เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๙
งานประมวลวัฏวน
อำเภอนาแก จ.นครพนม เหล่านี้เราไปหมดแล้ว เที่ยวกรรมฐาน อ.นาแก เข้าไปถ้ำพระเวส ถ้ำตาฮดถ้ำอะไร เราเคยไปพักภาวนาที่นั่นตอนเที่ยวกรรมฐาน เพราะฉะนั้นจึงเห็นหมดบรรดาป่าเขาที่ไหนๆ เฉพาะภาคอีสานนี่ดูว่าจะเห็นหมดเลย เป็นป่าเป็นเขาที่ไหนๆ ไปหมด อ.นาแก เดี๋ยวนี้ขึ้นมุกดาหารหรือนครพนมไม่รู้นะ น่าจะขึ้นนครพนม มุกดาหารเป็นอำเภอแต่ก่อนแล้วตั้งเป็นจังหวัด อ.นาแกนี้อาจจะไปมุกดาหารหรือจะไปทางนครพนมก็ไม่รู้(นครพนม เจ้าค่ะ) โอ๋ ขึ้นนครพนม มันก็ก้ำกึ่งกัน ไปทางมุกดาหารกับมานครพนม อ.นาแก อยู่จุดกลาง
พูดถึงเรื่องเที่ยว ดีนะสมัยที่เรายังกำลังเที่ยวอยู่นั้น สถานที่อำนวยทั้งนั้น พวกป่าพวกเขาอำนวยร้อยเปอร์เซ็นต์เลย คือแต่ก่อนไม่มีรถมีรา สถานที่ต่างๆ เป็นที่ของแผ่นดิน ใครอยู่ที่ไหนๆ อยู่ได้หมดเพราะไม่มีใครสงวนที่ เป็นที่ของแผ่นดินเลย ไปที่ไหนจึงสะดวกๆ หมดเข้าป่าเข้าเขา เห็นว่าที่นี่สะดวกสบายแวะเข้าไปอยู่เลย เป็นป่าเป็นเขาไม่มีใครสงวน ครั้นต่อมามีรถมีรา พอมีรถมีราการค้าการขายกระจายออกไปแหละ ทีนี้อะไรๆ เลยกลายเป็นสินค้า สถานที่เหล่านั้นเลยเป็นที่สงวนหมดเลยเดี๋ยวนี้ ตอนที่เราเที่ยวอยู่นั้นนับว่าเดชะอยู่ ร้อยเปอร์เซ็นต์ๆ สะดวก
อย่างมาสร้างวัดป่าบ้านตาดนี้เหมือนกัน เป็นดงเป็นป่าทั้งนั้น มาสร้างได้ประมาณสักสิบกว่าปี พอสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้วเห็นคนสัญจรไปมาเข้าออกแถวนี้ เพราะเป็นดงทั้งนั้นนี่ ดงทั้งหมดถึงภูเขานู่น ภูเขาที่มองเห็นเป็นดงทั้งนั้น อย่างอำเภอหนองแสงทุกวันนี้คือดง กลายเป็นอำเภอแล้ว เห็นคนผ่านไปผ่านมา เอ้อ นี่เขาจะมาปลูกบ้านสร้างเรือนในดงนี้นะ ดงนี้จะหมดละที่นี่ ผ่านหน้าวัดไปนี้ทางเข้าไปนี้ๆ ทางที่ไปทุกวันนี้ เห็นคนผ่านเข้าผ่านออกๆ แล้วไม่มีแต่ที่นี่ ที่อื่นก็ผ่านเข้ามา ๔ ทิศผ่านเข้ามาหมด เลยกลายเป็นอำเภอไป ดงหมด ป่าทั้งหลายหมด พวกสัตว์พวกเนื้อหมด นี่บ้านสัตว์นะตั้งแต่วัดป่าบ้านตาดนี้ไปเข้าถึงภูเขา เป็นดงใหญ่ล้วนๆ เลยกลายเป็นบ้านไปหมด จากนั้นก็ตั้งเป็นอำเภอหนองแสงขึ้นมาแล้ว ตั้งในท่ามกลางดงนะ อย่างนั้นละมันกลายเป็นบ้านผู้บ้านคน ไม่สะดวก
นับว่าเดชะอยู่ตอนที่เราเที่ยว ตอนเรามาตั้งสำนักขึ้นมานี้ด้วยความจำเป็นเกี่ยวกับโยมแม่ หลังจากนั้นมาเก้าปีสิบปีคนก็ทะยอยเข้าไป ดงนี้ก็เลยเป็นบ้านไปหมดแล้ว ตอนนั้นเราไม่ได้เที่ยวแล้วแหละ ก่อนหน้านั้นสะดวกสบายมากเที่ยวกรรมฐาน พูดที่ไหนจึงเห็นหมด อย่างที่ว่านี้กิ่งอ.นายาง อ.นาแก ถ้ำพระเวส เราเคยไปพักถ้ำพระเวส ถ้ำตาฮด จากถ้ำพระเวสมาถึงบ้านแก้ง พวกโยมเขาไปจังหันไปใส่บาตรกลางทาง พระลงมาจากถ้ำพระเวสกลางทาง มารับจังหันที่นั่น ทาง ๔ กิโล ทุกวันนี้คงหมดแล้ว เป็นไร่เป็นสวนหมด ไม่เป็นป่าเป็นดงเหมือนแต่ก่อน
แต่ก่อนทุกอย่างอำนวยการประกอบความพากเพียรของพระ เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยสะดวก ถ้าไปก็ไปตามจุดเสีย ตามจุดๆ ที่จะไปพักตามลำพังหรือตามอัธยาศัยไม่มีที่พักแล้วเดี๋ยวนี้ มันเป็นที่สงวนไปหมด ไปก็ต้องไปตามจุดๆ เช่นอย่างไปภูผาแดง ไปภูสังโฆ บริเวณแถวนั้นกว้าง ถ้าไปพักที่นั่นไปที่ไหนก็ได้ ภูวัว พอเข้าภูวัวแล้วไปที่ไหนก็ได้ มันเป็นจุดๆ เดี๋ยวนี้ไม่เหมือนแต่ก่อน
การภาวนาพระพุทธเจ้าสอนให้อยู่ในป่าในเขา คือเข้าไปอยู่ในป่าในเขาแล้วจะได้เห็นเรื่องความดีดความดิ้นของใจ โลกนี้ไม่มีใครดูหัวใจโลกวัฏวน จึงระบาดสาดกระจายไปด้วยความเกิดแก่เจ็บตาย ไม่มีต้นมีปลาย คือหัวใจนี้มันกระจายวัฏวนวัฏจักร ให้เกิดแก่เจ็บตายจากความยุ่งเหยิงวุ่นวายของกิเลสนั้นแหละ หมุนอยู่ ไม่มีใครดูหัวใจนะ แล้วจะไม่ว่าพระพุทธเจ้าเลิศได้ยังไง มีพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้นดูหัวใจ ซึ่งเป็นจุดสำคัญแห่งวัฏวนวัฏจักรและวิวัฏฏจักร อยู่จุดเดียวกัน
วัฏวนก็คือกิเลสพาสัตว์ทั้งหลายให้หมุนเวียนไปด้วยความดีดความดิ้น ความผลักความดันของกิเลสนั้นแหละ ให้อยากให้ทะเยอทะยาน ให้ดีดให้ดิ้นไม่มีที่สิ้นสุดยุติไปได้คือกิเลสนั่นแหละ กิเลสไม่พาใครไปให้สิ้นสุดยุติหรือให้พอ ไม่มี คำว่ากิเลสอะไรก็เข้าท่าทั้งนั้นดังพูดตะกี้นี้ อะไรก็เข้าท่าหมดถ้าเป็นเรื่องของกิเลส พาเกิดพาตายกี่กัปกี่กัลป์ยังเข้าท่าทั้งนั้น ไม่ได้สนใจหรือกลัวความเกิดความตาย แต่สาเหตุแห่งความเกิดความตายความทุกข์ยากลำบากมันไม่สนใจ
มันสร้างแต่สาเหตุ มันก็เกิดตายๆ เป็นความทุกข์ความลำบากยากจนเข็ญใจไปตลอดไม่มีต้นมีปลาย คือวัฏวนของกิเลสพาสัตว์ให้หมุนเวียนภพแล้วภพเล่า เกิดแล้วตายเล่า ภพเก่าภพใหม่ไม่คำนึงคำนวณ แล้วแต่กรรมมันจะหมุนเข้าไปหาที่เก่าที่ใหม่ ตกนรกหมกไหม้กี่ครั้งกี่หนไม่นับนะ เป็นสัตว์เป็นบุคคลประเภทต่างๆ ไม่นับ เพราะการทำซ้ำๆ ซากๆ ทำดีทำชั่วไปเรื่อย ขึ้นสวรรค์ชั้นพรหมลงมานี้ เหมือนบันไดลงนรกอเวจี หมุนไป มีจิตดวงนี้เป็นสำคัญ จิตดวงเดียวนี้แหละ จิตดวงนี้ที่พาหมุนตลอดเวลาใครดูมันไม่มี สามโลกธาตุไม่มีใครดูจิตดวงเป็นวัฏวนเป็นฟืนเป็นไฟผลักดันอยู่ตลอดเวลานี้ เพราะฉะนั้นเรื่องวัฏวนจึงไม่มีคำว่าต้นว่าปลาย เงื่อนต้นเงื่อนปลายของวัฏวนแห่งความเกิดแก่เจ็บตายของสัตว์ทั้งหลายนี้จึงไม่มี เพราะกิเลสไม่เคยมีเมืองพอ หมุนตลอดกิเลส ท่านเรียกว่ากิเลส อยู่ในหัวใจสัตว์
งานกิเลสกว้างขวางมากไม่มียุติ ไม่มีเงื่อนต้นเงื่อนปลายคืองานของกิเลส วกไปวนมาเหมือนรถไต่ขอบด้งนี้แหละ เป็นข้อเปรียบเทียบอย่างนั้น คืองานของกิเลส งานเบิกกว้างตลอดไม่มีที่ว่าจะคับแคบตีบตันเข้ามาหาจุดที่หมาย งานของกิเลสมีแต่เบิกกว้างเป็นฟืนเป็นไฟไปเรื่อยๆ งานใดก็ตามในโลกอันนี้กิเลสควบคุมทั้งนั้น เป็นงานที่หาความยุติไม่ได้ ทีนี้ตรงกันข้ามงานของธรรม เป็นงานประมวลนะงานของธรรม งานกิเลสนี้เป็นงานเบิกกว้าง ความเกิดแก่เจ็บตาย ความทุกข์ความลำบากไม่มีประมาณ เกิดจากงานของกิเลส
ทีนี้หมุนเข้ามาทางด้านธรรมะ ประมวลตรงกันข้าม งานของธรรมะงานของการทำบุญให้ทาน รักษาศีล เจริญเมตตาภาวนา นี้เป็นงานที่จะม้วนความเกิดแก่เจ็บตายที่ยืดยาวทั้งหลายนั้นให้ใกล้เข้ามาแคบเข้ามาๆ เข้ามาหาจุดที่เกิดที่ตายได้แก่หัวใจ ด้วยอำนาจแห่งบุญกุศล พอตัวแล้วเผาสถานที่เกิดแก่เจ็บตายของกิเลสที่มันตั้งกองทัพใหญ่ไว้นั้นขาดสะบั้นลงไป นั่นละท่านว่าถึงนิพพาน ยุติที่ตรงนี้ งานอื่นไม่มีที่ยุติ ถ้างานของศีลของธรรมมีที่ยุติ มารวมกันที่จุดนี้แหละ
ที่ท่านว่า ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงระลึกชาติได้ ก็พระองค์เองเป็นผู้เกิด พิจารณาย้อนหลังไปเท่าไรๆ ก็คือตัวนี้เองตัวเกิด กี่ภพกี่ชาติกี่กัปกี่กัลป์เกิดมาเท่าไร คือจิตตัวไม่ตายนี้แหละ พอตรัสรู้ผางขึ้นมานี้ตามรอยของเจ้าของ รู้รอยของเจ้าของ เรียกว่า ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติย้อนหลังได้ จากนั้นมาก็พิจารณาจุตูปปาตญาณ ความเกิดความตายของสัตว์ทั้งหลายก็แบบเดียวกันอีก มากมายยิ่งกว่าจิตวิญญาณของพระองค์เพียงดวงเดียว เพราะสัตว์โลกมีมากต่อมาก เกลื่อนไปด้วยความเกิดความตายอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา นี่อันที่สอง
ท่านทรงเจริญอานาปานสติวันที่จะตรัสรู้ พอปฐมยามก็บรรลุ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติย้อนหลังได้ มีกี่ภพกี่ชาติ ระลึกชาติย้อนหลังได้หมด พอมัชฌิมยามก็ทรงบรรลุจุตูปปาตญาณ ทรงพิจารณาดูความเกิดความตายของสัตว์ทั้งหลายได้เช่นเดียวกับทรงพิจารณาภพชาติของพระองค์เอง การเกิดการตายของสัตว์ไม่มีประมาณ เป็นอยู่อย่างนี้ตั้งกัปตั้งกัลป์มา นั่นเห็นไหมล่ะ พระองค์ก็ทรงประมวลเอาเรื่องทั้งสอง คือเรื่องปุพเพนิวาสชาติปางก่อนที่พระองค์เคยเกิดตายมา และสัตว์ทั้งหลายที่เคยเกิดตายเหมือนกันมาประมวลว่า ทั้งสองนี้เกิดมาเพราะอะไร อะไรเป็นสาเหตุ จึงต้องมาเกิดมาตายด้วยกันหมดสัตว์โลก จะไปไหนไม่ยอมไป วกเวียนมาหาความเกิดตาย สูงๆ ต่ำๆ ลุ่มๆ ดอนๆ อยู่ในวัฏจักรนี้แหละ หาทางออกไม่ได้ เพราะอะไรเป็นสาเหตุ นั่นเอาละนะ
พิจารณาลงไป เรียกว่าพิจารณาปัจจยาการ หาสาเหตุที่พาให้สัตว์เกิดตายไม่หยุดไม่ถอย พิจารณาเข้าไปๆ ก็ไปถึง อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ ที่เราเทศน์ทุกวันนี้เราบอกว่า ให้ตั้งสติให้ดี คือเอาต้นตอมันเลย เราไม่ไปพิจารณาให้ยืดยาวเสียเวล่ำเวลา บอกว่า ตั้งสติให้ดี ถ้าสติตั้งดีเท่าไรกิเลสอยู่ภายในใจนี้จะเกิดไม่ได้ กิเลสจะเกิดไปตามสังขาร สังขารคือความคิดปรุง ความคิดปรุงนี้อวิชชาดันออกมาให้อยากคิดอยากปรุง พอปล่อยนี้มันก็คิด คิดวันยังค่ำคืนยังรุ่งเว้นแต่หลับ ดีไม่ดีหลับฝันไปอีก มันก็คิดจึงฝันของมันไป มันออกจากสังขาร สังขารออกจากอวิชชา เราจึงบอกว่าตั้งสติให้ดี เพราะได้ประมวลมาหมดแล้ว การภาวนาได้ประมวลมาลงในจุดนี้ที่จะระงับดับกิเลสโดยประการทั้งปวงได้ จนกระทั่งถึงขั้นโดยสิ้นเชิง ไม่หนีจากนี้ มหาสติมหาปัญญานั่นจะดับหมด จึงว่าให้ตั้งสติให้ดีการภาวนา เผลอแพล็บออกแล้วนะ
คือสังขารนี้ถูกผลักดันจากอวิชชา ความอยากคิดอยากปรุงดันออกมาจากทางสังขาร พอสติปิดไว้ไม่ให้ออกมันก็ตีบตันอั้นตู้ภายในใจเหมือนอกจะแตก มันอยากคิดอยากปรุง สติปิดเอาไว้ไม่ยอมให้คิดมันก็คิดไม่ได้ ส่วนมากนักปฏิบัติต้องเอาคำบริกรรมปิดช่อง สติติดเข้าไปอีกทีหนึ่ง คำบริกรรมจะเอาคำใดก็ได้ พุทโธก็ได้ ธัมโมก็ได้ สังโฆก็ได้ หรืออานาปานสติ ตามแต่จริตนิสัยชอบ นี่เรียกว่าบทธรรมปิดทางเดินออกมาของกิเลส ได้แก่ตัวสังขาร เอาอันนี้ปิดให้แน่น สติจับติดไม่ยอมให้คิด เอา มันจะไปทางไหน โลกอันนี้ไม่มีอะไรมีแต่คำบริกรรมกับสตินี้เท่านั้น สละหมดความอยากความดีดความดิ้นนี้เต็มหัวใจ อยากขนาดไหนไม่ยอมให้เป็นไป จะให้เป็นไปตามธรรมนี้เท่านั้นคือคำบริกรรม เอาคำใดก็ตามตั้งสติไว้ให้ดี
เวลาขึ้นเวทีต้องเป็นอย่างนั้น เป็นอื่นไปไม่ได้ไม่เกิดผลประโยชน์ นักปฏิบัติผู้ที่อยู่ในป่าในเขาเช่นพระกรรมฐานท่านมีเวล่ำเวลา หน้าที่การงานอย่างเดียวนี้เท่านั้น ท่านจึงทำได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย เอา ปิดไม่ให้มันออก โห อกจะแตกนะมันดันๆ นักมวยต่อยกันใครก็จะเอาชนะๆ กิเลสกับธรรมต่างอันต่างก็จะเอาชนะกัน เมื่อไม่ถอยก็ธรรมชนะ จิตสงบลง ความดีดความดิ้น ความอยากคิดอยากปรุงของจิตที่มันผลักมันดันออกมานี้สงบตัวลง อ่อนลงๆ คำบริกรรมกับสติติดแนบๆ มีกำลังมากขึ้น สร้างความสงบใจขึ้นมาได้ นั่น ธรรมสร้างความสงบใจขึ้นมา จิตสงบเย็นสบายๆ เมื่อหนักเข้าๆ ก็สว่างไสวขึ้นมาๆ เพราะจิตได้รับอารักขาการรักษาตลอดเวลา ไม่ปล่อยให้กิเลสมาเผาอยู่เสมอ
ปิดช่องให้ดีทางเดิน เราเอามาย่อๆ เลย เพราะได้เดินมาหมดแล้ว ใครสติดีเท่าไร จิตจะตั้งรากตั้งฐานได้ จิตไม่เคยสงบจะสงบ จากสงบจะแน่วแน่ลงไป เย็นลงไปๆ จนแน่นหนามั่นคงในความสงบ นั่นละผลแห่งการภาวนา ความคิดความปรุงทั้งหลายที่ก่อกวนเราตลอดเวลาจะระงับลง เพราะนั้นเป็นกิเลส นี้เป็นธรรมเป็นน้ำดับไฟระงับสงบลงๆ นี่เรียกว่างานประมวลวัฏวน มาลงในจิตตภาวนา การให้ทานรักษาศีล เจริญเมตตาภาวนา งานทั้งหลายเหล่านั้นไหลเข้ามาหาจิตตภาวนา จิตตภาวนานี้เป็นเหมือนกับทำนบใหญ่
แม่น้ำต่างๆ ออกมาจากทาน จากศีล ไหลเข้ามาๆ มารวมที่ทำนบใหญ่คือจิตตภาวนา มารวมอยู่ที่นี่หมดเป็นทำนบใหญ่แล้ว ยกจิตให้พ้นจากทุกข์ได้เลย นี่เรียกว่างานประมวลวัฏวน มายุติลงที่จิตตภาวนา เป็นงานที่ยอดเยี่ยมที่สุดหรือเลิศเลอที่สุด คืองานภาวนา เป็นที่รวมแห่งงานบุญกุศลทั้งหลาย มาอยู่ที่จิตตภาวนาหมด เป็นทำนบใหญ่ยกสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ได้โดยสิ้นเชิง พากันจำเอานะ
งานเหล่านั้นที่โลกทั้งหลายทำมา ใครระลึกได้เมื่อไรรู้ได้เมื่อไรไม่มี เราอยากบอกชัดๆ ดิ้นกันมาตั้งแต่วันเกิดกระทั่งถึงวันตายทั่วโลกดินแดน มีใครประมวลมาคิด งานนี้มันงานยังไงไม่มี มีแต่ตื่นขึ้นมาก็ดีดก็ดิ้นจนกระทั่งถึงหลับ สุดท้ายตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งถึงตาย มีแต่ดีดแต่ดิ้นกับงานที่ลุกลามตลอดเวลาเหมือนไฟได้เชื้อ งานกิเลสเป็นงานเหมือนไฟได้เชื้อ มีอะไรเผาตลอด จะให้ไฟยอมเชื้อไม่มี ให้กิเลสยอมเหยื่อมันไม่มี ได้มาเท่าไรยิ่งดีดยิ่งดิ้น กิเลสมันเผาเรื่อยๆ พากันจำเอา
งานเหล่านี้งานเบิกกว้าง งานวัฏวนของสัตว์โลก งานศีลงานธรรมนี้เป็นงานตะล่อมเข้ามา งานบุญงานกุศลนี้ตะล่อมความทุกข์ทั้งหลายที่เกิดจากวัฏวนให้หดย่นเข้ามาๆ จนมาถึงใจ เรียกว่างานประมวลภพชาติ ประมวลทุกข์ทั้งหลายมาลงที่ใจ ได้แก่การกุศล การให้ทาน รักษาศีล ภาวนา เหล่านี้เป็นงานประมวลวัฏวนหรือกองทุกข์ทั้งหลายให้เข้าสู่จุดรวมๆ เมื่อมากแล้วก็เข้าสู่จิตใจ เป็นงานวิมุตติหลุดพ้นไปเลย พากันจำเอานะ
ใครพูดคำพูดอย่างนี้ ใครรู้อย่างนี้ นอกจากพระพุทธเจ้าไม่มีใครรู้ใครเห็น พระพุทธเจ้าประมวลงานมาให้สัตว์ทั้งหลายได้มีทางออก ให้กิเลสไม่มีประมวล เบิกกว้างออกไปไม่มีประมาณ ตกนรกหมกไหม้เกิดแก่เจ็บตายกี่กัปกี่กัลป์ไม่มีประมาณสำหรับกิเลส แต่ธรรมแล้วมีประมาณ ประมวลเข้ามาๆ เต็มที่แล้วหลุดพ้นไปได้เลย จำเอานะ เอาละแค่นั้นวันนี้
ธาตุกำลังจะเปลี่ยน รู้สึกตอนกลางคืน คือธาตุขันธ์มันละเอียดมาก ธาตุขันธ์ของเรานี้มันละเอียดมาก มันเปลี่ยนเวลาไหนๆ มันจะบอกในตัวของมัน คือจิตเป็นสำคัญ เหล่านี้จะรู้ได้เพราะจิตละเอียด ถ้าจิตไม่ละเอียดแล้วตายกองกันไม่รู้เรื่อง จิตนี่มันไหว คือมันรู้ได้เร็ว ทีนี้ธาตุขันธ์ก็เลยเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อน เหมือนอย่างเส้นหญ้า เราดูต้นไม้ภูเขาเขานิ่งอยู่ ดูเส้นหญ้านี่มันไหว คือลมเบาๆ พัดมันก็ไหวได้ ธาตุขันธ์ที่ละเอียดแล้วเป็นอย่างนั้น อาการต่างๆ จะเป็นความสุขความทุกข์มาสัมผัสนี้ มันจะไหวของมันอยู่ในธาตุ เหมือนใบหญ้าไหว
เมื่อคืนนี้ดูอาการค่อยเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนแปลงในธาตุในขันธ์ ดูอาการเปลี่ยนเมื่อคืนนี้ตั้งแต่เที่ยงคืนไปดู พูดยังไงมันก็ไม่รู้เรื่อง เราอยากพูดให้เต็มปาก ไอ้พวกบ้านี่จะรู้เรื่องอะไร เราอยากว่าอย่างนั้น หรือว่าไปแล้ว พวกบ้ามันจะรู้อะไร เราอยากว่าอย่างนั้นหรือว่าไปแล้ว ความหยาบกับความละเอียดของใจ ของธาตุขันธ์มันจะเป็นไปตามๆ กัน ยิ่งเป็นใจที่บริสุทธิ์นี้จะพูดว่าละเอียดอ่อนก็สุดๆ ทีนี้ธาตุขันธ์ก็เลยกลายเป็นธาตุขันธ์ที่ละเอียดไปตามๆ กัน เลยกลายเป็นเส้นหญ้า อะไรมาผ่าน เช่นลมเบาๆ มาเหมือนลมหายใจนี้ไปผ่านเส้นหญ้ามันก็ไหว คือธาตุขันธ์มันละเอียดเป็นอย่างนั้น
เป็นมานานตั้งอาทิตย์กว่าแล้ว ธาตุขันธ์เราก็ดูมัน พิจารณามัน เพราะฉะนั้นควรคัดอะไรออก เอาอะไรเข้ามาจึงต้องพิจารณา พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงโดยลำพังตัวเอง บอกใครไม่ได้ ต้องเป็นเรื่องเจ้าของเองที่พิจารณาเรียบร้อยแล้วจะควรแก้ไขยังไง พักอะไรไม่พักอะไรดู สังเกตมัน แล้วก็ค่อยแก้ไขกันไปอย่างนั้น จะเอาเรื่องนอกๆ หยาบๆ มาใส่ไม่ได้ เพราะธาตุขันธ์ส่วนละเอียดมี จึงต้องได้ใช้จิตที่เป็นส่วนละเอียดด้วยกัน ปฏิบัติกันได้ถูกต้อง
วันนี้อาการค่อยคลี่คลาย สำหรับยาตอนเช้าไม่เอา ตอนเช้ามีอาหารแล้ว จะฉันก็ฉันตอนเย็น ตอนเย็นเป็นเวลาธาตุเบาหรือต้องการความอุดหนุน ก็เอายานั้นหนุนกันตอนค่ำ ตอนเช้ามีอาหารอยู่แล้วยานี้จึงไม่จำเป็น เราบอกอย่างนั้น คือให้พอดี กะให้พอดี ไม่ปรนปรืออะไรโดยหาเหตุผลไม่ได้ ไม่เอานะนี่พูดจริงๆ ไม่เหมือนใคร จะว่าอะไรอีกก็เหมือนธรรมเท่านั้นว่างั้น อะไรจะมีมากมีน้อย ธรรมนี้จะคัดเลือกโดยอัตโนมัติๆ ให้พอเหมาะพอดีทุกอย่าง ไม่ใช่อะไรก็เข้าท่าๆ ตายแล้วเป็นยังไงเข้าท่าเหรอ พิจารณาซิ มันมีแต่พวกเข้าท่าพวกเรา เต็มศาลานี่มีแต่พวกเข้าท่า หันหน้าเข้าไปหาหมอน มองเห็นหมอนนี่เข้าท่า ปั๊บเลยล้มตูม เสื่อก็เข้าท่า มีแต่ของเข้าท่า ทางจงกรมไม่มอง พวกเข้าท่าไปแบบนั้น ลูกศิษย์หลวงตาบัวมีแต่พวกเข้าท่าในเสื่อในหมอนทั้งนั้นแหละ
เห็นอาการของธาตุขันธ์ เมื่อคืนนี้ค่อยคลี่คลายออก มันเป็นของมันเอง เพราะจิตนี้มันดูกันอยู่ตลอดเวลาโดยหลักธรรมชาติ มันรู้กันตลอดเวลา ไม่เคยพูดให้ใครฟัง เวลามาสัมผัสก็พูดไปอย่างนั้นแหละ อะไรจะรวดเร็วยิ่งกว่าจิต ให้ถึงขั้นมันละเอียดสุดยอดดูซิพูดไม่ถูกเลย นอกจากดูไปแบบหูหนวกตาบอดไปอย่างนั้น ไม่รู้ไม่ชี้ไปอย่างนั้น ถึงเวลาจะใช้ก็ใช้ ตีปั๊วะทีเดียวเลย เจ้าของยังเซ่อซ่าอยู่ ตีปั๊วะล้มลงยังไม่รู้ว่าถูกตี เป็นอย่างนั้นนะพวกเรา เอาละให้พร
พากันตั้งใจภาวนา เข้ามาวัดมาวามาสถานที่อบรมดูให้ดีทุกอย่าง จึงเรียกว่ามาอบรม สถานที่นี่ควรจะเป็นที่อบรมได้ ตลอดพระเณร เราเป็นหัวหน้าควบคุมตลอด การประพฤติปฏิบัติตามหลักธรรมวินัยตรงเป๋งตลอดไม่มีเคลื่อนคลาด พระเณรเคลื่อนไหวไปมายังไงมีหลักธรรมหลักวินัยคือองค์ศาสดาติดแนบกับตัวตลอด ทางภายในก็มีสติ อันนี้ลำบากมากนะ มันมีแต่เข้าท่าทางเผลอ พวกนี้พวกไปทางเผลอเข้าท่า เราตามไม่ทันซิ เราเซ่อตอนนี้ ตามพวกเข้าท่าไม่ทัน มีแต่เผลอทั้งนั้นเข้าท่าทั้งวัดพวกนี้ ผู้ตามมันไม่ทันละซิ อันนี้เรายอมรับว่าเราเซ่อ ไม่ทันพวกเข้าท่า
มาศึกษาอบรมต้องเอาให้จริงให้จัง กิเลสจะพัง ศาสดาองค์เอก สวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว เป็นทางโล่งเพื่อมรรคผลนิพพาน ขอให้ก้าวเดินตามนี้จะไม่คลาดเคลื่อน กาลเวลาอย่าเอามายุ่ง ให้อยู่กับหลักธรรมหลักวินัยนี้คือองค์ศาสดา นี้คือองค์ที่จะฉุดลากให้ถึงนิพพานคือธรรมคือวินัย นอกนั้นไม่มี ไม่มีอะไรที่จะแม่นยำเป็นทางราบรื่นเพื่อทางพ้นทุกข์โดยลำดับได้ยิ่งกว่าหลักธรรมหลักวินัยที่สอนไว้แล้ว ให้ยึดนี้ให้ดี(ทองคำวันนี้ได้ ๒ บาท ๕๐ สตางค์ครับผม) ก็นับว่าได้เยอะอยู่ ๒ บาทเยอะอยู่ ได้วันละเล็กละน้อยซึมซาบๆ นี่ละเราพยายามที่สุดสำหรับพี่น้องลูกหลานชาวไทยเรา อะไรที่พอขวนขวายได้เราจะพาขวนขวายตลอดมาเลย แบบไหนๆ พาออกพาเดินเพื่อขวนขวายเขาสู่ส่วนรวม
นั่นเห็นไหมเขียนอยู่นั่น พินัยกรรม เขามาถ่ายรูปเอาไว้ พินัยกรรมนี้คือว่า เวลาเราตายแล้วเป็นวาระสุดท้ายที่เราทำประโยชน์ให้โลกอย่างเปิดเผย เมื่อเราตายไปแล้วนั้นทำพินัยกรรมไว้ว่า ท่านผู้มีศรัทธามาบริจาคทำบุญให้ทานเพื่อเผาศพเรา จตุปัจจัยไทยทานมีมากน้อย ตั้งกรรมการขึ้นกำกับรักษาให้เข้มงวดกวดขันในปัจจัยจำนวนนี้ ห้ามเอาไปสร้างหรูๆ หราๆ เพื่อประดับโลงศพผีตายหลวงตาบัว อย่าเอามายุ่ง อันนี้ที่จะเป็นประโยชน์แก่โลกผู้มีชีวิตอยู่ เราจะหมุนมาทางนี้ หลวงตาบัวเผาด้วยไฟได้ยากอะไร เข้าใจเหรอ จะตั้งกรรมการขึ้นเก็บรักษาเงินจำนวนนี้ทั้งหมด ไม่ให้เอาไปยุ่มย่ามที่ไหนเลย นี่เราสั่ง นั่นเขียนพินัยกรรมไว้
ทีนี้พอเราตายแล้วพวกบรรดาศรัทธาทั้งหลายเขานำมาบริจาค มีคณะกรรมการเก็บรักษาเรียบร้อย พอเสร็จเรียบร้อยแล้วเงินจำนวนนี้ยกเข้าซื้อทองคำเข้าสู่คลังหลวงปึ๋งเลย หมดวาระสุดท้ายของเราที่ช่วยโลก พากันเข้าใจแล้วเหรอ เราช่วยจนสุดขีดของเรา เราไม่เอาอะไร ดีดดิ้นอยู่ทั้งวันทั้งคืนนี้เพื่อโลกทั้งนั้น ไม่มีอะไรที่จะเพื่อเรา เราพูดจริงๆ นี่ละธรรมะการปฏิบัติธรรม ถ้าลงได้พอพออย่างนั้น สามโลกธาตุไม่มีอะไรที่จะมาติดไม้ติดมือ ที่จะกำไม่มี แบตลอด แบด้วยความเมตตาสงสาร ไปที่ไหนมาที่ไหนเคลื่อนไหวไปไหน มีแต่ไปด้วยความเมตตาสงสาร เราไม่ได้ไปเอาอะไรทั้งนั้น ใครบริจาคมามากน้อยๆ ออกเพื่อโลกทั้งนั้น สำหรับเพื่อเราไม่มี จตุปัจจัยไทยทานในวัดนี้สละออกหมดๆๆ ผู้ที่ยากจนเข็ญใจมีมาก เราเหลือเฟือจะกินไปหาอะไร นั่น เหตุผลกลไกของอรรถของธรรมมีอยู่เดินตามนั้นซิ นี่ก็ช่วยตลอดเวลา
เมื่อคืนนี้ค่อยดี เที่ยงคืนไปแล้วรู้สึกมันค่อยคลี่คลายธาตุขันธ์ เมื่อคืนนี้ค่อยเบาลง มันจะค่อยเปลี่ยนไปในทางที่ดี ดูว่าค่อยดีขึ้น เพราะฉะนั้นยาจึงเริ่มฉัน ฉันแล้วก็พิจารณาด้วย ไม่ได้แบบปรนปรือ ใครจะเอาอะไรมาให้มากน้อยธรรมต้องพิจารณาตลอด เป็นเรื่องของธรรมเรื่องของเราเอง ไม่มีคำว่าปรนปรือ อันนั้นก็ดีอันนี้เข้าท่าอันนั้นเข้าท่าตายได้นะ ตายเพราะของเข้าท่านั่นละ ต้องพิจารณาให้เรียบร้อยก่อน
ที่เทศน์ทุกวันนี้ออกจากความจริงนะ ความจำไม่เป็นท่า เรียนมามากน้อยลืมหมดๆ นอกจากเทศน์ไปสัมผัสเล็กน้อยก็ดึงออกมา สัมผัสที่ไหนที่เรียนมาดึงมานิดหน่อย แต่หลักใหญ่อยู่ที่หัวใจ ออกจากหัวใจทั้งนั้นผึงๆ พอจบแล้วหายเงียบ เป็นโลก สุญฺญโต โลกํ ไปหมดเลย จำให้ดี สุญฺญโต โลกํ ทั้งๆ ที่วัตถุทั้งหลายเต็ม สู้ความว่างไม่ได้ ความว่างคือจิตที่ว่างเสียอย่างเดียวครอบโลกธาตุ จึงเรียกว่า สุญฺญโต โลกํ
โมฆราชเธอจงมีสติพิจารณาโลกให้เป็นของสูญเปล่า สูญเปล่าหมดอย่าว่าแต่พระโมฆราชเลย องค์ใดที่เข้าไปจุดนั้นแล้วถอนอัตตานุทิฎฐิ ความเห็นว่าตนว่าตัวที่เป็นก้างขวางคอออกเสียหมดแล้วโลกนี้ว่างโดยหลักธรรมชาติ ความหมาย นั่นละสุขที่สุด อยู่คนเดียวไปคนเดียวสุขที่สุดไม่มีอะไรกวน ถ้าอันนั้นมาเกี่ยวข้องอันนั้นมาติดต่อ มันยุ่งเข้าใจไหม อยู่คนเดียวตลอด คือไม่มีสมมุติเข้าไปยุ่งเลย นั่นละท่านว่าว่าง เข้าใจ ไปแล้วที่นี่
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |