เดี๋ยวนี้ไปมาไม่เคยเจอ พึ่งมาได้ยินนี้ คือทางดีทางเป็นสี่เลน ทางสะดวกสบาย คนก็ระมัดระวังมากขึ้น การขับรถเป็นสำคัญมาก ขับรถแบบผลุนผลันไม่ได้นะ ต้องใจเย็น ใจอยู่กับเหตุกับผล ไม่อยู่กับเวล่ำเวลาที่จะทำให้ใจร้อนรีบด่วน อยู่กับเหตุผล ควรถึงเมื่อไรก็ถึง ช้าเร็วความปลอดภัยเป็นสำคัญ

แต่ก่อนเราไปกรุงเทพ.ไปมานี้รถชนกันอยู่สองฟากทางเกลื่อน เดี๋ยวนี้ไม่มี ตอนที่เราไปเมืองอังกฤษไม่เห็นรถชนกันเลย ไปที่ไหนๆ เศษแก้วตกอยู่ตามถนนก็ไม่เห็น คือซากรถว่างั้นเถอะ เป็นเศษแก้วอะไรๆ ตกอยู่ตามถนน ไม่เห็นเลย จนกระทั่งตอนเย็นวันกลับ เรียกว่าสรุปความได้แล้วว่างั้นเถอะน่ะ ว่าประเทศอังกฤษเมืองอังกฤษนี้เขาขับรถมีกฎมีระเบียบ ทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อยดี รถไม่มีชนกันเลย แล้วก็เทียบกับเมืองไทยเราเป็นเมืองเด็กว่างั้นแหละ ไปที่ไหนรถชนกันดาดาษ

พอว่าอย่างนั้นจบลงสักสองสามนาที พอดีรถไปวงเวียนละซิ เราไปข้างหน้า เขามาชนข้างหลังเราตุบ รถเขามาชนท้ายรถเรา รถเราเป็นทูตไทยขับไป ตุ๊บเท่านั้นแหละพอรู้ว่ารถชน นี่ไม่ชนยังไงคงว่าอย่างนั้นแหละ มันแปลกอยู่ ถ้าพูดอะไรเป็นเลย พอคิดตกลงเท่านั้นสักสามนาทีก็มาตุ๊บข้างหลัง เราดูคนขับรถ เขาก็มารยาทดีนะ เขาไม่มองหน้ามองหลัง รถชนตุ๊บเขาก็เฉย เราก็เฉยเพราะไม่เสียหายอะไร มันเหมือนกำปั้นตีเอาเฉยๆ นี่ไม่ชนยังไงคงว่าอย่างนั้น ดูเอา ชนรถเราเลย

เวลาลงรถแล้วเราก็เดินฉากไปข้างหลังไปดูท้ายรถก็ธรรมดาไม่มีอะไร เพราะเท่ากับกำปั้นทุบ เป็นเครื่องหมายว่านี่ไม่ชนกันยังไง คงว่าอย่างนั้น นั่นละวันกลับ ก็คิดเท่านั้นแหละ พอคิดก็โดนเลยแปลกอยู่ เหมือนเทวดาคอยสอดส่องดูอยู่ ถ้าคิดอะไรขึ้นมาจะมีสิ่งเตือน ไปอังกฤษว่ารถไม่ชนกัน ไม่ชนกันยังไงก็รถเราเองชนกัน เขามาชนท้ายรถเราตุ๊บเท่านั้น เหมือนกำปั้นทุบ ทางวงเวียน เราอยู่ทางถูกต้อง เขาตามหลังมาชนท้ายเรา ก็ไม่มีอะไร วันนั้นเป็นรถสถานทูตไทยเขาพาไป

คือในอังกฤษนั้นลูกศิษย์เยอะมารอตลอด ที่เราจะไปข้างไหนๆ คือเราจะไปด้วยการบังคับตัวเอง ธรรมดาไม่ไป ขี้เกียจ ไปที่ไหนมันก็เหมือนกัน แต่เมื่อไปแล้วก็ไปทัศนศึกษาเป็นคติธรรมไปด้วย เพราะฉะนั้นเราถึงไป พอบ่ายสี่โมงออกทุกวัน ขี้เกียจก็ไป วันนี้ไปที่นั่น วันนั้นไปที่นั่น รถก็รถลูกศิษย์ทางอังกฤษเขาขับ พาไปซอกแซกทุกวันๆ  ท่านปัญญานั่งไปด้วยทุกวัน ไปดูหมดที่ไหนๆ ที่สำคัญๆ  ไม่ลงรถก็ผ่านเข้าไปๆ ดู ตั้งใจไปดู สี่โมงเย็นออก หกโมงมาถึง พอมาถึงแล้วก็อบรมธรรมแก่พวกนักปฏิบัติทั้งหลายทั้งฝรั่งทั้งคนไทยเต็ม เทศน์ท่านปัญญาเป็นล่ามแปล พอเทศน์จบลงแล้วก็นั่งภาวนา ๓๐ นาที อย่างนั้นเป็นประจำทุกวัน

สี่โมงเย็นออก หกโมงเย็นกลับมายังไม่มืด ตั้งสองทุ่มยังไม่มืด ไปตอนเดือนมิถุนา กรกฎา ที่จะเข้าพรรษา กลางคืนในเมืองอังกฤษมี ๕ ชั่วโมง กลางวันมีถึง ๑๙ ชั่วโมง กลางวันมีมาก ดูเหมือนเดือนมิถุนาที่จวนเข้าพรรษา นั่นละเราดูกลางวันเมืองอังกฤษมีมากมีถึง ๑๙ ชั่วโมง กลางคืนมีเพียง ๕ ชั่วโมง พอตกบ่ายสี่โมงออก ออกทุกวัน ขี้เกียจก็จำต้องออกให้เขานำเที่ยวดู วันนี้ไปทางนี้ๆ ไม่ให้ไปซ้ำของเก่า วันนี้ไปนี้ วันนั้นไปนั้นๆ ไปหมด โรงงานอะไรเข้า เพราะคนผู้นำเขาชำนาญ เราก็บอกให้คนที่ชำนาญนำ คือเราจะไปดูสถานที่ต่างๆ ท่านปัญญาไปด้วยไปดู

แต่ก่อนเมืองอังกฤษถนนก็ไม่กว้างมาก เดี๋ยวนี้คงเก่งกว่าเมืองไทยเราอีก เพราะเมืองไทยเราก็เอาตัวอย่างมาจากเมืองนอกละมั้ง ตอนนั้นไปทางก็ไม่กว้าง แต่ไม่เคยเห็นรถชนกัน เราจึงได้คิดขึ้นมา คืนสุดท้ายวันสุดท้ายว่าเมืองอังกฤษไม่มีรถชนกัน ไม่เหมือนเมืองไทยเราซึ่งเป็นเมืองเด็กเราว่างั้น ยกให้เมืองอังกฤษเป็นเมืองผู้ใหญ่เสีย เขาขับรถไม่มีชนกัน เมืองไทยเราดาดาษไปหมด พอคิดจบสักสามนาทีก็ถูกตุ๊บข้างหลัง ไม่ชนยังไง คงหมายความว่าอย่างนั้น มันแปลกอยู่นะ

พอพูดอย่างนี้ก็ระลึกถึงอาจารย์สีทา พ่อแม่ครูจารย์มั่นเรียกว่าครูบาสีทา คือท่านแก่พรรษากว่า แต่ก็ไม่แก่กว่ามาก หากเป็นอาวุโส อยู่ฝั่งลาว เวียงจันทน์ ท่านไปภาวนาอยู่ ครูบาสีทานี้ท่านอยู่บ้านหนึ่ง พ่อแม่ครูจารย์มั่นอยู่อีกบ้านหนึ่ง ถ้าพูดถึงเรื่องความคิดมันก็รับกันอย่างนั้นละ ท่านเดินจงกรมไปมานี้ อาจารย์สีทาท่านเดินจงกรมกลับไปกลับมา อยู่ๆ เสือโคร่งมันมานั่ง แต่ไม่ได้มาหมอบ ถ้าหมอบมีท่าตะปบเหมือนแมวหมอบ ถ้านั่งธรรมดาเหมือนหมานั่งนี้ก็เป็นนั่งธรรมดา อันนี้มันนั่งแบบธรรมดา นั่งดูคนกำลังเดินจงกรมผ่านไปผ่านมา

รู้สึกอะไรในสายตาท่านว่า แต่ก่อนไม่มี นี่มันยังไง มองไป โอ๊ย เสือโคร่งใหญ่นั่งดูคนเดินจงกรม ท่านเดินไปห่างกันสักอย่างมากประมาณสักสองวา มันนั่งอยู่นั้นท่านก็เดินจงกรม พอมองเห็นว่าเป็นเสือแล้วท่านก็เฉย ไม่กลัวแต่ขนลุกท่านว่างั้น ก็เดินไปเรื่อยเดินไปเดินมา เขาก็นั่งของเขาเฉยอยู่ เหมือนว่าพวกเทพบันดาล หรือเทพสังหรณ์จิตอะไรก็ไม่รู้แหละพูดยากอยู่ พอเดินไปเดินมานานพอสมควร ท่านเลยคิดเกี่ยวกับเสือตัวนี้ ว่าจะไปหาอยู่หากินที่ไหนก็ไป มานั่งเฝ้ากันหาอะไร พอว่างั้น มันคำรามเฮ่อขึ้นเลย ทันทีเลย

เดินจงกรมอยู่นั้นพอท่านคิดเท่านั้นเสียงคำรามเฮ่อๆ ขึ้นเลย เหอ ถ้าไม่ไป อยากรักษาความปลอดภัยให้ก็ยิ่งดี อยู่เป็นปรกติรักษาความปลอดภัยให้ยิ่งดี มันเงียบเลย ท่านเดินจงกรมจนกระทั่งหยุดเขาก็นั่งอยู่นั้น แต่ก็ไม่เคยซ้ำ มีหนเดียว ท่านบอกไม่กลัวแต่ขนลุก มันก็น่าขนลุก ถ้าเป็นหลวงตาบัวนี้ดีไม่ดีขี้ทะลัก เจ้าของวิ่งขี้ทะลัก ก็เสือใครจะไปกล้ากับมัน เหมือนมีอะไรสังหรณ์ พอคิดทางนี้ทางโน้นคำรามขึ้นแล้ว

มาตั้งวัดป่าบ้านตาดทีแรกก็เหมือนกัน มันอดคิดไม่ได้ เพราะคิดทีไรมันเป็นให้เห็นทุกที เราปลูกอ้อยดำให้โยมแม่เพื่อผสมยา หาเลยนะยาเข้าอ้อยดำ เราเลยอ้อยดำมาปลูกไว้ตะวันออกกุฏิ แต่ก่อนไม่มีต้นไม้เหล่านี้ มันโล่งไปหมด ต้นไม้ขึ้นทีหลัง มันเขียวชะอุ่มต้นอ้อย โหย สดสวยงดงามมาก เป็นพุ่มสวยงาม เราก็คิดคะนองอะไรก็ไม่รู้ เพราะเป็นเหตุมาจากหนองผือ ทางจงกรมเราอยู่ข้างใน ออกมานี้มันมีอ้อยอยู่นั้น หนูมันมากัดกินอ้อยอยู่ทุกวัน วันละลำสองลำมันกิน ก็ปลูกไว้เฉยๆ เราเห็นอันนั้นละ

พอมามองเห็นนี้เลยระลึกถึงหนองผือ ว่าหนูไม่มากัดอ้อยเหมือนหนองผือ ว่างั้นนะ อ้อยที่เราเห็นนั้นมันเขียวชะอุ่มเหลือเกิน ทางนี้ไม่มีหนูมากัดอ้อย เรานึกในใจ พอตกกลางคืนมาแหลกหมดเลย เป็นอย่างนั้นนะ แหลกหมดเลย มันถางเอาจริงๆ นี่มีหรือไม่มีหนูคงว่าอย่างนั้น เราก็เลยว่าทำไมมากัดอ้อยของเรา อ้อยนี้เราปลูกไว้สำหรับเป็นยาให้โยมแม่ต่างหาก เหอ แมวไปไหน ทำท่าขู่ เหอ แมวไปไหน นี่หนูมาทำลายศาสนา เราก็พูดเฉยๆ ไม่มีอะไร

เพราะเป็นเวลาปัดกวาด เราก็ไปดูต้นอ้อย พอเสร็จแล้วเราก็ลงไปศาลา เราว่าหนูไม่มากวน มันกวนแล้วนั่น ฟาดเอาแหลกหมด เลยร้องว้ากๆ หาแมว ก็ร้องเฉยๆ ร้องขู่แมว แล้วก็ไปที่ศาลาเล็กๆ สร้างวัดทีแรก ฟังเสียงอ่าวๆ มาจากทางโน้น อ้าวดูเหมือนเสียงแมวนะ ตั้งแต่สร้างวัดก็ไม่เคยเห็นแมว มาแล้วแมวเหลือง สีเหลือง โอ๊ย ใหญ่ยาวขนาดนี้ ฟังเสียงอ่าวๆ มา พอดีพระเดินผ่านมาหน้าศาลา แมวกำลังเสียงอ่าวๆ มา

มันจะออกมานี่ละ คอยดูด้วยกันนะ มันก็ออกมาจริงๆ ผ่านมาที่หนูกัดอ้อย ผ่านมาตรงนั้น หือ มึงมาหรือ มึงอย่าไปทำหนูกูนะ หนูก็หนูวัด แมวก็แมววัด สูอย่าทำ กูเรียกหาสูเฉยๆ แหละ หนูมันคะนอง สูอย่าทำกันนะ เขาก็เดินฉากไปนี้เห็นต่อหน้า โอ๊ย ตัวยาวแมว ตัวเหลืองๆ เท่านั้นละ ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่เห็นอีก นี่ละความคิด พอคิดเป็นอย่างนั้นตอบรับกันทันที ว่าอ้อยสดเขียวงดงามไม่มีหนูแถวนี้ มันก็ฟาดเอาเสียแหลก ทีนี้เรียกหาแมว แมวก็มาอีก ก็แปลกเหมือนกัน

ตั้งแต่นั้นมาเลยบอกหนู สูอย่ามาถางอย่างนี้นะ ถ้าสูต้องการให้สูเอาลำใดลำหนึ่งมากัดมากินเสียนะทีละลำ สูมาถางอย่างนี้ไม่ได้ พูดเล่นตอนอยู่กับต้นอ้อยนั่นละ จากนั้นมาเขาก็มาเอาทีละลำสองลำไปกิน อ้อยก็ขึ้นสดสวยงดงามตามเดิม หนูก็เอาไปกินทีละลำสองลำ มันแปลกอยู่นะ เรียกหาแมว แมวไม่เคยมีก็มีวันนั้น นี่ก็แบบเดียวกัน อยู่ห้วยทรายก็เหมือนกัน ที่ศาลามัดหมอนแขวนไว้ข้างบนในห้อง ตอนเช้าพระเณรไปบอก โอ๊ย หนูมากัดสายเชือก หมอนตกลงมาแล้วหนูกัดแหลกหมดเลย เราก็เลยไปดู เต็มหมดห้องเข้าไม่ได้ หนูกัดนุ่นเลอะไปหมด ก็หมอนยัดนุ่นนี่ เราก็ร้องเวิกวากขึ้น แมวไปไหนหมด หนูกำลังทำลายศาสนา ไปไหนแมว

อ้าว แปลกอยู่นะ พอหกโมงเย็นยังไม่มืดแหละ สักเดี๋ยวเห็นเณรเข้าไป ธรรมดาพระจะไม่เข้าไปหาเราเพราะเป็นเวลาเราทำความเพียร เราเดินจงกรมอยู่ เณรเข้าไป มาอะไร เณรก็ว่า ที่ครูอาจารย์เรียกหาแมวเมื่อเช้านี้ แมวมาแล้วนะ มายังไง หมอบอยู่ใต้ถุน เหอ แมวตัวใหญ่เหรอ ใหญ่มาก ไปดูมันหมอบอยู่นั้นจริงๆ พระก็ยืนดูอยู่ข้างนอก ตรงกลางข้างบนเป็นห้องนุ่นที่หนูกัด ข้างล่างแมวไปหมอบอยู่นั้น อ้าว มึงมาอะไร มึงอย่ามาทำลายหนูนะ หนูก็หนูวัด แมวก็แมววัด สูอย่าทำลายกัน เป็นแต่เพียงว่าขู่ๆ เท่านั้นละ ให้สูร้องไปตามทางแถวนี้ สูอย่าไปกัดหนูนะ บอกมันอย่างนั้นละ มันก็หมอบอยู่นั้น

ตั้งแต่นั้นมาแมวตัวนั้นอ่าวๆ มาเรื่อย แถวนั้นหนูเงียบหมดเลย มันก็แปลกอยู่นะ มาเรื่อยมาอยู่แถวนั้น เราเดินจงกรมมันก็มา มันอ่าวๆ เดินฉากเราไป เอ้อ ไปอย่างนั้นละ สูอย่าทำลายหนูนะ ขู่คำรามไปอย่างนั้นแหละ เพียงได้ยินเสียงสูหนูก็กลัวแหละ เสียงคนมันไม่ได้กลัวเหมือนเสียงแมวนะ อันนี้ก็แปลกเหมือนกัน พอพูดอย่างนั้นมันก็มาเลย เหมือนมีอะไรบันดาลใจอยู่

บรรดาพี่น้องทั้งหลายให้ตื่นเนื้อตื่นตัวนะ วันเข้าพรรษาอย่างนี้ควรจะมีสัจจะความจริงประจำตน ในพรรษานี้เราจะทำอะไรเป็นการทำบุญให้ทาน หรือเป็นสัจธรรมประจำใจเรา อย่าเร่ๆ ร่อนๆ ในพรรษาหนึ่งให้ได้ความดีประจำตนอันหนึ่งๆ เช่น ผู้จะทำบุญให้ทานทุกวันไม่ให้ขาดแม้วันเดียวอย่างนี้ ถึงจะไม่ให้ทานมากน้อย เราได้ใส่บาตรพระองค์หนึ่ง ขันเทหนึ่งก็เอา ขาดการให้ทานไปวันหนึ่งไม่ได้ ตั้งสัจจะไว้บังคับเจ้าของ ไม่งั้นกิเลสจะเอาไปกินหมด อันนี้แบ่งให้ธรรม แล้วก็เป็นทานบารมีด้วย เป็นสัจจะบารมีด้วยของเรา

ใครที่เคยกินเหล้าเมาสุรามอมแมม ให้ตัดขาดสะบั้นไปเลย อย่างน้อยในพรรษานี้จะไม่แตะ ว่างั้นเลย เอา เป็นยังไงเป็นกันตายก็ตาย ตั้งแต่เกิดมาแม่ไม่ได้เอาสุรายาเมามากรอกปาก นี้ทำไมเราจะอดไม่ได้ ถ้าเรารักแม่เราก็ต้องตัดสุรา ถ้าเรารักสุราเราก็เหยียบหัวแม่ไป เข้าใจไหมล่ะ ให้ตั้งคำสัตย์ คำสัตย์นี้สำคัญมาก ธรรมนี้มีอำนาจบังคับกิเลสได้ ถ้าไม่มีอำนาจไม่มีเด็ดขาดกิเลสทะลึ่งนะ

การประกอบความพากเพียรเหมือนกัน ต้องมีธรรมเด็ดขาดเข้าไปประจำๆ บังคับไว้ๆ ยกตัวอย่างให้ท่านทั้งหลายฟัง นี่นั่งจนก้นแตก นี่คือความสัตย์ความจริงจะไม่ลุกว่างั้นเลย นั่งอย่างนี้ตั้งแต่บางคืนยังไม่มืดนั่งแล้ว ตลอดรุ่ง ต้องหมายเอาเป็นวันใหม่แล้วถึงจะลุกจากที่ ถ้าไม่ถึงวันใหม่เป็นก็เป็น ตายก็ตาย มอบกันเลย เรายกเว้นไว้เพียงข้อเดียว อยู่ในท่ามกลางพระเจ้าพระสงฆ์ ถ้ามีเหตุเกิดขึ้นกับพระกับเณรหรือครูบาอาจารย์องค์ใดก็ตาม เราจะลุกจากที่ไปช่วยเหตุการณ์นั้น ถ้าไม่มีเหตุการณ์นั้น สำหรับเจ้าของเองไม่ให้มี มีข้อเดียว นั่งตั้งสัจจะตลอดรุ่ง

คำว่าสัจจะ คือความจริงเหนือชีวิต เอา ตายก็ตาย แต่จะให้ลุกนี้ไม่ยอมลุก นี่ละคำสัตย์ ทีนี้เวลามันจะตายจริงๆ สติปัญญามันก็มี มาเอง มันแก้กันทุกขเวทนาโหมตัวเข้ามาเผาเรา เรานั่งภาวนานี้เหมือนหัวตอ ทุกขเวทนาโหมเผาเรานี้เหมือนไฟไหม้หัวตอ เอา ไหม้ก็ไหม้ไป ทางนี้พิจารณาแยกแยะเวทนาจนดับ ทีนี้จิตก็ลงผึงเลย นั่น ได้ความอัศจรรย์ในเวลาจนตรอกจนมุมอย่างนั้น นี่ละคำสัตย์ไม่ใช่เล็กน้อย ถ้าหากว่าคำสัตย์ไม่ดี พอมันจะตายจริงๆ มันจะหาเรื่องปวดหนักบ้าง ปวดเบาบ้าง ทางออกของกิเลสออกไปแล้ว เราเหลวไหล

เพราะฉะนั้นจึงบังคับเลย เอา ปวดหนักออกเลย ปวดเบาออกเลย ให้ลุกไม่มีลุก ตั้งแต่เล็กแต่น้อยมันขี้ใส่ตักแม่มา เอาตักแม่เป็นส้วมเป็นถานมานานแล้ว ใหญ่โตขนาดนี้เวลาขี้มันแตกออกมานี้ล้างไม่ได้ เอาไปฆ่าทิ้งเสียมันหนักศาสนา บังคับ ไม่ลุก เข้าใจไหมล่ะ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ มันก็เป็นจริงๆ นั่นแหละ จะให้เคลื่อนไม่เคลื่อน ปวดหนักออกเลย ปวดเบาออกเลย ไม่มีข้อยกเว้น แต่ว่าปวดหนักไม่เคยมี สำหรับปวดเบาไม่ต้องพูด ก็มันเปียกหมดจีวร คนจะตายมันไม่ใช่เหงื่อนะ มันเป็นยางตาย เปียกหมดจีวร เหมือนเราซักผ้านะ เปียกหมดเลย สำหรับเยี่ยวมันจะไปเยี่ยวได้ยังไง ส่วนหนักไม่มีนะ ถ้ามีก็ให้ออกเลย นี่เรียกว่าคำสัตย์ ตั้งลงไปแล้วคำสัตย์มีอานุภาพมาก

เมื่อไม่มีทางไป ถูกผูกถูกมัดเข้าไปอย่างนี้ ทุกขเวทนาโหมเข้ามา สติปัญญาออกต้อนรับกันแก้กัน สติปัญญาแยกธาตุแยกขันธ์ แยกเป็นสัดเป็นส่วน แยกทุกข์ แยกสกลกาย อันไหนเป็นทุกข์ๆ ไล่ไปหมด รวมลงแล้วเวลาตายแล้วสิ่งเหล่านี้มีอยู่ เอาไปเผาไฟมันว่ายังไง มันไม่เห็นว่าอะไร หนังเป็นทุกข์เหรอ เนื้อเป็นทุกข์เหรอ กระดูกเป็นทุกข์เหรอ ภายในอวัยวะทั้งหมดนี้เป็นทุกข์เหรอ เวลานี้เป็นทุกข์ คนตายแล้วเหล่านี้ยังมีอยู่เหรอ มีอยู่ เอาไปเผาไฟเขาว่าไง ไม่ว่าไง เดี๋ยวนี้มันเป็นกับใคร ใครเป็นคนสำคัญมั่นหมายว่าทุกข์นั้นทุกข์นี้

ไล่กันไปไล่กันมา เมื่อมันรอบแล้วจิตก็ลงผึงเลย ลงถนัดนี้เรียกว่ากายไม่มีนะ หมด ร่างกายที่กำลังถูกไฟโหม คือไฟทุกขเวทนาโหมตัวจริงๆ ขาดสะบั้นไปตามๆ กันหมด ทั้งร่างกายทั้งทุกขเวทนา เหลือแต่ธรรมชาติที่อัศจรรย์แน่วภายใน นี่เวลาจะตายมันได้อย่างนี้ เพราะความสัตย์ความจริงไม่ยอมลุก เอาตายเข้าว่าเลย ความสัตย์ความจริงฟัดเข้าไปได้ผลทุกวัน เราไม่เคยขาดนะวันไหนน่งตลอดรุ่ง ได้ธรรมอัศจรรย์จากจิตที่รวมลงเต็มที่ทุกคืน นี่ละคำสัตย์ให้ท่านทั้งหลายจำ

แต่ไม่ได้หมายถึงว่าให้ท่านทั้งหลายไปนั่งจนขี้แตกเยี่ยวราดนะ เราพูดถึงเรื่องคำสัตย์ตั้งลงจุดไหนนี้ขาดสะบั้นไปเลยจริงๆ เราเคยตั้งแล้ว ถ้าลงได้ตั้งแล้วคำว่าแพ้ไม่มี ถ้าลงได้ว่า เอาหนา เท่านั้นละ ต้องมีชัยชนะอย่างเดียวแพ้ไม่ได้ เคยตั้งมาแล้วไม่ทราบว่ากี่ครั้งกี่หน การบังคับระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกัน ธรรมต้องมีสัจจะความจริงใส่ลงไป ขาด

ให้ท่านทั้งหลายบังคับตัวเอง เช่นเคยกินเหล้าเมาสุรามอมแมม ตัดขาดเลย เอาธรรมเป็นหลักใหญ่ เอาธรรมเป็นเครื่องประหาร ถ้าลงกินสุราให้ตายเสีย ว่างั้นเลย เอาอย่างนั้น คนเรามันเสียดายชีวิตนั่นละสำคัญ เอาธรรมเข้าไปปั๊บให้ธรรมเป็นหนึ่งกว่าชีวิต เอา ตายก็ตาย ไปได้ ผ่านได้ๆ เช่นจะไหว้พระสวดมนต์หรือจะนั่งภาวนา คืนหนึ่งๆ ให้ได้ประมาณสักเท่านั้นนาทีเท่านี้นาที ให้บังคับ การภาวนาให้มีสติจับกับใจคือคำบริกรรม เช่นเราจะบริกรรมคำใด พุทโธก็ได้ ธัมโมก็ได้ สังโฆก็ได้ หรืออานาปานสติ มรณัสสติ ได้ทั้งนั้น แต่คำบริกรรมกับสติให้ติดกันอยู่กับหัวใจเรา ไม่ยอมให้ใจคิดไปไหน เอางานคือคำบริกรรมนี้ให้เป็นงานของใจทำงานเวลานั้น มีสติควบคุม

ใจเราไม่ไปไหนแหละเมื่อถูกบีบถูกบังคับ มันจะสงบลง ที่ไม่สงบเพราะอำนาจของกิเลสบังคับบัญชามันให้คิดให้ปรุง อยากคิดอยากปรุงไม่อิ่มไม่พอคือสังขารความอยากคิด มันมาจากอวิชชาดันออกมาให้คิดให้ปรุง เราเอาธรรมฟาดเข้าไปขาดสะบั้น จิตลงแน่วเลย พากันจำเอา ให้ตั้งสัจจะอธิษฐานไว้ทุกคืนให้ได้ภาวนา จะเอากี่นาทีก็ตามต้องบังคับเจ้าของ ไม่บังคับไม่ได้ นี่ยกมาเป็นตัวอย่างแล้วนั่งจนกระทั่งตลอดรุ่ง นั่งหลายคืนต่อหลายคืนแต่ไม่ได้ติดกัน เว้นไปสองคืนบ้างสามคืนบ้าง ๙ คืน ๑๐ คืน นั่งตลอดรุ่ง เอาจนก้นแตก นั่งไปหลายคืนมันก็ก้นแตก ทีแรกมันออกร้อน..ก้น ต่อมามันก็พอง จากพองมันก็แตก จากแตกก็เลอะเลย นี่เคยมาแล้วทำมาแล้ว คำสัตย์นั่นละบีบบังคับมันแล้วได้ผลทุกคืน ลงนั่งตลอดรุ่งได้ธรรมอัศจรรย์ คือจิตลงผึงๆ ได้ อยู่เฉยๆ ให้มันดีไม่ดีนะ นี่ไม่เคยเป็นอย่างนั้น แต่พอถูกบังคับเข้าอย่างที่ว่านี่เป็นได้ จึงได้นำมาสอนพี่น้องทั้งหลาย อย่าอยู่ลอยๆ

กิเลสมันชอบลอย ชอบลากคนให้ลอยลม ธรรมะปักเข้าไปสกัดลัดกั้นมันให้มีหลักมีเกณฑ์ การอยู่กินการใช้การสอยอย่าฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย ให้รู้จักประมาณในการกินการเก็บรักษาการใช้สอย จะใช้สอยแบบใดบ้างอย่างไรบ้าง มีความจำเป็นอย่างไร ให้ใช้สอยตามเหตุผลของธรรมที่สอนไว้เรียบร้อยแล้ว ให้ปฏิบัติตามนั้น การเก็บเก็บไว้เพื่ออะไรก็รู้ตัวเอง การจ่ายจ่ายเพื่ออะไรบ้าง อย่าจ่ายแบบสุรุ่ยสุร่าย แบบเป็นนิสัย แบบฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม แบบฟุ่มเฟือย อย่างนี้ลอยลมจมได้คนเรา

การติดหนี้ติดสินไม่จำเป็นจริงๆ อย่าไปติด มันเอาฟืนเอาไฟมาเผาหัวอกเรา ทุกข์ยากลำบากก็บืนกินของเรานั่นแหละ ถ้าจะไปยืมเขากินต้องคิดถึงเรื่องผลรับที่จะได้ตอบแทนเขา จะมีมากน้อยเพียงไร ถ้าแบบลมๆ แล้งๆ แล้วก็ไปยืมเขาๆ ยืมรายนี้แล้วไปยืมรายนั้นๆ ยืมหมดบ้านหมดเมือง เจ้าของเลยโลกแตก ใช้ไม่ได้ ให้พากันจำเอา การกู้ยืมไม่จำเป็นจริงๆ อย่ากู้อย่ายืม ที่จะกู้จะยืมนั้นต้องคิดถึงผลที่จะมาตอบแทนเขา คือใช้หนี้เขา เราจะได้มาจริงๆ ไหมเมื่อเรายืมมาเวลาจำเป็น อันนี้แก้ความจำเป็นได้แล้ว เราจะมีผลประโยชน์มาตอบรับเขาได้ไหม ต้องคิดเสียก่อนนะ อย่าเห็นแก่ยืมแก่กู้กันไม่ดีไม่ถูก เป็นนิสัย แล้วชีวิตหลักลอย แบบฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมได้อะไรไม่พอ มีแต่ความทะเยอทะยาน มีแต่ความหวัง ให้ความหวังลากไปๆ เจ้าของเลยลอยลมอย่างนี้จม พากันจำให้ดี

การปฏิบัติตัวต้องมีขอบเขตซิ ครอบครัวหนึ่งๆ ใช้เท่าไรวันหนึ่งๆ ต้องมีการเก็บการรักษา ไม่เช่นนั้นเลอะเทอะไปหมด นี้ดูชีวิตของโลกนี้ลอยลมมากนะ เอาธรรมจับรู้หมด ธรรมท่านไม่ลอยลม ท่านมีเหตุมีผลทุกอย่างเลย ไม่ใช่สุกเอาเผากินๆ อย่างพวกเราทั้งหลาย อันนี้ไม่มีหลักมีเกณฑ์ ดะไปเลย ถ้าว่ากู้ว่ายืมก็กู้ดะยืมดะ แล้วไฟตามเผาเจ้าของไปเรื่อยๆ จนจะไม่มีโลกอยู่ เข้าใจไหม ไฟหนี้ละมันตามเผาจนไม่มีโลกอยู่ เพราะเจ้าของทำเอง ถ้าคิดรอบคอบแล้วไม่ควรกู้ไม่กู้ ถูไถไปลำพังเรานี้ เกิดมาจากท้องแม่ติดหนี้ติดสินมาจากที่ไหนไม่เห็นติด มันมาติดตอนหลังนี่เพราะเหตุใด ก็เพราะความคึกความคะนอง ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมของเรานั้นแล ที่ไม่รู้จักประมาณในการอยู่การกินการใช้การสอย อะไรก็ไม่พอๆ ไปกู้เขามายืมเขามา สุดท้ายเป็นนิสัยกู้ยืม ไม่ได้กู้ยืมอยู่ไม่ได้ คนนี้คนโลกแตก หลักฐานไม่มีภายในใจ ให้พากันจำ

เหล่านี้เป็นธรรมสอนโลกสอนเราทั้งนั้น ท่านเอาธรรมมาสอน ท่านรู้จักประมาณ ธรรมพระพุทธเจ้ารู้จักประมาณทุกอย่าง ท่านไม่ได้ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมเหมือนโลกนะ จะเป็นพระองค์ใดก็ตามถ้าเป็นแบบโลกก็ไม่ใช่พระแบบธรรม เป็นพระแบบโลก ถ้าเป็นพระแบบธรรมของพระพุทธเจ้าจริงๆ ท่านรู้จักประมาณทุกอย่าง อะไรควรกู้ควรยืมก็กู้ยืม เอ้า พูดแล้วย่นเข้ามาหาเรา เราก็มีเหมือนกัน เวลาจำเป็นจริงๆ มี การติดหนี้เขามี ส่วนมากจะมีแต่โรงพยาบาล อยู่ๆ เงินเขามีก็ไม่พอ อ้าว ความจำเป็นทางเครื่องมือแพทย์เข้ามาแล้ว ขอเครื่องมือแพทย์ชนิดนั้นๆ ชนิดหนึ่งมีความจำเป็นอย่างนั้นๆ เราก็เล็งดูความจำเป็นของเครื่องมือแพทย์ แล้วจำเป็นที่ควรจะสงเคราะห์เขา แต่ทีนี้เงินเราไม่พอ มีแต่ไม่พอจะทำยังไง

ความจำเป็น มองดูสภาพของคนไข้กับการติดหนี้เขาในเวลาเช่นนี้ อะไรมีน้ำหนักมากกว่ากัน คนไข้มีน้ำหนักมากกว่า การติดหนี้เขายังพอบืนไปได้ ยังพอแก้ไขได้ สุดท้ายก็เอา ติด นั่นเห็นไหมล่ะ นี่เราติดหนี้อย่างนี้ เกี่ยวกับเรื่องเครื่องมือแพทย์ เอา สั่งมาเลยติดเรายอมติด ติดจริงๆ ได้ของมาแล้วสนองคนไข้ได้รับความสะดวกสบายไม่ตายว่างั้นเถอะ เราติดหนี้เราก็จับปุ๊บเอาไว้เลยว่าเราติดหนี้ เราไม่ใช่คนอิสระ ได้มาเท่าไรเราเก็บหอมรอมริบไว้ใช้หนี้เขาปึ๋งๆ เลย นั่นติดเพื่อใช้ไม่ใช่ติดเพื่อลอยลมนะ ให้ท่านทั้งหลายจำเอาไว้

การติด เราติดได้เหมือนกัน เรื่องพระก็ติดได้ เราเคยติดมาแล้ว แต่ติดมาก็ราบรื่นอย่างที่ว่า คิดบวกลบคูณหารเรียบร้อยก่อนที่จะกู้ยืมเขา หรือก่อนที่จะสั่งเครื่องมือแพทย์ เอ้า สั่งไป แล้วได้มาปั๊บนี้ยื่นให้หมอไปเลยเครื่องมือ เราก็พยายาม ได้มาเท่าไรเก็บหอมรอมริบใช้หนี้เขาปึ๋งๆ ทันที ไม่ได้ลอยลมนะ นี่ทำอย่างนั้น ให้มีเหตุมีผลอย่างนั้น ให้มีหลักมีเกณฑ์

การไหว้พระคืนหนึ่งวันหนึ่งในพรรษา ให้ได้หลักธรรมเป็นหลักใจมันถึงสมควร พรรษาหนึ่งๆ เราได้อะไรบ้างมาเป็นสารคุณของเรา เช่นการทำบุญให้ทานทุกวันไม่ให้ขาด นี้ถือเป็นสัจจะความจริงอันหนึ่ง ให้เป็นสาระของใจติดตัวไป เวลาจะตายระลึกถึงอะไรไม่ได้ ระลึกถึงกองบุญอันนี้จะช่วยเราได้ทันที จิตใจอบอุ่น เกาะติด ไปสบายเลย นั่น ถ้าลอยลมๆ อะไรๆ ก็ไม่มีๆ มีแต่ความชั่วช้าลามกเต็มเนื้อเต็มตัว ตายแล้วจม พากันจำเอานะ ให้มีหลักมีเกณฑ์ ไหว้พระสวดมนต์

ใครจะงดเว้นสิ่งใดๆ ในพรรษานี้ เราพรรณนาไปมากไม่ไหวนะ เพราะเรื่องของโลกเป็นไปอย่างกว้างขวางไม่สามารถที่จะพรรณนาได้ ให้ประมวลตัวเองที่ทำความเสียหายไว้ตรงไหน ไม่มีหลักเกณฑ์ตรงไหน ให้เอาหลักเกณฑ์ไปติดไว้ที่ตรงนั้น ให้มีหลักมีเกณฑ์ทุกคน มีความสัตย์ความจริง แล้วปฏิบัติตนก็จะได้ความดีงามต่อไป เฉพาะอย่างยิ่งในพรรษาอย่างนี้ให้มีคำสัตย์คำจริงไว้ เช่นอย่างผู้กินเหล้าเมาสุราเตร็ดเตร่เร่ร่อนให้บังคับตัวเอง ในเวลาเช่นนี้เอาให้ขาดตัวไปเลย เอาธรรมมาเป็นเจ้าอำนาจกิเลสจะหมอบ ถ้าธรรมอ่อนลงกิเลสเหยียบหัวธรรมไป เจ้าของเลอะเทอะ จมนรกทั้งเป็นทั้งๆ ที่ยังไม่ตาย พากันจำเอา วันนี้ก็พูดเพียงเท่านี้แหละ พูดไปๆ เดี๋ยวหูอื้อขึ้นมา ได้ระวังยาก เมื่อวานนี้หูอื้อทั้งวันพูดไม่ค่อยได้ วันนี้พอพูดได้บ้าง ต้องระวัง ถ้าพูดหูอื้อแล้วปั๊บหยุดเลย ระยะสองสามวันมานี้เราเหนื่อยมากนะตั้งแต่วันงานบ้านตาด

งานบ้านตาดนี่ก็งานของชาวบ้านตาดเรานี้ละ มันเอาหลวงตาบัวไปเป็นประธาน ครั้นไปเป็นประธานแล้ว ยังทูลเชิญฟ้าหญิงเสด็จมาอีกให้ท่านมาเป็นประธาน แล้วตรวจตราพาทีให้เราเป็นประธาน แล้วของได้อะไรเอามาตรวจตราพาที บกพร่อง ทองคำได้หยิบเดียวฟังซิน่ะ ท่านอุตส่าห์เสด็จมา ทองคำที่จะเป็นเครื่องสนองพระทัยท่านให้มีความยินดีไม่มี มีทองคำหยิบเดียวมันยังไง ใช้ไม่ได้นะ เราสั่งเดี๋ยวนั้นเลยให้เข้าไปร้านทอง ร้านไหนให้เอามา ให้ได้เท่านั้นกิโล ไปเอามา ๓ กิโลเลย ทีนี้ก็พอดีทางนาคูณท่านบุญมีมาอีกกิโลหนึ่งเป็น ๔ กิโล รวมกับทองหยิบเดียวอยู่ในนั้นก็พองามตา ผ่านไปได้

เราทำอะไรเราไม่ทำเหลาะๆ แหละๆ นะ ถ้าไม่ได้ทองคำเลยขายหน้า เราจึงต้องทำทันที ทางวัดก็ไปเอามา ๓ กิโล ทางบ้านนาคูณ ๑ กิโล เป็น ๔ กิโลกว่า งานนี้ก็ผ่านไปด้วยความราบรื่น เอาเราเป็นประธาน ใครอย่าสุ่มสี่สุ่มห้านะ เอะอะเอาเราเป็นประธาน คำว่าประธานไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เป็นเรื่องใหญ่โตมาก ทีนี้ก็ย้อนลงไปถึงการสร้างเจดีย์ ตั้งแต่เจดีย์ท่านอาจารย์ฝั้น เจดีย์ท่านอาจารย์ขาว สำหรับพิพิธภัณฑ์เราเป็นหัวหน้าเอง เขาขอให้เป็นหัวหน้า ไม่ต้องขอก็ได้เราเป็นเจ้าตัวการอยู่แล้ว ที่พิพิธภัณฑ์พ่อแม่ครูจารย์มั่น เราเป็นอยู่แล้วละ เราทำด้วยความสมัครใจ แต่ไม่มากนักเงินก็เสร็จเรียบร้อย

จากนั้นเขาก็ให้เราเป็นหัวหน้าเป็นประธานที่เจดีย์ท่านอาจารย์ฝั้น ๑๒ ล้าน ทั้งๆ ที่เงินยังไม่มี ก็มาเอาเราเป็นหัวหน้า เรื่องท่านอาจารย์ฝั้นกับเรารู้สึกว่าพัวพันกันอย่างลึกลับนะ เราสรุปความลงแล้วว่าเราต้องได้เป็นประธานหาเงินให้ ๑๒ ล้านที่เจดีย์ท่านอาจารย์ฝั้น เป็นอย่างนั้นนะ แล้วเวลาเป็นประธานถึงได้รู้เหตุผลกลไกได้ชัดเจน คนทั้งแผ่นดินมาต้องได้ปะทะกันจนได้ ยุ่งใหญ่ มีแต่กองทัพใหญ่ๆ กองทัพปะทะกัน เราต้องเป็นกันชนผ่านตรงกลาง ก็เดชะผ่านพ้นไปได้ตลอดๆ มาหลวงปู่ขาวก็เหมือนกัน เงินก็เพียงพอ เงินเพียงพอแล้วจำเป็นอะไรต้องเอาไปเป็นประธาน เขาบอกว่าเรื่องเงินเรื่องทองไม่สำคัญยิ่งกว่าประธาน ประธานสำคัญมาก เราจึงเชื่อรับปุ๊บทันทีเพราะเราเคยผ่านมาแล้วตั้งแต่เจดีย์ท่านอาจารย์ฝั้น แหมเราหนักมากนะ ผ่าน อันนี้ก็มีอีกเหมือนกัน นี่ก็ผ่าน นี่ละความเป็นประธานไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เราเป็นกันชนๆ ไปตลอด เราไม่สร้างแหละคนอื่นสร้าง แต่เราเป็นตัวประกัน ที่ไหนๆ ก็เหมือนกัน จนกระทั่งวัดอโศการาม นี่เราก็เป็นตัวประกัน เกือบ ๓๐ ล้าน อย่างนั้นแหละ ต้องได้ช่วยทุกแห่ง ใครก็วิ่งเข้ามาๆ

เราไม่เอาอะไรแหละช่วยโลก ช่วยจริงๆ ไม่ได้เหลาะแหละนะ วันนี้ไม่พูดอะไรมากให้พี่น้องทั้งหลายจำเอา ให้ต่างคนต่างเร่งความพากความเพียร ในพรรษานี้เป็นเวลาที่อบรมจิตใจให้เข้มแข็งขึ้นทุกคน ภายในวัดนอกวัดก็ให้มีสติสตัง ให้มีหลักเกณฑ์ในธรรมทั้งหลาย จะเป็นมงคลแก่พี่น้องทั้งหลายทั่วหน้ากัน เอาละเพียงเท่านี้พอ

เอาละทุกคนๆ ให้ตั้งหน้าปฏิบัติหน้าที่การงานในครอบครัวของตนอย่าเหลาะแหละเหลวไหลนะ ให้ได้มาเป็นชิ้นเป็นอันเลี้ยงครอบครัวให้เป็นที่อบอุ่นเย็นใจ อย่านำสมบัติเงินทองที่ได้มาเถลไถลไปในทางการพนันขันต่อใช้ไม่ได้นะ การพนันนี้เลี้ยงไม่โตแต่เป็นยักษ์กัด เรียกว่าเป็นกาฝากมหาภัย ต้นไม้ต้นใดที่มีกาฝากไม้ต้นนั้นจะถูกดูดซึมเรียกว่าสุดท้ายไม้ต้นนั้นตาย ใครที่มีการพนันขันต่อติดในครอบครัวหรือบุคคลคนนั้น เรียกว่ามีกาฝากมหาภัยติดตัว เงินได้มาเท่าไรไม่มีเหลือ ถ้าได้มาก็เป็นการเพลิดเพลินไปเสีย แต่เสียเสียเป็นเงินจริงๆ เพราะการพนัน อย่าพากันอาจหาญกับการพนันนะ การพนันนี้พาคนให้จิตใจเหลวไหลโลเลๆ หาหลักเกณฑ์ไม่ได้ เก็บทรัพย์ไม่อยู่ คนมีการพนันเก็บทรัพย์ไม่อยู่ ต้องมีหลักใจ อย่าไปเล่นกับการพนัน ให้จำให้ดีทุกคน การพนันเป็นความเสียหายมาก จะพาให้คนเจริญรุ่งเรืองเพราะการพนันนี้ไม่มี จำให้ดีคำนี้ก็ดี เอาละต่อไปนี้จะให้พร

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก