เห็นผ้าเหลืองๆ เขากลัวบาป
วันที่ 7 พฤษภาคม 2549 เวลา 8:05 น. ความยาว 44.29 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙

เห็นผ้าเหลืองๆ เขากลัวบาป

ก่อนจังหัน

ดูเหมือนหยุดมาหลายวันนะ คราวนี้ดูหยุดมาหลายวัน หยุดมาเรื่อย นี่ก็จะไปหยุดวันที่ ๑๑-๑๒ อีก วิสาขบูชา นั้นก็หยุดหลายวัน แต่มีใครคิดหรือเปล่าว่าอันนั้นหยุดงานอันนี้หยุดงาน แล้วกิเลสมันหยุดงานหรือเปล่า ถึงจะวันหยุดงานก็เป็นวันกิเลสเปิดงานตลอด เปิดโล่งเลย วันธรรมดากิเลสก็ทำงานบนหัวใจสัตว์ ยิ่งวันหยุดอย่างนี้แล้วเปิดทางให้กิเลสทำงานเต็มเหนี่ยวเลย เพราะฉะนั้นผู้ปฏิบัติศาสนาของพระพุทธเจ้าจึงไม่เห็นปรากฏมีผู้ใดทรงมรรคทรงผล มีแต่มรรคแต่ผลของกิเลสมันตักตวงเอาเต็มที่ของมัน เราอ้าปาก มันเอาตับเอาปอดไปกินหมด มาเหล่านี้มีตับมีปอดหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ กิเลสล้วงไปกินหมดๆ

เฉพาะพระเรานี่มีตับมีปอดหรือเปล่าก็ไม่รู้พระวัดป่าบ้านตาดนี่ กิเลสล้วงไปกินหมดๆ เพราะความเผลอสติ นี่ละสอนจุดนี้สำคัญ จุดรักษาตับจุดรักษาปอด อย่าให้กิเลสล้วงไปกินหมด ถ้ามีสติกิเลสเข้ามาล้วงไม่ได้ นักภาวนาไม่ปรากฏเรื่องมรรคเรื่องผล นี่คือขาดสติทั้งนั้น พูดยันเลยเทียว ถ้าสติตั้งได้ตลอดกิเลสจะเกิดไม่ได้ตลอด เอา ตั้งดูซิตั้งทั้งวันกิเลสจะเกิดไม่ได้ กิเลสเกิดมาจากทางสังขาร สังขารคืออวิชชาหนุนให้สังขารออกมาเป็นกิเลส คิดออกไปมากน้อยกว้านเอาไฟเข้ามาเผาตัวเองๆ เอาสติจับ เอาคำบริกรรม ผู้ยังไม่มีรากมีฐานเอาคำบริกรรมปิดช่องมันที่สังขารจะเกิด สติจับติด เอา ดูกันวันนี้

สังขารอย่างนี้กิเลสเกิดไม่ได้ ถ้าสติดีอยู่แล้วทั้งวันเกิดไม่ได้เลย มันจะมีมากมีน้อยเกิดไม่ได้กิเลสถ้าพาให้ธรรมปิด มันไม่ได้สนใจนะ ทำก็ทำไปอย่างนั้นละทำความพากความเพียรพระเราก็ดี อันหนึ่งโกโรโกโสไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรเลย ธรรมพระพุทธเจ้ามีแต่ธรรมสอนเพื่อคนฉลาดทั้งนั้น ไม่ได้สอนเพื่อให้โง่ อันนี้มันมีแต่โง่ทั้งหมดเลย ท่านทั้งหลายไปปฏิบัติดูซิ สติจับกับความเพียร เอา ลองดู เราจะกำหนดพุทโธๆ เดินจงกรม เอา ตั้งแต่นี้เริ่มตั้ง เดินจงกรมกลับไปกลับมานี้เป็นเวลาเท่าไร สติจับติดแล้วเป็นยังไงจิต จะรู้เรื่องของจิตนะ เวลานั้นกิเลสจะฟัดจิตเต็มเหนี่ยว สติตีกิเลสแหลก กิเลสจะออกไม่ได้ สังเกตเจ้าของอย่างนั้นซินักปฏิบัติ ไม่งั้นไม่เห็นผล สักแต่ว่าทำๆ ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร

เฉพาะนักปฏิบัติจิตตภาวนาสำคัญมาก ย่นเข้ามาคือวัดป่าบ้านตาด เราไม่ได้สอนให้โง่นะเราพูดจริงๆ การที่นำมาสอนนี้เราผ่านมาหมดแล้ว ปฏิบัติทุกอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยมาหมด จนได้ผลเป็นที่พอใจแล้วนำมาสอนหมู่เพื่อน สอนอย่างมีหลักมีเกณฑ์ การปฏิบัติก็มีหลักเกณฑ์โดยลำดับมา ผลก็ปรากฏขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นที่พอใจ เรานำเหตุคือการดำเนินนี้มาสั่งสอนหมู่เพื่อนไม่ให้ผิดพลาด เอา ก้าวตามนี้เมื่อไม่ผิดพลาดแล้วกิเลสจะเกิดช่องไหนน่ะ ดูให้ดีนะดูเจ้าของ มันไม่ได้เรื่องได้ราวภาวนา อยู่ที่ไหนก็อยู่ๆ เรื่องผลที่จะปรากฏภายในจิตใจให้มี อย่างน้อยความสงบร่มเย็น จากนั้นก็เป็นสมาธิ เป็นปัญญา แล้วมันไม่ค่อยมี

การตั้งรากฐานเบื้องต้นนี่สำคัญ ที่จะทำใจให้สงบ ใจนี้ตัวยุ่งเหยิงวุ่นวายที่สุด โลกนี้ยุ่งอยู่กับใจของโลกแต่ละรายๆ ไปละ เปิดทางให้กิเลสเผาหัวอกเจ้าของ ยังไขว่คว้าไปข้างหน้าอีกว่าเมืองนั้นเจริญเมืองนี้เจริญ อะไรมันเจริญที่ไหนไฟเผาหัวอกดูหรือเปล่าล่ะ นี่ละไฟเผาหัวอกนี้ ไม่มีที่ไหนเจริญละในโลกอันนี้ ไม่งั้นธรรมพระพุทธเจ้าไม่ว่าเลิศ ธรรมพระพุทธเจ้าจับดูรู้หมด ชำระซักฟอกออกหมดไม่มีเหลือ สง่างาม จ้า นั่นจิตมีการอารักขา จิตนี้มีเจ้าของเป็นธรรมขึ้นมาในจิตนั้นแหละ ให้พากันตั้งอกตั้งใจนะ

ศาสนายิ่งเลอะๆ เทอะๆ เข้าไปโดยลำดับ ผู้ที่เป็นนักบวชออกแนวหน้าของการชำระกิเลส สร้างความดีใส่ตัวเองนี้กลับเป็นข้าศึกต่อศาสนาเสียเองดังที่พูดนี่ วันครองราชสมบัติของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวครบ ๖๐ ปีนี้ พวกยักษ์พวกผีหัวโล้นๆ มันจะเป็นบ้ากวนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขอยศขอแย็ดอะไร มันไม่สนใจกับอรรถกับธรรมที่บวชมา ไม่สนใจเลยพวกนี้ เลวที่สุด หาตั้งแต่ยศแต่ลาภแต่อะไรเป็นเรื่องโลก มันเลยโลกไปแล้วรู้ไหมหัวโล้นๆ พระน่ะ มันเลยโลกไปแล้วเดี๋ยวนี้น่ะ กวนหาอะไรกันดูไม่ได้นะ

คอยเสาะแสวงหาตั้งแต่เรื่องส้วมเรื่องถาน อันยศถาบรรดาศักดิ์นั่นละถ้าหลงมันเป็นส้วมเป็นถาน ท่านตั้งให้เราเพื่อมีแก่จิตแก่ใจเป็นกำลังใจให้ได้ประกอบความพากเพียรด้วยความดีงามทั้งหลายเพิ่มขึ้นโดยลำดับ นั่นท่านตั้งท่านตั้งอย่างนั้นนะ ไม่ได้ตั้งให้นำมาเป็นส้วมเป็นถานกินขี้กินยศกินลาภ มันกินขี้นั่นละพวกที่มันเป็นบ้าจริงๆ เป็น เวลานี้พระเรากำลังเป็นบ้ายศ ไม่หาศีลหาธรรม ในวัดหนึ่งๆ เป็นส้วมเป็นถานไม่ได้เป็นวัดนะ วัดเป็นส้วมเป็นถาน อะไรที่อยู่ในส้วมในถาน คืออะไร พระเณรที่ปฏิบัติตัวเหลวแหลก แล้วเป็นมูตรเป็นคูถอยู่ในวัดนั้น เรียกว่ามูตรคูถอยู่ในส้วมในถาน เป็น เวลานี้ดูเอา

ดูตั้งแต่วัดป่าบ้านตาดนี้ไปซิ ดูให้ชัดเจน โถ ให้กิเลสตีตลาดเอาเสียจน ไม่มีใครมองนะ น่าสลดสังเวช ธรรมจับนี้มันเห็นหมดจะให้ว่าไง เรื่องของกิเลสขยี้ขยำสัตว์โลกให้จมลงๆ หาความเจริญไม่มี เรื่องกิเลสจะพาใครเจริญไม่มี มีแต่ความทุกข์ความเดือดร้อนยุ่งไปหมดนั่นละ ถ้าธรรมจับเข้าไปจุดไหนจะมีความสงบร่มเย็น รู้จักประมาณรู้จักกาลเวลา รู้จักความผิดถูกชั่วดี ใคร่ครวญ นั่นละธรรม ไม่ได้สุ่มสี่สุ่มห้าทะเยอทะยานเป็นบ้าไปตามกิเลสโดยถ่ายเดียวนะถ้ามีธรรม ให้ท่านทั้งหลายจับเอาไปปฏิบัติ

พระเรานี้เป็นแนวหน้า พระไม่คิดใครจะคิด พระไม่มีปัญญาใครจะมีปัญญา พระไม่มีความเพียรใครจะมี ต้องมีความเพียร ความอดความทน ความสุขุมอยู่ที่พระที่มีสติปัญญารอบตัวอยู่ นั้นละทำความร่มเย็นให้แก่ตนได้แล้ว ก็ทำความร่มเย็นให้แก่โลกได้ อันนี้เอาแต่ผ้าเหลืองมาครอง โอ่อ่าฟู่ฟ่า ข้านี้เป็นพระ ข้านี้เป็นสมุห์ ข้านี้เป็นใบฎีกา ข้านี้เป็นพระครู ข้านี้เป็นราชาคณะ เจ้าคุณชั้นนั้นๆ แล้วข้านี้เป็นสมเด็จ สมเด็จสมแด็ดอะไรมันมีแต่ชื่อ มันเป็นบ้าสมเด็จเดี๋ยวนี้พวกนี้ พวกที่เลวที่สุดนี้น่ะ มันกำลังทำลายศาสนา

กวนบ้านกวนเมืองคือพระเราเวลานี้ พระกวนบ้านกวนเมือง ดูหัวโล้นๆ ทุกคนซิ พระพุทธเจ้าสอนให้บวชมากวนบ้านกวนเมืองหรือ เวลานี้มันเลวมากนะพระเรา พระต่อพระว่ากันได้ คนอื่นเขาไม่กล้าว่าละ เห็นผ้าเหลืองๆ เขากลัวบาป แต่พระผู้ที่ครองผ้าเหลืองเสียเองด้าน สันดานหยาบที่สุดคือพระ เพราะฉะนั้นพระต่อพระจึงฟัดกันบ้างละซิ เรียนมาด้วยกัน รู้มาด้วยกันมาหลอกกันได้เหรอ มันน่าสลดสังเวชนะเวลานี้ เอาละพอ จะให้พร

หมาไอ้อ้วนดำเราตายแล้ว ไอ้อ้วนดำอุ้ยอ้ายๆ ตายแล้ว หมาแม่นี้มีลูก ๓ ตัวแล้วเขาเอามาให้ เลยเลี้ยงไว้ ไอ้หนึ่ง ไอ้สอง ไอ้สาม สุดท้ายไอ้สามตาย ๖ โมงเย็นเมื่อวาน หมอสัตวแพทย์เขาไปตรวจดูมันหมดทางแก้ไข ตายแล้วเอามา ยังเหลืออยู่นี้ไอ้หมี ไอ้จ้ำดาว ไอ้ปุ๊กกี้ ไอ้หยอง อยู่ในนี้ ๔ อยู่นอกกำแพงดูเหมือนตั้งห้าหกตัว มีสองกองทัพนะ กองทัพหมาอยู่ทางโน้นมี พระนั่นละควบคุม กองทัพหมาอยู่ทางโน้นพระควบคุม ทางนี้ก็พระควบคุม

ตอน ๖ โมงเย็นเมื่อวานตายเสียแล้วตัวหนึ่ง เออ ตายก็ตาย เราบอกแล้วสั่งแล้ว ให้เก็บเอาไว้ก่อน ตอนค่ำเรามาดู ตอนเช้าฉันจังหันเสร็จแล้วให้เอาไปฝังที่กุฏิเรา รอบๆ กุฏิเราเป็นป่าช้าหมา เราสงสาร นี่กุฏิเราอยู่นี้ ฝังไว้ทางนี้ก็ได้ ฝังทางด้านตะวันตกกุฏิก็ได้ ป่าช้ามีสองแห่ง ป่าช้าหมารอบๆ เราเป็นคนสั่งเองให้ไปฝัง ไอ้ดำนี้ก็เหมือนกัน ฉันเสร็จแล้วให้เอาไปฝังที่ไม่หน้ากุฏิเราก็เป็นตะวันตกกุฏิ สองแห่ง ฝังแล้วยังเมตตามันให้มันไปสวรรค์ เราไปฝังหมาให้หมาไปสวรรค์ พวกนี้มันไม่อยากไปสวรรค์ อยากจะไปลงนรกก็แล้วแต่เถอะ

 

หลังจังหัน

....เที่ยวทางนี้เราก็เคยเที่ยว คือเที่ยวกรรมฐานนี้ สกลนคร นครพนม สองจังหวัดนี้เป็นทำเลที่เราเที่ยวมากที่สุด คือสกลนคร ๘ ปี นี่ก็เพราะหลวงปู่ม่นเราอยู่แถวนั้น มุกดาหารแต่ก่อนเป็นอำเภอมุกดาหาร จังหวัดนครพนม เดี๋ยวนี้เป็นจังหวัดแล้ว ไปเที่ยวอยู่แถวนั้นละ ไม่ได้ไปนครพนมนะ มุกดาหารแต่ก่อนเป็นอำเภอขึ้นจังหวัดนครพนม แต่เดชะนะในสมัยที่เราเที่ยวไม่มีรถยนต์ เป็นความสะดวกมากสำหรับการเที่ยวกรรมฐาน ทุกวันนี้มีแต่รถยนต์ ไปไหนมีแต่พระขาด้วนโดดขึ้นรถๆ เขาก็ด้วนเราก็ด้วน ขึ้นรถๆ แต่ก่อนไม่มีรถเลย ป่าดงนี้เต็มไปหมด ไม่มีบ้านผู้บ้านคน เรายังทันนะยังดีอยู่ มาสร้างวัดนี้ได้ ๑๐ ปี เห็นคนผ่านเข้าผ่านออกเข้าไปในดงนี้ เป็นดงล้วนๆ อำเภอหนองแสงเป็นดงทั้งนั้น เห็นคนผ่านเข้าผ่านออก เอา นี่มันจะไปทำลายป่าละพวกนี้ จะไปสร้างบ้านสร้างเรือน ก็จริงๆ หมดเลยป่า หมดเลยไม่มีเหลือ ที่ว่าดงบ้านตาดนี้เดี๋ยวนี้เป็นอำเภอหนองแสง โล่งไปหมดเลย

พระท่านเที่ยวกรรมฐานท่านมีบริขาร ๘ เท่านั้นติดตัว ไม่หนัก พอดีเลย เพิ่มบริขาร ๘ นั่นก็คือ มุ้ง กลด กลดนั้นสำหรับกางเป็นมุ้ง ก็มีเพิ่มเท่านั้นละ ท่านไปใส่ของเต็มแล้วสะพายพอดีๆ ไปอย่างนั้นละ เดินจากนี้ไปที่ไหน ไปหมู่บ้านไหนก็ตาม เป็นการเดินจงกรมตลอด ไม่มีผู้มีคนมีแต่ป่า ไปตามป่าตามเขาไปเรื่อยๆ เดินไปไหนไม่เสียเวลาว่าวันนี้ได้เดินทางนี้ไม่ได้ภาวนาไม่มี คือเดินไปนี้ก็เดินจงกรมไปเลยเรื่อยๆ พักที่ไหนก็พักที่สะดวกสบาย เขาทำแคร่ให้เสีย บางทีก็มีกระต๊อบ เห็นทำเลดีๆ เราพักอยู่นานเขาก็เลยมาทำเป็นกระต๊อบ ร้านเล็กๆ มุงให้เรียบร้อย อยู่อย่างนั้นละ

บริเวณก็ปัดกวาดรอบๆ ทางจงกรมมีไว้ตามความจำเป็น เช่นเวลาบ่าย ไปทำทางจงกรมตามร่มไม้ กลางคืนก็มีทางจงกรมเห็นชัดเจน เดินจงกรมสะดวก ท่านภาวนาจริงๆ คือไม่มีรถมีรา มีแต่ป่าแต่เขาเต็มไปหมด แวะออกตรงไหนก็ทำเลนั้นเป็นที่ภาวนา คือไม่มีใครสงวน ป่าเป็นป่าของแผ่นดิน เข้าที่ไหนก็ได้ ครั้นต่อมานี้มีรถมีรา ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นสินค้าไปหมด ดงป่ากลายเป็นสินค้าปลูกสิ่งต่างๆ เลอะไปหมดเวลานี้ แต่ก่อนไม่มี สะดวกสบายภาวนา

แต่ก่อนพวกเนื้อพวกเสือมีเยอะ เต็มไปหมด เดี๋ยวนี้ไม่มีเลย ที่ว่าเหล่านี้หมดไม่มีเหลือแล้ว ไปภาวนาสะดวกสบาย สมัยพ่อแม่ครูจารย์มั่นยิ่งแล้วไม่มีผู้มีคนเลย หลังๆ มานี้คนก็ค่อยเพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ยังน้อยมาก..คน ไปที่ไหนเป็นดงเป็นป่า เช่นดงสีชมพู เป็นดงทั้งหมดเลยไม่มีบ้านผู้บ้านคน เดินไปทั้งวันแทบจะไม่เจอหมู่บ้าน เดินในดงในป่าไป คือคนมีน้อย พวกสัตว์พวกเนื้อเต็มในป่า พวกสัตว์เต็มไปหมดไม่อดไม่อยาก คนไม่ค่อยมี การซื้อการขายแต่ก่อนไม่มี การซื้อขายไม่มีแต่ก่อน หาอยู่หากินตามบ้านตามเรือนเท่านั้นพอๆ ไม่ได้มีการซื้อการขาย พอรถผ่านเข้าผ่านออกได้ เริ่มมีรถก็เริ่มมีละ การซื้อการขายทุกสิ่งทุกอย่างก็เบิกกว้างออกไปๆ กลายเป็นสินค้าไปหมดเลย ป่าดงเป็นสินค้าทั้งนั้น

การภาวนาของพระท่านสะดวกสบายแต่ก่อน ทุกวันนี้ต้องไปหาที่นั่นที่นี่ภาวนา คือไปที่ไหนมีแต่บ้านผู้บ้านคนหาความสะดวกไม่ได้นะทุกวันนี้ ถ้าไปก็ไปจุดใหญ่เสีย เช่นอย่างทางภูวัวนี้ก็ในป่าในเขามีอยู่ทั่วไป ภาวนาแถวนั้นได้กว้าง จากนี้เข้าไปทางภูสังโฆไปแถวนี้สะดวกตลอด มันเป็นแถวๆ ไม่มีทั่วไปเหมือนแต่ก่อน การภาวนาท่านทำจริงทำจังมากทีเดียว ท่านไม่ทำเหลาะๆ แหละๆ เข้าหากันนี้ไม่มีอะไร โลกไม่มีเลย มีแต่ธรรมล้วนๆ เข้าหาคุยกัน เป็นยังไงอยู่ที่นั่นภาวนาเป็นยังไงๆ ความรู้ความเห็นที่เกิดขึ้นจากจิตตภาวนาพิสดารมากทีเดียว องค์นั้นได้ความรู้ชนิดนั้นๆ ออกมา องค์นี้ได้อันนี้ออกมา มาสนทนากันเป็นเครื่องรื่นเริงเป็นกำลังใจ

ท่านอยู่ด้วยความสงบสงัดจิตใจท่านสง่างามตลอด พระกรรมฐานจิตใจท่านสง่างาม ท่านไม่กังวลกับอะไร ดูแต่จิตระมัดระวังแต่จิต เพราะจิตนี้เป็นตัวภัย เนื่องจากกิเลสตัวภัยอยู่ในจิต คอยตีคอยต้อนกันตลอดเวลา นั่นละท่านเรียกว่าภาวนา คือต่อสู้กับกิเลสนั้นแหละ ยิ่งจิตใจละเอียดลออเข้าเท่าไรแล้วยิ่งสง่างาม อยู่ในป่าในเขาสง่างามอยู่ในใจนั้นแหละ ไปบิณฑบาตในหมู่บ้านเขา สำหรับเราเองไม่ค่อยไปอยู่บ้านใหญ่ มันนิสัยวาสนาอาภัพ ไปอยู่ในที่ใดบ้านใหญ่ไม่ได้ภาวนาไม่ดีไม่เอา ไปอยู่สี่หลังคาเรือนห้าหลังคาเรือน ไปอยู่กับเขาพอบิณฑบาตได้อาศัยวันหนึ่งพอ จะได้อะไรมาไม่สนใจ

คือหลักใหญ่อยู่กับธรรม ความมุ่งมั่นต่อธรรมมันรุนแรงพุ่งๆ เหล่านั้นเลยไม่มีอะไรลำบากลำบน การอยู่การกินทุกอย่างไม่ลำบากเลย ไปบิณฑบาตกับเขาได้ข้าวเปล่าๆ มาก็ฉันเสียสองสามคำมันก็อิ่ม ที่มันเศษมันเหลือเล็กๆ น้อยๆ ก็บิณฑบาตสามสี่หลังคาเรือนก็ได้เท่านี้มาฉัน บางทีก็ฉันข้าวเปล่าๆ เสีย ฉันข้าวเปล่าๆ จะฉันได้มากอะไร ฉันได้นิดหน่อยพอ มันเศษมันเหลือนี้ก็เอาไปไว้ที่กระจ้อนกระแตตามนั่นละ เพราะเขามีอยู่ทั่วไปพวกกระจ้อนกระแต เอาข้าวไปวางไว้ที่นั่นๆ เขาก็มาหากินของเขาอย่างนั้น

เราก็ภาวนาตัวเบา ไม่มีอาหารกับหรืออะไรจะฉันได้มากอะไร ฉันนิดหน่อยเท่านั้นก็พอ แต่เดินจงกรมนี้ตัวเบา นั่งภาวนาเหมือนหัวตอไม่มีโงกมีง่วง ความโงกง่วงเกิดขึ้นจากกับนะอาหาร สำหรับข้าวไม่ง่วง ถ้ามีอาหารยิ่งอาหารดีๆ ผัดๆ มันๆ แล้ว โอ๋ย กล่อมหลับทั้งกำลังฉันอยู่นั้นละ มันเป็น ทีนี้จิตใจมันพุ่งๆ ต่อธรรม เรื่องความมุ่งมั่นต่อธรรมมันไม่ได้อ่อน สิ่งเหล่านั้นจึงไม่เป็นของลำบากลำบนอะไร เพียงอาศัยไปวันหนึ่งๆ อยู่ไหนอยู่ได้ขอให้เป็นที่สะดวกสบายในการภาวนา อยู่สถานที่เหมาะสมเท่านั้นพอสำหรับกรรมฐาน ท่านไม่ไปสนใจกับเรื่องการอยู่การกิน อยู่ก็คืออยู่ในป่านั่น การกินนี่สำคัญท่านไม่สนใจ ปลงภาระได้เยอะ มันจะตายจริงๆ ไปบิณฑบาตกับเขาเสียมาฉันคำสองคำสามคำอิ่มแล้วพอ ส่วนมากมักจะอด สำหรับเรานี้มักอดอาหารเสมอ

เพราะการอดอาหารนี้สติตั้งได้ดี ถ้าเวลาเรามาฉันนี้สติจะรู้สึกลดลงไม่สืบไม่ต่อ ทีนี้คนเราไม่ได้ฉันมันก็จะตายจะทำไง จำเป็นจะต้องได้ฉัน ต้องได้ระมัดระวังถูไถไปมาอย่างนั้นละ เรียกว่าอดบ้างอิ่มบ้างไปอย่างนั้น เพื่อประคองความพากเพียรให้ดี เวลาจิตมีกำลังขึ้นมาถึงขนาดจิตตั้งตัวได้แน่วๆ ทีนี้สติก็เลยสืบเนื่องกันเลย สติสืบเนื่องปัญญาสืบเนื่อง กลายเป็นสติปัญญาอัตโนมัติ คือทำงานเองโดยไม่ต้องบังคับบัญชาทางความเพียร บางทีก็ได้รั้งเอาไว้มันลืมหลับลืมนอน เพราะจิตทำงานฆ่ากิเลส สติปัญญาหมุนอยู่ตลอดกับกิเลสฆ่ากัน ทีนี้มันก็เพลิน ธาตุขันธ์อ่อนลงๆ จะพักนอน แต่จิตใจมันก็หมุนของมัน

นี่ละความเพียรถึงขั้นเพลินฆ่ากิเลส เพลินเพื่อความพ้นทุกข์เพลินอย่างนั้น ลืมหลับลืมนอน อะไรๆ ไม่สนใจทั้งนั้นขอให้ความเพียรได้ก้าวเดินตลอดเป็นที่พอใจ นั่น ตอนที่ชุลมุนวุ่นวายมากนี้ความเพียรหนักมากก็คือ การพิจารณาร่างกายให้เป็นอสุภะอสุภัง ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา ซึ่งเป็นรวงรังของกิเลสตัณหาอยู่ในนี้หมด พิจารณานี้จนแตกกระจายไป พออันนี้แตกไปแล้วนั่นละที่นี่สติปัญญาอัตโนมัติจะขึ้นละ ขั้นพิจารณาร่างกายเป็นอสุภะอสุภังนี้เป็นขั้นชุลมุนวุ่นวาย จะว่าอัตโนมัติก็ว่าไม่ได้ ว่าได้แต่ขั้นชุลมุน หนักด้วย ชุลมุนวุ่นวายด้วย พอผ่านรูปกายนี้ไปแล้วเป็นนามธรรม จากนั้นก็เป็นสติปัญญาอัตโนมัติ ทีนี้หมุนเรื่อยๆ เลย

นี่ละความเพียร ไม่มีหยุดมีหย่อนละความเพียร แดนนิพพานเหมือนว่าอยู่ชั่วเอื้อมๆ หนักเข้าๆ นิพพานเหมือนอยู่ชั่วเอื้อม คือมันดูดมันดื่มมันจะไปท่าเดียว เอาจนทะลุถึงเลย ทีนี้เวลาจิตมันได้ไปเต็มเหนี่ยวแล้วโลกอันนี้ว่างไปหมด ต้นไม้ภูเขาดินฟ้าอากาศจะมีอำนาจเหนือจิตที่ว่างไปได้ยังไง จิตที่ว่างว่างไปหมดเลย มีอำนาจมากนะความว่างของจิต มองดูต้นไม้ภูเขานี้มันทะลุเลย ทะลุๆ แผ่นดินทั้งแผ่นทะลุไปเลย นี่ละอำนาจแห่งความว่างของจิตไม่มีอะไรมาผ่าน เรียกว่าว่างไปหมด เมื่อลงเต็มที่แล้วเป็นอย่างนั้นจิต ไปตรงไหนก็ว่างว่างไปเลย

ดังที่พระพุทธเจ้าทรงสอนโมฆราช มานพ ๑๖ คน โมฆราชเป็นองค์ที่พระพุทธเจ้าทรงระบุสอน เพราะผู้นี้จะบรรลุธรรมได้เร็ว ท่านสอนว่า

                       สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ   โมฆราช สทา สโต

                       อตฺตานุทิฏฺฐึ อูหจฺจ         เอวํ มจฺจุตฺตโร สิยา

                       เอวํ โลกํ อเวกฺขนฺตํ         มจฺจุราชา น ปสฺสติ

ดูก่อน โมฆราช เธอจงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ ฟังซิสติทุกเมื่อ ปล่อยสติได้เมื่อไร พิจารณาโลกให้เป็นของสูญเปล่าว่างเปล่า ถอนอัตตานุทิฏฐิความเห็นว่าเราว่าเขา ซึ่งเป็นภูเขาทั้งลูกออกเสีย จะพึงข้ามพ้นพญามัจจุราชเสียได้ พญามัจจุราชก็คือความตาย พญามัจจุราชจะมองไม่เห็นผู้พิจารณาโลกเป็นของสูญเปล่าอยู่อย่างนี้ นั่นท่านสอนพระโมฆราช ทีนี้ผู้บำเพ็ญก็บำเพ็ญแบบเดียวกัน ท่านยกสอนเพียงเอกเทศว่าโมฆราช เท่ากับสอนสัตว์โลกผู้ควรแก่การบรรลุธรรม จะต้องได้สัมผัสสัมพันธ์ธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอนพระโมฆราชด้วยกันทั้งนั้น เข้าถึงกันเลย ท่านยกเอกเทศเพียงเท่านั้น แต่ผู้ปฏิบัติจะซึมซาบเข้าถึงกัน จะรู้อย่างเดียวกันหมด

ทีนี้พอจิตเข้าถึงขั้นว่างแล้ว ไม่ว่าพระโมฆราชไม่ว่าพระองค์ใดจิตเข้าถึงขั้นนั้นแล้วว่างเหมือนกันหมด นั่น มีแต่พระโมฆราชเมื่อไร ผู้ปฏิบัติเมื่อจิตเข้าถึงขั้นว่างขั้นวางขั้นสูญเปล่าสูญหมดเลย สว่างกระจ่างแจ้งอยู่นั้นตลอดเวลา นี่คือจิตว่าง ทีนี้ว่างจากสมมุติทั้งหมดนี้ปล่อยหมดเลยโดยสิ้นเชิง แต่สิ่งสำคัญก็คือกิเลส ถ้ามีกิเลสแม้นิดหน่อยก็ตาม สมมุติยังมีเสี้ยนหนามยังมีในใจ พอกิเลสถูกถอดถอนออกหมดแล้วสมมุติไม่มีในใจ นั่นละท่านว่าว่างตรงนั้น ว่างหมดไม่มีอะไรผ่านหัวใจ จิตใจเลยไปหมด

คำว่าบาปว่าบุญก็เป็นแดนสมมุติเสีย จิตที่ผ่านนี้ไปแล้วเรียกว่าไม่มีบาปไม่มีบุญ คือพ้นไปหมด สูงกว่านั้นแล้ว อันนี้เป็นสมมุติ บาปก็ดีบุญก็ดีเป็นทางก้าวเดินเพื่อวิมุตติ พอถึงวิมุตติแล้วอันนี้ก็เป็นสมมุติไป จิตของพระอรหันต์ท่านจึงไม่มีบาปมีบุญ หมด รู้กับเจ้าของเอง คำว่าบาปว่าบุญก็เป็นสมมุติเสียทั้งมวล เป็นของหยาบว่างั้นเถอะพูดง่ายๆ อันนั้นเลยไปหมดแล้ว ว่างเพราะวางหมด ส่วนธาตุขันธ์ก็มีเหมือนเราๆ ท่านๆ ท่านก็รักษาไปอย่างนั้นแหละ พวกธาตุพวกขันธ์รักษาไปตามสภาพของมัน ที่เป็นสมมุติเหมือนโลกทั้งหลายท่านก็รักษา แต่ไม่มีอะไรกับจิต

ที่จะให้เป็นบาปเป็นบุญกับจิตนี้ไม่มี หมด ก็มีแต่กิริยาอาการที่รักษากันอยู่ในวงสมมุติที่สังคมยอมรับกันเท่านั้น ที่จะให้กำเริบเสิบสานไปอีกไม่มี หมด ท่านจึงเรียกว่า ปุญญปาปปหินบุคคล ผู้มีบุญและบาปอันละได้โดยสิ้นเชิงแล้ว ได้แก่พระอรหันต์ ละหมดไม่มีเหลือ ก็เหลือแต่ธาตุแต่ขันธ์ท่านก็ปฏิบัติตามสมมุติไปธรรมดาๆ เขาเป็นยังไงมีขอบเขตยังไง เรื่องของพระท่านก็ปฏิบัติไปอย่างนั้น เพื่อสังคม อยู่กับสังคม ร่างกายนี่ก็เป็นสมมุติ โลกทั้งหลายก็เป็นสมมุติ ก็ปฏิบัติกันให้เหมาะสมกับความเป็นสมมุติด้วยกันเท่านั้น นอกจากนั้นไม่เห็นมีอะไร

พอพูดอย่างนี้ก็ไประลึกถึงหลวงปู่แหวน ท่านก็ไม่เคยทำ ปฏิบัติตามโลกปฏิบัติมา บางทีท่านอาจจะคันฟันอะไรก็ไม่รู้นะหลวงปู่แหวน อยู่ๆ ท่านก็เอาธนบัตรใบละ ๕๐๐ มามวนบุหรี่ตัวใหญ่ๆ ธนบัตรใบละ ๕๐๐ มันก็แผ่นใหญ่อยู่นะ ท่านก็มามวนบุหรี่อันใหญ่ๆ แล้วก็จุดบุหรี่สูบเฉย นั่นเวลาท่านจะทำ เข้าใจไหม พวกพระทั้งหลาย โอ๋ย หลวงปู่อันนี้มันธนบัตรเอามามวนบุหรี่สูบได้ยังไง ท่านว่า หือ ท่านก็ทำท่าว่า หือ ก็ท่านทำเอง แน่ะบทเวลาท่านจะทำ จะไปเอาโทษเอากรรมท่านได้ยังไง เวลาท่านทำเป็นเรื่องตลกดูสนุก ตลกกับสมมุตินี่ เพราะธรรมชาตินั้นผ่านหมดแล้ว ก็มาใช้กิริยาอันนี้

หลวงปู่ทำไมเอาธนบัตรใบละ ๕๐๐ บาทมามวนบุหรี่สูบล่ะ ท่านก็ว่า หือ ทำท่านะ ดูดไปดูดมา เวลาท่านจะตอบ ประสากระดาษ ท่านว่างั้นนะ ประสากระดาษ แล้วใครจะไปเอาโทษเอากรรมกับท่าน กิริยาอันนี้ท่านเหมือนกับว่าเย้ยสมมุติ ถ้าโลกก็ว่าเย้ยสมมุติก็ถูก ท่านจะไปเป็นบาปเป็นกรรมอะไร แต่ท่านก็ไม่เคยทำท่านก็ทำเท่านั้นก็หยุดเลย พอเป็นข้อคิดเข้าใจไหม ประสาสมมุติท่านว่างั้น คือวิมุตติมันเลยไปแล้วนั่นความหมาย ส่วนมากท่านก็ปฏิบัติตามสมมุตินั่นแหละ เขาเป็นยังไงก็เป็นไปกับเขาเท่านั้นละ

เวลาคันฟันขึ้นมาก็อย่างหลวงปู่แหวนนั่นละ เอาใบธนบัตรใบละ ๕๐๐ มามวนบุหรี่สูบปั๊วะๆ เลย ควันโขมงท่วมเมฆนู่น เพราะท่านสูบบุหรี่ตัวใหญ่ๆ นี่นะ พวกพระพวกอะไรมาว่าให้ท่าน ทำไมหลวงปู่เอาธนบัตรใบละ ๕๐๐ มามวนสูบบุหรี่อย่างนี้ล่ะ ท่านก็บอกว่า หือ ทำท่าเหมือนไม่รู้ หือ ท่านว่า ท่านนั่นละเอามาสูบ เสร็จแล้วประสากระดาษท่านว่า แน่ะท่านพูดอย่างง่ายๆ ไปเลย คือภายในมันไม่มีอะไรแล้ว กิริยาภายนอกก็ทำไปตามสมมุติ บางทีคันฟันก็ทำบ้างอย่างนี้เข้าใจไหม ถ้าไม่คันก็ทำไปตามเขาเสีย ถ้าคันฟันบ้างก็เอามามวนบุหรี่สูบเสียอย่างนั้น แล้วจะว่าท่านผิดว่าได้ยังไง

มันเป็นข้อตลก หรือถ้าพูดแบบโลกเรียกว่าเย้ยสมมุติก็ไม่ผิด แต่ท่านไม่มี แต่สำหรับท่านผู้รู้ทั้งหลายท่านเข้าใจกันนะ ท่านแสดงอย่างนี้ท่านมีอะไรท่านเข้าใจกันหมด แต่พวกโลกนั่นซิมันไม่เข้าใจ เอามาขยี้ขยำยุ่งไปหมด ส่วนผู้ท่านรู้เหมือนกันแล้วท่านไม่มีอะไรกัน ถ้าหากว่าพูดตลกบ้างก็ โอ๊ย ท่านเย้ยสมมุติ ท่านตลกกับสมมุติว่างั้นก็ได้เป็นไรไป นี่ละจิตเวลาผ่านไปหมดแล้วมันหมด สมมุติทั้งมวลไม่มีเลย มีแต่จ้าครอบโลกธาตุจะว่าไง ว่าจ้านี้ก็เรียกว่ามาสมมุติหยาบๆ นะที่ว่าจ้า อันนั้นยังละเอียดยิ่งกว่านั้นอีก จะให้เอานั้นจริงๆ มาพูดให้เป็นอย่างนั้นพูดไม่ได้นะ แต่นี้โลกมันก็มีสมมุติก็ต้องพูดเป็นกรุยหมายป้ายทางเอาไว้

อย่างที่ว่านิพพานๆ คนที่ยังไม่เคยเห็นนิพพาน คำว่านิพพานนี้ก็เป็นเหมือนว่าเมืองหนึ่งขึ้นมา นั่น ท่านผู้เป็นนิพพานแล้วท่านตื่นอะไร แน่ะ ก็อย่างนั้นแล้ว ให้พากันตั้งใจปฏิบัติศีลธรรมนะ โลกจะได้ชุ่มเย็นบ้าง โลกเวลานี้ร้อนมากเพราะดีดดิ้นไปตามกิเลสตัณหา เขาพูดกันว่าชิงดีชิงเด่น มันชิงชั่ว ชิงชั่วชิงเด่นชิงลามกจกเปรต มันไม่ใช่ชิงดี ถ้าชิงดี เอ้า เร่งซิความเพียร เอาความดีมาอวดกัน มาหากันเป็นยังไงภาวนา นั่น พอเล่าขึ้นมาฟังออกมาจากหัวใจที่ภาวนาได้รู้ได้เห็นเล่าขึ้น องค์นี้เป็นยังไงเล่าขึ้นนี้ จะว่าชิงดีชิงเด่นก็ได้มันเป็นกำลังใจ พอได้ยินได้ฟังแล้วเป็นกำลังใจทั้งสองฝ่ายพุ่งขึ้น เหมือนหนึ่งว่าชิงดีชิงเด่น แต่ท่านไม่ได้ชิง เป็นกำลังใจของท่านต่อกันเวลาสนทนาธรรมะกันแล้วเท่านั้นเอง

ทำมันยากเพราะไม่อยากทำกันไม่สนใจทำ แต่พอถึงขั้นรสของธรรมแล้วทีนี้อะไรๆ ผ่านไม่ได้เลย เรื่องสมมุติผ่านเข้ามาไม่ได้ ตัดขาดสะบั้นๆ นี่เวลาธรรมมีกำลังมากแล้วตัดขาดสะบั้นไปได้ พุ่งเพื่อนิพพานอย่างเดียว พลังของธรรมในหัวใจนั้นละ วันนี้ก็พูดเพียงเท่านี้ละ เอาละ

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz

 

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก