เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๓ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙
ไม่มีรัฐบาลใดเสมอรัฐบาลปัจจุบัน
ก่อนจังหัน
วันพระ วันโกน วันเสาร์ วันอาทิตย์ เป็นวันที่ชาวพุทธเราจะเสาะแสวงหาความดีงามเข้าสู่ใจ ถ้าพูดถึงอาหารก็อาหารภายนอก อาหารภายใน ภายนอกได้แก่วัตถุสิ่งของต่างๆ ที่นำมาเยียวยารักษาธาตุขันธ์ของเรา อาหารภายในได้แก่คุณงามความดี จะเกิดจากการให้ทาน รักษาศีล เจริญเมตตาภาวนา ผลเหล่านี้เป็นความดีงามอันเลิศเลอ นี้แลที่จะเป็นเครื่องสนับสนุนอุ้มชูจิตใจของเราให้ไปเกิดในสถานที่ที่เรามุ่งหวังนั้นละ คือให้สมหวังๆ การที่จะทำให้สมหวังก็ต้องสร้างความดีงาม ความเลวทรามจะให้สมหวังไม่ได้ ใครจะหวังขนาดไหนก็ตาม หวังด้วยความเลวร้าย จะมีแต่ความเลวร้ายเกิดขึ้น จะให้เป็นความดีตามความหวังนั้นไม่มี
ใจเป็นของไม่ตาย ไม่เคยตายมาแต่กาลไหนๆ จิตทุกดวงไม่มีคำว่าตาย จะตกทุกข์ได้ยากลำบากขนาดไหน แม้ที่สุดตกนรกอเวจีกี่กัปกี่กัลป์ เสวยทุกข์ทรมานแสนสาหัส ก็ยอมรับในความทุกข์ทั้งหลายเหล่านั้น แต่ไม่ยอมฉิบหายคือใจดวงนี้ เมื่อฟื้นตัวได้แล้วหรือสิ้นบุญสิ้นกรรม เพราะกรรมนี้เป็นของไม่เที่ยง มีแปรสภาพได้ แปรช้าแปรเร็ว บุญกรรมแปรสภาพได้ทั้งนั้น ไม่ว่าบาปไม่ว่าบุญ แปรได้เปลี่ยนแปลงได้ จิตใจเมื่อมีความดีงามแล้วจะมีเครื่องสนับสนุนให้ไปเกิดในสถานที่ต่างๆ
คำว่าเกิดนั้น ไม่ใช่จิตนี้เกิดแล้วดับ ดับแล้วเกิดนะ ไปเข้าร่างนั้นภพนั้นภพนี้ เรียกว่าไปเกิด จิตแท้ไม่เคยตายไม่เคยฉิบหาย พอพ้นจากสิ่งเหล่านี้แล้วก็เป็นธรรมธาตุ ดังพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่าน ท่านสร้างความดีงามมาสมบูรณ์พูนผลแล้ว จิตของท่านก็หลุดพ้นไปได้ ความดีนั้นแลเป็นเครื่องซักฟอกสิ่งมัวหมองมืดตื้ออันทำให้เป็นทุกข์นั้นให้จางหายไปจากใจ จนกระทั่งใจบริสุทธิ์เต็มที่แล้วก็เป็นธรรมธาตุขึ้นมา ท่านว่านิพพานเที่ยง คือจิตดวงนี้แลไปเป็นนิพพาน นิพพานเที่ยง ให้ตายไม่ตาย จะไปทางชั่วก็ไม่ตาย ไปทางดีก็ไม่ตาย คือจิตดวงนี้ จึงต้องได้เสาะแสวงหาความดีงามเพื่อสนับสนุนให้จิตดวงนี้ไปสู่สถานที่ดีคติที่เหมาะสมเป็นลำดับลำดาไป จนกระทั่งถึงความพ้นทุกข์ อาศัยบุญกุศลนี้ทั้งนั้น อย่างอื่นอาศัยไม่ได้
พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เลิศเลอสุดยอดแล้ว ชี้แจงบอกสอนสัตว์โลกทั้งหลายให้ดำเนินตาม ผู้ใดดำเนินตามทางของพระพุทธเจ้าที่ทรงสั่งสอนไว้แล้ว ผู้นั้นจะเป็นไปเพื่อความราบรื่นดีงามโดยลำดับ จนกระทั่งถึงมรรคผลนิพพานได้ไม่สงสัย เพราะฉะนั้นวันเสาร์วันอาทิตย์ วันพระวันโกนอย่างนี้ พวกเราชาวพุทธควรจะเสาะแสวงหาคุณงามความดีเข้าสู่ใจ ใจนี้บกพร่องมาก เรื่องความดีงามทั้งหลายบกพร่องมาก แต่ความชั่วช้าลามกอันเป็นฟืนเป็นไฟนั้น ต่างคนต่างเสาะต่างคนต่างแสวง วิ่งเต้นขวนขวายโดยไม่รู้สึกตัวว่า ตนไปหากว้านเอาไฟมาเผาตน อย่างที่พวกทุจริตคดโกงรีดไถในวงรัฐบาลเราทุกวันนี้ จนกระเทือนทั่วประเทศไทย
นี่เขาว่าเขาสร้างความดีงามนะนั่น นั่นละคนชั่ว ใจที่ชั่วสร้างความชั่ว เข้าใจว่าเป็นความดีงาม ความดีงามเข้ากันไม่ได้กับคนชั่ว ต้องเป็นคนดี เสาะแสวงหาแต่ความดี แล้วก็ได้แต่ของดีมา เกิดในภพใดชาติใดก็สมมักสมหมาย เพราะตนเองได้สร้างเอาไว้ ความชั่วนี้เรียกว่าผิดหวังๆ เจออะไรๆ เข้าไป เจอตั้งแต่สิ่งที่ผิดหวังไม่พึงปรารถนา ถ้าเป็นคนเราเกิดมาอย่างนี้ เป็นผู้ชายก็อยากได้เมียสวยๆ งามๆ เป็นผู้หญิงก็อยากได้ผัวหล่อๆ ครั้นไปได้ผู้หญิงก็ไปได้แต่พวกขี้ทูดกุดถังไปเสียมาเป็นผัว ถ้าผู้ชายก็ไปได้เมียปากแว้ดๆ บ่นเช้าบ่นเย็น ถ้าเป็นหลวงตาบัวนี้ฟาดปากเมียวันหนึ่งกี่หนไม่ทราบ นี่ละมันได้แต่ของไม่สมหวังอย่างนั้น เข้าใจไหมล่ะ ให้ทำให้ดี
ให้อด เก็บความรู้สึก ความรู้สึกอยู่ภายในใจ ถ้าเปิดออกมาทางปากเกิดเรื่องเกิดราว ดีชั่วจะกระทบกระเทือนถึงคนอื่นได้ ถ้าเก็บความรู้สึกจะมีแต่ตัวเองเป็นคนรับทราบ เพราะฉะนั้นจึงต้องเก็บความรู้สึกและใช้ความอดทนให้ดี ผู้มีธรรมต้องมีความอดความทน ความพินิจพิจารณา วันนี้เป็นวันโกน วันสิบสี่สิบห้าค่ำ ให้พากันเสาะแสวงหาความดีงามเข้าสู่ใจ เวลานี้ใจกำลังมืดบอดทั่วโลกดินแดน ไม่มีศาสนาที่ถูกต้องดีงามเข้าขัดเกลากิเลส มีศาสนาก็เป็นศาสนาของกิเลส คำสอนของกิเลส พวกเรามีแต่ศาสนาเต็มตัว ศาสนกิเลสมีแต่กิเลสพร่ำสอน กิเลสฉุดลากไปลงเหวลงบ่อไปอย่างนั้นละ คำสอนพระพุทธเจ้าฉุดลากไปสู่ทางความดีงาม ให้พากันจดจำเอา
พระเราตั้งใจปฏิบัติให้ดี ผู้ใดมีสติดีผู้นั้นจะเป็นผู้ครองมรรคครองผลโดยไม่อาจสงสัยเลย สติเป็นสำคัญเป็นพื้นฐาน ถ้ามีสติครอบอยู่หัวใจแล้ว กิเลสจะหนาแน่นขนาดไหนก็ตามไม่เกิด กิเลสจะเกิดออกมาทางสังขาร คือความคิดความปรุง พอออกปั๊บก็เป็นฟืนเป็นไฟกลับมาเผาไหม้ตนเอง ถ้าสติมีอยู่กิเลสเกิดไม่ได้ ผู้ตั้งรากฐานใหม่คำบริกรรมเอามาปิดช่อง พุทโธๆ หรือธัมโม คำใดก็ได้ข้อใดก็ได้ เอามาปิดช่องที่สังขารเกิดให้เป็นสังขารของพุทโธไป สังขารของธัมโม สังขารของสังโฆ ก็เรียกว่าเป็นสังขารฝ่ายธรรม ถ้าเป็นสังขารของกิเลสแล้วมันคิดปรุงวันยังค่ำ เป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ตัว จึงต้องตั้งสติให้ดี
ผู้ตั้งสติให้ดีแล้ว ผู้นั้นจะตั้งรากตั้งฐานมีความสงบร่มเย็นได้ การตั้งสตินี้ก็ขึ้นอยู่กับธาตุขันธ์ของเราอีกด้วย ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับความตั้งใจ ความตั้งใจตั้ง เรื่องตั้งน่ะตั้ง แต่เมื่อธาตุขันธ์มีกำลังมากๆ ก็เป็นภัยต่อการตั้งใจตั้งสตินะ ล้มผล็อยๆ เวลาธาตุขันธ์มีกำลังมาก สำหรับผู้ผ่อนอาหารนั้นเหมาะสมแล้วกับจริตของตน ผ่อนอาหารไปมากน้อยเพียงไรสติจะดีขึ้นๆ ถ้ากินมากเท่าไรๆ สติล้มเหลวไม่มีเลย หลับครอกๆ ได้ทั้งๆ ที่นั่งภาวนา พากันจดจำเอานะ
ธรรมนี้เป็นธรรมอันเลิศที่ศาสดาองค์เอกสอนพวกเรา เราเป็นลูกศิษย์มีครูขอให้ตั้งใจปฏิบัติ เดินตามครู อย่าวิ่งตามกิเลส เดี๋ยวนี้โลกอันนี้เป็นโลกที่หมุนไปตามกิเลสที่จะลงเหวลงบ่อโดยถ่ายเดียวเท่านั้น เราไม่อยากพูดอย่างอื่น มองไปที่ไหนมีแต่คนสร้างความชั่วช้าลามก ด้วยความปีติยินดีเสียด้วยนะสร้างความชั่ว พออกพอใจสร้างๆ ตลอดเวลา เราให้สร้างความดี มันไม่พอใจก็บังคับ บังคับให้พอใจในความดี ให้ทำความดี
พระพุทธเจ้าเลิศเลอด้วยความดี สาวกทั้งหลายท่านเลิศเลอด้วยความดี เราเป็นลูกศิษย์มีครูขอให้มีความดีติดเนื้อติดตัวเถิด ไปที่ไหนจะมีความสง่างามภายในหัวใจเรานั้นแหละ เอาละเทศน์เท่านี้พอ จะให้พร
หลังจังหัน
วันพระวันเจ้าเข้าวัดเข้าวา หรือทำความสงบภายในบ้านนี่ถูกต้อง ใจอย่าพาให้มันคึกคะนองเกินไป จะขนตั้งแต่ฟืนไฟเผาตัวเองและส่วนรวมไปเรื่อยๆ ถ้ามีศีลธรรมเป็นเครื่องอบรมแล้วจะสงบเย็นๆ มนุษย์เราที่มีคุณค่าก็เกี่ยวกับเรื่องศีลธรรม ถ้าไม่มีศีลธรรมไม่มีค่าอะไรแหละ ศีลธรรมเป็นเครื่องประดับมนุษย์เราให้มีค่า เราอยากได้ยินวงราชการพาบรรดาพี่น้องประชาชนทั้งหลายเข้าวัดเข้าวา อยากได้ยินอยากพบอยากเห็น มีแต่เข้าไปแบบที่ดูไม่ได้นั่น ผู้นำละสำคัญ แม้แต่วัดอย่างนี้ก็เหมือนกัน เจ้าอาวาสวัดเป็นเช่นไร จะส่อเรื่องของวัดทั้งหมดอยู่นั้น
คำว่าศีลธรรมกับกิเลสอยู่ในใจดวงเดียวกัน สิ่งเหล่านี้จะไม่อยู่ตามวัตถุต่างๆ ภายนอก อยู่กับหัวใจสัตว์หัวใจคน ธรรมก็ดี กิเลสก็ดี ทั้งสองอย่างนี้อาศัยใจเป็นที่เกาะเป็นที่ยึด ใจถ้าไม่มีธรรมก็มีแต่กิเลสรุมล้อมเป็นฟืนเป็นไฟเผาอยู่นั้น ถ้ามีธรรมแล้วก็ได้รับการหล่อเลี้ยงเป็นความสงบเย็นใจ คำว่าใจกับธรรมกับกิเลส ฐานที่ตั้งของธรรมและกิเลสได้แก่ใจ ใจเป็นนักรู้ รู้อยู่ภายใน รู้ทุกคนนั่นแหละ นี่ตัวสำคัญตัวรู้ๆ อยู่นี่ ถ้าได้รับการอบรมในทางที่ถูกที่ดี อันนี้ก็จะเด่นสง่างามไปเรื่อยๆ ถ้าไม่ได้รับการอบรม แต่ถูกเสี้ยมสอนในทางที่เป็นภัย ใจดวงนี้เป็นภัยมหาภัย จึงต้องได้รับการอบรม
ใจของเราดวงเดียวนี้แหละ ถ้าพูดถึงเรื่องการอบรม ตั้งแต่เริ่มต้นอบรม ก็เหมือนเราไปเรียนหนังสือ ก.ไก่ ก.กา ไม่รู้ภาษีภาษา ค่อยเรียนเข้าไปๆ ค่อยรู้ เราฝึกใจของเราก็อย่างนั้นเหมือนกัน ที่เราเรียนมาทางด้านปริยัตินั่น คือแบบแปลนแผนผังของความดีความชั่ว มีอยู่ในนั้น เป็นแบบแปลนแผนผังที่ดีงามสอนไว้ ทางชั่วก็มีอยู่ในนั้นแต่สอนให้ละ ทางดีก็มีอยู่ในนั้นสอนให้บำเพ็ญ
เบื้องต้นฝึก ไม่มีตัวไหนที่จะคึกคะนองดีดดิ้นคิดมากที่สุดยิ่งกว่าใจ ใจนี้ดีดดิ้นมากทีเดียว คือมันมีพิษภัยมากมันดีดมันดิ้น เอาระยะที่ว่าฝึกหัดดัดแปลงให้เข้าวัดเข้าวาฟังธรรมจำศีล ทำบุญให้ทาน มันไม่อยากไปนะ ที่ไม่อยากไปคือมีอันหนึ่งอยู่ภายใน เป็นข้าศึกของความดีทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าจะทำความดี ตัวนี้เป็นข้าศึกกีดกันหวงห้ามอยู่ภายในลึกลับนั่นแหละ ลึกๆ ลับๆ อยู่ในใจ หาเลศหาเรื่องออกทางที่มันต้องการ ที่ต้องการคืออะไร กิเลสต้องพาลงต่ำเสมอ ธรรมขึ้นสูงเสมอ จะปีนขึ้นสูงมันลากเอาไว้ๆ จึงต้องได้รับการอบรม
พอพูดอย่างนี้ก็ระลึกถึงในตำรา อนาถบิณฑิกเศรษฐี มีลูกชายคนหนึ่ง ลูกชายก็มีนิสัยอยู่ แต่เวลานั้นกิเลสกำลังหุ้มห่อมันอย่างมืดมิดปิดตา พ่อสำเร็จเป็นพระโสดาเป็นอริยบุคคล อนาถบิณฑิกเศรษฐีนะ ลูกชื่อนายกาละก็มีนิสัยอยู่ แต่เวลานั้นถูกอันธพาลปิดบังหุ้มห่อไว้หมด ไปวัดไปวาไม่ยอมไปเลย พ่อก็หาอุบายจ้างไปวัด พ่อเป็นอริยบุคคลขั้นโสดาแล้ว พยายามชักจูงลูกอยากให้ไปวัดไปวาไปพังอรรถฟังธรรมบ้าง ลูกไม่สนใจ พ่อต้องจ้าง เอ้า จ้างไปวัด ขอแต่เข้าในเขตวัดว่างั้นเถอะน่ะ ไปอยู่ที่ไหนก็อยู่เถอะ กลับมาก็ให้ค่าจ้างทุกวันๆ
ไปอยู่ใกล้วัด วัดก็มีเสียงธรรมละซิใช่ไหมล่ะ เป็นวัดพระเชตวัน พระพุทธเจ้าด้วย เสียงธรรมกังวานอยู่นั่นทุกวี่ทุกวัน แกก็ไปอยู่ตามประสีประสาของแก ครั้นฟังไปฟังมามันก็เข้าหูละซีที่นี่ เฉียดเข้าไปเข้าหูๆ พอฟังไปแล้วเกิดความเคารพเลื่อมใสขึ้นมาทันทีเลย มีความติดพันในอรรถในธรรมอย่างมาก แล้วกลับไปบ้าน พอได้เห็นโทษของตัวที่ขนาดพ่อได้จ้างมาวัด พอกลับไปก็ต้องไปเอารางวัล คือไปเอาค่าจ้างพ่อเสียก่อนแล้วจะไปไหนค่อยไป แต่วันนั้นไม่ยอมไปเลย หนีไปทางอื่น เรียกมาเอารางวัล บอกไม่เอา ที่เอามาแล้วก็อายพ่ออยู่แล้วว่างั้น อายพ่อแล้ว วันนี้ขออย่าให้เอาเลย นั่นเห็นไหม
จากนั้นมาจ้างให้อยู่ก็ไม่อยู่ ไปวัด แต่ก่อนต้องจ้างไปวัดถึงไป ทีนี้จ้างให้อยู่ไม่ให้ไปวัดไม่ได้ไม่รับ ต้องไปวัดท่าเดียว นี่จิตดวงนี้แหละมันพลิกปั๊บเท่านั้นเลยเป็นคนดิบคนดีขึ้นมาโดยลำดับ นี่ละใจ เวลาสิ่งไม่ดีทั้งหลายปกคลุมเข้าไปก็เป็นของไม่ดีไปเรื่อยๆ หมดค่าหมดราคา เมื่อมีของดีคืออรรถธรรมแทรกเข้าไปก็มีความสง่างามขึ้นมาดีขึ้นมา เพราะฉะนั้นจึงต้องมีการอบรม
ใจนี่พร้อมเสมอที่จะรับสิ่งต่างๆ ตลอดเวลา รับเรื่องราวต่างๆ อยู่ตลอด แต่ส่วนมากเป็นเรื่องราวที่ไม่ดีก็ยิ่งทำจิตให้ต่ำทรามลงไป ต่ำลงไปเรื่อยๆ ถ้าได้รับการอบรมทางด้านอรรถธรรม จิตก็จะค่อยฟื้นตัวขึ้นมาๆ คนเราทั้งคนอยู่ที่ใจนะ เราอย่าไปคิดว่าสิ่งภายนอกทั้งหลายเป็นของสำคัญยิ่งกว่าใจ ใจเป็นของสำคัญมากทีเดียว ลงใจได้เป็นอันธพาลแล้วแหลกไปหมด ถ้าใจเป็นบัณฑิตขึ้นมาเพราะมีความรู้ความฉลาดด้านอรรถธรรม มีหิริโอตตัปปะ สะดุ้งกลัวต่อบาปต่อกรรม ไปที่ไหนสง่างามไปหมด เป็นอย่างนั้นนะใจดวงเดียวนี้แหละ
ใครอย่าว่าพอเกิดขึ้นมาแล้วจะดีทีเดียว ไม่ได้นะ อะไรจะมาพอกพูนขนาดไหน สมบัติเงินทองข้าวของ ยศถาบรรดาศักดิ์มาพอกพูน ก็มีแต่ลมปากมีแต่สิ่งภายนอก ตัวใจนั้นยังอับเฉาอยู่ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร สมบัติทั้งหลายเหล่านั้นก็ไม่มีคุณค่า เพราะใจอับเฉาใจขุ่นมัวเสียอย่างเดียว สิ่งเหล่านั้นก็ไม่มีคุณค่า ทีนี้พอใจสง่างามขึ้นมา สิ่งเหล่านั้นก็กลายเป็นของมีคุณค่าไปตามๆ กันหมด จะใช้ในทางใดๆ เป็นประโยชน์ทั้งนั้นๆ นั่น ไม่ได้ใช้ในทางเสียหาย ใช้ในทางที่ถูกที่ดีก็ดีไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนให้อบรมใจ
ใจดวงนี้ไม่ตาย ต้องได้รับการอบรมให้ดี เพื่อจะก้าวเดินสูงไป ภพที่ใจจะได้รับก็เป็นภพของคนมีบุญ จะไม่เกิดในสถานที่ชั่ว ไปเกิดในสถานที่ดีภพที่ดีทั้งนั้น ท่านจึงสอนให้อบรมใจเพื่อจะได้ไปสู่สุคติโลกสวรรค์ คนมีบุญเท่านั้นไปได้ คนมีบาปไปไม่ได้ ลงนรก เพราะฉะนั้นใจจึงต้องได้รับการอบรม มันขี้เกียจขี้คร้านเท่าไรก็ต้องฝ่าต้องฝืนกัน สุดท้ายพอรสของธรรมเข้าซึมซาบถึงใจแล้วความขยันหมั่นเพียรจะมาเอง ความอุตส่าห์พยายามมาเองๆ
เวลาเราฝึกหัดทีแรกแหม มันดีดมันดิ้นเหมือนจูงหมาใส่ฝน จูงหมาใส่ฝน ฝนตกจั้กๆๆ จูงหมาไปหมาร้องแง็กๆ มันไม่อยากตากฝนหมา นี่จูงเข้าวัดเข้าวาร้องแง็กๆ เป็นอย่างนั้นนะ ทีนี้พอเข้าอกเข้าใจในธรรมแล้วฝนตกไม่ตกไม่สนใจ จะไปให้ได้ๆ เลย เอา ขั้นเบื้องต้นที่ตัวของเราเองฝึกหัดตัวเอง จะว่าโอ้ว่าอวดว่าโม้ว่าคุยก็แล้วแต่ท่านทั้งหลายจะพิจารณา เราเป็นอาจารย์สอนคนเพื่อเป็นคติแก่ผู้ฟังทั้งนั้นแหละ ไม่ได้เพื่อตัวเอง ตัวเองมีมากมีน้อยก็มีอยู่ที่นี่แล้ว
เวลาฝึกเบื้องต้นจิตใจมันดีดมันดิ้น ฝึกหัดภาวนานี่ มันไม่อยากเข้าร่องเข้ารอย ร่องรอยคืออรรถคือธรรม กรอบของธรรมบังคับจิตไว้ให้คิดแต่ทางที่ถูกที่ดี มันไม่อยากคิด มันอยากคิดแต่ทางชั่วช้าลามก ดีดดิ้นทั้งวันทั้งคืน ฝึกเข้าไปๆ ดัดเข้าไป อุบายวิธีการคือมีปัญญานี่สำคัญ ปัญญาคิดอ่านไตร่ตรองแล้วก็เดินตามนั้น เมื่อฝึกหัดเข้าไป มันดีดมันดิ้นขนาดไหนบังคับไม่ให้มันดีดมันดิ้น เราเคยฝึกมาแล้ว จนกระทั่งที่ว่าเอาพุทโธติดกับใจ ไม่ยอมให้คิดไปไหนเลย
ทำไมจิตนี้มันเจริญแล้วเสื่อมๆ ก้าวขึ้นไปสิบสี่สิบห้าวันแทบเป็นแทบตาย เหมือนไสครกขึ้นภูเขามันหนัก แต่เวลาไปอยู่บนภูเขาได้สองคืน โหย กลิ้งลงมานี่ทับหัวเจ้าของไปเลย อย่างนี้ตลอดมาปีกับห้าเดือนจิตที่เจริญแล้วเสื่อม เป็นเพราะเหตุไรจึงเป็นอย่างนี้น้า เราทนทุกข์แสนสาหัส จิตเสื่อมก็เป็นทุกข์มากแล้ว ยังมาเสื่อมซ้ำเข้าไปอีก จะเอาความสุขมาจากไหน เป็นไฟทั้งกองในหัวใจนั่น จึงหาอุบายวิธีพลิก จิตเราก็พยายามเต็มเหนี่ยวๆ แล้วทำไมเจริญขึ้นไปได้สิบสี่สิบห้าวัน ไปอยู่ได้เพียงสองคืนหรือสามคืนแล้วเสื่อมลงต่อหน้าต่อตา จะเป็นเพราะเหตุไรน้า
ตอนนั้นเราไม่ได้มีคำบริกรรม มีแต่ตั้งสติจ่อกับจิตเฉยๆ มันเผลอได้ๆ ทีนี้เอาแบบนี้ จะเอาคำบริกรรมให้ติดกับจิต สติติดกับนั้นไม่ยอมให้มันคิดปรุงอะไร เราคิดมาตั้งแต่วันเกิด ทีนี้เราบังคับไม่ให้คิดในเวลานี้ด้วยการบำเพ็ญธรรมทำไมจะไม่ได้วะ บังคับแหละ ได้เห็นประจักษ์นะที่นี่ เอ้า บังคับ แต่นิสัยเราชอบพุทโธ เอาพุทโธบริกรรม สติติดกับพุทโธ ความคิดนี้ให้เป็นความคิดพุทโธ ไม่ให้เป็นความคิดของกิเลส ห้ามคิดทั้งหมด ให้คิดแต่พุทโธๆ ทีนี้ช่องมันขึ้นมาคือสังขาร ความปรุงขึ้นมา อวิชชาดันมัน มันอยากคิดอยากปรุงอยากรู้อยากเห็น อยากทุกอย่าง จากอวิชชา
ทีนี้เอาสติบังคับด้วยคำบริกรรม ปิดช่องไม่ยอมให้คิดเลย พอลงใจแล้วว่าเพราะขาดคำบริกรรมนี้แหละ ทีนี้ลงใจแล้วก็เอาคำบริกรรมติด ไม่ยอมให้มันคิดไปไหนเลย จะเอาความคิดนี้เป็นธรรม พุทโธๆ เป็นความคิดเหมือนกันแต่เป็นธรรม แล้วสติติดกับนั้น มันอยากคิดอยากปรุงนี้ โถ เหมือนอกจะแตก แต่เมื่อได้ต่อสู้กันแล้วมันต้องสู้กันไม่ถอยกัน มันอยากคิดเท่าไรไม่ยอมให้คิด เอาพุทโธติดๆ ไว้ วันแรกเหมือนอกจะแตกเราไม่ลืม โถ ทุกข์มากแสนสาหัส คือไม่ยอมให้คิดไปไหนเลย ให้อยู่กับพุทโธคำเดียว
ก็เรามีหน้าที่ภาวนาอย่างเดียวนี่ ไปภาวนาอยู่ในป่า งานอื่นไม่มี งานนี้อย่างเดียวทำไมจะไม่ได้ บังคับ วันแรกเหมือนอกจะแตกมันอยากคิด ไม่ยอมให้เผลอจริงๆ นะว่าไม่ให้เผลอไม่เผลอจริงๆ ให้มีแต่พุทโธกับสติติดอยู่ทั้งวันเลย เอ้า มันอยากจะคิดไปไหน มันก็ดันขึ้นมาๆ ทางนี้ก็บังคับช่องที่มันจะขึ้นไม่ให้ขึ้น เอาพุทโธปิด สติติดแนบเข้าไป วันแรกหนักมาก วันที่สองค่อยเบา วันที่สามเบาเห็นชัดที่นี่ เออ ชอบกล เอาจนกระทั่งถึงว่าความคิดพุทโธๆ นี่ เวลาพุทโธติดๆ กันไปทั้งวันทั้งคืนเว้นแต่หลับ มีแต่พุทโธอย่างเดียวกับจิต ไม่ให้ทำงานอย่างอื่น ให้ทำงานกับพุทโธอย่างเดียว
ทีนี้เวลามันได้ที่ของมันแล้วคำว่าพุทโธๆ นี้ละเอียดเข้าไปๆ จนกระทั่งพุทโธหายเงียบเลย เหลือแต่ความรู้ที่ละเอียดเท่านั้น ก็ทำให้สงสัย อ้าว พุทโธเราก็ติดกันมาตั้งแต่วันเริ่มต้นแล้ว ทีนี้มันหายไปไหน กำหนดยังไงก็ไม่ขึ้นไม่มี เอ้าไม่มีก็มีความรู้อันหนึ่งว่า ให้อยู่กับความรู้นี้ด้วยสติเหมือนกัน พอมันสงบลงไปมันไม่ทำงานนะ พุทโธไม่มี นึกยังไงก็ไม่ออก เหลือแต่ความรู้ที่ละเอียด เอาสติจับกับความรู้ที่ละเอียดเอาไว้ ทีนี้พอได้จังหวะมันก็คลี่คลายออกมา พอคลี่คลายออกมานึกพุทโธได้ เอาพุทโธติดเข้าไปๆ จนกระทั่งรู้จักวิธีปฏิบัติ พุทโธนี้เวลาละเอียดเข้าไปๆ จิตละเอียดเข้าไปแล้ว พุทโธละเอียดๆ จนหายเลยนะ ไม่มี พุทโธไม่มีเลย หลายครั้งหลายหนก็จำได้
ทีนี้จิตนี้ก็ค่อยเจริญขึ้นๆ เอาทีนี้มันจะเสื่อมตรงไหน มันเคยเสื่อมตรงนั้น เอา เสื่อมๆ ไปไม่เสียดาย เราเคยเสียดายพอแล้ว จะเจริญก็เจริญ จะเสื่อมก็เสื่อม แต่พุทโธไม่ปล่อย เอาตรงนี้แหละ พอเจริญขึ้นแล้วๆ ถึงขั้นที่จะเสื่อมปล่อยเลย เอ้าๆ เสื่อม พุทโธนี้ไม่ปล่อย เอาอันเดียวติดเข้าไป ขึ้นเรื่อยๆ นะ พอถึงขั้นได้สองคืนเสื่อมทีนี้ไม่เสื่อม ถึงเสื่อมก็ไม่เสียดายมัน ปล่อย เพราะมันเคยเสื่อมมาพอแล้ว ทีนี้ขึ้นเรื่อยๆ เลย นี่ตั้งวิธีถูกต้อง มันเผลอเพราะขาดคำบริกรรมโดยไม่สงสัยละที่นี่ พอคำบริกรรมกับสติติดแนบเข้าไป ความคิดปรุงออกไม่ได้ กิเลสหาทางออกไม่ได้ก็ไม่มารังแกเรา จากนั้นก็แน่นหนามั่นคงขึ้นเรื่อยๆ
วิธีตั้งจิตต้องมีบทหนักบทเบาต่อกัน เพราะจิตนี้ผาดโผนมาก ด้วยอำนาจของกิเลสพาให้ผาดโผน เวลาธรรมเอาให้ถึงกัน ธรรมก็ผาดโผนได้ เอากิเลสให้อยู่ ไม่คิดไปทางไหนได้เลยเพราะอำนาจของธรรมปิดไว้ๆ ทีนี้จิตก็ค่อยเจริญขึ้นๆ นี่ละการฝึกหัดเบื้องต้น เราพูดถึงการฝึกเบื้องต้นที่จิตเจริญแล้วเสื่อมๆ บังคับแบบบริกรรมติดแนบ ทีนี้เจริญแล้วไม่เสื่อม ไม่เสื่อมก็แน่ใจว่าถูกทางแล้ว ทีนี้ก็ขยับใหญ่เลย เอาได้ๆ เลย จากนั้นมาไม่เคยเสื่อมนะ
จนกระทั่งได้เกิดความอัศจรรย์เวลานั่งหามรุ่งหามค่ำ ตอนนั่งตลอดรุ่ง โถ ทุกข์แสนสาหัส นั่งตลอดรุ่งเรานั่งอยู่นั้นตัวของเราเหมือนกับหัวตอ ความทุกข์ทั้งหลายที่โหมเข้ามาเผาร่างกายอันนี้เหมือนไฟเผาหัวตอ แต่สำคัญที่สติกับปัญญา ทุกข์มากเท่าไรทนเฉยๆ ไม่ได้นะไม่ถูก ทุกข์มากเท่าไรเกิดมากเท่าไร สติปัญญายิ่งหมุนรอบอยู่กับความทุกข์ซึ่งเป็นอริยสัจ สุดท้ายก็ลงผึงเลย พอพิจารณารอบแล้วลงถึงแดนอัศจรรย์ จ้าลงไปทีเดียว เหอ อย่างนี้เหรอ นั่นเห็นไหมล่ะ ได้ตั้งแต่คืนแรกเลย คืนแรกนั่งตลอดรุ่ง
จากนั้นมาแล้วก็ได้พยาน วันไหนจะตลอดรุ่งก็เขียนใบตายให้เลย ให้พลิกไปยังไงไม่ได้เป็นอันขาด เรานั่งตลอดรุ่งก็เคยเล่าให้เป็นคติแก่บรรดาลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลาย มีข้อบังคับ คือมีข้อแม้อยู่ข้อเดียว วันนี้เราจะนั่งตลอดรุ่งตั้งแต่บัดนี้จนกระทั่งสว่างเป็นวันใหม่ขึ้นมา ไม่ลุกถ้าไม่เป็นวันใหม่ เว้นข้อเดียวคือมีครูบาอาจารย์หรือพระเณรเกิดเหตุอะไรปัจจุบัน หรือฉุกเฉินในวัด เราจะลุกออกไปช่วยเหตุการณ์นั้น มีข้อเดียว นอกนั้นไม่มี เจ้าของจะมีอะไรให้มี ความยกเว้นไม่มีเลย เรื่องมีให้มีขึ้นมา เอ้ามีได้ แต่จะยกเว้นเพื่อปฏิบัติตามสิ่งที่มีนั้นไม่ให้ไปไม่ให้เป็น ลงถึงขนาดที่ว่า เอ้า ปวดหนักให้ออกเลย ปวดเบาให้ออกเลย เราจะไม่ลุก เป็นอะไรก็ไม่ลุก ซัดกันนี้ ปวดหนักมันก็เลยไม่ปวด ปวดเบามันจะปวดได้ยังไง เยี่ยวจะปวดได้ยังไงเหงื่อเต็มตัว น้ำมันออกมาหมดจะปวดเยี่ยวได้ยังไง นั่งตลอดรุ่งไม่มีปวดเยี่ยวแหละ มันปวดได้ยังไงก็เหงื่อเต็มตัว มันยางตายไม่ใช่เหงื่อนะ ส่วนปวดหนักไม่เคยปวด ถ้าปวดก็ต้องทะลักใส่จีวรกับที่นั่ง ลุกขึ้นมาถึงจะไปซัก
เวลาเป็นเด็กมันขี้ใส่ตักแม่ เยี่ยวใส่ตักแม่มามากขนาดไหน โตขนาดนี้ขี้ใส่ตัวเองเอาไปซักไม่ได้ เอาไปฆ่าทิ้งเสียมันหนักศาสนา ข้อนี้ละบีบบังคับเลย เอา ปวดหนักออกเลย ปวดเบาออกเลย ให้ลุกไม่มี ไม่มีทางจะลุก บีบ มันก็ไม่เคยปวด นี่คำสัตย์คำจริงตั้งลงตรงไหนขาดสะบั้นไปเลย นั่นละได้กำลังใจอีกนะ จิตเวลามันลงเต็มที่ของมันโถ อะไรจะเทียบได้วะ มันจ้านี้ครอบไปหมดเลย ทั้งๆ ที่กองทุกข์กำลังหมุนติ้วๆ ไฟเผาร่างกายเหมือนกับไฟไหม้หัวตอ แต่สติปัญญาเป็นน้ำดับไฟ สาดลงไปๆ พอรอบแล้วมันก็ลงผึงเลยเทียว
ทีนี้วันนี้ได้พยานแล้ว วันหลังเรื่องเป็นเรื่องตายไม่มีหวั่นเลย ซัดกันนี่พุ่งๆ ได้ทุกคืน นั่งตลอดรุ่งคืนไหนจะได้ความอัศจรรย์ๆ แต่การนั่งนี้มีความลำบากมาก ต่างกันที่วันไหนที่จิตพิจารณารอบ ลงได้เร็ว วันนั้นร่างกายก็ไม่บอบช้ำมาก ถ้าวันไหนจิตลงไม่ได้เร็ว พิจารณากันกว่าจะลงนี้แหม เหมือนกับคนตายทั้งเป็น ถ้าวันเช่นนั้นแล้วเวลาจะลุกขึ้นมานี้ ต้องได้จับขาดึงออก เหยียดออกไว้เสียก่อน แล้วคอยสังเกตดูเลือดลมมันจะวิ่งของมัน กำหนดคู้ดู คู้ได้เหยียดได้แล้วลุกได้
อันนี้เราเคยล้มแล้ว คือคืนแรกเลยละ มันซัดกันเสียจนมันตายหมดแล้วนี่ ทีนี้เวลาตอนเช้ามามันไม่ได้เจ็บมันตายหมดแล้วนี่มันไม่เจ็บ ลุกก็ล้มตูมเลย อ้าว ทำไมเป็นอย่างนี้ล้มแล้วลุกไม่ขึ้น มันเป็นยังไงนี่ คืนแรกนะ มาดูมันตายหมด เหล่านี้ตาย ตั้งแต่เอวลงไปตายหมด แล้วคอยกำหนดดู จนกระทั่งมันคู้ได้เหยียดได้ๆ แล้วทีนี้ก็ลุกได้ วันหลังต่อมาถ้าวันไหนมันบอบช้ำมากๆ วันนั้นเราก็เตรียมท่าไว้เลย จะลุกทีเดียวไม่ได้ ต้องจับขาดึงออกเสียก่อน ให้เลือดลมมันเดินสะดวกๆ แล้วค่อยไปได้
ถ้าวันไหนจิตลงได้เร็ว พิจารณามันรอบตัวๆ ลงได้เร็ว ถึงจะนั่งเวลาเท่ากันก็ตาม พอลุกนี้ไปเลยไม่เจ็บไม่ปวด นี่ขึ้นอยู่กับใจนะ ถ้าวันไหนใจฝึกทรมานลำบากวันนั้นร่างกายก็บอบซ้ำมาก ถ้าวันไหนฝึกทรมานไม่ได้ลำบาก ลงได้ผึงๆ ลุกแล้วไปเลย ต่างกันนะ ได้ทำมาแล้วก็พูดได้สบายซิคนเรา ก็มันเป็นกับตัวเองพูดไม่ได้ยังไง ถ้าลงมันได้ลงแล้ว โธ่ ลืมได้เมื่อไร มันจ้าไปหมดเลยจิตดวงนี้ ร่างกายหายหมด ทั้งๆ ที่มันทุกข์เผาเราทั้งเป็นๆ นั่นละ เวลามันทุกข์ทุกข์อย่างนั้น บทเวลาจิตพิจารณารอบแล้วเป็นเหมือนน้ำดับไฟ ดับพรึบหมด ร่างกายหายเงียบเลย เหลือแต่ธรรมชาติอัศจรรย์อยู่ภายใน เป็นอย่างนั้นนะ ทีนี้พอจิตถอนขึ้นมา แล้วพิจารณาอีก ลงอีก วันเช่นนั้นไปได้สบายไม่บอบช้ำ ถ้าวันไหนพิจารณาลำบากๆ วันนั้นลำบากมาก ลุกนี้ต้องได้ทดลองเสียก่อน เหยียดเท้าดูก่อน พอลุกไปได้ก็ค่อยลุก ถ้าจะไปลุกผึงผังล้มตูมเลย เราเป็นแต่คืนแรกแล้วมันก็เป็นบทเรียน
นี่ละการฝึกทรมานใจฟังซิท่านทั้งหลาย คนเราไม่ได้โง่ตลอดเวลานะ ถึงเวลาจนตรอกจนมุมนี้ ความฉลาดมันจะมาของมันพร้อมกัน สติปัญญาจะหมุนรอบตัว ทุกขเวทนามากน้อยเพียงไร มันจะไม่ได้คำนึงถึงกลัวเป็นกลัวตายนะ อะไรจะตายก่อนตายหลัง ทุกข์เหล่านี้ที่เต็มอยู่ในร่างกายนี้ใจเป็นผู้รู้ เอา ให้มันรู้รอบของมัน อะไรจะตายก่อนตายหลังมันก็รอบของมัน สุดท้ายก็ลงผึง นี่การฝึกตัวเอง สำหรับเรานิสัยวาสนาหยาบ ทำอะไรเหมือนว่าเดนตายนั่นละกว่าจะได้รู้ได้เห็น แต่รู้เห็นมันก็ถึงใจนะถ้าได้รู้อะไร นี่การฝึกเบื้องต้นเป็นอย่างนั้น
ครั้นต่อมานี้พอมีทุนมีรอนขึ้นมาแล้วก็เป็นกำไรขึ้นมาเรื่อยๆ อันเรื่องความเพียรที่ตะเกียกตะกายไม่ต้องพูด นั่นเห็นไหมล่ะจิตดวงนี้ละ มันหากหมุนของมันเรื่อยๆ เพราะทุนที่ประเสริฐเลิศเลอก็คือภายในใจมันสง่างามตลอดอยู่แล้ว พิจารณาเท่าไรขวนขวายความสง่างามเพิ่มขึ้นๆ จิตใจดูดดื่มแล้วอยู่กับความเพียร ทั้งวันทั้งคืนอยู่กับความเพียร เป็นเองไม่ต้องบีบบังคับให้พากให้เพียร ไม่ต้อง ได้รั้งเอาไว้ๆ นี่ถึงขั้นมันเป็น..จิต ขั้นมันเป็นคือสติปัญญา ความเพียรเป็นอัตโนมัติทั้งหมดเลย เป็นของตัวเอง ไม่ต้องอาศัยการหนุนการผลักการไส ไม่ต้อง ถึงขั้นแล้วหมุนตลอดเว้นแต่หลับ
มันเป็นขั้นๆ นะการฝึกหัดอบรมจิตใจ ถ้าถึงขั้นความเพียรอัตโนมัติ สติปัญญาอัตโนมัติแล้วนี้ กิเลสไม่เกิดบอกให้ชัดเลย กิเลสมีอยู่มากน้อยมีแต่จะลดลงๆ เบาลง เพราะอำนาจของธรรมตีต้อนเผามันแหลกๆ เอาจนกระทั่งบางครั้งมันขึ้นในจิตเหมือนกัน ฟาดนี้จนกิเลสเหมือนหายเงียบไปหมดเลย ไม่มีอะไร ว่างเปล่าหมดเลย ค้นหาที่ไหนก็ไม่เจอ ทีนี้มันก็ขึ้นละซิ หือ นี่มันไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ ขึ้นมาแล้วหรือ กิเลสไม่เห็นมีสักตัวว่ะ แต่มันไม่ได้สำคัญนะ ว่าเฉยๆ ตอนกิเลสมันไม่มีมันว่าง ทางนี้ธรรมมีละซิธรรมมีอำนาจ ค้นหา หือ ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ ขึ้นมาแล้วหรือ แต่มันไม่ได้สำคัญเท่านั้นเอง แต่รู้อยู่ว่ามี ทำไมกิเลสมันไปไหนหมดเวลานี้ สักเดี๋ยวก็โผล่ขึ้นมา ฟัดกันๆ
ถึงขั้นความเพียรอัตโนมัติแล้วกิเลสจะเกิดไม่ได้ มีแต่จะดับไปๆ กิเลสจะเกิดไม่ได้เลยถ้าลงสติปัญญาความเพียรเป็นอัตโนมัติเป็นเอง หมุนติ้วๆ แก้กิเลสเป็นลำดับลำดา แก้เองโดยลำพังตัวเอง ไม่ต้องบังคับให้แก้เหมือนเราบังคับทำความเพียร ไม่ได้บังคับ รั้งเอาไว้ มันผาดโผนมันดูดมันดื่มสำหรับความเพียร จึงว่าขั้นนี้แล้วกิเลสเกิดไม่ได้มีแต่จะมุดมอดลงๆ แล้วก็เชื่อมเข้าหามหาสติมหาปัญญา เชื่อมโยงถึงกันซึมซาบไปหมดเลย อันนี้พูดไม่ถูก เป็นอยู่ประจักษ์ใจแต่พูดออกมาลำบาก มหาสติมหาปัญญานี้ละเอียดลออซึมซาบไปเลยเชียว ทีนี้กิเลสจะเกิดได้ยังไง มีแต่วันดับลงดับมุดมอดลง โผล่ขึ้นมาไม่ได้ขาดสะบั้นๆ ถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัติเกรียงไกรหรือมหาสติมหาปัญญาแล้ว กิเลสตัวใดไม่กล้าหาญเลย โผล่ออกมาขาดสะบั้นไปเลย
มันเป็นของมันเองนะ มันสังหารกันเองๆ จึงเรียกว่าอัตโนมัติ จนกระทั่งรวมยอดแล้วมันไม่มีที่ไปมันก็ไหลเข้าสู่อวิชชาอันเดียว กิเลสทั้งหลายกิ่งก้านสาขาดอกใบม้วนเข้ามาๆ หาอวิชชาอันเดียว พอสุดยอดแล้วก็ตูมเข้าไปหาอวิชชา อวิชชานั่นละเป็นวัฏจักรใหญ่ มหากษัตริย์ของอวิชชา กษัตริย์วัฏจักร ฟาดนี้ขาดสะบั้นลงไปตูมเท่านั้นหมดเลย อรหันต์น้อยอรหันต์ใหญ่ไม่ถามที่นี่ ทีแรกยังได้ถาม หือ มันไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ ขึ้นมาแล้วเหรอ ว่าให้เจ้าของ เป็นแต่เพียงว่าไม่สำคัญ คือมันว่าง กิเลสไม่มีระยะนั้น
ฟัดกันไปฟัดกันมาจนกระทั่งถึงหลักใหญ่มันอวิชชา ขาดสะบั้นลงไปเท่านั้น อรหันต์น้อยก็ไม่ถามอรหันต์ใหญ่ก็ไม่ถามเลย สนฺทิฏฺฐิโก ขั้นสุดยอด นั่นละขั้นสุดยอดไม่ต้องถามใคร ผางขึ้นมารู้เลย นี่การประกอบความพากเพียร ทีนี้พอถึงขั้นนี้แล้วท่านบอกว่า วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ กตํ กรณียํ พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว การปฏิบัติถอดถอนกิเลสนี้ได้สิ้นสุดลงไปแล้ว งานที่จะทำให้ยิ่งกว่านี้ไม่มี พระอรหันต์พอถึงจุดนี้แล้วท่านจึงไม่มีฆ่ากิเลสอีก กิเลสขาดสะบั้นลงไป หมดโดยสิ้นเชิง จึงเรียกว่าเสร็จกิจในพุทธศาสนา งานศาสนาก็สิ้นสุด เสร็จสิ้นได้
ไม่เหมือนงานกิเลส งานกิเลสไม่มีวันจบวันสิ้น ตลอด ตายทิ้งเปล่าๆ งานของธรรมเมื่อถึงจุดยุติแล้วจะทำอะไรอีกก็ทำไม่ได้ ไม่มีอะไรจะทำ หมด ท่านเรียก วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ นี่มันเห็นประจักษ์อยู่ในใจ ตั้งแต่วันนั้นแล้วพระอรหันต์ท่านไม่ได้เพียรฆ่ากิเลสนะ ฆ่าตัวไหน ก็มันหมดไปแล้วเอาอะไรมาฆ่า อย่างที่ท่านใช้กิริยาท่าทางตามแง่หนักแง่เบาของสิ่งที่มาเกี่ยวข้อง ควรจะดุจะดันจะเผ็ดจะร้อนขนาดไหนก็เป็นพลังของธรรมทั้งหมดเลย ไม่ได้มีพลังของกิเลสที่จะมาโกรธมาแค้นให้ดุด่าว่ากล่าว ดุเป็นเรื่องธรรมไปหมด ดุก็เป็นเรื่องธรรม แผดขนาดไหนเป็นเรื่องธรรมล้วนๆ กิเลสไม่มีแทรกเข้ามา จึงเรียกว่าเป็นธรรมหมดเลยที่นี่
กิริยาอาการใดที่ท่านแสดงมาไม่มีโทษ เพราะจิตบริสุทธิ์เต็มที่แล้ว มีแต่พลังของธรรมออกมาๆ เท่านั้นเอง การละกิเลสก็ละเท่านั้น ขาดสะบั้นไปแล้วหมดไม่ต้องละอีก มันเห็นประจักษ์ นี่ละพุทธศาสนาพระพุทธเจ้าของเราประกาศท้าทายให้นักปฏิบัติทั้งหลายปฏิบัติดูซิ พุทธศาสนาคือตลาดแห่งมรรคผลนิพพาน ตลาดเพชฌฆาตสังหารกิเลสอยู่ที่นั่นหมด เอาให้มันเห็นซิน่ะ สดๆ ร้อนๆ เหมือนพระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้าตลอด ไปที่ไหนเหมือนพระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้า แล้วครึล้าสมัยไปไหนพิจารณาซิ อันนี้มันกิเลสหลอกคนต่างหากนี่ ธรรมะไม่หลอก อกาลิโก ฟังซิ ทั้งกิเลสก็เป็น อกาลิโก ทั้งธรรมก็เป็น อกาลิโก ใครทำความดีความชั่วได้ดีได้ชั่วเสมอกันหมด พากันจำเอานะ
มาอบรมศีลธรรมให้ได้ศีลธรรมไปบังคับจิตใจตัวเอง ถ้าปล่อยให้กิเลสบังคับจมนะ จมๆ อย่างที่เขาเป็นอยู่เวลานี้ เฉพาะอย่างยิ่งวงรัฐบาลกำลังก่อฟืนก่อไฟเผาประเทศชาติบ้านเมืองของเราอยู่นี้ เราพูดได้อย่างชัดเจน เอาธรรมออกพูด ธรรมสอนโลกสอนไม่ได้มีหรือ พระพุทธเจ้าสอนโลกมาสามโลกธาตุศาสดาทั้งนั้นนะสอน ไม่มีใครสอนได้นอกจากศาสดา นี้ก็เอาธรรมนี้มาสอนโลก โลกเป็นยังไงก็รู้ก็เห็นกันอยู่นี้ทำไมจะพูดตำหนิติเตียนติชมกันไม่ได้
อย่างเวลานี้รัฐบาลกำลังมุทะลุ รัฐบาลปัจจุบันนี้กำลังมุทะลุ ไม่ฟังเสียงผู้เสียงคนเสียงใครทั้งนั้น จะฟังแต่เสียงตัวเองที่ตัวเลวร้ายที่สุด เป็นมหาภัยทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จะฟังแต่อำนาจป่าเถื่อนนี้อย่างเดียวเท่านั้น มันจึงมุทะลุหน้าดื้อหน้าด้านที่สุด ไม่มีรัฐบาลใดที่จะเสมอรัฐบาลปัจจุบันนี้ เรียกว่าด้านที่สุดเลย ฟังเสียงครูเสียงอาจารย์หรือไม่ฟังก็ไม่ทราบ เราเคยกระตุกเหมือนกัน ฟังหรือไม่ฟัง ถ้าฟังก็ต้องแก้ไขดัดแปลงตามธรรมจะราบรื่นต่อไป ถ้าไม่ฟังแล้วก็มุทะลุนี้พาจม จะอวดตนขนาดไหนก็ตามไม่มีทางที่จะเจริญได้ จมบอกตรงๆ เลยถ้าฝืนธรรม
ธรรมเป็นของเลิศเลอ กิเลสเลิศเลอที่ไหน ความสำคัญตนต่างหากเป็นกิเลส ความสำคัญที่เป็นกิเลสนี้พาให้ดำเนินพาให้เป็นไปจม ชาติจม ศาสนา พระมหากษัตริย์จม ตัวเองจม ถ้าปฏิบัติตามธรรมแก้ไขดัดแปลงก็ฟื้นตัวขึ้นมาได้ นี่เราก็สอนแล้ว สอนรัฐบาลนี้เราก็สอนแล้ว ถ้าหากว่าไม่ยอมก็เป็นกรรมของสัตว์เท่านั้น เพราะธรรมสอนธรรมไม่ได้ไปบีบบังคับใคร ใครจะเอาก็เอาใครไม่เอาก็แล้วแต่ นี่ก็ได้สอนเต็มภูมิแล้ว เห็นชัดเจนรัฐบาลของเราเวลานี้กำลังเลอะเทอะมาก จะไม่ฟังเสียงใครเลย จะฟังเสียงตั้งแต่มหาพาล อันธพาลที่นำโลกมันนำให้ล่มให้จมมีเท่านั้น อย่างอื่นไม่มี จึงน่าสลดสังเวชนะ เมืองไทยเราจะจมไปเพราะคนๆ เดียวสองคนนี้เหรอ คนดีมีตั้งมากมายจะไม่พากันฟื้นได้หรือ เอ้า พิจารณาให้ดีนะ เอาละพอเทศน์เท่านี้พอ เหนื่อย
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |