ไม่เห็นแก่การให้-การเสียสละ ไม่ดี
วันที่ 13 ธันวาคม 2548 เวลา 8:15 น.
สถานที่ : ศาลา สวนแสงธรรม กรุงเทพฯ
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ ศาลาสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ

เมื่อเช้าวันที่ ๑๓ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘

ไม่เห็นแก่การให้-การเสียสละ ไม่ดี

         เวลาประมาณเท่าไรที่จะไปเยี่ยมท่านราชเลขา (ประมาณเก้าโมงเศษ) จะไปเยี่ยมท่านราชเลขาอยู่ที่จุฬาฯ พอดีเจ้าคุณเทพฯอยากจะให้ไปกราบเยี่ยมสมเด็จพระสังฆราชในระยะเดียวกัน ว่าอย่างนั้นใช่ไหม จากนี้ก็เยี่ยมสมเด็จพระสังฆราชในระยะเดียวกัน ถ้าท่านสะดวกนะ ท่านสะดวกเวลาไหน เราไม่อยากรบกวนเวลาท่าน ต้องเป็นเวลาท่านสะดวก ไปก็ไม่นาน ท่านก็ไม่ค่อยได้รู้เรื่องอะไรละดูลักษณะ ท่านไม่สนใจกับใคร ดูอาการของท่าน

         นี่เจ้าคุณเทพฯอยากจะให้เราไปกราบเยี่ยมสมเด็จพระสังฆราช ถ้าธรรมดาก็สมควร เพราะเราสนิทสนมกันมาสักเท่าไรๆ สนิทมากนะ กับสมเด็จพระสังฆราชเราสนิทกันมาก ท่านเคยไปพักอยู่ที่วัดป่าบ้านตาด ไปภาวนาทีละอาทิตย์กว่าๆ ท่านไป ไปหลายหนนะไม่ใช่ธรรมดา เราสนิทกันมานาน พอออกจากนี้แล้วถ้าหากว่ามีโอกาสอันเหมาะก็ควรจะไป คือเจ้าคุณเทพฯอยากให้เราไปดูอาการ เพราะท่านทราบดีว่าเรากับสมเด็จพระสังฆราชมีอะไรกันสนิทกันขนาดไหนท่านรู้ดี เพราะฉะนั้นท่านจึงอยากให้ไป

         เราเป็นฝ่ายถือตัวก็ได้ถ้าพูดถึงกิริยา แต่ทางน้ำใจไม่มี คือตั้งแต่ท่านเป็นสมเด็จพระสังฆราชแล้วเราไม่เคยไปกราบเยี่ยมท่านเลย เป็นท่านเสียเองยังอุตส่าห์มาเยี่ยมเราวัดป่าบ้านตาด เวลาท่านเป็นสมเด็จพระสังฆราชแล้วนะ ท่านเสียเองเป็นผู้ไป ไอ้เราเสียเองเป็นผู้ถือทิฐิมานะ มันก็แปลกอยู่นะ แต่ภายในใจไม่มี สนิทกันมานาน เจ้าคุณเทพฯอยากให้ไป ท่านยังหัวเราะเราไม่หยุดนะ สมเด็จพระสังฆราชองค์นี้น่ะ ตอนที่พักอยู่กุฏิเดียวกับท่าน ตอนนั้นท่านเป็นเจ้าคุณดูเหมือนเป็นชั้นธรรมหรืออะไร ลืมแล้วละ

         ทีนี้เวลาเราจะไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราชกรมหลวงวชิรญาณ เราไม่ได้เหมือนใคร มันหากไปแบบนั้นละ แบบคนเขาไม่คิดกัน ธรรมดาจะเข้าไปเฝ้าท่านต้องมีผู้ติดตามล้อมหน้าล้อมหลัง เราไม่ได้เป็นอย่างนั้น ประมาณสองทุ่มเราก็ด้อมๆ ไปพระตำหนักท่าน ดู ไม่มีใครละปั๊บขึ้นเลย ท่านทรงยิ้มแย้มเมตตามากอยู่นะ ท่านเห็นพระลิง ก็ไม่มีใครทำอย่างนั้นอย่างเรา เราทำ พอขึ้นไปกราบ “เหอ มหาบัวเหรอ” ก็เคยเฝ้าท่านแล้ว เป็นสาธารณะเคยเฝ้ากับหมู่กับเพื่อน ไม่ได้เฝ้าเฉพาะ พอขึ้นไป เราก็กราบทูลท่าน บอกว่าอยู่อุดร ท่านคงทราบไว้แล้วแหละ “อยู่อุดรรู้จักกับพระยาอุดรไหม” ท่านว่า “พอรู้บ้าง” เราก็ว่าอย่างนั้นเพราะไม่ได้สนิทสนมกันนัก

         “พระยาอุดรมีลูกกี่คน” ก็ทูลท่านว่า “ไม่ทราบว่าท่านมีลูกกี่คน” คุยกับท่านประมาณสัก ๑๐ นาที เราไม่อยู่นาน มีพระเฝ้าอยู่กับท่านดูเหมือน ๓ องค์เท่านั้นแหละ ไม่มีใคร แต่ท่านทรงยิ้มตลอดนะ ท่านเห็นพระลิงพระค่าง พระไม่รู้จักขนบประเพณี พระป่าเป็นอย่างนั้น ปั๊บเข้าไปเลย ขึ้นเลยปุ๊บเลย ทีนี้พอตอนเช้ามาพอฉันจังหันเสร็จ ก็ฉันกับสมเด็จนี่แหละ ฉันอยู่กุฏิท่านด้วยกัน ก็เลยกราบเรียนท่านว่าเมื่อคืนนี้ขึ้นเฝ้าสมเด็จพระสังฆราชท่าน ท่านก็ เหอๆ ท่านว่า ท่านก็ถามละ ตอนไหน ประมาณสองทุ่ม แล้วไปกี่องค์ ไปองค์เดียว ท่านยิ่งจ้อเข้านะไปองค์เดียว ท่านก็ถามด้วย ท่านรับสั่งว่าอย่างไรต่ออย่างไร ท่านจ่อยิ้มด้วยนะ เพราะท่านไม่เคยเห็นพระแบบนี้

         คือเวลาจะเข้าเฝ้าท่านต้องมีอะไรทราบกัน เรื่องราวทุกอย่างถึงจะขึ้นหาท่านได้ ไอ้เราไม่เป็นอย่างนั้นซิ ปั๊บขึ้นเลย ขึ้นแบบไม่มีใครใช้ละ สัก ๑๐ นาทีก็ลาท่านลงมา  มาเล่าให้ท่านฟังท่านยิ้มใหญ่เลย ทั้งจ้องหน้าเรา ทั้งยิ้มนั่นแหละสมเด็จนี่ เราพูดจริงๆ เราไปได้ทุกอย่าง กิริยาก็เหมือนสังคมยอมรับอย่างไรก็กระทำอย่างนั้นๆ บางทีสังคมยอมรับไม่ยอมรับก็ตาม อย่างขึ้นเฝ้าสมเด็จพระสังฆราชยอมรับหรือไม่ยอมรับเราไปของเราคนเดียวปุ๊บเลย ก็อย่างนั้นแล้ว จะมีอะไร พูดให้มันชัดๆ ในสามโลกธาตุมีอะไรวะ เท่านั้นพอ ไม่ต้องพูดมาก

         กิริยาสมมุติอะไรๆ ก็ใช้กันไปๆ มันก็รู้กันอยู่แล้ว ธรรมชาตินั้นเป็นอะไร ใครไม่รู้ก็ตาม เรารู้ของเราคนเดียว พอ ไปได้หมดเข้าได้หมดเลย ยิ่งกับสัตว์ด้วยแล้ว อู๊ย ยิ่งสนิทกันดีนะ นี่ดูซิเห็นหมามันเห่าว้อๆ เราจ่อดูเลย อย่างนั้นแล้วกับหมากับสัตว์ชอบมาก เมตตามัน กับเด็ก-หมา เป็นอันดับหนึ่ง ทั้งสงสารทั้งรัก กับเด็กกับหมา ถ้าผู้ใหญ่ขึ้นมาก็เป็นลำดับๆ เรื่อยขึ้นไป เป็นอย่างนั้น เป็นขั้นๆ โดยหลักธรรมชาติของมันเอง พอดีๆ ถ้ากับหมากับเด็กพันกันเลย เป็นอย่างนั้น

         วันนี้คิดว่าฉันเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะไปเยี่ยมท่านราชเลขา ที่อยู่โรงพยาบาลจุฬาฯ พอดีเจ้าคุณเทพฯอยากจะนิมนต์เราไปกราบเยี่ยมสมเด็จพระสังฆราช หากว่าโอกาสเหมาะสมเราก็อาจจะไปในระยะเดียวกัน พอออกจากท่านราชเลขาแล้วอาจจะไปกราบเยี่ยมสมเด็จท่าน คอยดูโอกาสเสียก่อนว่าสมควรไม่สม หากว่าไม่สมควรจะรบกวนเวลาหรือสุขภาพของท่านเราก็ไม่ไป  คิดดูไม่ได้เข้าไปกราบเยี่ยมท่านก็เพราะท่านเป็นสมเด็จพระสังฆราช แขกคนเวลาว่างเมื่อไร เราไม่ได้เป็นสังฆราชยังยุ่งจะตายไป ยิ่งท่านเป็นสมเด็จสังฆราชท่านเป็นอย่างไร นั่นละเราคิด เพราะฉะนั้นเราถึงไม่เข้าไปหาท่าน

         ถ้าหากว่าเราจะไปนี้ พอท่านทราบนี้ท่านจะมีกิริยาอะไรเสียเวล่ำเวลาในการต้อนรับ เพราะฉะนั้นเราถึงไม่ไป ถ้าไปก็แบบปั๊บเข้าเลย อย่างเราเข้าเฝ้าสมเด็จสังฆราช อย่างนั้นเราไปได้ทำได้ ไม่ยากอะไร ยังไม่ได้กราบเยี่ยมท่านตั้งแต่เป็นสมเด็จสังฆราชแล้ว ยังไม่เคย ทั้งๆ ที่สนิทกันมาสักเท่าไรกับสมเด็จสังฆราชองค์นี้  แต่เวลาท่านเป็นสมเด็จสังฆราชแล้วแขกคนยุ่งตลอด แล้วเราก็จะไปอีก ทีนี้คนสนิทกันเป็นอย่างไร ท่านจะเฉยๆ ก็ไม่เหมาะละซิ ท่านต้องมีกิริยาอะไรต้อนรับเสียเวล่ำเวลาอีก เพราะฉะนั้นเราถึงไม่ไป

         เวลาปรึกษาธรรมะสำคัญๆ นี้ โห ท่านลึกซึ้งอยู่นะ ท่านจะไปคุยเฉพาะเท่านั้นนะ เฉพาะเรากับท่านสองต่อสอง เวลาคุยธรรมะที่ลึกซึ้ง แล้วเกี่ยวกับเรื่องอะไรๆ ท่านจะถามโดยเฉพาะๆ เท่านั้น ท่านไม่ได้พูดในสาธารณชน

         วันนี้คนพอสมควร ไม่น้อยเหมือนกันนะวันนี้ เพราะหยุดมาตั้งหลายวัน คนที่มารับแจกของก็ โถ ๔๔๙ คน เมื่อวานนี้ ๔๐๑ คน วันนี้จะลดลง รับบาตรเฉพาะบาตรเราก็ตั้ง ๑๕๐ กว่าบาตร เต็มแล้วเทๆ เมื่อวานซืน ๑๕๓ เมื่อวานนี้ ๑๒๑ วันหนึ่ง ๑๑๓ ในสามวันนี้ร้อยกว่าบาตร เต็มแล้วเทๆ คนที่มารับตั้ง ๔๐๐ กว่า เมื่อวานซืนนี้ ๔๔๙ เมื่อวานนี้ ๔๐๑ คนมารับแจกของ เราก็พอใจที่ได้สงเคราะห์คนที่ยากจน ผู้ยากจน ยากจน ไอ้เรามันเหลือเฟือ กินให้ตายก็ตายได้ ผู้อดอยากขาดแคลนมี เพราะฉะนั้นใจที่มีธรรมจึงต้องเฉลี่ยกัน ไม่เห็นความสุขแต่เราคนเดียว ความสุขมีแล้วมันก็กระจายออกไป ดูความยากความจน หัวใจคนอื่นหัวใจเรา เทียบเคียงกัน มันก็ประสานกันได้ด้วยการสงเคราะห์สงหา มีมากมีน้อยเฉลี่ยถึงกัน

         การให้ทานการเสียสละนี้เป็นธรรม ประสานน้ำใจให้สนิทกันโดยหลักธรรมชาติเอง ทานจึงเป็นของสำคัญมาก คนเราอยู่ด้วยกันต้องมีการเสียสละต่อกัน การให้ทาน การสงเคราะห์กัน นี้เป็นความสนิทโดยหลักธรรมชาติ ไม่ต้องบอก หากสนิทเอง ทานนี่สำคัญมาก พระพุทธเจ้าท่านขึ้นบารมีก็ทานบารมีเลย ขึ้นต้นเลย เวลาเทศน์สอนโลกก็ขึ้นทานก่อนเลย ทานจึงเป็นของจำเป็นมาก ประสานน้ำใจซึ่งกันและกันให้สนิทสนม ตายใจต่อกันได้เรื่องการเสียสละ

         แต่ความตระหนี่ถี่เหนียวนี้เป็นภัย เป็นภัยมากทีเดียว ใครตระหนี่ถี่เหนียวมากเท่าไรคนนั้นไม่มีใครอยากคบค้าสมาคม ดีไม่ดีเขารังเกียจ แต่คนที่มีน้ำใจกว้างขวางไปที่ไหนเพื่อนฝูงญาติมิตรเยอะทีเดียว ไปที่ไหนไม่อดอยากขาดแคลน นี่ละเรื่องน้ำใจที่กว้างขวางกับจิตใจที่คับแคบต่างกัน ความคับแคบไปไหนเหมือนลักษณะตีบตันปิดทางของตัวไป ไม่เบิกกว้างนะ ถ้ามีจิตใจกว้างขวางแล้วเบิกกว้าง ไปไหนไม่อดตาย มันหากเป็นอยู่ในจิต

         พอพูดอย่างนี้แล้วก็ระลึกได้ตอนที่ว่าจะพูดต่อไป พอดีถึงเวลาบิณฑบาต อย่างพระสีวลี พระเรวัตตะท่านอยู่ในป่า ท่านเป็นน้องชายของพระสารีบุตร แต่เป็นพระอรหันต์ ดูว่าสกุลของพระสารีบุตรนี้เป็นลูกชาย ลูกชายเป็นพระอรหันต์ตั้งหลายองค์ พระสารีบุตร หนึ่ง พระเรวัตตะ หนึ่ง องค์ไหนอีกน้า เป็นพระอรหันต์ตั้งหลายองค์ นี่เรายกตัวอย่างความกว้างขวาง พระสีวลีที่ได้รับเอตทัคคะคือความเลิศในทางเป็นผู้มีอติเรกลาภมากทีเดียว พระสีวลีไปที่ไหนนี้เกลื่อนไปหมดเรื่องวัตถุไทยทาน

         เวลาพระพุทธเจ้าจะทรงประกาศ บอกว่าวันนี้จะไปเยี่ยมพระเรวัตตะ ซึ่งอยู่ในป่าลึกๆ พระอานนท์ก็ทูลอาราธนาขออย่าได้ไป เพราะลำบากลำบนมาก ทางก็ลำบากลำบน และสถานที่อยู่ของพระเรวัตตะก็อยู่ในป่าลึกๆ นี่เวลาท่านจะประกาศอำนาจวาสนาของลูกศิษย์ท่านคือพระสีวลี พระอานนท์นั้นทูลอาราธนาว่ามันลำบากลำบนไม่อยากให้ไป มันจะยากอะไร ท่านว่าอย่างนั้น ก็เอาพระสีวลีเราไปด้วยซิ ถ้าสีวลีเราไปแล้วเบิกกว้างหมด

         นี่ท่านจะยกลูกศิษย์ของท่านขึ้น ส่วนองค์ศาสดาไม่ต้องพูด แต่ทำไมเวลาท่านมาพูด ท่านมาพูดพระสีวลี แต่องค์ท่านเองทำไมไม่พูด ก็เรานี้เป็นศาสดาใช่ไหม ท่านไม่เห็นพูดวะ โหย จะยากอะไร เอาพระสีวลีไปด้วยซิมันเบิกกว้างไปหมดนั้นแหละ ท่านว่านะ แล้วไปก็เป็นความจริง พอพระสีวลีไปนี้เบิกกว้างหมด ทุกสิ่งทุกอย่างสมบูรณ์พูนผลไปหมดเลย ท่านจะประกาศอำนาจวาสนาบุญญาภิสมภาร ที่กว้างขวางของลูกศิษย์ท่านคือพระสีวลีออก ให้บรรดาพระสงฆ์หรือประชาชนทั้งหลายได้ทราบทั่วหน้ากัน

         ท่านจึงยกพระสีวลีขึ้น องค์ท่านเองไม่พูดถึงเลย เราต้องอาศัยพระสีวลีซิ ท่านว่า พระสีวลีไปเบิกกว้างหมด ท่านไม่ได้ว่าพระองค์นะ ว่าพระสีวลี พระสีวลีไปแล้วเบิกกว้างหมด กว้างจริงๆ ไม่มีอดอยากขาดแคลนเลย นี่เรายกตัวอย่างพระสีวลี อำนาจที่ท่านจะมีเลิศเลอในทางนี้ เพราะท่านเป็นนักเสียสละ สายทางของท่านมีแต่การเสียสละทั้งนั้น แม้จะเกิดในภพใดชาติใดท่านเป็นนักเสียสละมาตลอด แม้ที่สุดงานการกุศลใดๆ ก็ตาม ที่เขามีงานมีการกุศลตรงไหนเขาจะต้องมาเชิญ พระสีวลีที่เป็นฆราวาส เพราะท่านเป็นหัวหน้าทาน ให้ไปเป็นประธาน เป็นเกียรติในงานนั้นทุกแห่งไป เพราะร่ำลืออยู่แล้วว่าท่านเป็นนักเสียสละ เกิดในภพใดชาติใด ท่านเป็นนักเสียสละ

         ทีนี้เวลามีการทำบุญให้ทานเขาก็ต้องไปเชิญท่านมาให้เป็นประธาน จนกระทั่งมาวาระสุดท้ายนี้ท่านสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว พระพุทธเจ้าท่านประทานเอตทัคคะความเลิศเลอให้ ว่าพระสีวลีนี้เลิศเลอในทางมีอติเรกลาภมาก บรรดาสาวกทั้งมวลมีพระสีวลีเป็นอันดับหนึ่ง เราจะมาพูดตั้งแต่ผลที่ท่านปรากฏอย่างนี้ มันก็กุดๆ ด้วนๆ พระพุทธเจ้าท่านจึงรับสั่งมาตั้งแต่อดีต อดีตของพระสีวลีนี้เป็นทางเตียนโล่งด้วยกันให้ทาน เตียนโล่งไปเลย การเสียสละท่านเก่งมาก

         เพราะฉะนั้นผลแห่งการเสียสละจึงมาหนุนท่านให้เห็นชัดเจน ท่านไปที่ไหน ไม่ว่าแต่มนุษย์มนา แม้เทวดา อินทร์ พรหม ก็ยังต้องเนรมิตตัวลงมา มาทำบุญให้ทานกับท่าน นี่ละอำนาจแห่งการเสียสละเป็นอย่างนั้น แล้วตรงกันข้ามก็มีพระอีกองค์หนึ่ง พระองค์นี้เป็นผู้เป็นคนประชาชนทั่วไปก็เป็นนักตระหนี่ถี่เหนียว ไปที่ไหนมีแต่ความตระหนี่ถี่เหนียว แม้ที่สุดเอาข้าวมานี่ ข้าวตกจากกระสอบ ตกจากอะไรเรี่ยราด มดง่ามมันขนเมล็ดข้าวนี้ลงไปในรูมัน ก็ไปขุดเอาข้าวในรูมดง่าม เขาขนลงไปเลี้ยงกันเอาไปกิน มึงเอาไปทำไมนี่ของกูนะ ไปขุดเอาข้าวที่มดง่ามมันขนลงไปในรูไปเลี้ยงกัน อีตาตระหนี่นี้ไปขุดเอาขึ้นมาหมด ในตำราบอกไว้ ตระหนี่ขนาดนั้น

         ตั้งแต่มดง่ามเขาขนไปเลี้ยงครอบครัวเขายังไม่ยอมให้เขา ทีนี้มันโผลเผลอะไรไม่ทราบมาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วได้มาบวชในพุทธศาสนา ที่นี่ได้บวชในพุทธศาสนาแล้วฤทธิ์ของความตระหนี่นั้นละมันแสดง พอบวชมาแล้วฉันจังหันไม่เคยอิ่มเลยพระองค์นั้น ไปบิณฑบาตที่ไหนก็ไม่ได้ๆ ให้ไปอยู่ข้างหน้าก็บันดลบันดาลให้เขาไม่เห็นเสีย หากเป็นนั้นแหละอยู่ในนั้น ถ้ายิ่งอยู่สุดท้ายนี้แล้วเท่านั้น ไม่มีหวัง ฉันจังหันไม่อิ่ม พระในวัดท่านก็สงเคราะห์สงหา แต่ก็เป็นเพราะกรรมของท่านเอง ฉันจังหันไม่เคยอิ่ม พอฉันไปหมดเสียของในบาตร หมด ไม่เคยอิ่ม

         ร่ำลือไปถึงพระสารีบุตร-โมคคัลลาน์ ท่านเลยมาทั้งสององค์ เตรียมอาหารมาพร้อม อัครสาวกข้างขวาข้างซ้าย เป็นพระอรหันต์ด้วย ไปไหนประชาชนลูกศิษย์ลูกหาจะน้อยที่ไหน พอท่านไปท่านก็เตรียมพร้อมไปเลย จะไปดูด้วยตาของท่านเอง ว่าพระองค์นี้ฉันจังหันไม่เคยอิ่ม พระทั้งวัดก็สงเคราะห์ แต่มันก็เป็นอย่างนั้น องค์ไหนให้ฉันลงไปแล้วไม่อิ่ม หมดเสีย ของในบาตรหมด ท่านเลยไปเอง เตรียมอาหารไปพร้อม ไปก็ถามท่าน ได้ทราบว่าท่านฉันจังหันไม่เคยอิ่ม ได้ทราบมาอย่างนี้ใช่ไหม ยอมรับเลยว่าใช่ เพราะเหตุใด ไม่มีคนใส่บาตรให้ท่านเหรอท่านถึงฉันจังหันไม่อิ่ม

         มี พระท่านสงเคราะห์สงหาทุกองค์ท่านไม่ใจจืดใจดำ ท่านเมตตาสงสารเห็นว่าฉันจังหันไม่อิ่ม แล้วท่านใส่บาตรใส่ให้จนเต็ม ฉันแล้วปุบปับหายๆ สุดท้ายก็ไม่อิ่มอย่างนี้ตลอดมา เอา วันนี้ฉันให้อิ่ม ท่านจัดของใส่บาตรให้เต็มเลยพระสารีบุตรนะ เอา วันนี้ฉันให้อิ่ม ท่านนั่งจับขอบปากบาตรไว้เลย นี่ละตำรา วันนี้ฉันให้อิ่มนะ ผมจะให้ท่านฉันให้อิ่ม ผมจะจับขอบปากบาตรไว้ ถ้าท่านปล่อยขอบปากบาตรอาหารจะหมดในนั้น เลยจับขอบปากบาตรให้ท่านฉัน บอกฉันให้อิ่ม พอฉันอิ่มในวันนั้นกลางคืนเลยตายเสีย มันบันดลบันดาลอะไรก็ไม่รู้ ฉันอิ่มวันเดียวเลยตาย

         นี่คนตระหนี่ถี่เหนียว ไปที่ไหนคับแคบตีบตัน แม้คนอื่นมาสงเคราะห์ก็สงเคราะห์เฉพาะเรื่องที่สงเคราะห์ แต่กรรมของตัวเองก็เป็นกรรมของตัวเอง มันเคยคับแคบ มันก็เป็นอย่างนั้นฉันจังหันไม่อิ่ม ใครมาสงเคราะห์ขนาดไหนก็ไม่อิ่ม วันนั้นอาศัยอานุภาพของพระสารีบุตรจับขอบปากบาตรไว้เลย ให้ฉันให้อิ่ม ถ้าพระสารีบุตรปล่อยมือนี้อาหารจะหมดไป เลยฉันเสียอิ่มวันนั้น อิ่มวันนั้นก็เลยตายวันนั้น นี่โทษแห่งความคับแคบตีบตัน ความตระหนี่ถี่เหนียว พวกเราอย่านำมาใช้

         ให้แบ่งสันปันส่วนกัน มีมากมีน้อย เราไม่ได้เลิศเลอเพราะเรามีสิ่งของเงินทอง ทุกสิ่งทุกอย่างเหลือเฟือ โดยไม่ได้แจกให้ผู้อื่นผู้ใด เป็นความเห็นแก่ตัว ซึ่งความเห็นแก่ตัวนี้ เป็นอันตรายแก่ตัวเองไม่รู้สึกตัว ถ้าแจกจ่ายเฉลี่ยกันไปนี้เป็นคุณแก่ตัวเอง ไปที่ไหนไม่อดอยากคนผู้ที่เป็นนักเสียสละ มีมากมีน้อยเฉลี่ยเผื่อแผ่กันไป ไม่ได้ว่าญาติว่ามิตร ถือเป็นความจนตรอก ถือเป็นความจำเป็นของผู้ควรจะได้รับสงเคราะห์เป็นประมาณ แล้วก็สงเคราะห์กันไป นี่เรียกว่าธรรม

         ไปที่ไหนไม่อดอยากขาดแคลน ดังพระที่ว่าฉันจังหันไม่อิ่ม นั่นก็คือความตระหนี่ ตระหนี่จนลืมเนื้อลืมตัว ครั้นเวลามาเป็นพระฉันจังหันก็ไม่อิ่ม ใครสงเคราะห์สงหาก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร สุดท้ายก็เป็นกรรมของตัวเองให้หิว ฉันจังหันไม่อิ่มอยู่อย่างนั้นละ นี่กรรมของเจ้าของฉันจังหันไม่อิ่ม ใครสงเคราะห์ขนาดไหนก็เป็นเรื่องของท่านผู้นั้น แต่เรื่องของตัวเองก็เป็นกรรมของตัวเอง ฉันจังหันไม่อิ่มๆ วันนั้นดลบันดาลให้พระสารีบุตร มาจัดของใส่บาตรแล้วจับขอบปากบาตรไว้ให้ท่านฉัน แล้วฉันอิ่มเต็มเหนี่ยว วันนั้นเลยตาย มันฝืนวิสัยคนตระหนี่ จะให้สมบูรณ์มันสมบูรณ์ไม่ได้ มันต้องเป็นไปด้วยความอดอยากขาดแคลน วันนั้นฝืนหลักธรรมชาติของพระตระหนี่องค์นั้น ฉันจังหันอิ่ม พออิ่มวันนั้นเลยตายเลย

         ใครอย่าไปฉันอิ่มกินอิ่มจนกระทั่งตายนะ อดๆ อยากๆ ขาดๆ แคลนๆ เพราะความตระหนี่ดัดสันดานตัวเอง แล้วมีคนอื่นมาสงเคราะห์ กินวันนั้นแล้วตายวันนั้นเราไม่อยากได้ยิน มีมากมีน้อยให้อิ่ม อย่างเราเลี้ยงกันในศาลาให้มันอิ่มทุกคน คนมาขอทานมีเท่าไรแยกกัน ให้แยกกันนะ เขาก็เป็นความสุข เราจะมากินเฉพาะเราเพราะความตระหนี่นี้ตายทิ้งเปล่าๆ นะ ความตระหนี่เห็นแก่ตัวมาก กินไม่พอ ได้ไม่พอ ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีคำว่าพอสำหรับกิเลสตัวตระหนี่ถี่เหนียว ตัวโลภ โลภไม่หยุดไม่ถอย ไม่วิเศษวิโสอะไรละเรื่องความโลภ ความเห็นแก่ได้ ไม่เห็นแก่การให้การเสียสละไม่ดีเลย ให้พากันจำเอา วันนี้พูดเพียงเท่านี้ เอาละทีนี้ให้พร

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน

FM 103.25 MHz

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก