เทศน์อบรมคณะท่านพระอาจารย์แบน ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อบ่ายวันที่ ๑๙ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘
ทรงมรรคทรงผลได้จากภาคปฏิบัติ
หนังสือก็เล่มใหญ่ๆ หนาๆ เสียด้วย ใครที่ยังไม่ได้เอาไป เอาไปเฉพาะผู้จำเป็นที่จะอ่านจริงๆ รับไปสุ่มสี่สุ่มห้าเราไม่อยากให้นะ เพราะเราเทศน์เราไม่ได้เทศน์สุ่มสี่สุ่มห้า ฟังแต่ว่าเขา (คุณเพาพงา) จะมาหาเรา เราพูดไว้เป็นสองพัก นี่เจ้าของหนังสือเล่มนี้ที่เราเทศน์จนเป็นหนังสือชุดเตรียมพร้อมและศาสนาอยู่ที่ไหน ขึ้นมาสองเล่มหนาด้วยกัน เขามาด้วยความตั้งอกตั้งใจดังที่พูดแล้ว ทีนี้เราก็สงเคราะห์เขาด้วยความตั้งใจเต็มเม็ดเต็มหน่วย ในชีวิตของเราก็มีเท่านี้ คงจะไม่มีซ้ำอีกแหละต่อไปนี้
หนังสือเล่มนี้เราเทศน์ด้วยความจงใจจริงๆ สมเหตุสมผล เพราะฉะนั้นบรรดาพี่น้องทั้งหลายผู้ใดที่รับไปขอให้ตั้งใจฟังตั้งใจอ่านจริงๆ ให้เข้าถึงใจ ธรรมนี้สมบูรณ์อยู่แล้วในนั้น ขอให้ไปฟัง ประพฤติปฏิบัติตัวให้เป็นไปตามนั้น ตามกำลังศรัทธาของเรา ที่จะคืบคลานไปได้มากน้อยเพียงไร ให้พากันตั้งใจปฏิบัติตามธรรมนี้ ศาสนาเจริญจะเจริญที่ใจของพี่น้องทั้งหลาย ศาสนาเจริญเมืองนั้นเมืองนี้เอาเป็นที่รวมของผู้บำเพ็ญธรรมต่างหาก ความเจริญที่แท้จริงศาสนาเจริญที่หัวใจ ไม่ใช่เจริญที่ไหน เสื่อมที่หัวใจ ให้พากันตั้งอกตั้งใจ
วันนี้บรรดาพี่น้องลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายมาเยี่ยม มาถวายไทยทาน แล้วก็เป็นโอกาสอันดีงามที่เราจะได้ฟังอรรถฟังธรรม สนทนาปราศรัยข้ออรรถข้อธรรมที่เป็นข้อข้องใจตรงไหนก็จะได้เข้าอกเข้าใจต่อกันไป พระเณรเรามีจำนวนมาก พระนี้แลเป็นผู้นำของศาสนาเป็นต้นมา ตั้งแต่พระพุทธเจ้าของเรา ต่อมาก็เป็นสาวก สาวกตั้งใจปฏิบัติจริงๆ บรรลุมรรคผลนิพพาน จนกลายเป็นสาวกอรหันต์ เป็นสงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ของโลกทั้งหลายทั่วๆ ไป จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ เพราะพระเป็นผู้นำ
พระนั้นแหละเป็นสำคัญมากในทางศาสนา เพราะพระเป็นแนวหน้า เป็นผู้ตั้งใจปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพานอย่างแท้จริง และปฏิบัติตนเต็มอรรถเต็มธรรม เต็มสติกำลังความสามารถของตนด้วยกัน ผลก็ปรากฏขึ้นดังครั้งพุทธกาลท่าน ครั้งพุทธกาลกับสมัยปัจจุบันนี้ธรรมเป็นอกาลิโก ให้ผลเสมอต้นเสมอปลายเหมือนกันหมด จึงเรียกว่า อกาลิโก ไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลามาทำลายได้เลย ขอให้มีการปฏิบัติเถิด ดังพระพุทธเจ้าประทานพระโอวาทแก่พระอานนท์ ซึ่งไปทูลขออาราธนาพระองค์ให้ทรงพระชนมายุอยู่เป็นเวลานาน
พระองค์ก็บอกว่าเราได้เทศนาว่าการไว้หมดทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ในตัวของเราถ้าพูดเป็นภาษาโลกเราก็เรียกว่ายังเหลือแต่กองกระดูกเท่านั้นแหละ ส่วนอรรถส่วนธรรมเราได้เทศนาว่าการไว้หมด ไม่มีอะไรเหลือแล้ว จากนั้นมาก็รวมลงว่า พระธรรมและพระวินัยนั้นแล จะเป็นศาสดาของพวกเธอทั้งหลายแทนเราตถาคตเมื่อเราผ่านไปแล้ว คือธรรมเหล่านี้เป็นสวากขาตธรรมที่ท่านตรัสไว้ชอบเรียบร้อยแล้ว ยังแต่ผู้ปฏิบัติตามเท่านั้นจะมีแง่หนักเบาแค่ไหนในการปฏิบัติของตน ผลจะได้ขึ้นมาตามเหตุนั้นแล
นี่ท่านทรงประทานพระโอวาทอันนี้ไว้ คือมอบศาสดาไว้กับศาสนธรรม คือพระธรรมและพระวินัย เป็นองค์แทนของศาสดา เป็นผู้ชี้แนะแนวทางแทนองค์ศาสดาเวลาท่านปรินิพพานไปแล้ว เพราะฉะนั้นเราขอให้ยึดหลักธรรมหลักวินัยเป็นหลักเกณฑ์ในการประพฤติปฏิบัติในการระลึกถึงองค์ท่านภายในจิตใจของเราอยู่ตลอดเวลา ก็เท่ากับเราได้ตามเสด็จพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลานั้นแล พระพุทธเจ้าคือหลักธรรมหลักวินัย ผู้ปฏิบัติใกล้ชิดติดพันกับหลักธรรมหลักวินัยอยู่ตลอดไป ก็เท่ากับผู้ตามเสด็จพระพุทธเจ้าตลอดไป และจะตักตวงเอามรรคผลนิพพานเช่นเดียวกันกับครั้งพุทธกาล
ไม่มีอะไรผิดแปลกกัน ครั้งพุทธกาลกับสมัยปัจจุบันนี้ จะดำเนินไปตามอรรถธรรมที่ทรงแสดงไว้นี้ด้วยกันหมด มรรคผลนิพพานก็จะเกิดขึ้นจากธรรมทั้งหลายที่เราได้ยินได้ฟัง ศึกษาปรารภกับธรรมทั้งหลายเข้ามาสู่หัวใจของเรา แล้วให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ เฉพาะอย่างยิ่งพระเราให้มุ่งหน้ามุ่งตาปฏิบัติ อย่าสนใจกับกิจการงานอะไรในโลกสงสาร เป็นเรื่องของเขา เรื่องของเรามีแต่อรรถมีแต่ธรรม เต็มไปในความเคลื่อนไหวของเรา ออกมาจากใจ ใจก็เป็นธรรม เคลื่อนไหวออกมาจากใจก็เป็นธรรมเป็นวินัยตลอดไป มีหิริโอตตัปปะประจำตัว ความสะดุ้งกลัวต่อบาปต่อกรรมอยู่ตลอดเวลา สำรวมตนอยู่เสมอ ปฏิบัติตัวให้ถูกต้องตามอรรถธรรมของพระพุทธเจ้า
ส่วนพระวินัยนั้นเป็นรั้วกั้นสองฟากทาง ห้ามไม่ให้ข้ามออกไป ใครข้ามพระวินัยออกไปก็เรียกว่าออกนอกลู่นอกทาง จะตกเหวตกบ่อโดยถ่ายเดียวเท่านั้น ไม่มีทางที่จะเจอมรรคผลนิพพานได้ ผู้ปฏิบัติตามหลักพระวินัยสองฟากทางไม่ข้ามไม่เกิน เดินตามธรรม
ตามธรรมก็สติธรรม ปัญญาธรรม วิริยธรรม ขันติธรรม เหล่านี้เป็นต้น นี้คือธรรมเรียกว่าความพากเพียรทางด้านจิตใจของเรา อยู่โดยสม่ำเสมอด้วยสติเป็นเครื่องกำกับแล้ว ก็เท่ากับเรานี้ตามเสด็จพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา และมรรคผลนิพพานก็อยู่กับตรงนี้ ไม่อยู่ตรงไหน
อย่าไปเข้าใจว่านิพพานอยู่ที่นู่น สวรรค์อยู่ที่นี่ อยู่ที่ผู้บำเพ็ญนี้แลจะเป็นผู้เจอมรรคผลนิพพาน เจอที่ผู้ปฏิบัติคือจิตของเรานี้แหละ ซักฟอกไปโดยลำดับ ควรแก่ธรรมขั้นใด มรรคผลนิพพานจะเป็นขึ้นมาโดยลำดับลำดาภายในจิตใจของเรา ให้พากันตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ พระฝ่ายปฏิบัติของเรานี้แลเป็นฝ่ายที่ไว้ใจได้ทุกวันนี้ เราไม่ได้ยกได้ยอได้เหยียบสถานที่ใด บุคคลผู้ใด เราพูดตามหลักของศาสนาที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้แล้วว่าการปฏิบัติ ปฏิบัติอย่างไร
สุปฏิปนฺโน ก็คือพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ตรงตามหลักธรรมหลักวินัย อุชุปฏิปนฺโน ตรงไปตรงมา ไม่เห็นแก่โลกามิสใดๆ เข้ามายุแหย่หรือหลอกลวงต่างๆ ไม่หวั่นไม่ไหว ญายปฏิปนฺโน ก็ปฏิบัติเพื่อความรู้แจ้งเห็นจริงในธรรมทั้งหลาย มีมรรคผลนิพพานเป็นสำคัญ สามีจิปฏิปนฺโน ปฏิบัติสมควร น่ากราบไหว้บูชา เป็นขวัญตาขวัญใจแก่โลกสงสาร ใครได้มองเห็นพระเจ้าพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติด้วยธรรมสองสามข้อนี้แล้ว จะเป็นผู้ร่มเย็นภายในจิตใจ
จากนั้นไปท่านก็ว่า เอส ภควโต สาวกสงฺโฆ คือท่านเหล่านี้เองเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า และ ปุญฺญกฺเขตตํ โลกสฺส ท่านเหล่านี้แลจะเป็น ปุญฺญกฺเขตฺ เป็นเนื้อนาบุญของโลกที่ไพบูลย์ที่สุดภายในองค์ท่าน ผู้ใดมาบำเพ็ญมากน้อยได้ผลเป็นที่พอใจ เหมือนกับเนื้อนาที่มีปุ๋ยเต็มอยู่ในเนื้อนาที่ดินดี ปลูกสิ่งใดขึ้นมาก็มีผลงอกงามไพบูลย์ขึ้นมา เป็นดอกเป็นผลขึ้นมาเต็มเม็ดเต็มหน่วย
นี่ท่านผู้ใดหว่านทานการบริจาคลงไปถึงเนื้อนาบุญของโลก ก็คือพระเจ้าพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบนี้แล้วจะได้ผลเป็นที่พอใจ เป็นลำดับลำดาไป เหมือนกับเขาทำนาที่มีปุ๋ยเต็มตัวอยู่ภายในนานั้นแล้ว ดอกผลก็เป็นที่พอใจของผู้ปลูกผู้หว่านลงไป เขาได้เห็นพระเจ้าพระสงฆ์เขาก็ยินดีแล้ว พอใจแล้ว เพราะพระเจ้าพระสงฆ์เป็นเนื้อนาบุญ ไม่ใช่เนื้อนาบาป เนื้อนานรกอเวจี อย่างนั้นมีถมไป พระสงฆ์เป็นเนื้อนาบุญก็มี เป็นเนื้อนาบาปก็มี ทุกวันนี้มันจะกลายเป็นเนื้อนาบาปมากกว่ายิ่งกว่าเนื้อนาบุญ
มองเห็นพระจนจะมองดูกันไม่ได้แล้วนะเวลานี้ เพราะฉะนั้นเราอย่าให้เป็นเช่นนั้น มองเห็นกันให้เห็นด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใสสดชื่นด้วยศีลด้วยธรรม และการปฏิบัติดีของกันและกัน การสนทนาปราศรัยเรื่องอรรถเรื่องธรรมก็เป็นที่ปลื้มอกปลื้มใจ เพิ่มกำลังจิตใจต่อกันและกันจากการสนทนาปราศรัยซึ่งกันและกัน ให้เป็นพระสงฆ์อย่างนั้นนะ พระสงฆ์เหล่านี้จะเป็นเนื้อนาบุญของโลกตลอดไป คำว่าเนื้อนาบุญนี้เรียกว่าอกาลิโกเหมือนกัน ไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลา ขอให้ปฏิบัติตนให้ถูกต้องตามอรรถธรรมก็แล้วกัน
กิเลสอยู่ภายในจิตใจ และธรรมก็อยู่ภายในจิตใจ ชำระกิเลสออกจากจิตใจด้วยอรรถด้วยธรรมชนิดเดียวกัน เครื่องแก้กิเลสคือธรรม ธรรมพระพุทธเจ้าแก้กิเลสในครั้งนั้นฉันใด ธรรมสมัยปัจจุบันนี้ก็แก้กิเลสเช่นเดียวกันนั้น ไม่ผิดแปลกจากกัน จึงขอให้พากันนำธรรมนี้ไปปฏิบัติตนให้ดี ทางด้านจิตตภาวนาเป็นสำคัญมาก เรื่องจิตตภาวนานี้ขอให้ทุกๆ ท่านมีความใกล้ชิดสนิทติดพันกับสติให้ดี การภาวนาถือสติเป็นพื้นฐาน ถ้าสติไม่ดีผลที่ได้ก็เลื่อนๆ ลอยๆ ถ้าสติดีแล้วผลเข้มข้นๆ อยู่ภายใน สดชื่นๆ มีรสมีชาติตลอดเวลา
จิตที่ยังตั้งตัวไม่ได้สติจับเข้าไปกับคำบริกรรม เพื่อให้จิตเกาะคำบริกรรม สติติดแนบกันอยู่แล้วจะตั้งตัวได้เป็นความสงบเย็นใจ เมื่อตั้งตัวไปตลอดด้วยสติสตังแล้ว ความสงบนี้จะมีความแน่นหนามั่นคงยิ่งขึ้น จนกลายเป็นสมาธิขึ้นมา สมาธิคือความแน่นหนามั่นคงของใจ สมถะคือความสงบของใจในขั้นเริ่มแรก โดยอาศัยจิตตภาวนา มีสติเป็นพื้นฐาน นำคำบริกรรมมาติดแนบกับตนกับใจของเรา ไม่ให้คิดปรุงแต่งไปด้วยเรื่องใด
ความคิดความปรุงของจิตนั้นแลเป็นทางของกิเลส มันไหลออกจากความคิดปรุง ท่านว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา อวิชชาเป็นเครื่องหนุนดันจิตออกมาให้อยากคิด อยากปรุง อยากรู้อยากเห็น อยากกี่ประเภทไม่มีประมาณจากอวิชชาที่พาให้อยาก สังขารก็คิดเพื่อความอยากความทะเยอทะยานไม่หยุดไม่ถอย นี่เรามีภาวนาอยู่ในจิตใจ ปิดช่องนี้ให้ดี อย่าให้สังขารของกิเลสนี้ออก ให้เป็นสังขารของธรรมคือคำบริกรรม นี่เรียกว่าสังขารของธรรม เป็นทางเบิกกว้างเพื่อมรรคผลนิพพานออก
สติจับให้ดี สติติดแนบอยู่กับตน ท่านทั้งหลายอย่าไปคิดอดีต-อนาคตที่ไหนยิ่งกว่าปัจจุบันระหว่างกิเลสกับจิตฟัดกันอยู่ภายในจิตใจนี้ เอาตรงนี้เอาปัจจุบัน มีสติอยู่ตลอดเวลา แล้วจิตใจที่จะมีความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมจะสงบลงได้ไม่สงสัย ไม่พ้นจากสติไปได้ สตินี้เป็นธรรมที่รุนแรง เป็นธรรมที่สำคัญมากที่สุด แม้กิเลสจะเป็นคลื่นเหมือนกับทะเลหลวงก็ตาม กิเลสนี้กั้นไว้ได้ เช่นสังขารมันอยากคิดอยากปรุง ดันออกมาๆ เหมือนคลื่นทะเลหลวง แต่สตินี้ปิด ปิดช่องไม่ให้มันออก มันออกไม่ได้ เมื่อมันออกไม่ได้กิเลสก็ทำงานไม่ได้ แล้วไม่เผาหัวใจเรา เมื่อมันออกไปทำงานมันก็ไปกว้านเอาฟืนเอาไฟมาเผาหัวใจเรา
เมื่อสติกับคำบริกรรมติดกับจิต สำหรับผู้เริ่มบำเพ็ญนะ สติกับจิตกับคำบริกรรมติดกันแล้ว สังขารอันนี้จะไม่เกิด เกิดไม่ได้ เมื่อสังขารเกิดไม่ได้กิเลสก็เกิดไม่ได้ ถูกขังอยู่ภายในจิตใจ ทีนี้เอาธรรมะกลั่นกรองจิตใจของเราให้มีความสะอาดผ่องใส เหมือนสารส้มแกว่งลงในน้ำที่ไม่สะอาดให้สะอาดขึ้นมา นี่จิตของเรามันขุ่นมัวไปด้วยกิเลสก็เอาสารส้มคือคำบริกรรม มีสติเป็นเครื่องกำกับบังคับเอาไว้แล้วจิตของเราจะเริ่มสงบ
เมื่อไม่มีกิเลสตัวสังขารนี้ตัวสำคัญเข้ามากวนใจแล้วจิตจะสงบ เพราะคำบริกรรมนี้เป็นธรรมที่ระงับจิตที่ฟุ้งซ่านรำคาญให้สงบลงโดยถ่ายเดียว สติกับคำบริกรรมเจริญขึ้นมามากเท่าไร นี้เป็นธรรมที่ระงับดับกิเลสทั้งหลายที่มันก่อกวน แล้วจิตก็สงบลงๆ ด้วยดี ต่อไปนั้นจิตจากสงบนี้แล้วเป็นสมาธิขึ้นมา คือความแน่นหนามั่นคงของใจ ทีแรกมันอยากคิดอยากปรุงอยู่ตลอดเวลา เอาสังขารที่ว่าคำบริกรรมนี้เป็นสังขารฝ่ายธรรมระงับสังขารฝ่ายกิเลสที่มันจะออกไม่ให้ออก ดันกันไว้ ต่อไปจิตก็สงบร่มเย็นขึ้นมา ร่มเย็นขึ้นมา
นี่ละใจเมื่อมีผู้อารักขา สติเป็นเครื่องอารักขา คำบริกรรมเป็นเครื่องอารักขาแล้วจิตจะสงบเย็นขึ้นมา เย็นขึ้นมาติดต่อสืบเนื่องโดยลำดับ ก็กลายเป็นจิตที่เป็นสมาธิ แน่นหนามั่นคงขึ้นไป ความคิดความปรุงทั้งหลายที่เคยอยากคิดอยากปรุงแต่ก่อนที่ยังไม่ได้รากได้ฐาน ระงับดับไป สังขารเป็นสมุทัย เมื่อจิตเป็นสมาธิแล้วมีอำนาจที่จะระงับดับสังขารทั้งหลายที่อยากปรุงอยากแต่งนั้นนี้ ไม่มี ในเวลาสมาธิมีความแน่นหนามั่นคง มีออกมาเล็กๆ น้อยๆ ก็เป็นความรำคาญ ไม่อยากคิดอยากปรุง เพราะจิตเสวยความสงบเย็นใจอยู่นั้นพอแล้ว
เพราะฉะนั้นผู้ที่จิตเป็นสมาธิจึงมักติดสมาธิ ไม่อยากออกทางด้านปัญญา อยู่ในสมาธิคือ เอกกัคคตาจิต เอกัคคตารมณ์ มีอารมณ์อันเดียว เอกจิตมีจิตดวงเดียวรู้เด่นอยู่เพียงเท่านี้อยู่ได้ทั้งวัน นั่งหรือเดินอยู่ที่ไหนได้สบายทั้งนั้นผู้มีจิตเป็นสมาธิ จึงไม่อยากคิดอยากปรุง แต่ก่อนความคิดปรุงนี้มันอยากที่สุด ก่อกวนที่สุด พอจิตมีความสงบแล้วก็ระงับความคิดทั้งหลายที่เป็นสมุทัยลงได้ นี่อันหนึ่ง
พอจิตสงบลงไปเป็นสมาธิ จะเป็นสมาธิขั้นใดก็ตามเป็นโอกาสที่เราจะได้พิจารณาทางด้านปัญญา จากสมาธิแล้วให้พิจารณาทางด้านปัญญา ปัญญาคือความคลี่คลายพินิจพิจารณาในธาตุในขันธ์ของเขาของเราทั่วโลกดินแดน แยกเป็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา อสุภะอสุภัง แล้วแต่ใครจะมีความแยบคายในทางไหน อันนี้เป็นอุบายวิธีแต่ละรายๆ ที่จะออกพิจารณาตัวเองทางด้านปัญญา เพราะปัญญานี้กว้างขวางมาก แล้วแต่ใครจะพิจารณาทางด้านใดของปัญญา ถนัดอะไร
ในสกลกายนี้มันถนัดอะไร ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ตับ ไต ไส้ พุง ทั้งหมดนี้มันถนัดอะไร ให้พิจารณาให้มาก และมันจะลุกลามกันไปหมดทั่วสรรพางค์ร่างกายทั้งของเขาของเรานั้นแหละ แล้วจิตจะค่อยคลายอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นเข้ามาโดยลำดับๆ ภาระคือความหนักหน่วงถ่วงใจจากอุปาทานก็เบาลงไปๆ ทีนี้ปัญญาเราพิจารณาเรื่อย เวลาจิตเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าในการพิจารณาทางด้านปัญญาแล้ว ให้ย้อนเข้ามาสู่สมาธิ อบรมสมาธิให้แน่นหนามั่นคงอยู่ตามเดิม เข้าสู่ความสงบ นี่เรียกว่าพักงาน พักงานก็พักกับสมาธิ หยุดงานไม่ยุ่งไม่คิดไม่ปรุงเรื่องราวอะไรทั้งหมด แม้ปัญญาก็ไม่ใช้เวลาเข้าสู่สมาธิ เรียกว่าพักงาน
ทีนี้พอจิตใจได้พักงานแล้วมีความสง่าผ่าเผย กระปรี้กระเปร่าอยู่ภายในจิตนั้นแหละ เหมือนถอดเสี้ยนถอดหนาม ว่างจากการจากงานทั้งหมด นี้จิตเสวยความสุขในสมาธิจากการพักงาน พอหลังจากนั้นจิตมีกำลังแล้วให้ออกก้าวเดินทางด้านปัญญา เวลาออกทางด้านปัญญาไม่ต้องห่วงสมาธิ ให้ตั้งหน้าตั้งตาทำปัญญา พินิจพิจารณาด้วยความแยบคาย ใครจะแยบคายในทางใดๆ ให้พิจารณาซ้ำๆ ซากๆ หลายตลบทบทวน เหมือนเขาคราดนา คราดไปคราดมาจนกระทั่งมูลคราดมูลไถนั้นแหลกละเอียด ควรแก่การปักดำแล้วเขาก็ปักดำ
อันนี้การพิจารณาทางด้านปัญญาของเราก็เหมือนกัน พิจารณาทบทวนหลายครั้งหลายหน อย่าว่าได้พิจารณาแล้วผ่านไปแล้ว อย่าเอาอย่างนั้นมาใช้ เอาความชำนาญ เอาความคล่องแคล่วว่องไวในการพิจารณาเพื่อแก้ไขกิเลส เพราะคล่องแคล่วเท่าไรกิเลสจะค่อยเบาบางไป เบาบางไป เอานี้มาเป็นประมาณ แล้วเมื่อเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าทางปัญญาให้ย้อนเข้ามาสู่สมาธิ แล้วพิจารณาทางด้านปัญญา เกี่ยวกับเรื่องอสุภะอสุภังนี้พิสดารมาก ฝากไว้ตั้งแต่เงื่อนต้นๆ หรือไม้ทั้งดุ้นเท่านั้นแหละ ให้ท่านทั้งหลายนำไปเจียระไน นำไปถาก นำไปเลื่อย ไปไสกบลบเหลี่ยมเอาเอง เจียระไนเอาเอง อยากทำเป็นอะไรๆ จากไม้ท่อนนี้ก็ให้ไปทำเอง
ปัญญาบอกไว้กลางๆ อย่างนี้ จะแยกแยะไปทางไหน การพิจารณาทางด้านปัญญานี้กว้างขวางมาก ใครมีนิสัยอย่างไร จะพิจารณาอสุภะอสุภังเป็นหนัง เป็นเนื้อ เป็นเอ็น เป็นกระดูก มันเด่นในทางไหนพิจารณาอันนั้นซ้ำๆ ซากๆ แล้วกระจายออกไปอวัยวะทั้งหลายจนกลายเป็นของอันเดียวกันหมด อสุภะอสุภัง ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา อยู่ในนี้หมด แล้วมันก็ค่อยปล่อยไปๆ งานนี้งานสำคัญมาก งานเรื่องร่างกายสำคัญมากทีเดียว เป็นงานที่หนัก เรียกว่างานตะลุมบอนกันอย่างหนัก
พอผ่านจากงานของร่างกายนี้แล้วกลายเป็นงานอัตโนมัติ คือความเพียรอัตโนมัติพิจารณาปล่อยวางส่วนร่างกาย เมื่อปล่อยวางส่วนร่างกายหมดแล้ว มีแต่นามธรรม เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ พิจารณาต่อไป นี้ท่านทั้งหลายจะทราบเอง เราพูดให้เพียงเป็นหัวข้อๆ เท่านั้น เรื่องใหญ่ที่สุดคือเรื่องพิจารณาทางด้านปัญญาเกี่ยวกับอสุภะอสุภัง ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา เอาให้คล่องตัวนะ
ไปที่ไหนมองเห็นอะไรๆ ให้เป็นเหมือนกับเราเห็นตัวของเรา มองเห็นเนื้อเห็นเอ็นเห็นกระดูก มองข้างนอกข้างในเป็นเหมือนกันหมด นี่เรียกว่าชำนาญเข้าไปๆ เมื่อชำนาญเข้าไปแล้วจิตใจมันจะหดเข้าไปสู่ตัวเองในการพิจารณาอสุภะอสุภัง เมื่อหดเข้าไปสู่ตัวเอง เห็นโทษของตัวเองที่วาดภาพต่างๆ ทั้ง สุภะ อสุภะ อสุภะอสุภัง ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา แล้วปล่อย อสุภะอสุภัง ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา ภายนอก มาเป็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา หรือ อสุภะ อสุภะอสุภังภายใน
พิจารณาอันนี้ก็ค่อยดับลงไป ตั้งอันนี้เป็นการฝึกซ้อม จากอสุภะส่วนหยาบคือร่างกายมาเป็นอสุภะส่วนละเอียดเข้าสู่ร่างกาย ตั้งขึ้นมาพิจารณาแล้วย้อนเข้ามาสู่จิตๆ จิตเป็นอสุภะเอง ทั้งสุภะ ทั้งอสุภะ ทั้งอนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เสียเอง เมื่อจิตเข้ามาเป็น ก็ปล่อยวางข้างนอก มาพิจารณาข้างในของตนเอง นี่เรียกว่าปัญญา เมื่อละเอียดแล้วจะเข้ามาสู่ใจ ไม่ไปไหนนะ เข้ามาสู่ใจ รอบคอบหมดแล้วปล่อยวางที่นี่ จากนั้นก็มีแต่นามธรรมล้วนๆ พิจารณา เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
แล้วเราก็ฝึกซ้อมอันนี้ละ อสุภะอสุภัง ที่มันไหลเข้ามาสู่ใจแล้วให้มันช่ำชองให้คล่องแคล่วว่องไว สิ่งเหล่านี้ก็จะค่อยดับไปรวดเร็วๆ ตั้งขึ้นมาภาพต่างๆ จะพิจารณาเป็น อสุภะอสุภัง ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา ไม่ได้ ไม่ทัน พอตั้งขึ้นมาแล้วดับ ตั้งขึ้นมาแล้วดับ พิจารณาไม่ทันๆ นี่เรียกว่ามันผ่านไปโดยลำดับอย่างนี้ ให้พากันพิจารณา จากนั้นแล้วจิตก็ว่างไปหมด พอปล่อยอสุภะอสุภังอันนี้ภายนอก ปล่อยอสุภะอสุภังภายใน จิตก็ว่าง
นี่ละการปฏิบัติภาวนาขอให้ทุกๆ ท่านได้นำไปปฏิบัติทุกคน ถ้าเดินตามนี้แล้วไม่ผิด อย่างไรจะต้องเป็นผู้ทรงมรรคทรงผลภายในจิตใจของเรา ขอให้เดินตามนี้เถอะ การแสดงนี้ผมไม่สงสัยในการแสดง ถูกต้องแม่นยำไปโดยตลอด เพราะได้ผ่านมาเรียบร้อยแล้ว จึงขอให้พระลูกพระหลานนำไปปฏิบัติ สนใจทางด้านจิตตภาวนามากกว่าสิ่งอื่นใด อย่าให้งานของโลกสงสารเข้ามาคละเคล้าวุ่นวายกับงานจิตตภาวนาของเรา จะเสียไปได้อย่างง่ายดาย เพราะงานของโลกของสงสารคืองานของกิเลส มันละเอียดลออเหมือนกันไม่ใช่เล่นๆ มันเข้ามาเหยียบย่ำทำลายธรรมให้แหลกเหลวไปได้ ถ้าผู้สติปัญญาไม่ทัน
เพราะฉะนั้นจึงบอกไว้ตั้งแต่บัดนี้อย่ายุ่งกับงานของโลก มันจะคิดเรื่องโลกเรื่องสงสารอันใดปัดออกๆ นั้นเป็นงานวัฏวน งานเกิดงานตายกองกัน งานที่เราแก้สิ่งเหล่านี้ เป็นงานวิวัฏฏะ ที่จะสลัดปัดทิ้งความตายกองกันนี้ออก เป็นนิพพานขึ้นมาสดๆ ร้อนๆ ภายในจิตใจของผู้ปฏิบัติ ให้พากันตั้งอกตั้งใจอย่างนี้ เวลานี้มันจะไม่มีแล้วนะผู้ทรงมรรคทรงผล เพราะไม่มีผู้ปฏิบัติ อ่านหนังสือก็อยู่ในคัมภีร์ กลายเป็นหนอนแทะกระดาษไปหมด ไม่มีใครสนใจจะนำมาปฏิบัติ
สุดท้ายก็เอาความรู้ที่เรียนมาจำมานั้นว่าเป็นมรรคเป็นผลเสียเอง ทั้งๆ ที่ไม่เป็นมรรคเป็นผล แล้วแก้กิเลสตัวเดียวก็ไม่ได้จากความจำ มันก็เหมาเอานั้นว่าเป็นมรรคเป็นผล เรียนได้ชั้นนั้นชั้นนี้ ก็เอาชั้นนั้นชั้นนี้มาเป็นมรรคเป็นผล กิเลสไม่ถลอกปอกเปิกแม้แต่ตัวเดียว มันมาว่ากันลมๆ แล้งๆ สำคัญกันลมๆ แล้งๆ เท่านั้นเอง การปฏิบัตินี้พิจารณาอย่างไรมันรู้จริงๆ รู้ภายในจิตใจ ดังที่แสดงมาแล้วนี้ จะเป็น สนฺทิฏฺฐิโกๆ รู้จำเพาะๆ เข้าไปโดยลำดับ ละเอียดเข้าไปๆ นี้เรียกว่ารู้ความจริง
รู้ความจำเป็นอย่างหนึ่ง ที่เราเรียนมาเป็นความจำ นำเข้ามาปฏิบัติให้เป็นความจริงขึ้นมา ถ้ามีแต่ความจำอย่างเดียวก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร กลายเป็นนกขุนทอง หรือกลายเป็นหนอนแทะกระดาษไปเลย เพราะไม่สนใจปฏิบัติ ถ้านำที่เราศึกษาเล่าเรียนมาแล้วมาปฏิบัติก็กลายเป็นความจริงขึ้นมา แล้วทรงมรรคทรงผลได้จากความจริง คือภาคปฏิบัตินี้แล จึงขอให้ท่านทั้งหลายจำเอาไว้และนำไปปฏิบัติให้สดๆ ร้อนๆ ทุกองค์ๆ อย่าไปคิดเฉื่อยชานะว่ามรรคผลนิพพานล้าสมัยไปแล้ว ตัวเองนั่นแหละตัวครึตัวล้าสมัยไปลบล้างมรรคผลนิพพานที่ศาสดาองค์เอกตรัสไว้ชอบแล้วๆ ให้เป็นของครึของล้าสมัย เพราะเราหมดค่าหมดราคา สิ่งทั้งหลายกลายมาหมดค่าหมดราคา
เหมือนเราเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่ว่าเป็นเครื่องประดับ ประดับคนตาย ประดับเท่าไรมันก็ประดับคนตาย มีความหมายอะไร อันนี้คนตายทั้งเป็นพระตายทั้งเป็น ไม่มีความหมายในธรรมทั้งหลาย แล้วก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ให้พากันจำเอา วันนี้พูดเพียงเท่านี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลายโดยทั่วหน้ากันเทอญ
ท้ายเทศน์ :
เวลานี้มารกำลังขึ้นศาสนา พอมันเปิดตัวออกมาปั๊บเราจับได้ปุ๊บ
มันสู้เราแล้ววิษณุ แต่ก่อนมันเก็บตัว เราก็คอยพยายามเอา รู้เต็มหัวใจ แต่ไม่มีสักขีพยาน จับไม่ได้ก็ยังไม่ออก ทีนี้พอมันออกมาป้องกันคุณทักษิณปั๊บ จับตัวได้แล้วทีนี้ก็ซัดเลย ทีนี้มันก็เลยเป็นข้าศึกกับเรา อะไรๆ ที่เป็นคนของหลวงตาบัวนี้ให้ย้าย เช่นอย่างหมอจักรธรรม ว่าเป็นคนของหลวงตาบัวนี้ สั่งให้ย้าย มันพูดอย่างหยาบคายมากทีเดียวนะ คนของหลวงตาบัวเป็นคนของพุทธศาสนา คนของพุทธศาสนาย้ายหมดเลย ความหมายว่าอย่างนั้น มันเข้ามาตีเรา เอาตีไป มันจะไปไหน มันจะกินทั้งนั้น ก็เราไม่มีอะไรนี่
เราทำประโยชน์ให้โลกจนไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัวด้วยความเมตตาทั้งนั้น มันสั่งออกมาข้างนอก เราจับอยู่แต่ข้างนอกแล้วหยั่งเข้ามา ยังจับตัวไม่ได้ วันนั้นมันจึงออกมามันป้องกันที่ว่านายกฯฟ้องคุณสนธิ เราก็ใส่เข้าไปตรงนั้น ฟ้องอะไร คุณสนธิก็เท่ากับลูกของรัฐบาล พ่อแม่ฆ่าลูกเคยมีเหรอ ใช้ไม่ได้ เราก็เลยบอกให้เลิกเสีย เขาจะเลิกหรือไม่ก็แล้วแต่เขา พ่อฆ่าลูกไม่เคยมีแหละ เราว่าอย่างนั้น นี่รัฐบาลฟ้องคุณสนธิแล้วจะเรียกเงินเท่านั้นล้านเท่านี้ล้าน เรียกเท่าไรก็ไม่มีความหมาย ผู้นี้จมแล้วผู้ฟ้อง ผู้ใหญ่ที่ถูกจมแล้วไม่มีความหมาย เสียมาก เราก็ว่าอย่างนี้ละ
วิษณุมาบอกว่าฟ้องนี้ฟ้องเป็นรายบุคคล ออกมาเหล่านี้มันจะมาแก้กัน ฟ้องรายบุคคลอย่างนั้นอย่างนี้ ทีนี้จับตัวได้แล้ว ขึ้นเลยปั๊บตัวนี้ตัวทำลายศาสนา เอาเลยที่นี่ พอจับได้อย่างจังมันก็สู้เรา คิดดูย้ายหมอจักรธรรม ว่าเป็นคนของหลวงตาบัวจะย้ายๆ ก็เท่ากับเป็นคนของพระพุทธเจ้าทุกๆ คนเป็นชาวพุทธ มันย้ายหมดพูดง่ายๆ มันไม่คิดนะว่ามันกระเทือนมากขนาดไหนที่มันว่าคนของหลวงตาบัวย้ายหมด
การย้ายด้วยทิฐิมานะด้วยความโกรธความแค้นในใจไม่เป็นธรรม เขาก็จะฟ้องกลับก็ได้ เข้าใจไหม ถ้าเป็นธรรม ธรรมตรงแน่วเลยไม่ผิด ฟ้องอย่างนี้ไม่มีเหตุมีผล ไม่มีกฎหมายมาให้ฟ้องอย่างนี้ มันเอาอะไรมาฟ้อง นี้เป็นคนของประชาชนต่างหาก ไม่ใช่คนของหลวงตาบัว คนทั้งประเทศชาวพุทธนี้เป็นคนของพระพุทธเจ้าต่างหาก มันเอาคนของหลวงตาบัว หลวงตาบัวก็คนของพระพุทธเจ้าก็กระเทือนหมดละซี มันไม่รู้ว่ามันจะกว้างขวางขนาดไหนมันตีมาหาเรา นี้เวลาตีออกไปมันก็จะเป็นอย่างนั้น มันก็เข้าหามันนั่นแหละ
แต่ก่อนมันเก็บตัวมันไว้ มันว่ามันฉลาด มันออกมาป้องกันคุณทักษิณ เราจับได้ปั๊บ จับออกมาก็ตัวนี้ตัวทำลายศาสนา ซัดกันปั๊บ ทีนี้มันสู้ สู้กันเลย สู้แบบหยาบๆ แบบไม่มีธรรม มันก็สนุกฟัง เพราะคนหนึ่งจะว่าแบบไหนไม่มีโลกนะ เราไม่มี พูดอย่างตรงไปตรงมา อันนั้นมันไม่ตรงมีแต่จะเอาแพ้เอาชนะกับเรา เราไม่มีแพ้มีชนะ เป็นธรรมล้วนๆ มันเข้ากันไม่ได้ นี้ละเรียกว่าขับรถชนภูเขา มันเก่งนักขับรถชนภูเขา ภูเขาคือธรรม แล้วรถก็คือตัวบุคคลๆ จะไปเก่งกว่าธรรมไม่ได้ เก่งกว่าธรรมเก่งกว่ากรรมไม่ได้ พูดนี้มันเข้านี้หรือเปล่าก็ไม่รู้นะ ถ้าออกแล้วมันเข้าไหนก็ไม่ว่าละเรา ถ้าลงได้ออกไม่มีถอย ผางเลยทีเดียว เพราะเราไม่มีพิษมีภัย
(มีสว.มากราบหลวงพ่อสามคน อุบล สมุทรสาคร สว.กรุงเทพฯ) เอาให้ดีนะอย่าให้เขามาลากไป ไอ้พวกเลวทรามมันลากไป ๆ เอาไปเป็นเครื่องมือของมันหมดนั่นละ เข้าใจไหมล่ะ เอาไปเป็นเครื่องมือของมันหมด ทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เอาให้ดีนะเรา เรานี้อุ้มชาติ (ฟังหลวงตาอยู่ตลอดครับ ฟังพูดให้ข้อคติต่างๆ) เทศน์มามากต่อมากมันผิดที่ตรงไหน เอาอ้างมา เป็นอย่างไรธรรมของหลวงตาที่เทศน์ออกไปเป็นอย่างไรบ้าง (พูดเรื่องบ้านเมืองดีครับ เวลานี้ไม่มีใครยั้งได้เลยอำนาจ มีหลวงตาคนเดียวที่ยั้งได้) ต้องสองสามเข้าไปซี มีคนเดียวได้อย่างไร ประเทศชาติมันหนักขนาดไหน (สองสามกับสองร้อยนี้มันสู้ไม่ไหว) ฟาดเข้าไปซิ ฟัง หมัดเดียวสู้ไม่ไหวเอาสองหมัดซัดเข้าไป เข้าใจเหรอ
เราไม่อยากพูดนะพูดจริงๆ คือเรานี้ธรรมล้วนๆ ออก จะพูดไปทางไหนไม่ว่าหนักเบามากน้อย เผ็ดร้อนขนาดไหนจะเป็นธรรมล้วนๆ เลย ไม่มีการกระทบกระเทือนแก่ผู้ใด อันเป็นฝ่ายกิเลสไม่มีในธรรมในใจของเรา (ตอนนี้ยั้งไม่อยู่ไอ้คนนี้ไม่รู้จะทำยังไง) ถ้ายั้งไม่อยู่ก็ตบก้นมันลงทะเลซิน่ะ ถ้ามันยั้งไม่อยู่แล้วก็ตบก้นให้มันลงทะเลไปเลย พวกเราอยู่สบาย เราก็คนเขาก็คนนี่วะ คนทั้งประเทศจะยั้งไม่อยู่ได้อย่างไร คนชั่วมันมีไม่กี่คน คนดีมีทั้งประเทศยั้งไม่อยู่ได้อย่างไร ขอให้รวมหัวกันเป็นประชาชนเต็มเม็ดเต็มหน่วยก็แล้วกัน
(ตอนที่สนธิไปออกรายการอะไรก็ดีนะครับ จะได้ปลุกกระแสคนด้วย) ก็นั่นแล้วประชาชน รัฐบาลเกิดขึ้นจากประชาชน ประชาชนไปหย่อนบัตรให้รัฐบาลทั่วประเทศ บีบบังคับให้ไปหย่อน หย่อนเอาคนดี เมื่อมันไม่ดีแล้วประชาชนก็เอาได้ใช่ไหมล่ะ ตำหนิได้ หรือจะคว่ำรัฐบาลก็คว่ำได้ประชาชน จะผิดไปไหนว่ะ เราไม่มีกฎหมายละ มีแต่ธรรม ธรรมนี้เป็นอย่างนั้นได้ ยกขึ้นให้ดี ไม่ดีก็ทิ้งเท่านั้น ซ่อมแซมอะไรไม่ดี จะทำอะไรให้ดี ไม่ดีก็ทิ้ง
(วันนี้ไม่อยากให้หลวงตาเครียด) เราไม่เครียด พวกนี้ละมันเครียด เรามันไม่เครียด (หลวงตาเป็นพระด้วย ต้องช่วยกันคนละไม้ละมือประชาชน) ก็อย่างนั้นแล้ว เราเป็นผู้เบิกทางที่จะก้าวเดินในบรรดาพี่น้องทั้งหลาย เราเป็นผู้เบิกทางๆ ให้ด้วยเหตุด้วยผลทุกอย่าง เรารักชาติก็ก้าวเดิน ถ้ารักเงินรักไอ้หลังลายก็ให้วิ่งตามเขา เขาเอาหลังลายโปะหงายไปเลยนะ พวกนี้มีมาก มันเอาเงินไปโปะๆ ล้มระนาวไป อันนี้ทำให้วิตกมาก ถ้าเป็นธรรมอยู่แล้วกองเท่าภูเขาก็มาเถอะ เขาไม่เคยสนใจ เพราะธรรมเลิศกว่านั้นเป็นไหนๆ
เอาละเลิกๆ หมดเวลาแล้ว ใครจะอยู่อีกจองตั๋วต่อ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุเสียงธรรม FM 103.25 MHz