เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๓ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๙
เลยสมมุติแล้วไม่มีกรรมฐาน
พวกนี้มาภาวนาในครัว จิตตภาวนาเราสอนวิธีการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วให้ไปปฏิบัติ ในครัวคนเป็นร้อยกว่า ของเล่นเมื่อไร ในวัดนี้มีพระเพียง ๕๐ องค์ ข้างในนี้ร้อยกว่า ดูเหมือน ๑๒๐-๑๓๐ เป็นประจำ แล้วการภาวนาเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ มายั้วเยี้ยๆ ปากเปราะกัดกัน หาแต่เพ่งโทษคนอื่น คนนั้นเป็นอย่างนั้น คนนี้เป็นอย่างนี้ อย่างนั้นเหรอ หัวใจเจ้าของที่ดีดดิ้นอยู่เพื่อฟืนเพื่อไฟเผาตนและผู้อื่นนั้นได้ดูหรือเปล่า นักภาวนาต้องดูหัวใจตัวเหตุใหญ่ ไม่เช่นนั้นไม่รู้เรื่องราวผิดถูกชั่วดีของตัวเอง พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้ภาวนา
การภาวนาคือดูต้นเหตุ มันสร้างเรื่องสร้างราวขึ้นมา จิตแต่ละดวงๆ นี้สร้างเรื่องขึ้นมาทั้งนั้นแหละ พอมองมองแต่คนอื่นไม่มองตัวเอง อันนี้เคยว่าหลายหนแล้ว คนนั้นเป็นอย่างนั้น คนนี้เป็นอย่างนี้ เจ้าของเป็นยังไงไม่ดู เจ้าของมันเหมือนหมาบ้าหากัดนั้นกัดนี้ เพ่งโทษคนนั้น เพ่งโทษคนนี้ คนนั้นไม่ดีอย่างนั้น คนนี้ไม่ดีอย่างนี้ เอาแต่เรื่องคนอื่นมาเป็นบทภาวนาพวกนี้ ไม่ได้เอาธรรมเป็นบทภาวนาพอจะให้ใจสงบจากเรื่องบ้านี้บ้างเลย
ดูซิพระอยู่ที่นี่ เราปกครองมาตั้งแต่สร้างวัดจนกระทั่งป่านนี้ นานหรือไม่นาน พระมีจำนวนน้อยเมื่อไร มากเป็นประจำ ไม่เคยมีเรื่องนะ เพราะท่านดูหัวใจท่าน ท่านไม่ดูใคร ท่านไม่ได้พูดองค์นั้นเป็นอย่างนั้น องค์นี้เป็นอย่างนี้ ไม่มีวัดนี้น่ะ เงียบเลย พวกเรานี่มีเท่าไรคนหนึ่งมันอยากมีสิบปากนู่น หายกโทษคนนั้นยกโทษคนนี้ นินทาคนนั้นนินทาคนนี้ เจ้าของโทษเต็มตัวไม่จ่อดูให้ได้ดุเจ้าของนินทาเจ้าของบ้าง ได้ยินแต่นินทาคนอื่น นินทาเจ้าของให้คนอื่นฟังบ้างซิ วันนี้เราไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ ว่าให้ผู้อื่นฟัง อันนี้มีแต่คนนั้นไม่ดีอย่างนั้น คนนี้ไม่ดีอย่างนี้ ใช้ไม่ได้นะนักภาวนา ต้องดูหัวใจตัวเอง
เราพูดแล้วพูดเล่าว่า ใจเป็นมหาเหตุ บอกแล้ว มหาเหตุคือกิเลสเป็นเจ้าอำนาจอยู่ในหัวใจ ธรรมไม่ค่อยได้แสดงนะ ทั้งๆ ที่มาอบรมศีลธรรมเพื่อจะได้แสดงความสง่าผ่าเผยขึ้นมาภายในจิตใจบ้าง ให้คนอื่นได้เป็นคติเตือนใจมันไม่ได้นะ จะได้แต่เห่านั้นเห่านี้ ยกโทษคนนั้นยกโทษคนนี้ มันเห็นหมาบ้าตัวหนึ่งจ้องดูมันทั้งหมด เจ้าของเป็นบ้าไม่ดูเจ้าของ มันบ้าทั้งวัดวัดป่าบ้านตาด ยกตั้งแต่หลวงตาบัวลงไปก็ได้ ถ้าไม่ดีตรงไหนหลวงตาบัวก็บ้าตรงนั้นเหมือนกัน
มาภาวนาให้ได้เรื่องได้ราวบ้างซิ เป็นยังไงภาวนา ท่านให้พิจารณายังไงก็พิจารณาบ้างซิ นี่สอนมาสักเท่าไรตั้งแต่สร้างวัด มัน ๕๐ ปีแล้วมัง ๒๔๙๙ มาจำพรรษาที่นี่ เดี๋ยวนี้ ๒๕๔๙ เป็น ๕๐ ปีแล้วมัง นี่ละสอนโลกมาตั้งแต่เริ่มสร้างวัด ที่สอนอย่างเปิดเผยมาเรื่อย แต่ก่อนอยู่ในป่าในเขาไม่ค่อยได้สอนใคร มีแต่พระล้วนๆ ไม่มีญาติโยมนะ บิณฑบาตมาเท่าไรฉันเสร็จแล้วล้างบาตรปุบปับๆ หายเงียบๆ เวลาออกมาที่เปิดเผยแล้วก็อย่างว่าละ เห็นไหมยั้วเยี้ยๆ จะเอาอรรถเอาธรรมมาอวดกันไม่มีนะ มีแต่เรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งมาอวดกัน ไม่อวดยังไง มันแสดงออกมาก็เท่ากับอวดละซิ
ภาวนาถ้าดูหัวใจเจ้าของจะรู้ ดูทุกอย่างในสกลกาย เที่ยวกรรมฐาน ดูตั้งแต่ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ฟาดเข้าไปตับไตไส้พุง มีแต่ส้วมทั้งนั้น ดูให้ชัดเจน จิตมันยึดมันถือนี้ นี่ละภูเรา ภูเขาภูเราอันนี้ละ ภูเขาทั้งลูกไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้แก่ใคร แต่หัวใจของคนแต่ละคนๆ นี้สร้างความเดือดร้อนให้แก่ตนและผู้อื่นมากมาย นี่ละภูเขาภูเรา เพราะความยึดถือ ถือว่าเราเป็นของเราแล้วใหญ่ยิ่งกว่าภูเขาเลยนะ เราคนหนึ่งนี้ใหญ่กว่าภูเขา แล้วทับคนนั้นทับคนนี้ เบ่งใส่คนนั้นเบ่งใส่คนนี้ไป ความรู้เท่าหางอึ่งก็ไม่มี แต่มันชอบเบ่ง กิเลสชอบอย่างนั้นละ ถ้าเป็นธรรมไม่ชอบ ดูมันตลอด มันขึ้นแง่ไหนตีแง่นั้นๆ
นี่ก็สอนมาหมดเปลือกแล้ว ถ้าว่าการตั้งสติก็สอนเป็นคติแล้ว ฟาดจนอกจะแตก มันเป็นยังไงจิตนี่ มันเจริญแล้วเสื่อมๆ เพราะอะไร นั่นต้นเหตุมัน ปีหนึ่งกับห้าเดือนเราไม่ลืม เราตกนรกทั้งเป็นมาปีหนึ่งกับห้าเดือน จิตเสื่อมทุกข์มากที่สุด ถ้าไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัวหาเช้ากินเย็นเหมือนตาสีตาสาก็ค่อยยังชั่วนะ ไอ้มีเงินมาเป็นล้านๆ แล้วมาจมลงด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งนี้คนใดจะทุกข์มาก ก็นี้ละคนที่ว่าเป็นเศรษฐีนี่แต่ล่มจมด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งเสีย แม้จะมีเงินในบ้านเป็นแสนๆ ก็ไม่มีความหมาย จิตใจมันไปยึดอยู่ที่ล่มจมไปแล้วนั้น ทีนี้มันก็ทุกข์
อันนี้ก็เหมือนกัน จิตใจที่มีความสงบร่มเย็นแน่นหนามั่นคง เพียงขั้นสมาธินั้นพอแล้วนะ อยู่ที่ไหนสะดวกสบายหมด แต่มาเสื่อมเพราะเราไม่รักษา สิ่งไม่เคยมีไม่เคยเป็นเป็นขึ้นมาแล้วไม่รู้จักวิธีรักษา พอมันเสื่อมขึ้นมานี้ดีดผึงเลย จะเอาคืนไม่คืน ฟาดเสียปีห้าเดือนเราไม่ลืม ตั้งแต่เดือนพฤศจิกาถึงเดือนเมษาปีหน้า ปีห้าเดือน นั่นเห็นไหม นี่ทุกข์มากที่สุดเลย พอจับได้แล้วเอาละที่นี่ ถ้าหากว่าจิตเราได้เสื่อมคราวนี้เราต้องตาย ทนอยู่ไม่ได้ทนทุกข์ทรมาน อย่างที่เคยทนมาแล้วปีกับห้าเดือนนี้ ทุกข์แสนทุกข์แล้ว คราวนี้จับติดแล้ว เอา จะเป็นยังไงก็ให้เป็น เอากันหนักขนาดนั้นละ
นี่มาพูดเป็นคติแก่พี่น้องทั้งหลาย พูดอวดเพื่อหาอะไร ก็ลูกศิษย์ลูกหาเต็มบ้านเต็มเมือง มาศึกษาอบรมเพื่อได้ธรรมไปเป็นคติเครื่องเตือนใจ นี้สอนธรรมมาเพื่อเป็นคติแก่ทุกคนๆ นั่นฟังซิ พิสูจน์พินิจพิจารณาทุกอย่าง ทำไมมันเสื่อมได้ๆ พยายามหนุนขึ้นจะเป็นจะตายประมาณสัก ๑๕ วันแล้วขึ้น พอไปถึงนั้นอยู่ได้เพียงสองคืนดีดผึง เหมือนกลิ้งครกลงจากภูเขาตูมเลยไม่มีอะไรค้าง ขาดสะบั้นไปหมด ครกกลิ้งลงมานั่น ความเสื่อมมันเหมือนครกกลิ้งทับหัวใจเรา ลงไปถึงที่เต็มที่มันแล้วเหลือแต่อีตาบัว ไม่มีอะไรติดตัวเลย แล้วกัน เอาอีกตั้งขึ้นอีก ขึ้นไปถึงนั้นแล้วลงอีก นี่ปีห้าเดือน
จึงได้พิจารณา มันจะเป็นเพราะเหตุใดๆ เพราะเรากำหนดเฉพาะสติกับจิตเท่านั้น เราไม่ได้มีคำบริกรรมบังคับ มันมีเผลอไปได้ มันเสื่อมไปตรงนั้นแหละ เราจึงมาตั้งใหม่ เอาอันนี้เป็นข้อสังเกต สงสัยตรงนี้ อาจจะขาดคำบริกรรม มีแต่จ่อดูจิตด้วยสติเฉยๆ มันอาจเผลอไปได้ประการใดประการหนึ่ง คราวนี้จะเอาอย่างนี้ คราวนี้จะเอาละนะ เอาคำบริกรรม จิตให้ติดอยู่กับคำบริกรรม สติติดกับจุดนั้น เอาที่นี่มันจะเผลอไปไหนไม่ให้เผลอ จะเสื่อมเจริญ เอ้าเสื่อมไปเจริญไป เราเคยเสื่อมเคยเจริญมาแล้วสร้างทุกข์ให้เรามากมายก่ายกอง คราวนี้ เอา เสื่อมเสื่อมไป เจริญไหนเจริญไป แต่จิตกับคำบริกรรมกับสตินี้จะเสื่อมไปไม่ได้ เอาตรงนี้ ใส่ปั๊วะเลย เหมือนกับว่าระฆังดังเป๋งนักมวยต่อยกัน
นิสัยนี้มันจริงอย่างนั้นนะ เมื่อมันลงตัวแล้ว คราวนี้มีแต่เรื่องคำบริกรรมกับสติจับติดไม่ให้เผลอ เอา มันจะเสื่อมเจริญไปไหนปล่อยเลย อันนี้ไม่ปล่อย ซัดเข้าไป อู๊ย ไม่ลืมนะ คือทำอะไรทำด้วยความจริงใจจริงๆ จะลืมได้ยังไง เหมือนกับว่าระฆังดังเป๋ง นี่ตัดสินใจแล้วนะ จะเอาแบบนี้ เอาละเท่านั้นเหมือนระฆังดังเป๋ง เผลอไม่ได้นะ ซัดกันตั้งแต่ตื่นนอนถึงหลับ ไม่ให้เผลอไปแม้ขณะเดียว ทุกข์ไหมตรงนี้น่ะ ฟังซิ ไม่ยอมให้เผลอเลย
อะไรจะทุกข์ยิ่งกว่าตั้งสติไม่ให้เผลอ นี่ได้ตั้งมาแล้ว สังขารคือความคิดปรุงนั้นเป็นเรื่องของกิเลสเรื่องสมุทัยมันดันออกมา มันอยากคิดอยากปรุงนี้ดันออกมาจนอกจะแตกนะ ทางนี้บังคับ เอาคำบริกรรมปิดช่องมันไว้ช่องมันเคยเกิดจากสังขาร เอาสังขารนี้มาใช้เป็นสังขารธรรม บำเพ็ญอย่างธรรม จับติดเลยไม่ยอมให้เผลอ เอา มันอยากคิดอะไรไม่ให้ไปไม่ให้ออก วันแรก โถ เหมือนอกจะแตก ซัดกันไม่ถอย วันสองมาก็แบบเดียวกัน คือไม่ยอมให้เผลอ นี่ทุกข์มากที่สุด ท่านทั้งหลายจำเอานะ
เรื่องตั้งสติไม่ยอมให้เผลอ เป็นเครื่องบังคับ ควบคุมกันอย่างหนักทีเดียว ทุกข์มากที่สุดเลย คือไม่ยอมให้เผลอเลย เป็นยังไงจิตดวงนี้ทำไมเจริญแล้วเสื่อมๆ คราวนี้จะเสื่อมจะเจริญไปไหน เอา ไปเลยเราไม่เสียดาย แต่คำบริกรรมกับสติติดกับจิตนี้จะเสื่อมไปไม่ได้ เอากันตรงนี้ ซัดกัน สองวันสามวันค่อยเบาลง วันแรกเหมือนอกจะแตก สังขารมันดัน ความคิดปรุงอยากคิดนั้นอยากคิดนี้ นี่กิเลสนะ กิเลสสมุทัยออกจากอวิชชาผลักดันออกมา ทีนี้เอาธรรมบังคับไว้ พุทโธๆ
เราชอบพุทโธ เอาพุทโธปิดช่องไว้เลย สติติดแนบไว้นั้นไม่ยอมให้เผลอ สองวันสามวันค่อยเบาลงๆ ทีนี้พอมันเบาลงก็ทราบแล้วว่าได้ผล ได้ผลก็ยิ่งหนักเรื่องสติเผลอไปไม่ได้นะ เอาขนาดนั้น ทีนี้มันก็ค่อยเจริญขึ้นๆ ไปถึงขั้นมันเคยเสื่อม เอ้าเสื่อมไปไม่เสียดาย แต่อันนี้จะเสื่อมไปไม่ได้ สติกับคำบริกรรมพุทโธๆ นี่เสื่อมไปไม่ได้ เอาๆ อะไรจะเสื่อมๆ เจริญๆ ไป ทอดอาลัยตายอยากหมดแล้วเพราะได้รับความทุกข์จากความเสื่อมความเจริญมามากต่อมากแล้วปีห้าเดือน ซัดไปๆ ถึงขั้นที่มันควรจะเสื่อม เอ้าเสื่อม คือไม่เสียดาย ถ้าเสียดายมันจะตั้งข้าศึกขึ้นมาเผาเราเป็นกองทุกข์ขึ้นมาอีก เอ้า ปล่อย เอ้าเสื่อมไปเลย แต่พุทโธกับสตินี้ไม่ยอมให้เสื่อม ฟัดกันตรงนี้
พอถึงขั้นที่มันจะเสื่อม เอ้าเสื่อมเลย ทางนี้จับติดอยู่นี้กับพุทโธ พอถึงนั้นไม่เสื่อมนะ เสื่อมหรือไม่เสื่อมไม่สนใจ แต่อันนี้เผลอไปไม่ได้ เอาจุดนี้ พอถึงขั้นแล้วเอ้าเสื่อมเสื่อมไป ไม่อาลัยตายอยากกับมันแหละ ทีนี้ค่อยขยับขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นมั่นคง จึงทราบได้ชัดว่า อ๋อ จิตเราเสื่อมเพราะขาดคำบริกรรมกับสติบังคับอย่างแน่นหนาฝาคั่ง เอาอย่างนี้แล้วมันไม่เสื่อม ต่อไปเรื่อยๆ
นี่ละที่เข็ดที่สุด คือเรามันเข็ดมาได้ปีกับห้าเดือนแล้ว คราวนี้จิตเราจะเสื่อมไปไม่ได้ ถ้าจิตเสื่อมนี้เราต้องตาย ถ้าเราไม่อยากตายก็อย่าให้จิตเสื่อม ไม่ให้จิตเสื่อมก็ต้องบังคับคำบริกรรมให้แน่นหนามั่นคง มันก็เหนียวแน่นเลย ไม่ยอมให้เสื่อม ทีนี้ขึ้นละ พอได้ที่แล้วก็นั่งตลอดรุ่ง นี่มันต่อกันไปนะนั่งตลอดรุ่ง ท่านทั้งหลายเคยเห็นไหมใครนั่งตลอดรุ่ง นี้มาอวดท่านทั้งหลายเหรอ เรานั่งภาวนาตลอดรุ่งจนก้นเราแตกเลอะหมด เอามาพูดให้ฟัง
การฟัดกับกิเลสเป็นของง่ายเมื่อไร จากนั้นมาก็ก้าวขึ้นสู่นั่งภาวนาตลอดรุ่ง จิตลงผึงๆ เลย ตั้งแต่คืนแรกเลย เอาละที่นี่ไม่เสื่อมละ ไม่เสื่อมก็ตามความเข็ดหลาบเข็ดตลอดเลย ซัดกันอยู่ถึง ๙ คืน ๑๐ คืน แต่เว้นสองคืนบ้าง สามคืนบ้าง นั่งตลอดรุ่ง เว้นสองคืนบ้าง สามคืนบ้าง นั่งตลอดรุ่งเรื่อยๆ จนกระทั่งพ่อแม่ครูจารย์มากระตุกเอา เพราะไปเล่าความแปลกประหลาดอัศจรรย์ของตัวเองให้ท่านฟัง มันไม่เคยเป็นไม่เคยรู้ มารู้มาเป็นตอนนั่งตลอดรุ่ง เวลามันจะเป็นจะตายจริงๆ สติปัญญามันจะอยู่ได้ยังไง ไม่ใช่ทนเอาเฉยๆ นะทนทุกข์ สติปัญญาหมุนติ้ว ทุกข์มากเท่าไรยิ่งหมุนหนัก มันก็รู้กันตรงนี้ สักเดี๋ยวจิตก็ลงผึงเลย พอลงก็ถึงแดนอัศจรรย์ ได้เป็นพยานแล้ว
จากนั้นก็เล่าให้พ่อแม่ครูจารย์ฟัง ท่านก็ยุแหละ เอ้า เอาเลยได้หลักแล้ว อัตภาพนี้มันไม่ตายถึงห้าหนแหละ มันตายหนเดียวเท่านั้น ทีนี้ได้หลักแล้ว เอาเลยนะ ทางนี้ก็เหมือนหมาตัวหนึ่ง พอท่านยุนี่ ออกจากท่านไปแล้วเห็นใบไม้สดใบไม้แห้งร่วงหล่นลงมาไม่ได้ ถือว่าเป็นข้าศึกทั้งหมด ทั้งจะกัดจะเห่า มันเหมือนบ้านะเราพิจารณาเรื่องของเรา ท่านชมเชยท่านยอมรับแล้ว เอ้าถูกต้องแล้ว ได้หลักแล้ว เอาเลย อัตภาพนี้มันไม่ตายถึงห้าหน นี่เป็นกำลังใจอย่างมากนะ พอออกจากท่านไปแล้ว ใบไม้แห้งใบไม้สดร่วงลงมานี้เหมือนข้าศึกมาต่อสู้กับเรา ทั้งเห่าทั้งกัดก็ว่างั้น เอาอีกๆ จนก้นแตก
คืนแรกไม่แตก มันออกร้อนเป็นไฟไปเลย พอคืนที่สองที่สามเข้าไปนี้ จากออกร้อนมันก็พอง จากพองแล้วก็แตก จากแตกก็เลอะ นั่นเห็นไหมล่ะ เป็นยังไงการภาวนา ท่านทั้งหลายฟังซิ เอามาอวดหรือที่พูดนี่ ถ้าอวดก็อวดพ่อแม่ครูจารย์มาแล้ว นี่ถอดออกมาจากความจริงของตัวเองที่ไม่เคยเป็น มันเป็นขึ้นมา กราบเรียนท่านอย่างอาจหาญชาญชัยทีเดียว ท่านเห็นสมควรแล้วท่านก็กระตุกละ เอ้อ สารถีฝึกม้า ถ้าม้าตัวใดมันผาดโผนโจนทะยาน มันพยศมาก สารถีเขาจะต้องฝึกม้าของเขาอย่างรุนแรง เอาอย่างหนัก ไม่ควรกินหญ้าไม่ให้กิน ไม่ควรกินน้ำไม่ให้กิน แต่การฝึกไม่ถอย เอาจนกว่าม้านี้มันค่อยลดพยศลงๆ การฝึกเขาก็ลดลงตามๆ กัน จนกระทั่งม้านี้ใช้การใช้งานได้ไม่มีพยศแล้ว การฝึกเช่นนั้นเขาก็งดไป
แต่ท่านไม่ย้อนมาไอ้หมาตัวนี้มันฝึกยังไง อยากให้ท่านว่า เราไม่ลืมนะ ท่านไม่ว่าว่าเท่านั้น แต่มันเข้าใจแล้ว เหล่านี้มันผ่านทางปริยัติมาหมด มีอยู่ในปริยัติหมดแล้วนี่ ตั้งแต่นั้นมาเราก็ไม่ได้นั่งตลอดรุ่ง ท่านกระตุกแล้วก็ไม่นั่ง ไม่เช่นนั้นมันจะเอาอีกนะ มันของง่ายเมื่อไร ก้นแตกก็ เอา แตกถ้ากิเลสไม่แตกยังไม่ถอยนู่นน่ะฟังซิ พอดีท่านกระตุกเสียก็ยอมรับ ตั้งแต่นั้นจิตนี้ตั้งได้แน่นปึ๋งๆ เลย ตั้งแต่เริ่มระฆังดังเป๋ง ตั้งสตินั่นละขึ้นไปจนกระทั่งถึงขั้นนั่งตลอดรุ่ง เรื่องจิตที่เสื่อมนี้ถ้าเสื่อมเราต้องตาย
เพราะมันมีหลักเกณฑ์มา ทางปริยัติมีนะ พระโคธิกะท่านไปบำเพ็ญสมณธรรมภาวนา ในหนังสือท่านบอกว่าฌานเสื่อม เสื่อมถึงห้าครั้ง พอครั้งที่หกท่านก็เอาเลย ท่านอยู่ไม่ได้ท่านทนไม่ได้ ทนทุกข์ทรมานไม่ได้ จิตเสื่อมๆ นี่ละฌานเสื่อม ฌานก็แปลว่าความเพ่ง เพ่งก็เพ่งอยู่ที่จิตจะเพ่งไปไหน ว่าสมาธิเสื่อมก็ได้ ว่าฌานเสื่อมก็ไม่ผิด เพราะเพ่งอยู่ที่จิตอันเดียวกัน ทีนี้พอครั้งสุดท้ายท่านก็เลยตายจริงๆ นะพระโคธิกะ คือท่านทนไม่ได้ เสื่อมห้าครั้งหกครั้งท่านทนไม่ได้ คำว่าทนไม่ได้เหมือนอย่างเราทนนี้ มันเข้ากันได้ทันทีเลย เป็นทุกข์ขนาดนั้น ท่านเลยเอามีดมาเฉือนคอตาย
พอเฉือนคอเลือดทะลักออกจากคอนี้เลยพิจารณาเลือดตัวเอง เลยเป็นธรรมขึ้นที่นั่น บรรลุธรรมปึ๋งขึ้นเดี๋ยวนั้นเลยก่อนสิ้นชีวิต ท่านเป็นพระอรหันต์ในเวลานั้นนะพระโคธิกะ จนกระทั่งกระเทือนถึงพวกพญามารทั้งหลาย พญามารมาคุ้ยเขี่ยหาจิตวิญญาณของพระโคธิกะ จนกระทั่งเมฆหมอกนี้ดำมืดหมดบนท้องฟ้า เพราะฤทธิ์ของพญามารมาคุ้ยเขี่ยขุดค้นหาจิตวิญญาณของพระโคธิกะ พระองค์นี้ตายแล้วไปไหนๆ เพราะพญามารเป็นใหญ่กว่าสัตว์โลกทั้งหลาย ที่อยู่ใต้อำนาจของพญามารพาให้เกิดให้ตายมาตลอด แล้วจิตดวงนี้เล็ดลอดไปไหนจากอำนาจของพญามาร จึงมาคุ้ยเขี่ยขุดค้นหา พระพุทธเจ้าก็ตวาดเลยทันที พญามาร เธอจะมาค้นหาอะไร จิตวิญญาณของโคธิกะลูกเราตถาคตน่ะ ถ้าภาษาของหลวงตาบัวเธอค้นจนวันตาย ยกโคตรเธอมาค้นก็ไม่เจอละจะว่างั้น ก็พระโคธิกะเป็นพระอรหันต์บรรลุธรรม นิพพานไปแล้วนี่เธอจะค้นหาที่ไหน ความหมายว่างั้น นั่นละพญามารมาค้นหา
ท่านเข็ดถึงขนาดท่านตาย ไอ้เรามันก็เข็ดแบบเดียวกันนี่ คือมันจะทนไม่ได้มันจะตายแบบไหนก็ไม่รู้นะ แต่มันเชื่อในหัวใจดวงนี้นะมันเด็ด ถ้าได้ไปทางไหนแล้วมันจะขาดสะบั้นไปแบบเดียวกัน เอ้า ถึงตายก็ขาดเลยไปเลย เพราะฉะนั้นจึงบอกว่า ถ้าเรายังไม่ตายจิตเรานี้จะเสื่อมไปไม่ได้ ตั้งแต่นั้นมัดคอเลย จิตเหมือนกับผู้ต้องหาอย่างอุกฉกรรจ์ทีเดียว มัดไว้เลยไม่ยอมให้เผลอ เอาจนกระทั่งผ่านไปได้ นี่เป็นคติเครื่องเตือนใจ การภาวนาเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่ทำเหยาะๆ แหยะๆ ถึงคราวหนักหนัก ถึงคราวเบามันเบาของมันเองละ เพราะมันอยากเบาอยู่แล้ว ถึงคราวหนักหนัก เอามันเต็มที่ซิ
นี่ได้ทำมาแล้วมาสอนจึงไม่สงสัยในการสอน ได้อุบายวิธีการจากวิธีใด ได้นำวิธีการนั้นมาสอน ใครจะได้มากน้อยเพียงไรอันนี้เป็นคติแล้ว จะได้มากน้อยเพียงไรก็เป็นเรื่องของตัวเองที่จะไปพยายามปฏิบัติ นี่เราก็พยายามสอนทุกอย่างแล้ว บังคับซิจิต สติบังคับ สติที่จะดีหรือไม่ดีนี้ขึ้นอยู่กับผู้ปฏิบัติอีกเหมือนกัน มีความเฉลียวฉลาดรอบคอบในตัวเองวิธีการของตัวเอง ถ้าสักแต่ว่าตั้งๆ เฉยๆ นี้ไม่ได้เรื่องนะ ต้องหาเหตุหาผล สำหรับเรานี้ด้วยการอดอาหาร เราจึงบึกบึนจนกระทั่งถึงพรรษา ๑๖ แล้ว ๙ ปี แล้วจึงฉันจังหันธรรมดา ไม่อดอีก ตั้งแต่นั้นต่อไปไม่อด ตั้งแต่พรรษา ๗ ถึงพรรษา ๑๖ เอาตลอดจนท้องเสียเพราะมันได้สติ
พออดอาหารนี้สติค่อยดีขึ้นๆ อดไปหลายวันเท่าไรสติติดแนบกับตัวเองตลอด ตื่นขึ้นมาพับจนกระทั่งค่ำไม่ปรากฏว่าเผลอเลย นี่ได้ผลจากการอดอาหาร ทีนี้คนเรามันก็จะตายเมื่อไม่ได้กินก็ต้องกินบ้าง ถ้ากินอันนั้นก็ลดลง มันก็มีอดบ้างอิ่มบ้างซัดกันอยู่อย่างนี้เรื่อยไปละ จนกระทั่งท้องเสีย เสียก็เสียท้อง เราได้อรรถได้ธรรมภายในใจเป็นคติเครื่องเตือนใจเพราะการอดการผ่อนอาหาร สติดีขึ้นเพราะเหตุนี้สำหรับเราเอง องค์อื่นก็จะดีไปคนละทาง เช่น เนสัชชิอย่างนี้ บางรายก็ไม่นอน ไม่นอนไปหลายคืนเท่าไรจิตยิ่งดีๆ ท่านก็ต้องหนักทางนั้น เรานี้อดอาหารผ่อนอาหารนี้มันได้ดีทางนี้ เราก็เลยทุกข์ขนาดไหนก็ต้องบืนเอาทางนี้เรื่อยมา
จึงได้นำมาสอนบรรดาลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลาย ให้พิจารณานิสัยตัวเองนะ ท่านสอนไว้อะไร ท่านสอนไว้เป็นกลางๆ ถ้าไม่ถูกกับจริตของเราเราก็ปล่อยเสีย เอาข้อใดที่ถูกต้องกับจริตนิสัยของเรามันก็เป็นผลเป็นประโยชน์ สำหรับเรานี้อดนอนเราก็บอกแล้วไม่ถูกกับเรา อดนอนฟาดเอาเสียจน ไม่นอนๆ เอาหลายคืนเท่าไรจิตทื่อเข้ามา ร่างกายของเราหนักทื่อไปหมด สะหมงสมองทื่อไปหมด อดไปเท่าไรแทนที่จะมีความแยบคายเฉลียวฉลาด ไม่ฉลาด โอ อย่างนี้ไม่ถูก นั่น ทดลองดูอดดูจนได้หลักได้เกณฑ์จากมันว่าไม่ถูกก็ให้รู้ จากนั้นก็ปล่อยเลย
ทีนี้มาทางอดอาหาร พออดอาหารนี้ได้ดีๆ ปรากฏจับติด เพราะฉะนั้นจึงจับติดไปเรื่อยๆ ซิ ยากขนาดไหนลำบากขนาดไหนก็ทนเอาเพราะได้ผลทางนี้ นี่วิธีการฝึกทรมานเจ้าของ เพียงแต่สักว่าทำแล้วทำๆ ทำลงไปไม่มีกฎมีเกณฑ์ไม่ได้เรื่องนะ ต้องมีการพินิจพิจารณากฎเกณฑ์กับเจ้าของแล้วก็ได้หลักได้เกณฑ์ นี่ได้พิจารณาเต็มกำลังทุกอย่าง ที่ได้มาสอนโลกอยู่เวลานี้ก็ได้มาด้วยวิธีการนี้ละ พินิจพิจารณาอะไรไม่ดีแก้ออกปัดออก เอาอันนี้เข้ามาทดลองทดสอบ จนกระทั่งได้แล้วจับติด เช่น อดอาหารผ่อนอาหารดี รู้ชัดแล้ว สติดีดีตลอด ปัญญาดี ทีนี้เวลาจิตได้ภูมิเข้าไปเท่าไรอดเท่าไรยิ่งละเอียดจิต ยิ่งก้าวเข้าสู่สติปัญญาอัตโนมัตินี้คล่องเลย
อดอาหารมันช่วยได้ทุกแบบ ตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลานมีสติดีอยู่ตั้งได้ๆ จนกระทั่งถึงสติปัญญาอัตโนมัติ อดอาหารช่วยเข้าไปแล้วยิ่งคล่องตัว มันไม่เสียสำหรับเราเองอดอาหารช่วยทั้งนั้นละ การอดอาหารสำหรับผู้ถูกกับนิสัยนะ ถ้าผู้ไม่ถูกกับนิสัยก็จะฝืนอดไปทำไม แน่ะ ก็เราหาเหตุหาผลนี่นะ ให้พากันจำเอานะนักปฏิบัติ การภาวนาจะไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร เราก็สอนเต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้วสอนเรื่องจิตตภาวนา มันผ่านๆ ทุกอย่างจิตนักภาวนาผ่าน
เช่น ร่างกายของเราพระพุทธเจ้าสอนว่า เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ให้พิจารณา เกสา โลมา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ตับ ไต ไส้ พุง พิจารณาจนมันคล่องตัว ทีแรกก็เป็นบทสมถะ คือนำคำเหล่านั้นมาบริกรรม เช่น เกสาๆ อย่างนี้มาบริกรรมให้จิตสงบ พอจิตสงบแล้ว เกสาๆ โลมา นี้กลายเป็นอารมณ์ของวิปัสสนาแยกธาตุแยกขันธ์ นั่นมันเป็นหลายขั้น ทีแรกเป็นอารมณ์สมถะคือเพื่อความสงบใจ เรากำหนดเกสาๆ โลมา นขา ทันตา ตโจ บทใดก็ตามบริกรรมอยู่นั้น จิตก็สงบจากอันนั้น ทีนี้พอต่อไปจิตมีความละเอียดลออ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เป็นอารมณ์ของวิปัสสนาคืออารมณ์ของปัญญาไปเลย
แยกธาตุแยกขันธ์แยกจนกระทั่งหมดในเนื้อในกายของเรานี้ มันเป็นยังไงดูให้หมดทุกสิ่งทุกอย่าง มันจะรักจะชอบจะยึดจะถือจะแบกจะหามไปอะไรนักหนา พระพุทธเจ้าสอนให้ปล่อยให้วางด้วยความรู้เท่าทันมัน แยกมันออกมาดูเกสา โลมาเป็นต้น ดูอันนี้ พอจากนี้แล้วก็ฟาดร่างกายพังทลายๆ หมด เมื่อกิเลสตัณหาเกี่ยวกับร่างกายนี้มันผ่านไปได้ ร่างกายนี้ก็หมดปัญหา เอ้าพูดให้มันชัดๆ กิเลสตัณหาเกี่ยวกับร่างกายก็คือกามราคะ เอาพูดให้ชัด กามราคะนี้มันหนักอยู่ในเรื่องร่างกาย พิจารณาแยกธาตุแยกขันธ์ออกนี้ ร่างกายมันสวยมันงามที่ไหนมันก็ปล่อยออกๆ จนกระทั่งมันผ่านปึ๋งไปได้แล้ว ทีนี้เวลาพิจารณาร่างกายนี้ชำนิชำนาญ ราคะตัณหาขาดไปแล้ว ทีนี้อันนี้มันปล่อย นั่นเห็นไหมล่ะ
ทั้งๆ ที่พิจารณาอยู่งั้นละ แต่เวลามันอิ่มตัวแล้วนี้ เรื่องร่างกายอิ่มตัวแล้วมันปล่อย เป็นนามธรรมไปแล้วที่นี่เข้าสู่ใจ รูปธรรมคือร่างกายเป็นสำคัญ สร้างกิเลสตัณหาก็สร้างที่นี่ รู้เท่านี้แล้วละกิเลสตัณหาก็ละที่ตรงนี้ ผ่านจากนี้ไปแล้วก็เป็นอารมณ์ของธรรมล้วนๆ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เกิดดับๆ พิจารณาเข้าไป จนกระทั่งเข้าถึงจิต เอ้าพูดให้มันชัดๆ แต่พูดย่นๆ เอานะ ถ้าพูดมากตามร่องรอยที่ได้พิจารณามาไม่สิ้นสุดละ ต้องย่นเอามา เอาใจความย่อๆ ความเกิดความดับสัญญาอารมณ์ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เกิดจากจิตๆ ไม่ว่าดีว่าชั่วเกิดแล้วดับๆ วิ่งเข้ามาหาจิตๆ
จนกระทั่งมันทดสอบของมันได้ความคล่องแคล่วว่องไวชัดเจนแล้ว มันก็ผึงเข้าหาจิต อะไรอยู่ในจิต อวิชชาอยู่ในจิต นั่น ตีเข้าไปตรงนั้น อวิชชาขาดสะบั้นไปแล้วหมด ทีนี้คำว่าหมดหมดยังไงที่นี่ฟังอีกนะ พอมันหมดสมมุติโดยประการทั้งปวงแล้ว เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ไม่มีในพระอรหันต์ในจิตพระอรหันต์ กรรมฐานทั้งหลายไม่มีในจิตของพระอรหันต์ ผ่านหมดแล้วนี้เป็นสมมุติทั้งมวล จะเรียกว่าเป็นกรรมฐานปลอมก็แล้วแต่เถอะ ทีนี้ท่านไม่มีกรรมฐานนะ ผ่านไปหมด เพราะเป็นทางเดินเข้าใจไหม ทางเดินเพื่อความพ้นทุกข์ ผ่านไปแล้วจะมากอดบันไดอยู่ยังไง มากอดทางอยู่ยังไง ผ่านไปแล้วก็เข้าบ้านเข้าเรือนซิ นี่ผ่านเข้ามาก็เข้ามาในวัด จะไปกอดหนทางอยู่ได้ยังไง
นี่ละทางเดินของพระนิพพาน พิจารณาตั้งแต่อสุภะทางร่างกาย พอหมดปัญหานี้มันอิ่มตัวมันก็ปล่อยอันนี้ ปล่อยร่างกาย กามราคะหมดแล้วปล่อยร่างกาย เรียกว่าเป็นการฝึกซ้อมที่ยังไม่เต็มภูมิ สอบได้ห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ทีนี้ก็ฝึกซ้อมอันนี้ละ เอาร่างกายนี้ฝึกซ้อม จนกระทั่งร่างกายว่างไปหมดไม่มีอะไรที่จะเกิด ว่าอสุภะอสุภังพิจารณานี้ไม่ทัน เกิดพับดับพร้อมๆ จะแยกธาตุแยกขันธ์ได้ยังไง นี่มันก็รู้กันชัดๆ จนกระทั่งแย็บๆ ดับพร้อมๆ จากนั้นพรึบเข้าหาจิต เหล่านี้ไม่มีแล้วเอาอะไรมาเป็นกรรมฐาน ปล่อยวางหมดแล้วด้วยกรรมฐานมาจากที่ไหน ยึดก็ยึดกรรมฐานติดกรรมฐาน ผ่านกรรมฐานไปแล้วติดอะไร นั่นให้มันชัดๆ อย่างนั้นซิ ผู้พิจารณาปฏิบัติ นี้พูดมาตามเรื่องที่ได้เคยผ่านพิจารณามาอย่างนี้ กรรมฐานนี้ผ่านหมด พอเลยสมมุติไปแล้วไม่มีกรรมฐาน พระอรหันต์ท่านท่านไม่มีกรรมฐานนะ ก็กรรมฐานเหล่านี้เป็นทางผ่านเข้าใจไหมทางเหยียบไป พอพ้นไปแล้วก็จะมากอดหนทางอยู่ทำไม เอาละพากันเข้าใจแล้วนะ พอ จะให้พร
ฟังไหมล่ะวันนี้ เคยได้ยินไหมที่ว่าเทศน์เรื่องปฏิบัติกรรมฐานๆ ไปจนกระทั่งถึงกรรมฐานไม่มี วันนี้พูดขนาดนั้น เคยได้ยินไหมอย่างนี้ ไม่มี มีในภาคปฏิบัติเป็นอย่างนี้ๆ ต้องเอาความเป็นอย่างนี้ออกมาพูดซิ พระพุทธเจ้าผ่านไปแล้วรู้แล้วสอนโลกได้ นี้ปฏิบัติทางสายเดียวกัน มันเป็นยังไงมันก็เป็นอย่างนั้น ที่ว่าไม่มีกรรมฐาน ก็ท่านปล่อยหมดแล้วจะเอาอะไรมามีเข้าใจไหม ทางก็ผ่านมาแล้วมาถึงบ้านแล้วยังจะไปกอดบันไดกอดทางได้ยังไง แน่ะ นั่นละกรรมฐานนี้เพื่อเป็นทางเดินถึงพระนิพพาน พอถึงปึ๊งเท่านั้นละนิพพานหมด เพราะฉะนั้นจึงว่าพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่านไม่มีกรรมฐานบอกตรงๆ เลย ใครจะว่าบ้าเอ้าว่าไป หลวงตาบัวเทศน์อยู่เดี๋ยวนี้น่ะ เทศน์อย่างถนัดชัดเจนในหัวใจ ไม่ได้มาลูบๆ คลำๆ สอนแบบลูบๆ คลำๆ นะ สอนอย่างจริงจัง เวลามันผ่านไปยังไงๆ ผึงเลย
อย่างที่เขาว่านิพพานเป็นอัตตาบ้างเป็นอนัตตาบ้าง นั่นใส่ผางเข้าไปเห็นไหม นี่เอาความจริงออกผางเลย ก็ผ่านมาเป็นอย่างนั้นๆ ไอ้ลูบๆ คลำๆ แล้วมาเถียงกัน นี่ไม่ลูบ ผึงไปเลย แล้วใครจะเถียงก็เถียงซิ นิพพานคือนิพพานเป็นอื่นไปไม่ได้ นั่น ก็ถอดออกมาจากนี้ ก้าวเดินมายังไงๆ พูดออกจากความจริงมันจะผิดไปไหน เทศน์ว่าหยุดแล้วมันบ้าขึ้นอีกแล้วนั่น ไป จะให้พร (คือคำว่าว่างนะคะที่ไม่ค่อยเข้าใจกัน คำว่าว่างคือว่างจากกรรมฐาน ว่างของพระอรหันต์ไม่เหมือนว่างของปุถุชน) ว่างจากสมมุติโดยประการทั้งปวงนั้นถูก รวบหมด ขึ้นชื่อว่าสมมุตินี้ว่างหมด ไม่มีสมมุติใดเข้าไปเกี่ยวข้องเลย แม้เม็ดหินเม็ดทรายไม่มีเข้าไปเกี่ยวข้องจิตพระอรหันต์ จึงว่าสมมุตินั่น กิเลสเป็นตัวสมมุติ กิเลสละเอียดๆ สมมุติก็เป็นละเอียดๆ พอกิเลสขาดปั๊บสมมุติหมดเข้าใจหรือล่ะ นั่นละว่างตรงนั้นแหละ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz
|