เทศน์อบรมฆราวาส
ณ ศาลาสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ
เมื่อเช้าวันที่ ๒๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๙
กรรมฐานผู้มุ่งธรรมไม่ยุ่งกับวัตถุสิ่งก่อสร้าง
(ก่อนจังหัน หลวงตาท่านปรารภกับลูกศิษย์เรื่องการเลือกของไปแจกทานที่เขาใหญ่วันนี้)
ไปดูวัดท่านอุทัย ท่านก็ทำเข้าท่าดีอยู่ สมเจตนาที่เรามอบความไว้วางใจให้ เขาถวายที่แล้วเรามองดูพระองค์ไหนที่จะมาครองวัดให้เป็นสิริมงคล สมเจตนาของผู้ถวายที่ เราก็ไม่มองเห็นใคร เอาท่านอุทัยมาตกลงพูดกัน ท่านอุทัยก็พอใจรับ ว่าจะมาอยู่ที่นั่นให้ เราก็มอบเลย เมื่อวานนี้ไปท่านอุทัยอยู่ที่นั่น ทำกระต๊อบๆ เล็กๆ ที่ภาวนาของพระ ดูเหมือนจะเป็นประมาณสองเมตรละมั้ง มองไปเห็น ห่างกันประมาณหนึ่งเส้นๆ เป็นกระต๊อบๆๆ เรียบๆ ไปทางนู้น ทางด้านนี้เขาปลูกศาลา ทางด้านนู้นสำหรับพระอยู่เป็นกระต๊อบๆ
ท่านภาวนาอย่างนั้นละ กรรมฐานท่านภาวนาอยู่ในกระต๊อบๆ อย่างนั้นละ ท่านไม่ยุ่งกับการก่อการสร้าง ยุ่งอยู่นี่ ก่อสร้างธรรมขึ้นภายในใจ ไม่ไปยุ่งกับวัตถุ ผู้เสาะแสวงหาอรรถหาธรรม หาความเลิศเลอในธรรมทั้งหลายจะต้องเป็นอย่างนั้น ถ้าหาความเลว หามูตรหาคูถแล้วก็ไปเที่ยวหาปลูกกุฏิศาลา สวรรค์วิมานสู้ไม่ได้ เป็นอย่างนั้นละ อันนี้ออกหน้าออกตาละ ไปที่ไหนวัตถุออกๆๆ
นี่เราก็ได้เตือนท่านอุทัย ให้ระวังนะไปที่ไหนวัตถุออกหน้า ธรรมนี้ถูกเหยียบไปเรื่อยๆ นะ ให้ท่านมองธรรมเสมอ อย่าไปมองวัตถุ วัตถุนี่เป็นเรื่องของกิเลสเขามองกัน หรูหราฟู่ฟ่าเท่าไรยิ่งดีๆ เจ้าของร้อนเป็นไฟของเล่นเมื่อไร ได้กุฏิได้บ้านได้เรือนหลายห้องหลายหับหลายชั้นว่าดีๆ หัวใจมันเป็นไฟ ท่านไปอยู่ในกระต๊อบๆ อย่างนั้นหัวใจท่านสง่างาม เป็นกระต๊อบๆ ท่านอยู่ภาวนา จิตใจสว่างจ้าอยู่ในกระต๊อบนั่น นั่นละธรรม ธรรมอยู่ที่ไหนสว่างที่นั่น ถ้ากิเลสอยู่ที่ไหนเป็นไฟอยู่ที่นั่น มันต่างกัน
เมื่อวานจึงได้กำชับ แต่ท่านก็ทำเหมาะแล้วนี่ คือท่านทำเป็นกระต๊อบๆ เล็กๆ ประมาณสองเมตรละมั้ง พออยู่ภาวนาได้ ห่างกันประมาณสักหนึ่งเส้นๆ มองไปเป็นแถวข้างใน เวลานี้กำลังเปิดเผยอยู่ เพราะต้นไม้ยังไม่ขึ้น ท่านก็ปลูกต้นไม้ตามแถวนั้น ต่อไปต้นไม้ก็ขึ้น แล้วกระต๊อบเหล่านั้นก็อยู่ใต้ร่มไม้เย็นสบายภาวนา อย่างนั้นละท่านผู้เสาะแสวงหามรรคผลนิพพาน
ท่านไม่ไปหาหรูหราฟู่ฟ่าที่ไหนแหละ อยู่สบายๆ ท่านไม่ไปสนใจกับเรื่องความลำบากลำบนทางร่างกาย ท่านจะสนใจในจุดสำคัญคือกิเลสที่อยู่ภายในใจ เผาหัวใจเป็นฟืนเป็นไฟ ท่านจะเอาน้ำดับไฟคือความเพียรชะล้างเข้าไปตรงนั้น เดี๋ยวก็เย็นสบายๆ ทีนี้อยู่ที่ไหนก็สบาย เย็น ท่านภาวนาท่านจึงไม่ชอบหรูหรา กรรมฐานผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรมแล้วจะไม่ยุ่งกับวัตถุสิ่งก่อสร้างทั้งหลาย ยิ่งกว่าสติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร ที่จะหมุนติ้วเข้าสู่ใจ เพื่อรักษาใจ ใจถูกทำลายอยู่ตลอดเวลาจากกิเลสทั้งหลาย เวลามีสติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียรรักษาอยู่ใจก็สง่างาม สงบร่มเย็น ไปอยู่ที่ไหนก็สบายๆ
นั่นละท่านหาธรรม เราเป็นลูกชาวพุทธเคยรู้ธรรมเป็นอย่างไรหรือไม่ มันไม่รู้นะว่าธรรมเป็นอย่างไรๆ ถ้าเรื่องกิเลสเป็นอย่างไรก็ตัวมันหมดทั้งตัวมันเป็นกิเลสแล้ว จะไปถามหาที่ไหน มีแต่คลังกิเลสด้วยกันเต็ม คลังของธรรมไม่ค่อยมี หาความร่มเย็นก็ไม่ได้ละซิ หาธรรมภายในใจอยู่ไหนสบายหมด อย่างนั้นท่านปฏิบัติท่านภาวนา ตั้งแต่พระพุทธเจ้าลงมาทรงมีความมุ่งหมายอย่างนั้นตลอดมา
พอบวชเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ รุกฺขมูลเสนาสนํ ขึ้นเลย ขึ้นต้น นี่พระโอวาทที่เฉียบขาด เด็ดขาด จริงจังมาก พอบวชเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ประทานพระโอวาทให้ รุกฺขมูลเสนาสนํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชา ตตฺถ เต ยาวชีวํ อุสฺสาโห กรณีโย บรรพชาอุปสมบทแล้วให้ท่านทั้งหลายไปอยู่ตามรุกขมูลร่มไม้ ในป่าในเขา ตามถ้ำเงื้อมผา ป่าช้าป่ารกชัฏที่แจ้งลอมฟาง ที่แจ้งคืออัพโภกาส สงัดเงียบ อยู่ที่โล่งๆ อันเป็นที่สะดวกสบายในการประกอบความพากเพียร ไม่มีสิ่งก่อกวน ให้ท่านทั้งหลายอุตส่าห์อยู่และบำเพ็ญในสถานที่เช่นนั้นตลอดชีวิตเถิด ท่านบอกน้อยๆ เมื่อไรบอกตลอดชีวิต
นี่ละพระโอวาทแท้ของพระพุทธเจ้า พวกเทวทัตมันยังสอดขึ้นมาเหยียบหัวพระพุทธเจ้าได้ลงคอ ว่าพระอยู่ในป่าในเขาเป็นพระวิกลจริต นี่ออกมาธรรมกถึกเอกนะออกมาประกาศ เอกมันเอกตาข้างเดียว ถ้าตาข้างนี้บอดแล้วก็เรียกว่าตาบอด มันหาญพูดได้สบาย นี่มันน่าทุเรศไหม ว่าพระอยู่ในป่าในเขาเป็นพระวิกลจริต มันอยู่ในบ้านเป็นพระประเภทไหน ถามตัวมันเองบ้างซิน่ะ พระพุทธเจ้าไล่พระเข้าอยู่ในป่าในเขาตลอดมาจนกระทั่งปัจจุบัน
พระโอวาทข้อนี้ไม่เคยจืดจาง เป็นพระโอวาทจำเป็นตลอดมากับพระทุกองค์ ไม่มีเว้นที่จะไม่ได้สอนธรรมข้อนี้ คือบวชแล้วให้ไปอยู่ตามรุกขมูลร่มไม้ อยู่ในป่าในเขา ตามถ้ำเงื้อมผา อันเป็นสถานที่สะดวกสบายในการประกอบความพากเพียร ปราศจากสิ่งก่อกวนทั้งหลาย แล้วให้ท่านทั้งหลายอุตส่าห์อยู่และบำเพ็ญในสถานที่เช่นนั้นตลอดชีวิตเถิด นั่น พระพุทธเจ้าประทานเอง เหตุใดพระไปอยู่ในป่าจึงกลายเป็นพระวิกลจริต ถ้าไม่ใช่ตัวผู้มันว่านั้นเป็นบ้าเต็มตัวแล้วจะเป็นใครที่ไหนไป มันเลยบ้าไปแล้วไอ้นี่น่ะ มันจึงไปเหยียบหัวพระพุทธเจ้าได้ลงคอ ว่าพระอยู่ในป่าในเขาเป็นพระวิกลจริต
พระพุทธเจ้าสอนไล่เข้าไปอยู่ในป่าในเขาโดยแท้ วิกลจริตอย่างไร ถ้าไม่ใช่ตัวมันเองเลยบ้าไปแล้วมันถึงไปเหยียบหัวพระพุทธเจ้าได้ลงคอ หากเดินตามทางของศาสดามีแต่เทิดทูนทั้งนั้น ใครอยู่ในป่าในเขาเพื่อบำเพ็ญความพากเพียรไม่มีข้อตำหนิ ก็มีตำหนิอันเดียวเท่านี้ที่มาแสดง จึงสะดุดใจไม่ลืมเรา เพราะเรียนมาด้วยกัน รู้ด้วยกัน เห็นด้วยกัน ขัดกับธรรมข้อไหนต้องรู้ซิ ถ้าไม่ได้เรียนไม่รู้ เขาว่าอะไรก็เป็นอีกอย่าง อันนี้ก็เรียนมาด้วยกัน รู้มาด้วยกัน ขัดกับธรรมข้อไหนมันก็รู้
พระอยู่ในป่าในเขาเป็นพระวิกลจริต เป็นคำพูดที่เป็นมหาภัยต่อพุทธศาสนา นับแต่พระพุทธเจ้าลงมาเป็นอย่างยิ่งทีเดียว มันเอามาพูดได้ลงคอ คนไม่มีเหตุมีผล พูดด้วยความเคียดแค้น พูดด้วยความไม่พอใจ พูดด้วยความโมโหโทโส ไม่ได้พูดตามหลักธรรมหลักวินัย ถ้าตามหลักธรรมวินัยพูดไม่ได้ในธรรมข้อนี้ เพราะเป็นภัยอย่างร้ายแรงต่อพุทธศาสนา นี่มันก็พูดได้เห็นไหมล่ะสมัยปัจจุบันนี้กิเลส น่าทุเรศนะ
วันนี้พูดเท่านี้ละ ต่อไปนี้จะให้พร แล้วจะออกเดินทางไปแจกสิ่งแจกของ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz
|