เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘
มรรคผลนิพพานรออยู่แล้ว
ก่อนจังหัน
เวลาออกพรรษานี้พระจะสับสนปนเปกันนะ เดี๋ยวเข้าเดี๋ยวออก เข้าออกๆ ส่วนมากจะเป็นผลลบๆ เข้ามาก็มายุ่ง พอออกไปแทนที่จะเป็นประโยชน์ โลเลนะ ออกพรรษานี้พระเข้าออกๆ แทนที่จะเป็นผลดีเพิ่มไม่ได้เป็นนะ เข้ามาก็แบบโลเล เหมือนว่ารับมูตรรับคูถเอาไว้ชำระล้าง พอออกไปๆ ก็โดดลงส้วมลงถาน จะโดดเข้ามรรคเข้าผลด้วยความพากเพียรมีน้อย เตือนไว้ตลอด
เรานี่วิตกวิจารณ์มากกับพุทธศาสนาในเมืองไทยเรา เฉพาะอย่างยิ่งในเมืองไทยเรา ดูพระเป็นแบบหนึ่ง ดูฆราวาสก็เป็นแบบหนึ่ง มาดูตัวของเราอีกก็เป็นแบบหนึ่ง คำว่าแบบหนึ่งๆ ไม่ใช่ผลบวกนะ มีแต่ผลลบๆ พุทธศาสนานี้เป็นศาสนาที่เลิศเลอ คำสอนที่ท่านสอนไว้แล้วนั้นให้เอามาประดับตน มาประดับกายวาจาใจ ใจคิดคิดให้เป็นอรรถเป็นธรรม การแสดงออกทุกกิริยาให้เป็นอรรถเป็นธรรม ด้วยศาสนาเป็นเครื่องกำกับรักษา นี่ละสำคัญมาก มันไม่ได้สนใจนะคนเราแบบนี้ ที่สอนนี้ไม่ได้สนใจ สนใจแต่ความเลอะๆ เทอะๆ
เห็นอะไรมาเป็นเรื่องกิเลสทั้งนั้น คว้ามับๆ คว้าเอามูตรเอาคูถมาไม่รู้สึกตัวนะ อะไรในโลกนี้มีขาดแคลนที่ตรงไหน ไม่ได้ขาดแคลนนะ เต็มบ้านเต็มเมือง แต่ขาดแคลนที่หัวใจไม่มีธรรม มีตั้งแต่ความโลภความโลเล นี่ละพาเจ้าของให้เสีย เป็นเศรษฐีก็หาความสุขไม่ได้ถ้าไม่มีธรรมเข้าแทรก กิเลสเอาไปถลุงหมด เศรษฐีก็ลืมตัวเสีย ลืมตัวก็เอาสิ่งที่มีใช้ในทางที่ผิดไปเรื่อยๆ ไม่ได้ใช้ในทางที่ถูก นี่กิเลสไปทางไหนต้องแหวกแนวๆ อยู่ในตัวของเรานี้เราก็เป็นตัวแหวกแนว ต้องพิจารณาให้ดี
ธรรมพระพุทธเจ้าเป็นของเล่นแล้วเหรอ ทำให้มนุษย์เราธรรมดานี่จนกระทั่งเป็นเทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม เลยก้าวเข้าสู่นิพพานเลิศเลอสุดยอด คือคำสอนที่ชี้แนวทาง คือแบบแปลนแผนผังก้าวเดินเพื่อความสุขความเจริญเป็นชั้นๆ ขึ้นไป จนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้น คำสอนพระพุทธเจ้าครอบไว้หมด เรื่องคำสอนของกิเลสนี้เอานรกเหมาเลยนะ อัดแน่นๆ อยู่ในนรกอเวจี แล้วกิเลสมันก็ปิดหูปิดตา หูหนวกตาบอด ว่าบาปไม่มี บุญไม่มี นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี ลบไปหมด ผู้ที่ทำคือกองรับเหมา ส่วนมากถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วกองรับเหมาบาปกรรม หาบแต่บาปแต่กรรม หาบแต่กองทุกข์ไปเผาเจ้าของ
ผู้ที่มีหิริโอตตัปปะสะดุ้งกลัวต่อบาปต่อกรรม กลัวบาปกลัวกรรม อยากทำบุญให้ทานคนเช่นนั้น คนว่าบาปไม่มีบุญไม่มีนี้มีตั้งแต่ความสกปรกในหัวใจ ตื่นขึ้นมานี้ทำตั้งแต่ความชั่วช้าลามก เราทำตั้งแต่เช้าจนยันค่ำเป็นยังไง เราทำการทำงานผลได้มายังไง การทำความชั่วตั้งแต่ตื่นนอนถึงหลับก็เหมือนกัน แล้วการสร้างความดีก็อีกเหมือนกัน ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับเป็นผลตลอดๆ
พอพูดอย่างนี้เราก็ระลึกได้ถึงเรื่องที่ว่าสอนให้พี่น้องทั้งหลายตั้งสติ เราเคยทำมาแล้วเป็นคติตัวอย่างอันดี จิตเจริญแล้วเสื่อมๆ มันเพราะอะไร นี่เคยพูดแล้วนะ เอามาพิสูจน์เจ้าของพินิจพิจารณา เลยมาลงกันที่ว่าขาดคำบริกรรม ไม่มีสติ สติขาดวรรคขาดตอน เอาทีนี้สติกับคำบริกรรมจะติดกันเลย มันจะเสื่อมไปไหนให้รู้กันวันนี้ นั่นละพอตั้งปั๊บตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับไม่มีเผลอเลยแม้ขณะเดียว นี่ที่หัวอกมันจะแตกนะ กิเลสมันดันออกๆ คือความคิดความปรุงมันอยากคิดอยากปรุง
ความคิดความปรุงนี้เป็นสายมาจากอวิชชาให้คิด สายมรรคก็คือสติปัญญา คำบริกรรมเป็นสายมรรคปิดเอาไว้ไม่ให้มันออก จะค่อยเบาลง ทางนี้สงบเย็นๆ แล้วสรุปเลยว่าตั้งตัวได้ ที่ว่าเจริญแล้วเสื่อมไม่เสื่อมอีกเลย นี่ละเรื่องความเพียร ตั้งสติฟาดจนยันค่ำๆ เอากิเลสกับตัวเราฟัดกัน อย่าเอาวันคืนปีเดือนมาวัดมาตวงนะ ให้เอากิเลส มันรุนแรงขนาดไหน ธรรมะของเราคือความพากเพียรให้หนักเข้าๆ สำหรับพระผู้ปฏิบัติ ทรงมรรคทรงผลได้ไม่สงสัยนะ มรรคผลนิพพานรออยู่แล้วสำหรับผู้มีความเพียรดังที่ว่านี้นะ ไม่ไปไหน ต้องได้ๆ ตั้งรากตั้งฐาน
จิตไม่เคยสงบ สงบได้นะ จากสงบแล้วก็แนบแน่นเข้าไปเป็นสมาธิ ออกจากสมาธิพิจารณาทางด้านปัญญาตีกระจายแตกโลกธาตุ นั่น นี่ละปัญญาไม่ใช่ของเล่น เวลาจะถอดถอนกิเลสวัฏวนจริงๆ ถอนด้วยปัญญา สมาธิตีกิเลสให้ตะล่อมเข้ามา จับตัวมันได้ง่าย พูดง่ายๆ จิตอิ่มอารมณ์พิจารณาทางด้านปัญญาก็ง่ายๆ ฆ่ากิเลสเป็นลำดับลำดา พ้นทุกข์ได้ด้วยอำนาจของสติเป็นพื้นฐาน แล้วติดต่อกันเรื่อยๆ สติไม่มีครึไม่มีล้าสมัย ไม่มีเบื้องต้นควร ท่ามกลางไม่ควรไม่มี ควรหมดแก่ความเพียรของผู้ละกิเลส พากันจดจำเอา
วัดนี้ผมสงวนมากทีเดียวการประกอบความพากเพียรของพระ งานการอะไรไม่ให้มายุ่งนะ เพราะไม่มีงานการใดที่จะเลิศเลอวิเศษวิโส ยิ่งกว่างานจิตตภาวนาฆ่ากิเลส จำให้ดีนะคำนี้ทุกคน มาเร่ๆ ร่อนๆ ไม่ได้นะ ไปก็ไปอย่างนั้นละเร่ๆ ร่อนๆ ถ้าลงมีสติอยู่กับความเพียรนี้แล้ว เอาอย่างไรกิเลสจะหนาแน่นเท่าภูเขาพังได้เลย อำนาจของสติ นี้พังได้ไม่สงสัย เอาละให้พร
หลังจังหัน
หยุดราชการคราวนี้ดูเหมือน ๔ วันละมัง( ๓ วันเจ้าค่ะ) เสาร์ อาทิตย์ จันทร์ ๓ วันเหรอ วันจันทร์หยุดชดเชยนะ เราก็เคยพูดเสมอ ยังไม่ได้ถามกันจริงจัง เพียงแต่พูดเปรยๆ ไปธรรมดาด้วยการพิจารณาโดยทางเหตุผลแล้ว ไอ้ชดเชยๆ นั่นเพื่ออะไร เพื่อเอารัดเอาเปรียบประชาชนเกินไป ถูกต้อง มาพิจารณาหมดแล้วพิจารณาโดยธรรม วันราชการวันหนึ่งๆ เดือนหนึ่งสี่อาทิตย์ใช่ไหม เสาร์อาทิตย์ๆ ๘ วัน สองเดือน ๑๖ วัน ๑๒ เดือนเป็นเท่าไร เอา พิจารณาซิ แล้วยังหยุดวันนั้นวันนี้อีกเราก็ไม่ว่า วันราชการที่หยุดอย่างนั้น แต่ไอ้หยุดชดเชยนี้มันฟังไม่ขึ้นนะ นอกจากว่าเพื่อความสนุกของตัวเอง
เอารัดเอาเปรียบประชาชนเกินไป เขาวิ่งไปหาเจ้าหน้าที่ หยุดแล้วๆ ปีหนึ่งวันทำราชการกี่วัน แล้ววันหยุดเท่าไรมันไม่ถึงครึ่งกันแล้วเหรอ แล้วเงินเดือนขอปีนขึ้นเรื่อย เพียงประชุมวุฒิสมาชิกหรืออะไรก็ยังขอเงินเดือนและขอบำนาญอีก (เขาขอเพิ่มอีกครับ) นั่นซีมันพิลึกจริงๆ ทางวงราชการ เอารัดเอาเปรียบประชาชนมากจริงๆ เราพิจารณาโดยธรรม โห เขาตีนถีบปากกัดกว่าจะได้มาอยู่มากิน ยังแยกออกไปเพื่อชาติบ้านเมืองอีกภาษีอากร เพื่อชาติเพื่อส่วนรวม ก็เพื่อวงราชการผู้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อแผ่นดิน แล้วมันก็เป็นอย่างนี้ เดือนหนึ่งตั้ง ๘ วันปรกติ ถ้ามีวันหยุดราชการใดอีกก็เพิ่มเข้าไปอีกๆ แล้วยังมาหยุดชดเชยอีก มันจำเป็นอะไร นอกจากหยุดแบบโก้ๆ ลืมตัวเท่านั้น แล้วก็เป็นการเอารัดเอาเปรียบประชาชน มีเท่านั้น ไม่เจตนาก็ตาม หยุดราชการไปวันหนึ่งทั่วแผ่นดินไทย ประชาชนเสียประโยชน์ไปเท่าไร เราได้ประโยชน์มีอย่างเหรอ
มันเคยตัวเป็นนิสัยเมืองไทยเรา ใครอยากเป็นแต่ข้าราชการๆ มันสนุก ทำงานทำการนี้มันแบบผักชีโรยหน้านะ เราได้เห็นอย่างชัดเจนที่มาทำงานในวัดเรา แต่ไม่ระบุวงราชการแผนกไหนแหละ พูดแต่เพียงวงราชการ จนพระท่านเอือมระอา คือนิสัยมันเคยอย่างนั้น หัวหน้ามาสั่งอะไรๆ พอผู้ใหญ่ไปนอนเอกเขนกเลย มันเคยอย่างนี้มา ทีนี้เวลามาทำอยู่ในวัดมันก็มาเอกเขนกให้พระดู จนพระอิดหนาระอาใจ เอ๊ อย่างนี้เองวงราชการ ว่างั้นนะพระ ท่านผู้ปฏิบัติเพื่ออรรถเพื่อธรรมจริงๆ แล้ว เห็นขี้เท่อพวกนี้ได้ชัดเจนมาก
มาทำงานขุดส้วมขุดถานสองสามส้วม โอ๋ย เป็นเดือนก็ไม่เสร็จ ทำอย่างนั้นแหละ พอนายไปก็หลบนอนเอกเขนกอยู่นั้น พระท่านดูขวางหูขวางตาแต่ไม่พูด ทีนี้เวลาท่านคันฟันมากๆ เขาหยุดราชการเขาไปพักอีก พระท่านรุมทำกันเสร็จเลย พอกลับมานี้หน้าแห้งเผือดไปหมด ขายขี้หน้าตัวเอง พระท่านมาทำ เขามาดูพระท่านทำเสร็จแล้วหน้าแห้งไปเลย นั่นเห็นไหมล่ะ มันรำคาญตา มาทำอยู่ในวัดนี่ นี่พวกวงราชการ ผักชีโรยหน้าๆ พอเป็นไปวันหนึ่งๆ งานใดที่มาเกี่ยวกับวัด เฉพาะอย่างยิ่งกับเรานี้ได้เห็นชัดเจน
มันไม่ได้จริงจังกับหน้าที่การงานเพื่อแผ่นดิน แต่เงินเดือนขอเพิ่มขึ้นเรื่อย ฟังซิ ประชาชนเขาจะเป็นจะตายมันไม่ได้ดู เป็นนิสัยสันดานของประเทศไทยเรา ใครเป็นข้าราชการมักจะเป็นอย่างนั้น แต่เราไม่ได้ตำหนิทุกคน ราชการผู้ดีมีแต่รู้สึกว่าน้อย ไอ้ผู้เลวๆ อย่างนี้ลึกๆ ลับๆ แต่ไม่เลวถึงเสีย เลวลึกๆ ลับๆ ตามนิสัยอย่างนี้มี มีมากทีเดียว นี่ละเรื่องของธรรมพูดอย่างตรงไปตรงมาอย่างนี้ การที่จะมาพูดเราก็พิจารณาโดยธรรมเรียบร้อยแล้วมาพูด เช่นอย่างหยุดชดเชย ชดเชยหาอะไร หยุดราชการก็หยุดมาพอแล้ว วันไหนตรงกับวันเสาร์วันอาทิตย์ก็ให้ตรงไปเลย จากนั้นก็ทำราชการต่อไป ไปหาหยุดเพื่อนั้นเพื่อนี้อะไรอีก มันเอารัดเอาเปรียบประชาชนเกินไป
เราพูดจริงๆ ตามหลักความจริงที่พิจารณาแล้ว เอะอะก็ชดเชยๆ แล้ววันเสาร์อาทิตย์ที่ให้ว่างมาๆ เดือนหนึ่งก็ตั้ง ๘ วัน ประชาชนถ้าให้เขาทำงานแบบข้าราชการทำงาน ตายหมดนะประชาชน ไม่พอกิน เดือนหนึ่งหยุดไป ๘ วันประชาชน เขาทำงานหาเช้ากินเย็น ทำการซื้อการขายทุกอย่าง พอวันอย่างนั้นเขาก็หยุดเหมือนราชการหยุด ประชาชนตาย เข้าใจไหม แต่ข้าราชการท้องป่อง นิสัยติดสันดานไม่ดีอีกด้วย มันน่าคิดอยู่เรื่องเหล่านี้ผู้ปกครองแผ่นดิน
เขายกขึ้นให้เป็นผู้ปกครองแผ่นดิน วงราชการต่างๆ นี่แขนงของผู้ปกครองแผ่นดิน ตั้งแต่รัฐบาลลงมา ก็แยกเป็นกิ่งสาขาทำหน้าที่เพื่อแผ่นดินๆ เงินดงเงินเดือนเขาให้อยู่ตลอด ใครควรจะได้รับเงินเดือนขนาดไหนๆ ก็ให้ๆ แต่วันหยุดราชการตั้งแต่ก่อนจริงๆ ตั้งแต่เราเป็นเด็ก วันเสาร์หยุดครึ่งวัน วันอาทิตย์หยุดทั้งวัน วงราชการก็เหมือนกัน โรงร่ำโรงเรียนก็เหมือนกัน
สำหรับโรงเรียนนี้ตอนเป็นนักเรียนเราก็ได้ไหว้พระสวดมนต์ ครูพาไหว้พระสวดมนต์วันเสาร์จะเลิกครึ่งวันนั้นแหละ ครูพาทำวัตรทำวา ไหว้พระนะ เราไม่ลืม แต่ทุกวันนี้มีหรือไม่มีก็ไม่ทราบเรื่องโรงเรียนนะ เราก็ไม่สนใจ ตั้งแต่ออกจากโรงเรียนมาแล้วไม่ทราบเขามีหรือไม่มี นั่นวันเสาร์หยุดครึ่งวัน วันอาทิตย์หยุดเต็มวัน เรียกว่าหนึ่งวันครึ่ง เดือนหนึ่งก็คิดเอาก็แล้วกัน เดี๋ยวนี้เสาร์ก็ให้เต็มวัน วันอาทิตย์ก็เรียกว่าเต็มวันมาอยู่แล้ว เสาร์ครึ่งวันแต่ก่อน เดี๋ยวนี้ให้สองวันเต็ม ฟาดหยุดชดเชยเข้าไปอีก มันยังไงกัน หาเหตุผลไม่ได้
อ้างเหตุผลก็อ้างเหตุผลเพื่อกินเพื่อกลืนต่อไปนั่นเอง เหตุผลที่จะยอมรับอย่างที่ว่านี้ไม่ยอมรับแหละ ถ้ารับมันไม่ทำขึ้นมาอย่างนี้ใช่ไหม ก็ทำขึ้นมาเพื่ออย่างนี้เอง จะไปแก้ให้หลุดจากปากจากคอมัน ดีไม่ดีมันตีปากผู้สอนด้วยซ้ำไปพวกนี้ มันหนาแน่นขึ้นทุกวัน
เรื่องการปฏิบัติต่อตนเองและหน้าที่การงานตลอดส่วนรวม ต้องถือเอาหลักเหตุผลเป็นเครื่องพาดำเนิน อย่าเอาตามใจเจ้าของไม่ได้ เสียทั้งนั้น ต้องให้มีหลักเกณฑ์ เราทำงานทำการในตัวของเราก็มีกฎเกณฑ์ลึกๆ ลับๆ อยู่ในตัวนั้นแหละ วันนี้เราทำงานอย่างนั้นๆ เราจะให้ได้งานอย่างนั้นๆ เท่านั้น ได้จริงๆ อย่างนั้น คือบังคับในตัวไม่ได้บอกใครแหละ ถ้ากิจส่วนรวมก็ลงตามความสัตย์ความจริง รวมกันทำตามเวล่ำเวลา เวลาที่ทำทำจริงๆ เวลาพักก็พักจริงๆ งานส่วนตัวของบุคคลมักเป็นอย่างนั้น แต่ส่วนรวมงานต่างๆ ก็มีด้อยลงไป ถ้าฟาดถึงงานแผ่นดิน งานวงราชการนี้เลอะเทอะ กินไม่หยุดกลืนไม่หยุด วันเสาร์อาทิตย์ฟาดวันชดเชยเข้าไปอีก มันเรื่องอะไร เราก็อยากทราบอีกนะเรื่องเหล่านี้ พิจารณาดูหาเหตุผลไม่ได้
หากเป็นความจำเป็นจะหยุดชดเชยให้เป็นพิเศษ ก็ให้ประกาศมาด้วยเหตุด้วยผลซิ คนทั้งประเทศเขาจะได้รู้ เพราะเขาเป็นผู้ให้ค่าจ้างรางวัล วงราชการต่างๆ กินเงินเดือนจากพี่น้องชาวไทยเราทั้งหมดนั่นแหละ แล้วเอาอำนาจไปเหนือหัวเขาได้เหรอเราเป็นลูกจ้างกินเงินเดือนจากเขา ยังมาเป็นอำนาจเหยียบหัวเขาอีก มันเลอะเทอะเกินไป ทำเอาตามต้องการ ถือเป็นอำนาจแบบนั้นใช้ไม่ได้เลย นี่พูดถึงเรื่องธรรมสอนโลก เราเป็นลูกชาวพุทธควรจะมีอยู่ทุกแห่งทุกหนทุกบุคคลไปก็ได้ยิ่งดี ถ้าไม่ทุกบุคคลก็ในวงราชการงานเมือง เอาธรรมนี้ไปปฏิบัติแทรกเข้าไปๆ อย่าเอากิเลสตัณหาความทะเยอะทะยานกินไม่พอกินไม่อิ่ม เอารัดเอาเปรียบคนอื่นเข้ามาปฏิบัติในหน้าที่การงาน เสีย
วันนี้พูดถึงเรื่องวันปิดชดเชย มันสะเทือนใจมานานแล้วแหละเราแต่ก็ไม่พูด วันนี้พูดเสียบ้าง ใครจะว่าบ้าว่าบอก็แล้วแต่ผู้ฟังทั้งหลาย พูดนี่ได้ฟังทั่วประเทศไทยวงราชการงานเมือง และพูดนี้เอาธรรมออกพูด โดยพิจารณาไตร่ตรองทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อยแล้วค่อยนำมาพูด หยุดราชการส่วนนั้นส่วนนี้ไม่ว่า อันนั้นเราไม่ว่า เช่นวันจักรี วันพืชมงคลหรือวันอะไร อย่างนี้ไม่ว่านะ ไอ้ชดเชยๆ นี่ซีมันแอบกินๆ อยู่ในนั้น มันไม่น่าดู เอะอะก็ชดเชยๆ เพื่อเตร็ดเตร่เร่ร่อนสะดวกสบาย แต่ประชาชนเขาแทบเป็นแทบตาย
ถ้าประชาชนทำงานแบบราชการ ตายหมดนะเมืองไทยเรา วันเสาร์วันอาทิตย์ไม่ต้องทำงานพวกเรา แต่ท้องมันทำงานทุกวันใช่ไหมล่ะ มันกินทุกวันมันใช้ทุกวัน ปล่อยกายได้ไหม นี่ก็จะว่าพูดหยาบ เราพูดเป็นธรรม มันกินมันใช้ทุกอย่าง คำว่าใช้ใช้อะไรในร่างกายของเรา การนุ่งห่มเห็นใครเปลือยกาย เห็นหำเห็นโค็ยเห็นหีมามีไหม นี่พูดหยาบหรืออย่างนี้ นี่การใช้พูดง่ายๆ มันใช้ตลอด ทางปากทางท้องมันก็กิน ทางร่างกายมันก็ใช้ ที่หลับที่นอนก็ต้องมี
ประชาชนถ้าทำแบบราชการตายหมดไม่มีเหลือ ไม่ได้นุ่งผ้านุ่งซิ่น ดีไม่ดีพระก็จีวรขาดเห็นหำ จากเห็นหำเปิดหมดเลยเหมือนกับไอ้ปุ๊กกี้ ถ้าทำงานแบบนั้นแล้วเป็นอย่างนี้ละประชาชน แล้ววงราชการทำงานอย่างนั้นไม่คิดกับตัวเองบ้างเลย เพราะเงินเดือนก็ได้กินจากเขา แล้วก็สนุกลืมเนื้อลืมตัวไป ประชาชนผู้เขาหาเช้ากินเย็นตีนถีบปากกัดอยู่นี้เขาเป็นยังไง ถ้าเขาจะหยุดแบบราชการเขาตายละประชาชนทั้งประเทศ หากินไม่พอปากพอท้อง เดือนหนึ่ง ๘ วัน จากนั้นมีหยุดชดเชยเข้าไปอีก แล้วพวกนี้ทำแบบราชการตาย ถ้าทำแบบราชการตาย ราชการเป็นยังไงถึงไม่ตาย จะตายอะไรเขาป้อนอยู่ทุกวัน ยิ่งลืมเนื้อลืมตัวเข้าไป นี่ละฟังเสียนะ ธรรมสอนโลกสอนอย่างนี้
ต้องให้มีความสม่ำเสมอ มีเหตุมีผลจะทำอะไร ทำเอาตามชอบใจไม่ได้ เข้าไปอะไรนิดหน่อยก็คอยจะขอขึ้นเงินเดือน แล้วขอเบี้ยบำนาญอะไร เขาว่าไง (พวก ส.ส.กับส.ว.เขารวมหัวกันว่าจะออกกฎหมายให้บำนาญพวกเขา เขาว่าเขาทำงานเพื่อชาติ) นี่เข้าใจไหมจะออกกฎหมาย คือจะออกกฎหมอยนั่นเอง กฎหมอยมันขี้เท่อใช่ไหมล่ะ จะออกมาเหยียบหัวคน เงินเดือนนี้เอาไปจากไหน มันหาจะกินจะกลืนอย่างนี้พวกนี้น่ะ เลอะเทอะวงราชการของเรา มองดูแล้วดูไม่ได้นะ
บนโต๊ะใต้โต๊ะมันก็กินอยู่แล้ว เป็นพื้นฐานของมัน กินอยู่ตลอด แล้วยังจะขออย่างนี้อีกขออย่างนั้นอีก ผู้หามาให้กินมันจะตายนะประชาชน ตีนถีบปากกัดอยู่ตลอดเวลา ถ้าหยุดงานเหมือนราชการหยุดประชาชนตาย ไปไม่รอดนะ แต่วงราชการเป็นยังไง ท้องป่อง สนุกสนานลืมเนื้อลืมตัว อยากหยุดชดเชยทั้งเดือนเลยละมันสนุกดี ประชาชนจะเป็นยังไงก็ตาม พิจารณาซิ นี่ละวงราชการเป็นอย่างนี้ พอพูดก็พูด นี้เอาธรรมมาพูด
อย่างพระท่านปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ใครจะทุกข์มากยิ่งกว่าพระฆ่ากิเลส ทุกข์มากที่สุดไม่ใช่เล่นๆ นะ ไม่ใช่บวชแล้วก็สนุกสนาน ไปบิณฑบาตเขาให้ข้าวมาเต็มบาตรมากิน กินแล้วนอน กอนแล้วนิน อย่างนั้นนะ พระองค์นี้จม เห็นไหมล่ะ ศีลธรรมไม่มีในหัวใจเลย มีแต่ความขี้เกียจขี้คร้านอันเป็นคลังของกิเลสเต็มตัวๆ พระองค์นี้ไปไหนก็มีแต่ผ้าเหลือง ใช้ไม่ได้นะ พระแท้พระตามคำสอนของศาสดานั้นคืออะไร เรื่องพระนี้เป็นที่หนึ่งเลย ถ้าพูดถึงเรื่องสติสตัง ความพินิจพิจารณาทุกอย่าง หน้าที่การงานของพระจะไม่ให้บกพร่อง
เช่นท่านมุ่งต่ออรรถต่อธรรมจริงๆ เห็นไหมนี่ ยกเอาเลยวัดป่าบ้านตาด เรื่องการประพฤติปฏิบัติทางความพากความเพียรของท่าน ใครไปยุ่งไม่ได้นะ เพราะฉะนั้นเราถึงกั้นเอาไว้ไม่ให้ใครเข้าไปยุ่ง เราพูดอย่างเด็ดขาดเลย ใครยุ่งไม่ได้ นอกจากคนที่รับใช้กับพระ ผู้ชายสองสามคนคอยเดินเข้าออกอยู่ในบริเวณเท่านั้น คนสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ว่าผู้ชายผู้หญิงเข้าไม่ได้ เป็นหน้าที่เป็นเวลาของท่าน เป็นสถานที่ที่ท่านบำเพ็ญ เปิดโอกาสให้ท่านทำ วันหนึ่งๆ ท่านประกอบความพากเพียรเป็นของเล่นหรือ นี่ไม่ใช่ฉันกี่องค์ ทุกข์หรือไม่ทุกข์
ใครก็ต้องการทุกคน อยากทุกคน ท้องมีทุกคน ท้องพระก็ท้องคนหิวเหมือนกัน ท่านทำไมท่านทำ อย่างนั้นละท่านฝึกท่านฝืนท่านทรมานเพื่ออรรถเพื่อธรรมที่เลิศเลอยิ่งกว่าสิ่งเหล่านี้ สิ่งเหล่านี้จะกินเมื่อไรก็ได้ อิ่มเลยๆ อย่างที่เคยพูดให้ฟัง ลงจากภูเขามาไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน อดข้าวมาสักกี่วัน ก่อนที่จะไปนี่ เอ ถ้าอดไปถึงนั้นมันจะไปถึงบ้านเขาหรือไม่นา ถ้าไม่ถึง เอ้า ถ้างั้นวันหน้านี่ไปฉันเสีย จะพอถึงบ้านเขา ถึงขนาดนั้นมันก็ไม่ถึงบ้าน ไปถึงกลางทางไปนั่งอยู่นั่น ก้าวไม่ออก คือมันเพลียเพราะการอดข้าว ไม่กินหลายวัน แต่ความเพียรหมุนติ้วๆ อยู่ภายใน นั่นทุกข์หรือไม่ทุกข์พิจารณาซิ ท่านผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรมก็คือพระนั่นละที่หนักมากที่สุด หนักอย่างใครมองไม่เห็น นี่หมายถึงพระผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรม ท่านลำบากมากอยู่นะ
เห็นไหมล่ะวันหนึ่งๆ ท่านไม่มาฉันจังหัน ท่านมีปากมีท้องเหมือนกันหมดกับพวกเรา ท่านทำไมไม่ฉัน พิจารณาดูหัวใจของท่านซิ หัวใจของท่านมุ่งใส่ธรรม ท่านไม่ได้มุ่งกับอาหาร อาหารนี่พอเยียวยา กินเมื่อไรก็อิ่มเมื่อนั้น พอเมื่อนั้น มีกำลังวังชาขึ้น ดังที่เราพูดนี่แหละ ไปบิณฑบาตในหมู่บ้านไม่ถึง ต้องนั่งเสียก่อน จนกระทั่งกิเลสมันตีขึ้นมา เรียกว่ากิเลสเกิด ธรรมเกิด ไปนั่งอยู่นั่นมันเพลียก้าวขาไม่ออก พักเสียก่อนค่อยไป
พอนั่งพักอยู่นั้นสักเดี๋ยวกิเลสโผล่ขึ้นมา นี่เห็นไหม ท่านอดอาหารเพื่อจะฆ่ากิเลสให้ตาย แต่กิเลสยังไม่ตาย ท่านกำลังจะตายรู้ไหม ขึ้นมาเพื่อจะให้เราอ่อนทางด้านจิตใจ หมดความอุตส่าห์พยายามดังที่เคยปฏิบัติมาอย่างนี้ ทางนั้นขึ้นแล้วทางธรรมขึ้นรับกันเลย นี่เรียกว่ากิเลสกับธรรมแก้กัน ทางนี้ก็ขึ้นรับกัน การกินนี้กินมาตั้งแต่วันเกิดไม่เห็นวิเศษวิโสอะไร อดอาหารเพียงเท่านี้จะตายหรือ เอ้า ตายก็ตาย นั่นเห็นไหมล่ะพุ่งเลย
ทีนี้เวลาเราจะเป็นจะตายครั้นไปฉันจังหันมาแล้ว พอฉันเสร็จนี้เดินกลับภูเขา เทียบกับม้าแข่ง ดีดผึงเลย เพราะอะไร กำลังทางร่างกายขึ้นได้ง่าย ไม่ได้ยากเหมือนกำลังทางด้านจิตใจ เพราะฉะนั้นจึงต้องฝึกทางด้านจิตใจให้มาก ร่างกายอ่อนอย่าเข้าใจว่าจิตใจจะอ่อนนะ ร่างกายอ่อนเท่าไรจิตใจเหมือนจะเหาะเหินเดินฟ้าอยู่ภายในนี่ สว่างไสวจ้า เวลาเราผ่อนอาหารเป็นเครื่องหนุนความพากเพียร สติก็ดีๆ การอดอาหารถือสติเป็นสำคัญ คืออดอาหารหลายวันเท่าไรสติยิ่งดีขึ้นๆ ทีนี้คนเรามันจะตาย เมื่อเห็นสติดีขึ้นๆ กำลังจะตายมันก็ไม่ไหว ต้องออกมาฉัน ถ้าฉันแล้วสติจะรู้สึกว่า วันแรกจะมีลักษณะแปลกๆ มีเผลอบ้างอะไรบ้างยิบๆ แย็บๆ พอวันหลังเข้ามาเผลอมากกว่านั้น นั่น แต่ไม่กินก็ไม่ได้มันจะตาย ต้องฟัดต้องเหวี่ยง อดบ้างอิ่มบ้างอย่างนั้นแหละท่านทำความเพียร
นี่ละผู้ปฏิบัติธรรมไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนะ เหมือนตกนรกทั้งเป็น เอายันเลยนะ เพราะเราผ่านมาหมดแล้ว ที่พูดนี้เราผ่านมาพอแล้วเป็นเวลา ๙ ปี ถึงขนาดที่ว่าจะไปจะอยู่ก็มีบางครั้ง มันเอากันหนักขนาดนั้น นี่ละความทุกข์ เพราะมุ่งอรรถมุ่งธรรม จิตใจมุ่งมั่นต่อธรรมแข็งแกร่ง ไม่อ่อนนะ ร่างกายอะไรจะอ่อนก็อ่อน แต่จิตนี้ไม่มีอ่อน ยิ่งแข็งขึ้นทุกวันๆ เพราะการอดอาหารเป็นเครื่องส่งเสริมความเพียรมีสติเป็นต้นได้ดี ท่านจึงได้อด พระอยู่ในวัดนี้มีน้อยเมื่อไรอดอาหารๆ ท่านมีปากมีท้องเหมือนกัน นี่ละเหตุผลของท่าน
เหตุผลของเราที่จะปฏิบัติตัวให้เป็นคนดี ไม่ถึงกับจะทำอย่างนี้ก็ตาม ให้มีเหตุผลบังคับตัวเองบ้าง คนเราจะพอมีขอบเขตเหตุผลปฏิบัติต่อตนเองและหน้าที่การงาน ก็จะเป็นผลเป็นประโยชน์เป็นลำดับไป ไม่ได้เป็นแบบปล่อยตัวๆ แล้วเลอะเทอะไปหมด ดูไม่ได้นะ นี่ละการปฏิบัติตัวต้องมีเหตุมีผล อย่างที่พูดถึงวงราชการ ทำราชการเหมือนผักชีโรยหน้า แต่การกินการกลืนนี้ไม่มีใครสู้ ยักษ์สู้ไม่ได้ นี่ละมันเลว ถ้ามีอรรถมีธรรมปั๊บเข้าไปนี้ หน้าที่ของราชการเป็นยังไง เอ้า ทำตามหน้าที่ของราชการ ถึงวันหยุดก็หยุดแต่พอควรดังที่เคยปฏิบัติมา อย่าหยุดแบบเลอะๆ เทอะๆ หยุดไปเรื่อยๆ หาเหตุหาผลไม่ได้ ลืมตัวไปเลย แล้วเป็นอำนาจบาตรหลวงป่าๆ เถื่อนๆ กินเงินเดือนของประชาชนทั้งประเทศ แล้วเป็นนายเหยียบหัวประชาชนทั้งประเทศมีอย่างเหรอ ต้องคิดซิ เรื่องอรรถเรื่องธรรมเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้
ใครเป็นผู้มีบุญมีคุณต่อเรา ประชาชนเขาเลี้ยงดูเรามาตั้งแต่เราไปรับราชการ เงินเดือนกินจากประชาชน เราควรจะปฏิบัติยังไงให้เหมาะสมกับประชาชนที่เขาต้องการ เราเป็นลูกจ้างของประชาชนนี่นะ เราเป็นใหญ่เป็นโตมาจากที่ไหน ไม่ได้กินเงินกับประชาชน...ตาย วงราชการทุกหน่วยทุกคน ต้องอาศัยเงินเดือนของประชาชนมากินทั้งนั้น คนทั้งแผ่นดินเลี้ยงวงราชการขนาดไหน พิจารณาซิ ต้องคิดถึงหัวใจเขา อย่าลืมเนื้อลืมตัวจนไม่มีสติติดตัวเลย เลยเป็นบ้า...ราชการ
ใครก็อยากเป็นราชการ ใครก็อยากเป็นเจ้าเป็นนาย เป็นแล้วมันขึ้นขี่หัวคน กินสบายนอนสบาย เตร็ดเตร่เร่ร่อน ใครไม่ว่าอะไร เหมือนนายใหญ่โต อำนาจใหญ่โต ทั้งๆ ที่เป็นลูกจ้างของเขา มันน่าคิดไหมล่ะพิจารณาซิ ถ้าคิดเป็นอรรถเป็นธรรมแล้ว วงราชการนั่นละเป็นวงที่เป็นคติตัวอย่างได้ดี ไม่ถือเนื้อถือตัว เพราะเราตั้งหน้าทำงานให้แผ่นดิน คนทั้งแผ่นดินชุบเลี้ยงเรา เราต้องทำหน้าที่การงานให้สมเหตุสมผลกับเราเป็นคนรับใช้ของแผ่นดิน ไม่มีการถือเนื้อถือตัว เย่อหยิ่งจองหองดังที่เป็นอยู่เวลานี้ เวลานี้มันเลยเถิดแล้วนะ มันอดไม่ได้ต้องคิด นี่ละธรรมสอนโลกสอนอย่างนี้
ธรรมเหนือโลกมาแล้วสอนไม่ได้มีอย่างเหรอ พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาองค์เหนือโลก ธรรมเหนือโลก มาสอนโลกที่สกปรก ควรจะเป็นผู้เป็นคนบ้างท่านก็อยากให้เป็น ถ้ามันจมเอาเสียจริงๆ ไม่มองหน้ามองหลังก็เรียกปทปรมะ เข้าห้องไอซียู ไม่มองดูหมอ ไม่มองดูยา รอแต่ลมหายใจที่จะขาดไปเท่านั้น คนประเภทนั้นก็ทิ้งไปเสีย แต่นี้เราไม่ใช่คนประเภทนั้นที่ทำงานให้แผ่นดินไทยอยู่เวลานี้ วงราชการไม่ใช่คนประเภทนั้น ควรจะรู้เนื้อรู้ตัว กลับตัวพลิกตัวให้อยู่ในความพอเหมาะพอดี การอยู่การกินการใช้สอย วงราชการกับประชาชนมีปากมีท้องเสมอกัน ควรจับจ่ายใช้สอยให้พอดิบพอดีกับครอบครัวของวงราชการแต่ละคนๆ
ไม่ใช่ขวดเหล้าขวดยาปลาแป้งเต็มบ้านเต็มเรือน ผลที่สุดเต็มอยู่ในเสื่อในหมอนก็มีได้ เพราะมันลืมตัวจะว่าไง อย่างนี้ใช้ไม่ได้นะ วงราชการต้องเป็นวงบุคคลตัวอย่างแก่ประชาชนทั้งหลายถึงถูก นี้เป็นตัวอย่างแบบเลวๆ แบบเขาดูแล้วดูไม่ได้ ถ้าจะพูดอะไรก็อย่างว่าแหละ มันเป็นอำนาจป่าเถื่อนอีกด้วยนะพวกนี้ ประชาชนพูดอะไรไม่ได้ คอยแต่จะทุบจะตีจะบีบคั้น ใครพูดอะไรไม่ได้ ครองอำนาจป่าๆ เถื่อนๆ ตัวเท่าอึ่งนี้แผ่อำนาจไปเท่าภูเขา ใครจะอยากดูอึ่งแผ่อำนาจเท่าภูเขา เราเคยเห็นมีไหม ไม่เคยเห็น เรื่องภูเขาไม่ต้องแผ่มันก็เป็นภูเขาอยู่แล้ว อึ่งไม่ต้องบอกมันก็เป็นอึ่งอยู่แล้ว ใครก็รู้กัน
การประพฤติตัวให้พอเหมาะพอดีกับตัวเองใครก็รู้กัน เราก็รู้เรา เขาก็รู้เขา มันก็เป็นคนดีขึ้นมาได้คนเรา พากันจดจำเอานะ เราพูดถึงเรื่องพระที่ตั้งใจปฏิบัติธรรมจริงๆ ทุกข์มากนะ บังคับจิตใจไม่ให้คิดให้ปรุงออกเรื่องนอกเรื่องนา ที่จะเป็นเสี้ยนเป็นหนามต่อจิตใจท่านชำระสะสาง อดอาหารก็เพื่อชำระกิเลสอยู่ภายในใจ พออดเข้าไปนี้สติดี ควบคุมกิเลสได้ดี ถ้าสติขาดลงไปกิเลสออกเพ่นพ่านได้นะ ถ้าสติดีเท่าไรกิเลสไม่เพ่นพ่าน มันจะมากขนาดไหนเพ่นพ่านออกมาไม่ได้ สตินี้เป็นกำแพงอันหนาแน่นกั้นไว้หมดๆ สติจึงเป็นพื้นฐานในการประกอบความพากเพียร
จากนั้นปัญญาก็ออก จิตเมื่อได้รับการอารักขาด้วยสติสตังแล้วจะมีความสงบเย็นเข้าไปๆ จากนั้นก็ตั้งรากฐานได้ ขึ้นสมาธิขึ้นปัญญา เปิดกิเลสออก โลกธาตุโล่งไปหมดเลย ไม่มีอะไรเหลือเลย เพราะความเพียรที่เอาจริงเอาจังของท่าน นั่น พากันจำเอานะ เอาละพอ
ผู้กำกับ มี ณ หนูแก้วครับ
หลวงตา เอาฟังๆ เขาเขียนมานี้เพื่อแผ่นดินไทยเรา ให้ฟัง ทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อย วงราชการและประชาชนได้ฟังทั่วกัน ใครผิดใครถูกประการใดเอาไปวิพากษ์วิจารณ์ จากหนังสือพิมพ์ที่เป็นหัวใจของประชาชน เขากำลังฟังเหตุการณ์ความเคลื่อนไหวของแผ่นดินไทย ทั้งวงราชการ ส่วนมากวงราชการละเขาจะวิพากษ์วิจารณ์ เพราะพวกนี้ลืมตัวมากกว่าจะเป็นผู้มีสติ เอาว่าไป
ผู้กำกับ รับทองคำก่อนนะครับ หลวงปู่ลีถ้ำผาแดงครับ ทองคำ ๓ กิโล ๙ บาท ๒๕ สตางค์
หลวงตา อีตาลีเก่งกว่าครูนะ เรานั่งอยู่นี้มีแต่ว้อๆ ไม่เห็นได้ทองคำสักครึ่งกิโลเลย นี่ฟาดมาตั้ง ๓ กิโล เก่งกว่าครู เก่งแบบนี้เอาเถอะเราชมเชย
ผู้กำกับ เงินสด ๒๖๗,๘๗๐ บาท เช็ค ๓๓๒,๔๔๘ บาท ยอดรวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๖๐๐,๓๑๘ บาทครับ
หลวงตา เออ พอใจ เมื่อวานท่านบุญมีเอามานี้ เราจำได้แต่ว่ากิโลกว่า เอามาให้บนกุฏิ ดูเหมือนกิโลกว่า กว่าเท่าไรไม่ทราบ เอาทีนี้อ่านไปว่าไง
ผู้กำกับ จากนสพ.พิมพ์ไทย คอลัมน์วิจารณธรรม วันจันทร์ หัวข้อเรื่องว่า
ตุลาเดือนแห่งอาถรรพ์
ฤดูกาลโยกย้ายข้าราชการประจำปีได้ผ่านพ้นไปแล้ว แต่จู่ๆ คุณหมอจักรธรรม ธรรมศักดิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ก็ถูกอำนาจมืดบงการให้โยกย้ายโดยไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว น่าจะเป็นเพราะความอาถรรพ์ของเดือนตุลาคมเป็นแน่
นักโหราศาสตร์หลายสำนักต่างทำนายทายทักตรงกันว่า ดวงของชาติบ้านเมืองกำลังจะเปลี่ยนแปลงไป ส่วนจะไปในทางดีหรือร้ายก็ขอให้จับตาดูภายใน 3 เดือนนับจากนี้
ช่างอาภัพเสียจริงๆ กับพระพุทธศาสนาในประเทศไทยเรา หลังจากถูกปล่อยปละละเลยขาดการเอาใจใส่จากภาครัฐมานานหลายปี พอจะมีคนดีๆ เข้ามาทำหน้าที่สนองงานรัฐและคณะสงฆ์อย่างจริงจังสักคน ซึ่งงานพระศาสนากำลังจะก้าวหน้าดำเนินไปได้ด้วยดี แต่ก็กลับต้องมาสะดุดหยุดชะงักลงอีกในทันทีทันใด
หากผิดพลาดเผอเรอในการทำหน้าที่ก็ควรจะยอมรับกับคำสั่งย้าย แต่ความผิดหาไม่พบ ความพลั้งเผลอหาไม่มี แล้วมาย้ายท่านทำไม ชีวิตของข้าราชการย่อมมีเกียรติและศักดิ์ศรีด้วยกันทุกคน ชาติตระกูลไม่ว่าสูงว่าต่ำมันก็เป็นเกียรติของชาติตระกูลนั้น ข้าราชการที่ถูกสั่งย้ายทำนองนี้ย่อมส่งผลเสียหายถึงชาติตระกูลของเขาไปด้วย
ไปทำลายชาติตระกูลท่านทำไม ?
ในวงพระสังฆาธิการทุกระดับในทันทีที่ได้ทราบข่าวนี้ ต่างก็ยกหูโทรศัพท์หารือกันสายไม่ว่าง ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปสาเหตุของการสั่งย้ายว่า เป็นเพราะหมอจักรธรรมไม่ต้องกับกิเลสของพระผู้ใหญ่เพียงรูปเดียว
หลวงตา รูปเดียวคือใคร รู้กันทั้งประเทศแล้วนะ เอาว่าไป
ผู้กำกับ ก่อนวันจะถูกเรียกตัวเข้าพบในทำเนียบ คุณหมอจักรธรรม กับรองนายกฯ สุวัจน์ ลิปตพัลลภ กำลังร่วมมือกันสานโครงการ กีฬาสมาธิ อยู่ในสนามกีฬาอินดอร์ สเตเดียม หัวหมาก พอวันรุ่งขึ้นก็มีหมายงานจะต้องเข้าร่วมพิธีบรรพชาอุปสมบทพระภิกษุสามเณรเฉลิมพระเกียรติ 3,999 รูป ที่วัดพิชัยสงคราม จังหวัดสมุทรปราการ แต่แล้วก็ต้องงดงานเฉลิมฉลองพระเกียรติอย่างกะทันหัน เพราะต้องเดินทางร่วมกับรองนายกฯไปตรวจเยี่ยมวัด ที่พระภิกษุและลูกศิษย์วัดถูกฆ่าในจังหวัดปัตตานี
เที่ยวบินปัตตานีเที่ยวนี้ ศิษย์รักหลวงพ่อคูณถูกข้ามหัว !
มีคนพบเอกสาร 2 ชิ้นตกอยู่บนเครื่อง ชิ้นหนึ่งมีข้อความว่า ข้าไม่ได้ติดใจในตำแหน่ง ไม่กล่าวหาว่าถูกแกล้งให้คนหยัน แต่ศักดิ์ศรีคนเรามีเท่ากัน สิ่งสำคัญผิดใดด่วนควรแจ้งมา โอ้ธรณีนี่นี้จงดูซี ลูกอดีตนายกรัฐมนตรีอย่างข้า ถูกย้ายไม่รู้ความผิดอนิจจา หรือเพราะว่าเป็นธรรมดาของ...ขาลง
ไม่ทราบว่าใครเขียน ??
กับอีกชิ้นหนึ่งมีข้อความว่า ....มอบแด่ ผอ.จักรธรรม 18 ต.ค. 48 เหมือนใบไม้ผลัดใบ ในวันร่วง สิ่งที่ห่วงก็คืองาน รอสานฝัน ไม่รู้เหตุ, ไม่รู้ผล,ไม่รู้ทัน รู้แต่ว่าที่มุ่งมั่น มันปราชัย จักรธรรมคือธรรมจักร รักสงบ ไม่เคยคิดสู้รบกับเรื่องไหน ลูกผู้ชายย่อมอยู่ได้ ทุกที่ไป อยู่กับความมีชัย...ใจตัวเอง
ชิ้นนี้ก็คงไม่ต้องบอกว่าใครเขียนถึงใคร
พุทธศาสนจักรยามนี้คงเปลี่ยนฉากไปจากเดิมอย่างแน่นอน คงยากนักที่จะหวังว่าจะได้ผู้ที่มีความจงรักภักดีต่อชาติ ต่อศาสนา และพระมหากษัตริย์ เข้ามาทำหน้าที่แทนคุณหมอจักรธรรม ถ้าไม่อย่างนั้นก็คงจะไม่มีการเปลี่ยนตัวกันอีแบบนี้หรอก
อาถรรพ์เดือนตุลาก็อย่างที่เห็น หัวเรี่ยวหัวแรงของพระพุทธศาสนาได้ถูกเปลี่ยนแปลงไปแล้ว และอีกในไม่ช้านี้พุทธศาสนิกชนทั้งหลายก็จะรู้ว่าใครผุดมาจากก๊กไหน ที่จะเข้าไปทำหน้าที่ในแดนสนธยาแห่งนี้
ที่แน่ๆ ในวันที่ 27 ตุลาคมนี้จะมีการประชุมสงฆ์ครั้งใหญ่ ณ ศาลาใหญ่วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี และวันนั้นคงจะมีมติสงฆ์ไทยออกมาขจัดเสนียดจัญไรบ้านเมือง
เขาว่ากันว่า..พระวัดป่าจะออกมาโปรดสัตว์ด้วย !!
ณ. หนูแก้ว
หลวงตา มีการประชุมที่นั่น พระสงฆ์ทั่วประเทศจะมาที่นั่น มาเรื่องเหล่านี้ละ คนดีๆ คัดออกไปฆ่าๆ เอาคนรักคนถือเข้ามาทำหน้าที่แทน กินบ้านกินเมือง กินชาติกินศาสนาแทนๆ ไม่ว่าแต่วงราชการที่เป็นสำนักงานพุทธศาสนา วงอื่นๆ ก็เหมือนกัน ใครทำดีไม่ได้ เที่ยวทำลายๆ หมด ลุกลามเข้ามาคุณหญิงจารุวรรณ นี่เห็นอย่างชัดเจนทีเดียว นี่ก็พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตั้งด้วยความชอบธรรม ตามพระราชอำนาจที่อยู่ในวงกฎหมายบ้านเมือง แล้วอยู่ๆ พวกนี้พวกอะไรก็ไม่ทราบ พวกที่เคยรุกราน พวกที่เป็นเพชฌฆาต รุกรานเข้ามาๆ
รุกรานเข้าไปถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ทรงเซ็นให้ใช่ไหม (เขาเสนอคนใหม่เข้าไปอีกคนหนึ่ง แล้วเขาจะเอาคนใหม่นี้เป็น แล้วให้ทรงโปรดเกล้าถอดคุณหญิงจารุวรรณ พระองค์ท่านไม่เซ็น) ท่านจะเซ็นยังไง แม้แต่หลวงตาบัวก็ไม่เซ็น ท่านเป็นคนรับสั่งเข้าไปเองด้วยความชอบธรรมเรียบร้อยแล้ว แล้วจะให้ท่านเซ็น ก็เอามือเขียนตีนลบซิ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ความร่มเย็นแก่คนทั่วแผ่นดินไทย ท่านจะเซ็นได้ลงคอหรือ เรื่องป่าๆ เถื่อนๆ มาให้ท่านเซ็น ท่านทำด้วยความเป็นธรรมเรียบร้อยแล้วนี่
นี่พวกยักษ์พวกผีมันเป็นอย่างนี้ละ รุกราน เอาพรรคเอาพวก เอาแพะเอาหมาเข้ามา แล้วก็จะมาทำลาย พวกนี้มากินมากลืนมาทำลายจุดสำคัญๆ ของหัวใจชาติ คุณหญิงจารุวรรณก็รักษาหมด เพื่อหัวใจชาติ ทีนี้พวกนี้จะเข้ามากลืน ขับคนนี้หนี เราพูดจริงๆ อย่างนี้ละ นี่ความเป็นธรรม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่านทรงรอบคอบขนาดไหน ท่านทรงตั้งตามกฎหมายบ้านเมืองของท่านอีกด้วย กฎหมายบ้านเมืองก็มี ท่านไม่ได้ข้ามเกินกฎหมายบ้านเมืองไป ท่านทำอย่างนี้ ไอ้พวกที่ข้ามเกินมานี่คือพวกกฎหมอยกฎหมากฎหมัดเข้ามาทำลายอยู่เวลานี้
ที่ไหนดีๆ สำคัญๆ พวกเปรตพวกผีมันจะรุกรานเข้าไปๆ มันออกจากหน่วยเดียวจุดเดียวกันนี่แหละ อย่างย้ายหมอจักรธรรมก็เหมือนกัน ออกจากจุดเดียวกัน จุดนี้เป็นจุดทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เราพูดได้ตรงๆ ไม่เคยเห็นตรงไหนที่ส่งเสริมชาติให้ปรากฏขึ้นมา แล้วศาสนา-พระมหากษัตริย์ตรงไหนไม่เคยส่งเสริม แต่เรื่องทำลายเด่นมากทีเดียว ไปที่ไหนมีแต่เรื่องทำลายๆ พวกนี้เป็นพวกทำลาย ถ้าอยู่ในวงรัฐบาลก็เรียกว่ารัฐบาลเป็นตัวทำลายชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์ ก็ไม่ผิด ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วประชาชนมีหูมีตาด้วยกันทุกคน ใครก็ต้องรู้ อดรู้ไม่ได้ เพราะเข้ามาทางหูทางตา ได้รู้ได้เห็น ก็พูดออกมาอย่างนี้แหละ นี่เขาไม่พอใจ ออกมาจากประชาชน หนังสือพิมพ์เขาไม่พอใจที่ไปทำอย่างนี้ แม้เด็กอมมือเขาก็ไม่ทำ แต่นี้ตั้งขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่มันทำได้ลงคออย่างนี้เห็นไหมล่ะ พิจารณาซิ เราก็ว่าจะหยุดเทศน์แล้ว
ผู้กำกับ ปัญหาธรรมะจากเว็บไซต์หลวงตา
คนที่ ๑ ลูกนั่งสมาธิโดยวิธีกำหนดดูลมหายใจเข้าออก จนเห็นเป็นกระแสลมชัดเจน ผลคือเบาสบายลูกทำมานานตั้งแต่ยังเป็นเด็ก วันหนึ่งลูกได้มีโอกาสฟังคำสอนของหลวงตาให้พิจารณากาย หรือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ลูกก็ลองทำดู แล้วก็เห็นมันเจริญเติบโตแล้วก็ผุพัง นั่งดูอยู่นาน บางช่วงมันก็หายไป แต่ลูกก็มีสติรู้อยู่ตลอดเวลาว่ามันหายไป เหลือแต่ความว่างเปล่า สักพักหนึ่งมันก็จะกลับมาให้เห็นต่อ ทำเช่นนี้อยู่นานหลายวัน จนวันหนึ่งลูกทำเหมือนเดิมอยู่นานจนเห็นกายชัดขึ้นแล้วดึงกายเข้ามาหาจิต สิ่งที่เกิดคือการกำหนดเห็นกายง่ายขึ้นมาก จะกำหนดให้เห็นเป็นแบบไหนก็ได้
หลวงตาครับจากที่ลูกปฏิบัติแบบนี้ทำให้ลูกรู้ขึ้นมาว่าเหมือนว่ากายไม่มี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ก็ไม่มี แต่ที่เราเห็นเป็นสิ่งที่อยู่มากับจิตของเราเอง นั่นหมายความว่าโลก รวมทั้งจักรวาลทั้งหมด บ้าน หมา การเดิน การขับรถ ไม่มีตัวตนตั้งอยู่จริงๆ เป็นเพียงแค่เรื่องราวที่อยู่ในจิตของเราเอง ความเห็นเช่นนี้ไม่ได้เกิดตลอดทั้งวัน มีมาเป็นช่วงๆ หลวงตาครับลูกทำถูกหรือไม่ครับ ลูกควรปฏิบัติอย่างไรต่อไปครับ (จาก เรวัต)
หลวงตา เออ ถูกต้องแล้วที่ทำมานี้ ให้พิจารณาให้ช่ำชองนะ ให้พิจารณาย้ำแล้วย้ำเล่า เหมือนเขาคราดนา คราดจนมูลคราดมูลไถแหลก ไม่ได้นับเที่ยวนะ คราดจนมูลคราดมูลไถแหลกละเอียดดีแล้ว ควรแก่การปักดำเขาก็ปักดำ อันนี้ก็เหมือนกันพิจารณาเมื่อถึงขั้นละเอียดของการพิจารณามันจะรู้ขึ้นมาเอง เข้าใจเหรอ นี่ถูกต้องแล้ว ให้พิจารณาซ้ำๆ ซากๆ ให้ชำนิชำนาญ เอาละข้อนี้ผ่านไป
ผู้กำกับ คนที่ ๒ ครับ
ลูกพยายามนั่งโดยกำหนดลมหายใจเข้าออก พร้อมระลึกพุทโธๆ แต่บางครั้งจิตออกไปคิดเรื่องอื่นๆ เลยเร่งคำบริกรรมพุทโธ เร็วๆ แบบหลวงปู่เจี๊ยะ โดยไม่กำหนดลม รู้สึกว่าจิตสงบดีขึ้น ไม่คิดฟุ้งซ่าน ลูกขอกราบเรียนถามดังนี้
1.มีคืนหนึ่งหลังจากนั่งไปนานพอสมควร รู้สึกเย็นเยือกตามลำตัวและขึ้นไปบนศีรษะ ขนลุก จิตนิ่งสบายดี แบบนี้ถือว่าจิตรวมหรือไม่
หลวงตา ไม่ถือละ ให้รู้เอาเอง ไม่ต้องไปตั้งบัญญัติใส่มัน อันนั้นชื่อนั้น อันนี้ชื่อนี้ ให้รู้อยู่กับใจ ใจเป็นนักรู้ ที่พิจารณานั้นถูกต้องแล้ว ถูกต้องตามขั้นของผู้พิจารณา
ผู้กำกับ ข้อ 2.เวลาเกิดทุกขเวทนาปวดขามากๆ ลูกก็พิจารณาแยกเวทนา ไม่ไปยึดว่าเป็นขาของเรา ให้รู้สึกว่าเป็นเวทนาเท่านั้น ทำให้ทนต่อทุกขเวทนาได้นานขึ้น เพราะไม่ยึด การพิจารณาเช่นนี้จะเป็นการพิจารณาที่ถูกตามขั้นตอนหรือไม่ เพราะจิตยังไม่รวมไปใช้ปัญญาก่อน จะเป็นการใช้สัญญาแทนปัญญาหรือไม่ (จาก ราชาวดี)
หลวงตา ใช่แล้ว ทุกขเวทนาจะสาหัสขนาดไหนก็ตาม จะหนีสติปัญญาไปไม่ได้ เวลามันเกิดขึ้นมากๆ นี้ ถ้าข้อเปรียบเทียบนะ เหมือนตัวของเรานี้เป็นหัวตอ ทุกขเวทนาทั้งหลายเป็นเหมือนกับไฟไหม้หัวตอ ขนาดนั้นละมันเอา ทีนี้สติปัญญาอยู่ภายในมันหมุนติ้วๆ ของมัน แล้วมันลบลงได้หมด หัวตอก็ลบ ไฟไหม้หัวตอก็ลบ สิ่งที่ไม่ลบสว่างจ้าอยู่ภายใน เข้าใจไหม นี่ละผลของการพิจารณา มันทุกข์มากเท่าไรสติปัญญาจะอยู่ไม่ได้ ทนเฉยๆ ใช้ไม่ได้ ต้องทนด้วยการพิจารณาให้มันรู้รอบขอบชิดกับเรื่องทุกขเวทนา อะไรเป็นทุกข์ๆ ไล่เบี้ยมันเข้าไป ถ้าว่ากายเป็นทุกข์หรือว่าหนังเป็นทุกข์ เนื้อเป็นทุกข์อะไร คนตายเผาไฟเขาว่าไง เขาไม่เห็นว่าไง เดี๋ยวนี้มันเป็นกับอะไรเป็นผู้พาให้เป็นทุกข์ๆ ไล่กันเข้าไปๆ พอไปถึงจุดสุดยอดแล้วดับพรึบหมดเลย นี่เคยเป็นมาแล้ว ที่พูดมานี้เราผ่านมาหมดแล้ว พอพูดแย็บรู้ทันทีๆ นี่เราสรุปความย่อๆ นะ ให้พากันพิจารณา ถูกต้องแล้วแหละ เอาพิจารณา เร่งเข้าให้หนัก
หลวงปู่ลีวัดถ้ำผาแดง ยอดเพิ่มเงินสดเพิ่มอีก ตะกี้นี้ว่าไง (เงินสดกับเช็ค ๖๐๐,๓๑๘ บาทครับ) ๒๑,๔๒๐ บาท เอาสาธุ สาธุย้อนหลัง ที่ได้มากๆ มารวมกันหมด เอาสาธุ ทีนี้เรียกว่ารวมยอดแล้ว ทีนี้เราจะไปแล้ว
เราก็อาศัยบรรดาลูกศิษย์ลูกหามาให้ พอมาแล้วเราก็กระจาย เราเป็นกองกระจายนะ ได้มาเท่าไรกระจายหมดเลย เรียกว่างานวัดป่าบ้านตาดนี่งานเพื่อชาติจริงๆ ไม่ว่าจะขึ้นงานไหนเป็นงานเพื่อชาติทั้งนั้น ทีนี้บรรดาลูกศิษย์ลูกหาก็คงเห็นใจสงสารก็เอามาช่วย อย่างนี้มาเรื่อย มานี้ออกหมด ไม่ได้อยู่ อยู่กับเราไม่อยู่แหละ ออกหมดเลย เราทำเพื่อชาติจริงๆ เพราะฉะนั้นอะไรที่ขัดข้องกับศีลกับธรรมแล้ว เราถึงพูดได้เต็มปาก เพราะเราไม่มีมลทินอะไร เราพูดด้วยความเป็นธรรมล้วนๆ เข้าใจแล้วนะ วันนี้ทองคำได้ ๓ กิโล ๑๒ บาท ๗๗ สตางค์ เราจะไปธุระนะ ออกจากนี้ไปเลย ช่วยโลก โรงพยาบาลนะ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz
|