ศาสนาถือไม่ถูกเป็นภัยได้
วันที่ 4 เมษายน 2549 เวลา 8:40 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)   วิดีโอแบบ(Win High Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๔ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๙

ศาสนาถือไม่ถูกเป็นภัยได้

ก่อนจังหัน

อาหารวัดป่าบ้านตาดถ้าพระเซ่อๆ ซ่าๆ เห็นแก่ปากแก่ท้องแล้วตายจมกับกองอาหารได้นะ จะไม่ได้กราบไหว้บูชาธรรมเป็นขวัญใจ อาหารไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เป็นคุณกับเป็นโทษอยู่ด้วยกัน กินมากๆ ภาวนาไม่เป็นท่าเลย กินมากเท่าไรยิ่งนอนมากขี้เกียจมาก ราคะตัณหาความดีดดิ้นของใจมาก นี่ละเรื่องอาหาร เพราะฉะนั้นนักปฏิบัติจึงต้องสังเกตอาหารให้มาก อาหารสัปปายะ อาหารอะไรเป็นที่สบาย มันสบายสำหรับธาตุขันธ์เพื่อเหยียบหัวใจลงก็มี สบายในการบำเพ็ญธรรมก็มี

ที่ว่าอาหารสัปปายะ หมายถึงอาหารเป็นที่สบายสำหรับการบำเพ็ญธรรม และไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อธาตุขันธ์ ท่านเรียกว่าอาหารสัปปายะ อาหารเป็นที่สะดวกสบาย การภาวนาก็ดี นักขึ้นเวทีฆ่ากิเลสนั่นละรู้เรื่องเหล่านี้ได้ดี อุปกรณ์ในการรบ เสบียงทุกอย่างที่จะหนุนเครื่องรบ มันเป็นพิษเป็นภัยอยู่ในนั้นด้วย เมื่อเจ้าของไม่มีสติสตังหรือไม่มีปัญญา ถ้ามีปัญญา เหล่านี้ก็เป็นเครื่องส่งเสริมจิตใจให้ภาวนาได้ดี

การภาวนาฆ่ากิเลสไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ต้องใช้สติปัญญา ศรัทธา ความพากความเพียรหนาแน่นมั่นคง ไม่เช่นนั้นไปไม่รอด ไปไม่รอดแล้วก็จม แล้วก็มาตำหนิติเตียนศาสนา เหมือนหนึ่งว่าตัวนี้เลิศเลอทั้งๆ ที่จมอยู่ในกองมูตรกองคูถนั้นแหละ ว่าเลิศเลอกว่าศาสนาไปเสีย มีมากนะ

พุทธศาสนาเรานี้เป็นศาสนาที่เลิศเลอสุดยอดแล้ว ในสามแดนโลกธาตุนี้คือพุทธศาสนาเท่านั้น ว่างั้นเลย ที่พูดอย่างตรงไปตรงมา ส่วนเรื่องพ่อเรื่องแม่เรื่องลูกเรื่องเต้าของใครใครก็นับถือเองของใครของเรานั้นแหละ แต่หลักใหญ่หลักของหัวใจสำคัญมากคือศาสนา ถ้าถือไม่ถูกเป็นภัยได้เหมือนกัน เรื่องพุทธศาสนาแล้วไม่มีคำว่าภัย มีแต่คุณล้วนๆ ให้อาศัยศาสนาเป็นหลักใจ การปฏิบัติหน้าที่การงานให้มีธรรมเป็นหลักใจ ถ้าปล่อยให้กิเลสเป็นแนวหน้าแล้วจมทั้งนั้นๆ

มหาเศรษฐีจมทั้งเป็นเห็นไหม เอาเมืองไทยเรานี้เป็นเกณฑ์ มหาเศรษฐีในเมืองไทยเรานี้มีเยอะ พวกนี้ละพวกที่จม ทำความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน ให้แก่โลกได้มากที่สุด เศรษฐีสมบัติไปจากเศรษฐีกิเลส ความได้ไม่พอๆ นี่ละทำเจ้าของให้เสีย เจ้าของยังภูมิใจนะ ว่าได้สมบัติเงินทองข้าวของเท่านั้นเท่านี้ หัวใจจมลงนรก จ่านรกเขาจดทะเบียนบัญชีไม่ทันกับพวกที่โลภมาก อยากไม่มีเมืองพอ พวกนี้ละพวกจะจม อย่าเข้าใจว่าพวกนี้จะครองความสุขความเจริญนะ ไม่ครอง มีแต่ฟืนแต่ไฟเท่านั้น ผู้ครองธรรมเท่านั้นจะเป็นผู้มีความสุขความเจริญ ความรู้จักประมาณในหน้าที่การงานพอเหมาะพอดี ความพอเหมาะพอดีไปอยู่ที่ไหนดี ถ้ากิเลสไปที่ไหนไม่มีคำว่าพอๆ ตายก็ยังไม่พอ ยังทะเยอทะยานเรื่อยๆ  นี่ท่านเรียกว่ากิเลส มันอยู่ในหัวใจสัตว์โลกนั่นแหละ แล้วมันทำลายสัตว์โลก ธรรมคือความรู้จักพิษภัยแก้ไขกิเลสเหล่านี้แหละ เรียกว่าธรรม อยู่ในหัวใจเราเอง ให้พากันพินิจพิจารณา

สำหรับพระสติเป็นสำคัญ เคยสอนย้ำแล้วย้ำเล่า สติเป็นของสำคัญมาก อย่าเผลอสติ อยู่ไหนถ้าเป็นคนไม่เผลอสติแล้ว ยืนเดินนั่งนอนมีคุณค่ามีราคาตลอด ถ้าเผลอสติเมื่อไรคุณค่าราคาลดลงๆ ถ้าเลยจากนั้นไปเขาก็เรียกคนบ้า ไม่มีสติแล้วเป็นคนบ้าทั้งนั้น เห็นไหมอยู่ตามทางไฟเขียวไฟแดงไอ้บ้านั่นน่ะ มันไปจัดไปทำอะไรอยู่ไฟเขียวไฟแดง รถวิ่งขวักไขว่ ทั้งรถจะหลีกรถ รถจะหลีกบ้า ยุ่งไปหมด นั่นละคนไม่มีสติคุ้มครองรักษาเป็นอย่างนั้น ใจนี้รู้เฉยๆ ไม่มีผู้บังคับ ใจก็รู้เฉยๆ อย่างคนบ้าไม่มีสติเป็นเครื่องบังคับบัญชา ไม่มีสติเป็นเจ้าของดูเอา

คนเราที่พอดูได้ๆ ทั่วๆ ไปมีสติเป็นเครื่องกำกับรักษา และมีปัญญาสอดแทรกเข้าไปด้วย เครื่องรักษาใจคือสติกับปัญญา ถ้าไม่มีสติปัญญาไม่มีความหมายทั้งนั้น ความรู้นี้รู้ ไส้เดือนมันก็รู้ บุ้งกือมันก็รู้ แต่มันก็รู้ไปตามประสาของมัน เพราะสติปัญญาที่จะคุ้มครองให้ดีกว่านั้นไม่มี เขาก็ไปตามเรื่องของเขาอย่างนั้น มนุษย์เรานี้เป็นอย่างหนึ่งต่างหาก สูงกว่าสัตว์ทั้งหลาย สติปัญญานำไปใช้ในทางที่เป็นประโยชน์ อย่านำไปใช้ในสิ่งที่จะเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้กัน ถ้ากิเลสนำไปใช้เป็นไฟทั้งนั้นแหละ ถ้าธรรมนำไปใช้เป็นคุณเป็นประโยชน์โดยถ่ายเดียว

นักภาวนาเอาให้จริงให้จังนะพระ จะไม่มีพระครองมรรคครองผลตามทางของศาสดาที่ทรงสอนไว้แล้วนะเวลานี้ ใครก็เห็นกิเลสตัณหาเป็นของเลิศของเลอดีเด่นยิ่งกว่าอรรถกว่าธรรม นั่นละตัวมูตรตัวคูถยกขึ้นมาเหยียบธรรม ธรรมเลยปรากฏไม่ได้เวลานี้ มีแต่มูตรคูถขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลงเต็มบ้านเต็มเมือง กินไม่พอ ตายทิ้งเปล่าๆ นี่ละตัวมันครอบโลกธาตุ

ไปหาซิน่ะ เอามาอวดบ้างอวดธรรมพระพุทธเจ้า ใครดีดดิ้นเป็นบ้ากันอยู่นั้น กองเงินกองทองเท่าภูเขา เอาความสุขเป็นที่ภูมิใจอยู่ในหัวใจของเศรษฐีคนนั้นมาอวดเศรษฐีธรรมบ้างว่ะ เศรษฐีธรรมคือพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ นี้เรียกว่าเศรษฐีธรรม สอนโลกท่านสอนด้วยความเป็นเศรษฐีธรรม เย็นไปตลอด พระพุทธเจ้าบรมสุข สาวกทั้งหลายเป็นบรมสุข นำบรมสุขสอนโลกมหันตทุกข์ ต่างกันนะ

ใครก็มีแต่ความทุกข์ร้อนๆ เอาอะไรมาเป็นตัวอย่างกันไม่มี มีแต่ความเดือดร้อนวุ่นวายทั้งนั้นโลก วิ่งตามกิเลสกันอย่างนี้เอาจมได้ ไม่ว่าเขาว่าเราจมได้ทั้งนั้นถ้าวิ่งตามกิเลส ถ้าหากเป็นของดิบของดีแล้วพระพุทธเจ้าจะยกกิเลสขึ้นเป็นศาสดาเป็นไรวะ นี่ยกกิเลสขึ้นมาก็ยกเพื่อทุ่ม เพื่อโยนลงเหวลงบ่อ เพราะมันเป็นฟืนเป็นไฟเป็นภัยต่อโลก พวกเราทั้งหลายอย่าไปเทิดทูนมันเกินไปนะจม เอาละวันนี้พูดเท่านี้ ให้พร

หลังจังหัน

วันธรรมดาส่วนมากเรามักจะไปตามโรงพยาบาล ถ้าเป็นวันเสาร์หรือวันอาทิตย์มักจะไปตามวัด ไปที่ไหนไม่ว่าไปโรงพยาบาลไม่ว่าไปวัด ของเต็มรถเลย เต็มเอี๊ยดไม่ใช่ธรรมดา เป็นอย่างนั้น ที่มันเต็มเอี๊ยดคือไปตามทาง มองเห็นอะไรมีแต่อยากได้อยากเอาไปทำบุญ แล้วก็ขนขึ้นๆ จนกระทั่งคนขับรถว่า โอ๋ย มันเต็มหมดแล้วรถจะไปไม่ได้ เหอ เอ้าไป ค่อยๆ ไปเอา บางทีค่อยๆ ไป มันหนักด้วย เป็นอย่างนั้นละ คืออะไรก็อยากได้ๆ ไปทำบุญ ความเมตตา ศรัทธา มันกลมกลืนเป็นอันเดียวกัน

อันนี้ก็เป็นมาจากนิสัยเหมือนกัน เราชัดเจน เวลาบวชนี้ไปอยู่กับวัดใดๆ ครูบาอาจารย์องค์ใดตระหนี่ถี่เหนียว อยู่ไม่ติดนะเรา พูดตรงๆ มันคับหัวอก เป็นอย่างนั้นนะ ไปอยู่กับครูบาอาจารย์องค์ใด ส่วนมากก็ต้องหมายถึงหัวหน้าวัดๆ ถ้าตระหนี่ถี่เหนียวเห็นแก่ตัวแล้วนี้อยู่ไม่ได้นะมันคับหัวอก มันหากเป็นอยู่ในจิต ถ้าเป็นนักเสียสละเช่นอย่างสมเด็จมหาวีรวงศ์(พิมพ์ ธมฺมธโร) วัดพระศรีมหาธาตุ เราเทิดทูนเลย ทางด้านปริยัติ ทางด้านปฏิบัติ มีครูบาอาจารย์ที่มาอยู่ในหัวใจเราสององค์ เราบอกเลย ทางภาคปฏิบัติก็หลวงปู่ม่น ทางภาคปริยัติฝ่ายปกครองก็สมเด็จมหาวีรวงศ์ วัดพระศรีมหาธาตุ

องค์นั้นเป็นนักเสียสละ มีเท่าไรหมดไม่มีเหลือ เพราะเราเป็นคนดูแลสมบัติทุกสิ่งทุกอย่างของท่าน ดูแลหมดเลย ก็เห็นหมดของ ได้มามากน้อยเพียงไรเห็นหมดเลย แต่ไม่มีเหลือแหละ แจกทานหมด อยู่กับท่านเราก็รู้นิสัยท่าน ท่านก็รู้นิสัยเราเหมือนกัน ท่านคงจะเมตตาเรามากอยู่ ออกปฏิบัติแล้วท่านยังตามจะเอากลับไปวัดพระศรีมหาธาตุ คือไปอยู่กรุงเทพก่อน เพราะท่านยังไม่ได้มาเป็นเจ้าอาวาสวัดพระศรีมหาธาตุ ท่านอยู่วัดบรมนิวาส ท่านจะเอาเข้าวัดบรมนิวาส

เราก็ได้โอกาสแล้วที่จะออกปฏิบัติ เพราะคำสัตย์คำจริงตั้งไว้เรียบร้อยแล้ว อะไรก็ทำลายไม่ได้เลย คือสำเร็จแล้วตามความมุ่งหมาย เราตั้งใจเรียนเพื่อเป็นปากเป็นทางในการปฏิบัติ อย่างไรก็ขอให้ได้เปรียญ ๓ ประโยค นักธรรมจะได้ชั้นใดก็ตาม เปรียญ ๓ ประโยคนี้เป็นเครื่องตัดสินกัน พอได้ ๓ ประโยคแล้วเราจะออกโดยถ่ายเดียว นี่สำคัญตรงนี้

สมเด็จมหาวีรวงศ์นี้รู้สึกท่านเมตตามาก เพราะเราอยู่กุฏิเดียวกับท่าน เป็นคนดูแลพระเณร คณะของท่านก็เราเป็นหัวหน้าคณะรองท่านลงมา ท่านเป็นใหญ่ครอบไปหมด เราเป็นหัวหน้าคณะทุกสิ่งทุกอย่างเราเป็นคนดูแล มักจะเป็นอย่างนั้นไปที่ไหน ท่านก็รู้นิสัยเราได้ดี ท่านพยายามจะเอาเรากลับกรุงเทพตลอดๆ แต่เราก็มีแต่จะพุ่งๆ ท่าเดียวตามความมุ่งหมายที่ออกปฏิบัติ จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายท่านเจ้าคุณศรีวรคุณ น้องชายท่านเจ้าคุณอุบาลี ท่านเป็นเพื่อนกัน ในรูปก็เห็นอยู่ อยู่วัดสุทธาวาสเราก็เห็น

ท่านเจ้าคุณศรีวรคุณเอาเราไว้ได้ คือสมเด็จมหาวีรวงศ์ตอนนั้นท่านยังไม่ได้เป็นสมเด็จ เผาศพหลวงปู่มั่น พูดให้มันชัดเจนเสีย ตอนนั้นอยู่กับใครไม่ได้เลย จิตหมุนเป็นธรรมจักรตลอดเวลา จนกระทั่งครูบาอาจารย์บางองค์ท่านยังว่า มหาบัวเวลาท่านอาจารย์มั่นมีชีวิตอยู่นี้เหมือนเงาเทียมตัว บทเวลาท่านมรณภาพไปแล้วหายหน้าเงียบเลยไม่มาเหลียวแล ว่างั้นนะ เพราะท่านไม่รู้ภายในของเราซี เราปฏิบัติบูชาท่าน เข้าใจไหม เรื่องศพเรื่องเมรุใครดูก็ได้ เราปฏิบัติบูชาท่าน จิตตอนนั้นมันกำลังเป็นธรรมจักร หมุนติ้วๆ อยู่กับใครไม่ได้เลย ต้องอยู่คนเดียวๆ

เราไม่อยู่ห่างไกลสถานที่จัดงานศพแหละ ไปอยู่ทางบ้านนาคำ ภูเขา ทางไปกาฬสินธุ์ อยู่องค์เดียว เวลาจะมาหาท่านพอฉันจังหันเสร็จแล้วก็เดินทาง เดินทางมันก็หมุนของมันตลอด อย่างนั้นละ มาก็ไปกราบศพท่านเสร็จเรียบร้อยแล้วกลับเลย เหมือนว่าเป็นคนละโลกเลยเรากับหลวงปู่มั่นในสายตาของเพื่อนฝูงทั้งหลาย คือไม่มาอยู่นั้น เพราะมันหมุนอยู่ภายในนี้ คิดดูในงานศพมาอยู่ ๔ วันเท่านั้น เราไม่ลืม คือมาอยู่เกี่ยวกับงานศพของท่านได้ ๔ วัน พอเสร็จแล้วเปิดขึ้นบนเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ เพราะอยู่ไม่ได้จริงๆ ถึงขั้นอยู่ไม่ได้อยู่ไม่ได้นะ

ในขั้นที่อยู่กับครูบาอาจารย์ ต้องอยู่กับครูบาอาจารย์ศึกษาอบรมเต็มที่ ปราศจากไม่ได้ ขั้นนี้เป็นอย่างหนึ่ง อีกขั้นหนึ่งที่ว่าขั้นอยู่กับใครไม่ได้นี้ เป็นอีกขั้นหนึ่ง อยู่ไม่ได้เลย งานหมุนตลอดเวลาเว้นแต่หลับ ดีไม่ดีนอนไม่หลับ มันหมุนของมัน นี่ละกิเลสกับธรรมฟัดกัน ถึงขั้นธรรมที่มีกำลังแล้วฆ่ากิเลสนะนั่น ซัดกับกิเลสบนเวทีคือหัวใจไม่มีเวลาหยุดหย่อน เว้นแต่หลับเท่านั้น แล้วก็รั้งเข้ามาสู่สมาธิพักจิต ไม่ให้ทำงานต่อสู้กับกิเลสเท่านั้น ออกจากนั้นก็ฟัดกันตลอดเลย

พูดถึงขั้นที่ว่าที่อยู่กับใครไม่ได้คือขั้นนั้นละ มันหมุนอยู่ตั้งแต่หลวงปู่มั่นป่วยอยู่โน้น หมุนอยู่ตลอดเวลาแล้วนั่น ท่านก็ทราบเรื่องของเราแล้ว จิตมันหมุนติ้วๆ อยู่ตลอดเวลา ขึ้นหาท่านเรื่อยๆ เรากับท่านไม่มีอะไรละ ธรรมดาใครจะไปหาท่านได้ง่ายๆ เหรอ ผิดเวลำเวลาแล้วไปไม่ได้ สำหรับเราขึ้นได้ทุกเวลาเลย ท่านไม่เคยว่าอะไร กับเราเองไม่เคย ขึ้นเมื่อไรได้ ท่านอยู่องค์เดียวปั๊บเข้าไปเลย ไปก็กราบเรียนเรื่องปัญหาภายในใจเป็นอย่างนั้นๆ ท่านก็นอนนิ่งฟัง พอเสร็จแล้ว โอ๋ย เวลาท่านจะลุกทั้งๆ ที่ป่วยนะ น่นละกำลังใจ ท่านนอนองค์เดียวท่านจะพัก เราจะเอาเวลานั้น คือธรรมะนี้จะไม่มีใครเข้าไปเกี่ยวข้องได้เลย เป็นธรรมะเฉพาะภายในจิตใจที่หมุนเป็นธรรมจักร ถ้าขัดข้องตรงไหนก็เข้าไปหาท่าน ท่านเปิดปั๊บให้แล้ว ได้แล้วกราบปั๊บๆ ไปเลย เป็นอย่างนั้นละ

มันหมุนมาตั้งแต่ก่อนท่านป่วยแล้ว มันหมุนแล้วละจิต หมุนเป็นธรรมจักร จึงว่าเวลากิเลสมีกำลังอยู่บนหัวใจของสัตว์โลก กิเลสจะทำงานเป็นวัฏจักรของมันทั้งนั้น หมุนตลอดเวลา กิเลสเป็นวัฏจักรทำงานอยู่บนหัวใจสัตว์ ทีนี้เวลาเราบำเพ็ญธรรม ธรรมมีกำลังแล้วที่นี่ธรรมเป็นธรรมจักรหมุนฆ่ากิเลส นี่ละถึงขั้นหมุนฆ่ากิเลสแล้วเอาเลย สติปัญญาเป็นอัตโนมัติแล้วนั้นกิเลสเกิดไม่ได้ มีเท่าไรก็จะค่อยยุบยอบลงๆ ที่จะเกิดใหม่เกิดไม่ได้ ถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัติมีแต่ขั้นสังหารกิเลสโดยถ่ายเดียว หมุนตลอดเลย

ท่านทราบแล้วตั้งแต่ท่านเริ่มป่วย ท่านทราบอยู่แล้วเรื่องของเรา ท่านป่วยหนักทางธาตุขันธ์ เราก็ป่วยหนักทางด้านจิตใจ ออกจากท่านปั๊บเข้าทางจงกรมปุ๊บ เดี๋ยวพระเณรไปหาแล้ว ปุ๊บปั๊บออกมาหาท่าน จากท่านก็เข้าทางจงกรมอยู่อย่างนั้นละ มันหมุนของมัน นี่ถึงขั้นธรรมมีกำลังฆ่ากิเลส ก็เหมือนกิเลสมีกำลังทำลายสัตว์ เป็นแบบเดียวกัน แต่ก่อนเราก็ไม่เคยรู้ มันมาเป็นที่หัวใจ เวลาธรรมมีกำลังมันสังหารกิเลสเป็นอัตโนมัติของมัน ไม่ต้องบอกว่ามีความพากเพียร ไม่พูดความพากเพียร เพื่อพ้นทุกข์นั้นถูก ความเพียรในประโยคพยายามไม่มี ได้รั้งเอาไว้ๆ มันไม่ยอมหลับยอมนอนเลย หมุนติ้วๆ ตลอดเวลา กิเลสมีแต่ค่อยมุดมอดลงๆ ลงไปเรื่อยๆ เมื่อธรรมขั้นนี้ได้ขึ้นแล้วกิเลสขึ้นไม่ได้ ซัดลงๆ

บางทีก็ยังเคยพูดให้บรรดาลูกศิษย์ลูกหาฟัง ฟาดลงไปจนมันเงียบไปหมดเลย คุ้ยเขี่ยที่ไหนไม่มี เหอ นี่ไม่ใช่มันเป็นพระอรหันต์น้อยๆ ขึ้นมาแล้วเหรอ แต่ไม่ได้สำคัญตนนะ ว่าเฉยๆ ว่าเวลากิเลสว่าง ค้นหาที่ไหนก็ไม่เจอ หือ ไม่ใช่มันเป็นพระอรหันต์น้อยๆ ขึ้นมาแล้วเหรอ สักเดี๋ยวโผล่ขึ้นมาก็ซัดกันเลยๆ ฟาดจนกระทั่งขาดสะบั้นลงไปหมดโดยสิ้นเชิงไม่มีอะไรเหลือ เลยไม่ถามอรหันต์น้อยอรหันต์ใหญ่ ไม่ถามเลย เป็นอย่างนั้นนะ

นี่เราพูดถึงเรื่องสมเด็จมหาวีรวงศ์ ปีเผาศพท่านก็ไปพอดี ท่านเจ้าคุณศรีวรคุณท่านก็ไป ท่านเป็นเพื่อนกัน ท่านจะเอาเรากลับไปกรุงเทพอีก ท่านไม่ปล่อยนะท่านจะเอากลับไปกรุงเทพอีก พรรษา ๑๖ แล้วนั่น กำลังหมุนติ้วๆ ท่านก็จะเอาเราไปกรุงเทพ เราก็ไม่ทราบจะตอบว่าไง แต่เรื่องไปนี้ไปไม่ได้เด็ดขาดว่างั้นเถอะ เพราะมันหมุนตลอดแล้ว ท่านก็จะรำคาญจิตหรือยังไงไม่ทราบ เห็นทางนั้นหมุนติ้วจะเอาเราไปกรุงเทพโดยถ่ายเดียวๆ เราก็ไม่ตอบว่ายังไง ก็รักษามารยาทด้วยความเคารพ มีแต่จะเอากลับกรุงเทพถ่ายเดียว ท่านไม่ได้คิดถึงเรื่องของเราเลย ทีนี้สักเดี๋ยวทางนั้นก็ขึ้นตอบรับกัน เจ้าคุณศรีวรคุณ เห็นท่านหมุนอย่างเดียวจะเอากลับๆ ถ่ายเดียวเท่านั้น

ท่านก็เลยขึ้น เอ๊ย ก็จะเอามาพัวมาพันมาเข็นมาลากเขากลับไปทำไม ว่างั้นนะท่านขึ้น ท่านอยู่ใกล้ๆ เราไปหาท่านไปกราบท่าน ท่านอยู่ใกล้ๆ ก็เป็นใหญ่เป็นโตพอเป็นเหย้าเป็นเรือนไปแล้ว ธรรมดาบ้านเมืองเขาก็ยกให้เป็นเหย้าเป็นเรือนมีครอบครัวเหย้าเรือนไป ถ้าเป็นเด็กก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง ถ้าเป็นผู้ใหญ่มีครอบครัวเหย้าเรือนแล้วก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง นี้อายุพรรษาก็มากแล้ว ปฏิบัติมาก็นานแล้ว แล้วจะเอาเขากลับไปที่ไหนอีกล่ะ นี้พรรษาก็มากแล้ว ท่านก็ถามมา เราอยากตอบท่านตั้งแต่ยังไม่ถาม

ท่านมหาพรรษาเท่าไรแล้ว เราอยากตอบตั้งแต่ท่านยังไม่ถาม ได้ ๑๖ พรรษา เราก็ว่างั้นเลย นู่นน่ะเป็นอุปัชฌาย์ก็ได้แล้ว ท่านขึ้นเลยนะ ๑๖ พรรษาเป็นอุปัชฌาย์ก็ได้แล้ว แล้วจะลากไปเป็นลูกเขยใหม่ได้ยังไงท่านว่างั้น ท่านนิ่งนะ เราออกได้ทางนั้นละ ว่า ๑๖ พรรษาแล้ว นั่นน่ะเป็นอุปัชฌาย์ก็ได้แล้ว จะลากท่านไปเป็นลูกเขยใหม่ยังไง สุดท้ายออกช่องนี้ได้

นี่พูดถึงเรื่องจิตมันหมุน ยังไงก็กลับไม่ได้ว่างั้นเถอะ เพราะมันพุ่งๆ จะไปถ่ายเดียว เวลาจิตมีกำลังทำงานฆ่ากิเลสเป็นเอง กิเลสทำลายสัตว์เป็นเองเป็นอัตโนมัติ เวลาธรรมมีกำลังทำลายกิเลสเป็นอัตโนมัติก็เหมือนกัน พุ่งๆ จากสติปัญญาอัตโนมัติแล้วก้าวเข้าสู่มหาสติมหาปัญญา ซึมไปเลย ความรวดเร็วของสติปัญญาขั้นนี้พูดไม่ถูก จนกระทั่งขาดสะบั้นไปหมด สติปัญญาอัตโนมัติ มหาสติมหาปัญญา เป็นมรรคทั้งนั้น พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้ว มหาสติมหาปัญญานี้ยุติทันทีเลยไม่ต้องบังคับ

แต่ก่อนมันหมุนตลอด ก็มันฆ่ากิเลส เมื่อกิเลสม้วนเสื่อลงไปแล้วก็จะให้มันหมุนหาอะไร อันนี้ก็ยุติไปเองก็รู้เอง เป็นอย่างนั้นละ จากนั้นมาก็ไม่มีอะไรที่จะมาแสดง พูดให้มันชัดเจน ตั้งแต่วันนั้นแล้วไม่ปรากฏว่ากิเลสยิบแย็บขึ้นมาให้จับตัวมันได้ หือ กิเลสกูนึกว่ามึงม้วนเสื่อไปหมดตั้งแต่วันนั้นแล้ว มึงยังโผล่ขึ้นมาได้อีกเหรอ ไม่เคยมีเลย แล้วเราก็ไม่เคยสงสัยด้วย นั่นละจิต พออันนั้นขาดสะบั้นลงไปแล้วหมดเรื่องโลกทั้งหลาย สมมุติทั้งปวงหมดโดยสิ้นเชิงในหัวใจไม่มีเลย ว่างตลอดเวลา นั่นท่านว่า สุญฺญโต โลกํ คือจิตว่างเปล่าสูญเปล่า โลกสูญเปล่า โลกสมมุติสูญจากจิตโดยสิ้นเชิง สมมุติทั้งหมด หมดโดยสิ้นเชิง วิมุตติก็คือธรรมชาติที่เป็นธรรมธาตุ จ้าแล้วนั่น

นี่ละการปฏิบัติธรรม ถ้าปฏิบัติเอาจริงเอาจังเป็นอย่างนั้นรู้อย่างนั้นเห็นอย่างนั้น ทุกวันนี้ธรรมะเป็น อกาลิโก ไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลาเช่นเดียวกับกิเลส บาปทำก็ไม่มีกาลเวลา ทำบาปเมื่อไรเป็นบาป ทำทางกิเลสเมื่อไรเป็นกิเลส ถ้าหมุนไปทางธรรมเมื่อไรเป็นธรรมตลอดเวลา เป็น อกาลิโก เหมือนกันหมด นี่เราพูดถึงธรรมเวลามีกำลังฆ่ากิเลสเป็นอัตโนมัติเหมือนกัน ไม่ต้องบังคับบัญชาว่าความพากเพียรฆ่ากิเลส ไม่มีละ เพียรก็เพียรเพื่อพ้นทุกข์เท่านั้น แต่เพียรเพื่อประโยคพยายามไม่มี ได้รั้งเอาไว้ๆ หมุนติ้วๆ ตลอด จนกระทั่งกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้วหมดปัญหาทันที จากนั้นแล้วท่านว่านิพพานเที่ยง มันก็ดูหัวใจนั้นสงสัยที่ไหน นิพพานเที่ยงก็คือใจเที่ยงแล้วหมด

คือสมมุตินี้แลเป็นตัวปลิ้นปล้อนหลอกลวง ตัว อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ไตรลักษณ์คือสมมุตินี้แหละ พออันนี้ขาดไปหมดแล้ว อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ไม่มีในจิตที่บริสุทธิ์แล้ว เพราะฉะนั้นใครไปดึงเอานิพพานว่า เป็นอัตตาบ้าง อนัตตาบ้าง จึงใส่เปรี้ยง เห็นไหมนั่น นิพพานคือนิพพานขึ้นแล้วนั่น มีใครมาเถียงได้เมื่อไร ก็มันผ่านมาหมดแล้วมันรู้แล้วนี่ใครจะเถียงได้ยังไง นิพพานคือนิพพานเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ อนัตตาก็ดีอัตตาก็ดีเป็นทางก้าวเดินเพื่อพระนิพพาน ผู้จะถึงพระนิพพานต้องก้าวเดินตามทาง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา นี้ไปก่อน ถึงขั้นวิมุตติหลุดพ้นเป็นอีกฝั่งหนึ่งแล้ว นั้นคือพระนิพพาน แน่ะ บอกชัดเจน เขียนไว้นั่น ใครเถียงได้เมื่อไร

แต่ก่อนเถียงกันตาดำตาแดงทั่วประเทศไทย พูดให้มันชัดเจน พอปัญหานี้ขึ้นอยู่ที่เขื่อนอะไรทางภาคเหนือ (ภูมิพล) เออ เขามาถามปัญหานี้ขึ้น เราก็ตอบเดี๋ยวนั้นเลย หลังจากนั้นเขาก็ออกทางวิทยุบ่ายวันนั้นค่ำวันนั้น ออกติดกันสองสามวัน เรื่องนิพพานเป็นอัตตาเป็นอนัตตาหายเงียบไปเลย ก็มันทางก้าวเดิน จะไปเอาบันไดมาเป็นบ้านเป็นเรือนได้ยังไง บ้านเป็นบ้าน บันไดเป็นบันได ให้มันเห็นชัดๆ นั้นแล้วมันจะสงสัยที่ไหน จึงบอกนิพพานคือนิพพานเป็นอื่นไปไม่ได้ นั่น มันก็บอกชัดเจน ขอให้รู้จักชัดเจน

รู้ภายในจิตใจไม่ได้เหมือนรู้ที่เราจดเราจำมานะ ผิดกันมาก เรียนมาน่ะเรียน เรียนไปว่าไปๆ แม้เทศนาว่าการก็ลูบไปคลำไปตามตำรับตำรานั้นแหละ แต่เวลามันหมุนเข้ามาทางภาคปฏิบัติ ภาคปฏิบัติเกิดผลขึ้นมา ผลเกิดมากน้อยเป็นสมบัติของเราด้วย เป็นที่แน่ใจเราด้วย เวลาเทศนาว่าการนี้พลิกแพลง อย่างที่เราเทศน์ทุกวันนี้เหมือนปริยัติเมื่อไร แต่ก่อนปริยัติเขาเทศน์ยังไงเราก็เทศน์อย่างนั้น เพราะไม่มีทางไปก็ไปตามทางปริยัติ ไม่ว่าท่านว่าเราเทศน์เป็นแบบเดียวกันไปหมด พอก้าวเข้าทางด้านปฏิบัติมันปรากฏขึ้นมาอย่างนี้ๆ ธรรม

ทีนี้เวลาธรรมปรากฏขึ้นมานี้เทศน์อย่างอื่นไปไม่ได้นะ เราจะพลิกไปอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ได้เลย ตรงไปตรงมา เลยกลายเป็นสำนวนโวหารขวานผ่าซากไปเลย คือพูดอย่างตรงไปตรงมา พลิกไปอย่างอื่นไม่ได้เลย จนกระทั่งทุกวันนี้ตรงไปตรงมาอยู่งั้น ธรรมแท้เป็นอย่างนั้น พลิกไปอย่างอื่นไม่ได้ ต้องเป็นไปตามความจริง พูดตามความจริง เลยโลกทั้งหลายเขาก็ว่าเป็นขวานผ่าซากไปเสีย มันไม่ใช่ผ่าซาก ไปตามความจริง นั่นละเรื่องราว

การปฏิบัติธรรมให้พากันตั้งอกตั้งใจนะพวกภาวนา สติกับจิตสำคัญมาก ถ้าสติติดอยู่กับจิตแล้วกิเลสจะไม่เกิด สติดีเท่าไรกิเลสเกิดไม่ได้ มันจะดันออกมาสติครอบมันไว้มันเกิดไม่ได้ๆ ความคิดปรุงนั้นละออกมาเป็นสังขารเป็นกิเลสมาเผาเจ้าของ พอสติดีแล้วความคิดปรุงนี้ขึ้นไม่ได้ เราจะเอาคำบริกรรมพุทโธ ความคิดเป็นธรรมเสีย ไม่ใช่ความคิดเป็นกิเลส พุทโธๆ เป็นธรรม คิดเท่าไรพุทโธมากเท่าไรๆ ยิ่งแน่นเข้าๆ สงบเย็น ถ้าเรื่องความคิดเป็นสมุทัยเป็นกิเลสตัณหา คิดเท่าไรยิ่งเป็นฟืนเป็นไฟ ต่างกันนะ ความคิดเป็นธรรมกับความคิดเป็นกิเลสต่างกันจากหัวใจดวงเดียวนี้ ให้พากันจำเอา เอาละเหนื่อย

(ขอถวายบูชาธรรม เมื่อกี้หนูฟังเทศน์ในครัวแล้วได้วิธีการพิจารณาเลือกครูบาอาจารย์ที่จะสอนเราเจ้าค่ะ ว่าเราจะลงใจคนไหนยังไง) ใช่แล้ว เรามันเคยเลือกมาแล้ว ไปหาครูบาอาจารย์องค์ไหน เราก็นิสัยของเรา ไปหาครูบาอาจารย์องค์ใด ครูบาอาจารย์ส่วนมากต้องพูดถึงเจ้าอาวาสนะ ครูบาอาจารย์องค์ใดถ้าตระหนี่ถี่เหนี่ยวเราอยู่ไม่ได้นะมันเป็นในจิต มันคับหัวอก ถ้าองค์ไหนเปิดโล่งๆ แล้วถึงไหนถึงกัน อย่างสมเด็จมหาวีรวงศ์นี้ถึงไหนถึงกัน ได้เท่าไรมาหมดเลยท่านไม่มีเหลือ เข้ากับเราได้ผึงเลยทันที เพราะฉะนั้นจึงได้เทิดทูน ครูบาอาจารย์ที่อยู่ในหัวอกเรานี้มีอยู่สองท่าน หนึ่งพ่อแม่ครูจารย์มั่น สองสมเด็จมหาวีรวงศ์

สมเด็จมหาวีรวงศ์ฝ่ายปริยัติ การให้ทานไม่มีเหลือเลย เราดูหมด ก็เราเป็นคนรักษาสมบัติของท่านนี่ เข้ามาเต็มตู้ๆ นี้ กระซิบกันละคอยดูนะ ไม่นานละเดี๋ยวหมด ท่านผ่านมาท่านก็เห็น แล้วสักเดี๋ยวจับฉลากทั่วทั้งวัดหมดเลยในตู้ ให้ทานเป็นปรกติก็เป็นประจำ เวลาท่านจะเอาก็อย่างนั้น ของมาเต็มตู้แล้วหมดเลยๆ มันถึงใจเรา นิสัยเราตัวเท่าหนูก็ตามแต่จิตไม่ได้เป็นหนูนะ เป็นอย่างนั้นละมันกว้างมันเบิกออกหมดเลย ไปเรียนหนังสือมีคณะๆ เรามักเป็นหัวหน้าคณะ คณะเรานี้มากที่สุดพระเณรเต็มอยู่กับเรา คณะอื่นๆ ไม่ค่อยมีมาก ถ้าคณะเราไปอยู่ที่ไหนแล้วมากที่สุด ก็อย่างนี้ละมีเท่าไรถึงไหนถึงกันหมด ได้อะไรมาเป็นอันเดียวกัน ครัวเรือนเดียวกันว่างั้นเสีย ทีนี้พระเณรก็ติดละซิเรื่อยมานี้

(ขออนุญาตกราบลาไปหาหมอเจ้าค่ะ) เอ้อๆ ไป บำรุงร่างกายด้วย ดูแลจิตใจด้วยซิ หมออยู่ภายนอก ร่างกายมอบให้หมอ ใจกับกิเลสกับธรรมอยู่ภายในมอบให้เราเป็นผู้ดูแลเอง เข้าใจไหมล่ะ เราเป็นหมอเพื่อกำจัดกิเลส รักษากิเลสตัวรุนแรงมากกว่าโรคทางร่างกาย โรคกิเลสรุนแรงมากนะ โรคร่างกายไม่เป็นอะไรรักษาได้ธรรมดา แต่โรคจิตนี้ต้องเจ้าของเป็นคนรักษาโดยเฉพาะ เอาให้ดี เข้าใจ ให้พร

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก