ใจนี้เลิศได้ด้วยกันถ้าทำให้เลิศ
วันที่ 4 ตุลาคม 2548 เวลา 8:15 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘

ใจนี้เลิศได้ด้วยกันถ้าทำให้เลิศ

ก่อนจังหัน

ใครไม่เคยภาวนา ตั้งแต่วันเกิดมาไม่เคยภาวนา เหยียบหัวของวิเศษไปนะ ใจนี่วิเศษที่สุด เวลานี้มูตรคูถกำลังครอบมันไว้ มองหาของวิเศษไม่เจอ ใจนี่ที่เลิศเลอสุดยอด ในสามแดนโลกธาตุนี้คือใจดวงนี้เอง เมื่อได้รับการอบรมหรือซักฟอกความสกปรกที่เป็นเหมือนมูตรคูถนั่นแหละ นั่นละคือกิเลส ซักฟอกอันนี้ออกได้มากน้อยเพียงไร จะเห็นความสง่างามของใจขึ้นโดยลำดับ ซักฟอกได้เต็มที่ จ้าหมดครอบโลกธาตุ จิตดวงนี้นะ

พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่าน คือท่านผู้จิตครอบโลกธาตุ เรียกว่าเป็นธรรมธาตุจากการอบรมภาวนาให้พากันทำ ใจมีอยู่กับทุกคน ของวิเศษคือใจมีอยู่กับทุกคน มูตรคูถมันครอบงำอยู่ทั่วไปในสัตว์โลก ครอบที่ดวงใจนั่นแหละ ให้พากันเปิดออกๆ ให้ได้เห็นเสียทีพระพุทธเจ้า มีแต่กิเลสมันมาหลอกพระพุทธเจ้าก็ไม่มี พระพุทธเจ้าก็ไม่ประเสริฐ พระพุทธเจ้าหลอกลวงโลก ที่เป็นของจริงทั่วโลกนั้นคือกิเลส นี่ละกิเลสมันยอตัวของมัน เรื่องกิเลสชอบยอตัวนะ ยอทั้งนั้นๆ กิเลส ธรรมท่านไม่ยอ ดูประจักษ์ในตัวเอง ใครจะว่าอะไรก็ตาม ธรรมชาตินี้สง่างามอยู่นั้น ไม่ขึ้นอยู่กับใคร ความเยินยอสรรเสริญ ติฉินนินทา เข้าไม่ถึงจิตดวงนี้

กิเลสมันชอบยอ ไปที่ไหนให้ยอๆ เราจะยกนิทานอันหนึ่งย่อๆ มาให้ฟัง หมาตัวหนึ่งเขาเลี้ยงไว้ที่กรุงเทพ เขานิมนต์เราไปฉันในบ้านเขา ตัวอ้วนๆ เตี้ยๆ หูตูบๆ น่ารัก รู้ภาษาคนได้ดีด้วย เขาบอกว่าหมาตัวนี้มันรู้ภาษาคนได้ดี บอกให้ลงน้ำก็ได้ บอกให้ไปไหนได้หมด บอกให้ลงน้ำหาปลาก็ได้ มันมีสระเล็กๆ อันหนึ่งอยู่ที่หน้าบ้านเขา พอบอกให้ลงน้ำหาปลาก็ได้ เขาโดดปึ๋งเลยจะลงน้ำหาปลา โหย พูดเฉยๆ ไม่ได้ให้ลงละ กลับมาเสีย เขาก็กลับมา

นี่เราพูดถึงเรื่องความชอบยอ จนกระทั่งสัตว์ก็ชอบยอ พอพูดอย่างนี้เขาดีใจๆ สุดท้ายเขาก็ตบท้ายว่า ไอ้บ้า ว่างั้นนะ พูดเบาๆ ว่าไอ้บ้า เห่อๆ ขึ้นเลย คือเขาไม่ชอบ เห่อๆ ขึ้นเลย นี่เข้าใจไหมกิเลส มันอยู่ตรงไหนมันชอบอย่างนั้นละจำเอา มันอยู่ในหัวใจทุกคนนั่นแหละ เลวขนาดไหนถ้าเขาว่าชั่ว เห่อๆ ถ้าเขาว่าดีนี้ โหย ครึ้มในใจ จำเอานะ กิเลสชอบยอ ยกขึ้นสูงจรดเมฆมันก็ไปเหม็นอยู่กับเมฆนั่นแหละ มูตรคูถมันของดีที่ไหน ยกขึ้นเท่าไรมันก็เหม็นขึ้นเท่านั้น กิเลสนี้ยอขึ้นเท่าไรมันก็เป็นกิเลส พากันจำเอา

ให้พากันอบรมจิตตภาวนา ท่านทั้งหลายอยากเห็นความเลิศเลอของตัวเอง ไม่ต้องไปถามหาใครเลยละ ถ้าลงได้เจอที่ใจแล้วอะไรมันจะปล่อยของมันๆ ไปหมด ที่เราติดพันมาตั้งแต่ดั้งเดิมไม่ว่าเขาว่าเราทั่วโลกดินแดน ติดกันทั้งนั้น กิเลสพาให้ติด พอธรรมแทรกเข้าไปปั๊บนี้มันจะเริ่มปล่อยวางๆ เพราะไม่มีอะไรเหมือนธรรม ถ้าว่ารสชาติก็ไม่มีอะไรเหมือนธรรม ปล่อยวางเป็นลำดับๆ ชำระได้มากเท่าไรยิ่งปล่อยสิ่งภายนอกที่หนักอึ้งนั้นออกมากโดยลำดับ จนกระทั่งชำระให้บริสุทธิ์เต็มเหนี่ยวแล้วนั่นจ้าเลยทีเดียว ไม่เอาอะไรทั้งนั้น เรียกว่าพอ นั่นละพระนิพพานแปลว่าเมืองพอก็ได้ พออยู่ที่ใจ

ใจนี้เลิศได้ด้วยกัน ไม่มีเพศหญิงเพศชาย เลิศได้ถ้าทำให้เลิศ ทำให้เลวเลวได้ด้วยกัน พากันจดจำเอานะ ศาสนาพระพุทธเจ้ากระเทือนโลกมาตั้ง ๒๕๐๐ ปี พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปไม่ได้กี่ร้อยปีแหละ ค่อยลดไปๆ กิเลสเหยียบขึ้นๆ กิเลสสูงขึ้น สูงยิ่งกว่าภูเขา กิเลสมันเหยียบหัวใจสัตว์โลกลงไป ทีนี้เอาธรรมเหยียบกิเลสให้มันแหลกไปดูซิ จะเห็นความเลิศเลอของธรรมนี้อย่างไรบ้าง ไม่ต้องถามหาพระพุทธเจ้า จะจ้าขึ้นที่จิตนี้เลย ถามหาพระพุทธเจ้าที่ไหน ธรรมอยู่ที่ไหนไม่ต้องถาม พระพุทธเจ้า พระสงฆ์ อยู่ที่ไหนไม่ต้องถาม จ้าขึ้นนี้สมบูรณ์แบบ รวมมาเป็นอันเดียวธรรมแท่งเดียวกันนี้หมด ด้วยจิตที่บริสุทธิ์เรียบร้อยแล้ว พากันจำเอา

ตอนค่ำถึงเวล่ำเวลาควรจะเลิกจะราจะกลับไปบ้าน มันเพ่นพ่านๆ อยู่นะ เราออกมานี้ได้ดุแทบทุกวัน คือเราจะออกมาตอนค่ำ ตอนอื่นๆ ไม่ได้นะ ต้องออกมาตอนค่ำๆ ออกไปเที่ยวดูนั้นดูนี้แล้วเข้ามาสั่ง สั่งงานอะไรบกพร่องที่ตรงไหนๆ ก็สั่ง พอออกมานี้ยั้วเยี้ยๆ ไม่มีเวล่ำเวลานะเหมือนตลาด นี่พูดย่อมๆ นะเหมือนตลาด หนักกว่านั้นยังไม่อยากพูด ยังไม่ถึงกาลพูด เพราะของดีต้องงัดออกเวลาจำเป็น เข้าใจไหม เพ่นพ่านๆ ให้จำเอานะ

วัดท่านมีขอบมีเขตมีข้อปฏิบัติ เราจุ้นจ้านมาแต่ไหนแต่ไร เข้ามาในวัดนี้จึงไม่รู้จักว่าวัดมีขอบเขตเหตุผลอย่างไรบ้าง เอาความเลอะเทอะของตัวเองเข้ามาจุ้นจ้านๆ ค่ำมืดก็ยังมาอยู่ ได้ดุ ถ้าวันไหนออกมามักจะได้ดุทุกวัน คือเข้ามาออกไปไม่มีเวล่ำเวลา ให้สงวนรักษาของดี ของดีต้องได้สงวนรักษาเอาไว้ ของชั่วมันเกลื่อนโลกแล้วแหละ เอาละให้พร

หลังจังหัน

เมื่อวานนี้ไปชัยภูมิ ฝนตกอยู่ทั่วๆ ไปแต่แบบฝอยๆ ตกทั่วไปหมดทางชัยภูมิ แต่ไม่หนัก ตกแบบนี้ละแบบฝอยๆ ตกทั่วไปหมด น่าสงสารทางนู้นทำนาล่าๆ สายๆ แต่ถ้าฝนตกอยู่นี้ก็ทัน ข้าวทันกับน้ำนะ ถ้าฝนหยุดไปเสียนี้ข้าวก็ไม่ทัน ตายแห้งไปเลย ถึงจะปักดำแล้วก็ไม่เกิดประโยชน์ เราไปตามทางเห็นฝนตกทั่วไปเลย คงจะพอถูไถกันไปได้ละ เราเป็นห่วงชาวไร่ชาวนา ไปที่ไหนตาจะสอดส่ายดูไป เมื่อวานนี้ไปก็เอาของไปให้โรงพยาบาลเนินสง่า ไปดูสภาพทั่วไปหมด ไปที่ไหนดูจริงๆ ไม่ใช่ธรรมดา ไม่ลงรถแหละ พอไปเอาของลงๆ เสร็จเรียบร้อยแล้วก็ เมื่อวานเขาขอเครื่องทำฟันก็ให้ เมื่อวานนี้ให้เครื่องทำฟันเครื่องหนึ่ง โรงพยาบาลนี้เคยช่วยหลายอย่างเหมือนกัน แล้วเงินให้สองหมื่นเมื่อวาน

เดี๋ยวนี้มักจะให้โรงพยาบาลทุกโรงๆ แต่ก่อนให้บ้างไม่ให้บ้าง ทีนี้มาดูความจำเป็นเลยต้องได้ให้ๆ โรงละหมื่นห้าบ้าง โรงละสองหมื่น แต่ยังไม่เคยถึงสามหมื่นนะ แค่หมื่นหนึ่ง หมื่นห้า สองหมื่น โรงพยาบาลต่างๆ แต่ไม่ค่อยแน่นัก ไปบางทีก็ไม่ให้ แต่ระยะนี้รู้สึกจะแน่โดยลำดับ เพราะดูสภาพความจำเป็นต้องช่วยต้องหนุน เดี๋ยวนี้มักจะเป็นโรงละสองหมื่นๆ โห สงสารจะทำไง ไปไม่ลงรถเลย ตั้งแต่ขึ้นนั่งรถจากวัดกลับมาก็มาลงทีเดียวไม่ลงไหนเลย ไปโรงพยาบาลก็ให้เขาเอาของลง เรานั่งอยู่บนรถ เขานิมนต์ลง ไม่ลงแหละ โรงพยาบาลสู้รถเราไม่ได้ เราว่างั้น อยู่รถดีกว่า เขาขอเครื่องทำฟันให้เลย

ภูหลวงขอรถพยาบาลอันนี้ก็ให้เลย เพราะเราดูอยู่นานแล้ว ขาดแคลนมากมานาน เพราะฉะนั้นการให้โรงพยาบาลนี้จึงให้ดูว่าไม่เคยขาดเดือนนะ ให้ทุกเดือนๆ เพราะอยู่ลึก ภูเรือ ภูหลวง อยู่ลึก แต่ภูหลวงมีไร่มีนาบ้าง สำหรับภูเรือขึ้นเขาอยู่บนเขา กลางเขาเลย สองโรงนี้เราจดจ่อเป็นพิเศษให้ทุกเดือนๆ  โรงพยาบาลภูหลวงพอเขาขอรถพยาบาลเราก็ให้เลย เพราะเราดูมานานแล้ว โรงนี้ทีแรกเราว่าจะให้ที่เขา เขาไม่ได้ขอแหละ เราถามแต่ว่าโรงพยาบาลนี้เนื้อที่เท่าไร เขาบอกเท่านั้น โฮ้ แคบไป แล้วที่ติดกันกับโรงพยาบาลนี้เขาจะขายไหม ให้ติดต่อเขาดู ถ้าเขาขายเราจะซื้อให้สืบต่อกันไปเลย เขาไม่ขาย มันก็สุดวิสัยถ้าเขาไม่ขาย ถ้าขายเราจะพยายามเอาจนได้นั่นแหละ

มากนะที่เราซื้อที่ขยายที่ให้โรงพยาบาล เห็นว่ามันแคบ ซื้อขยายให้ๆ  ถ้าเขาขายก็พอพูดกันได้ ที่เขาไม่ขายก็จนปัญญา เขาไม่ขายเสียอย่างเดียวไม่มีเงื่อนต่อ ถ้าเขาจะขายก็มีเงื่อนต่อ ถูกแพงอะไรก็ว่ากันไปเรื่อยๆ โอ๊ย มากนะโรงพยาบาลที่เราซ้อขยายที่ๆ บางแห่งยกใหม่ให้เลย ซื้อที่ให้ทั้งหมดเลย เป็นแต่เพียงว่าเราไม่มีเงินค่าก่อสร้าง ให้ขอทางรัฐบาลเอา ของบประมาณมาเอง ถ้าเขารับรองเราให้ เขาบอกว่าจะได้ เราก็ซื้อให้เลย แต่เราก็ไม่ได้ช่วยค่าก่อสร้างจริงๆ นะ คือว่าอะไรเป็นนั้นจริงๆ ไม่เหมือนใคร ซื้อให้ทั้งหมดก็มี คือมันเหมือนไปอยู่ในครัวเรือน โรงพยาบาลไปอยู่ในครัวเรือน แคบนิดเดียว แปดเก้าไร่ฟังซิ อยู่ท่ามกลางตลาด ดูไม่ได้นะ อย่างนี้ซื้อให้หมดเลย ยกให้ใหม่เลย ไปซื้อที่ให้ใหม่ เขารับรองเรื่องเครื่องก่อสร้างอะไรเขาจะขอรัฐบาล เอา ถ้ารับรองเราจะซื้อให้ สำหรับเงินที่จะก่อสร้างเราไม่มี เขารับรองเราก็ซื้อให้เลย ซื้อที่ให้โรงพยาบาลมากต่อมากนะ ขยายที่ๆ มาก

พูดถึงเรื่องการช่วยโลกนี้ เรียกว่าโรงพยาบาลเป็นอันดับหนึ่งที่ช่วยอยู่เวลานี้นะ จากนั้นก็โรงร่ำโรงเรียน เป็นสองเป็นสามไปละ แต่โรงพยาบาลเป็นอันดับหนึ่งตลอดมาเลย ช่วยมาตลอดๆ เงินนี่ถ้าหากว่าเราได้เก็บนี้มันจะไม่ต่ำกว่าหมื่นล้านนะ หรือจะมากกว่านั้นอีกก็ไม่ทราบ เงินที่เขาถวายเรา ถวายส่วนตัวๆ นี้ก็มากต่อมาก ทีนี้ทั้งส่วนตัวทั้งส่วนรวมมันเป็นอันเดียวกันเลย เป็นส่วนรวมไปเลย เราไม่เคยสั่งสมไม่เคยเก็บแต่ไหนแต่ไรมา ตั้งแต่เริ่มสร้างวัดป่าบ้านตาดก็เริ่มช่วยตลอด

เบื้องต้นก็สร้างโรงเรียนก่อน โรงเรียนทางนั้นทางนี้เรื่อยๆ จากนั้นก็ก้าวเข้าสู่โรงพยาบาล ที่มาช่วยชาตินี้ โอ๋ย มันหลังๆ เราช่วยมาตลอดแล้ว เงินช่วยชาติมีเท่าไรออกหมดๆ เลย เราพยายามทุกวิถีทางที่จะบรรเทาทุกข์ผู้ยากจน วันนั้นไปนั้นๆ คือเราไปโรงไหนเรามีแคตตาล็อก โรงไหนไปวันที่เท่าไรๆ กะว่าเดือนหนึ่งไปให้เสียทีหนึ่ง ย่นกว่านั้นไม่ให้ เพราะเราไม่มีเงินจะให้ นี่หมายถึงโรงที่จนตรอกจนมุมนะ ที่ทั่วๆ ไปเราไม่กำหนด เราไปให้อย่างนี้เรื่อยๆ โรงนั้นไปวันที่เท่าไรๆ คือที่จนตรอกจนมุม ไปให้ๆ เรียกว่าโรงพยาบาลเป็นอันดับหนึ่งที่ช่วยโลกนะเรื่อยมา และทุกวันนี้ยิ่งหนักนะ โรงพยาบาลยิ่งหนักขึ้น แทนที่จะเบาลงไม่เบานะ ยิ่งหนาแน่นขึ้น มาขอๆ เราก็ไม่ทราบจะหาเงินที่ไหนมาให้ เราก็ไม่หานี่ หาอะไรหาธรรมถึงถูก

ถ้าว่าหาธรรม เอาอีกละนะ เราพูดตรงๆ ธรรมเราก็ไม่หาอีกแหละ โลกก็ไม่หา ธรรมก็ไม่หา อยู่แบบเซ่อๆ อย่างนี้ละ เรื่องหาก็หา หาธรรม เอาจนถึงขั้นจะสลบไสลก็มีนี่ เฉียดๆ สลบ โหย ติดๆ กันไปเลย นี่หาธรรม จากนั้นมาแล้วก็เหมือนเรารับประทาน รับประทานวันยังค่ำเมื่อไร รับประทานอิ่มแล้วก็หยุดเท่านั้น อันนี้เมื่อธรรมอิ่มแล้วหยุด โลกไม่มีหยุด กิเลสไม่พอ เรื่องกิเลสแล้วจะไม่มีพอ ได้เท่าไรเอามาเถอะ ถ้าเป็นกิเลสมันจะบอกว่า เอามาอีกๆ รอบด้าน ถ้าธรรมแล้วพอเป็นพักๆ

เช่นอย่างสมาธิคือความแน่นหนามั่นคงของใจ แน่นปึ๋งเหมือนภูเขา ไม่ใช่เล่นนะสมาธิ แต่กิเลสยังมีอยู่ เป็นแต่เพียงว่าตีกิเลสให้สงบตัวเข้ามาแล้วจิตก็สงบแน่วได้ แต่ก่อนที่จิตไม่สงบมันอยากคิดอยากปรุง อยากตลอดคือสังขารความคิดความปรุง ออกจากอวิชชา อยากตลอดนะความคิด ไม่ได้คิดอยู่ไม่ได้นะ มันดิ้นรนกระวนกระวายมันจะตาย ไม่ได้คิดอยู่ไม่ได้ เพราะฉะนั้นกิเลสมันจึงเปิดทางตลอด คิดตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับ ระงับความคิดนี้ด้วยการหลับเท่านั้น ถ้าไม่หลับแล้วตายมนุษย์เรานะ นี่หมายถึงความกระวนกระวายของกิเลสมันดันออกๆ อยากคิดอยากปรุงอยากร้อยากเห็น อยากๆ อยากรอบตัวตลอด ได้มาเท่าไรว่าจะพอไม่มี เหมือนกับไสเชื้อไฟเข้าหาไฟ ไสเข้าไปเท่าไรส่งเปลวจรดเมฆ จะให้ไฟดับด้วยไสเชื้อเข้าไปไม่มีทาง เราจะเอาอะไรๆ มาให้กิเลสให้มันพอไม่มีทาง เอาให้เท่าไรก็เหมือนกับไสเชื้อไฟเข้าสู่ไฟ มันจะยิ่งลุกลามมาก ได้เท่าไรยิ่งลุก คนจะพอด้วยอำนาจของกิเลสไม่เคยมี พระพุทธเจ้าก็บอกแล้วว่าไม่มี

คิดดูซิ นตฺถิ ตณฺหาสมา นที แม่น้ำจะกว้างแคบขนาดไหน จะเสมอด้วยตัณหาไม่มี ท่านก็บอกแล้ว ตัณหาคือความอยากความทะเยอทะยาน ความดีดความดิ้น ดิ้นตลอด ได้มาเท่าไรยิ่งดิ้น นี่พูดถึงเรื่องกิเลสไม่มีคำว่าพอ แต่เรื่องธรรมพอเป็นระยะ ที่จิตยังไม่ได้หลักได้เกณฑ์ อยากคิดอยากปรุงอยากรู้อยากเห็นอยากตลอด เปิดทาง ไปปิดมันไม่ได้นะ ต้องเปิดตลอด คิดตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับ ระงับกันเวลานอนหลับ ตื่นขึ้นมาไม่ต้องติดเครื่อง มันติดของมันเองกิเลส เวลาดับเครื่องก็เอาเวลาหลับดับ

เวลามันอยากคิดอยากปรุงใครก็ตามไม่คิดไม่ได้นะ มันดีดมันดิ้นมันจะเป็นจะตาย นี่เทียบทางด้านปฏิบัติ ทีนี้เวลามันอยากคิดมากๆ เราเอาธรรมเข้าระงับ คิดมากๆ ไม่ให้คิด คิดด้วยธรรม เอาธรรมแทน มันคิดด้วยกิเลส บัดนี้มาคิดด้วยธรรม เช่นเราภาวนาพุทโธ หรือธัมโม หรือสังโฆก็ตาม เป็นคำบริกรรม นี้เป็นความคิดทางด้านธรรมะ จะทำใจให้สงบได้ ถ้าความคิดของกิเลสไม่มีทางสงบเลย เหมือนไฟได้เชื้อ ถ้าคิดทางธรรมเหมือนไสเชื้อออกจากไฟ จะระงับๆ

ทีนี้พอเราภาวนาบริกรรมสติติดแนบๆ สติเป็นสำคัญมากทีเดียว กิเลสตัวไหนก็เถอะไม่เหนืออำนาจของสติไปได้เลย นี้ได้ทำมาทุกอย่างที่มาพูดนี่นะ ไม่ใช่ไม่ได้ทำ มาพูดปาวๆ ด้นเดาเราไม่มี เราบอกจริงๆ เราทำทุกสิ่งทุกอย่าง ผิดถูกเป็นอาจารย์ของเรา เป็นครูของเราทั้งนั้น เรามาสอนโลกก็สอนตามหลักความจริงไม่ผิดพลาด เพราะเราผ่านมาแล้วทั้งนั้น เวลามันอยากคิดนี้ โห มันจะตาย ทีนี้เอาคำบริกรรมติดบังคับด้วยสติไม่ให้มันคิด ทีนี้กิเลสมันอยากจะออกหนาแน่นจนอกจะแตกนะ มันดันออกมา

คำบริกรรมสำหรับเรานี้ชอบพุทโธเป็นนิสัยสันดาน เอาพุทโธติด สติติดไว้ไม่ให้มันคิด ให้คิดคำว่าพุทโธแทน สติบีบไว้ มันดิ้นมันดีดอยากออกมา ทางนี้บังคับไว้ เอาพุทโธบังคับไว้ ครั้นต่อมาความดันออกมาของกิเลสของความคิดความปรุงค่อยเบาลงๆ พุทโธเราคิดมากเท่าไรยิ่งทำความสงบใจมากนะ กิเลสคิดไปมากเท่าไรยิ่งฟุ้งซ่าน ต่างกันนะ นั่นละความคิดของกิเลสกับความคิดของทางธรรมต่างกัน พอความคิดของทางธรรมหนักเข้าๆ จิตสงบได้ละที่นี่ พุทโธๆ ถี่ยิบเข้าไป ด้วยสติติดแนบๆ แล้วจิตก็สงบได้ ไม่มีสิ่งรบกวนจิตก็สงบได้

พอสงบก็หนักแน่นเข้าไปด้วยการภาวนาบริกรรมหนักเข้าไปๆ จิตก็ค่อยสง่างามขึ้นมา ทีนี้เวลามันเข้าถึงขั้นที่สงบจริงๆ แล้ว เข้าถึงขั้นสมาธิเต็มภูมิแล้ว คิดปรุงนี้ไม่อยากคิด นั่นต่างกันนะที่นี่ คิดปรุงอะไรขึ้นมานี่เป็นการรบกวนตัวเอง รบกวนความสงบ คือความสงบอยู่สบายมากทีเดียว แต่ความคิดปรุงมันกวน เพราะฉะนั้นจิตที่เข้าสู่ความสงบแล้วจึงไม่อยากคิดอยากปรุง คิดเป็นการรบกวนตัวเอง อยู่อย่างนั้นทั้งวันได้ แน่วเป็นอันเดียวเลย ความรู้เป็นอันเดียวแน่ว ไม่มีอะไรกวนเลย เป็น เอกัคคตาจิต เอกัคคตารมณ์ มีจิตรู้อยู่อันเดียวๆ

อยู่ที่ไหนอยู่ได้หมด ผู้ที่มีสมาธินี้อยู่ที่ไหนอยู่ได้หมด แต่ได้แค่นั้นนะ คือความสงบมันตีกิเลสเข้ามาให้สู่ความสงบ เช่นคำบริกรรมตีกิเลสความฟุ้งซ่านเข้ามาๆ ให้อยู่กับคำบริกรรม คำบริกรรมนี้ทำให้ใจสงบๆ บริกรรมมากเท่าไรใจยิ่งสงบเข้าๆ ทีนี้พอถึงขั้นสงบเต็มที่แล้วมันไม่อยากคิดอยากปรุงนะ รำคาญ แต่ก่อนมันอยากคิดจะเป็นจะตาย ทีนี้พอธรรมความสงบเข้าสู่ใจแล้ว ความสงบนี้มีกำลังมีผลมากกว่า ไม่อยากคิดอยากปรุง ความอยากคิดอยากปรุงอย่างแต่ก่อนนั้นเลยเป็นการรบกวน ไม่อยากคิด นั่นที่นี่ติด

อยู่ที่ไหนก็อยู่สบายๆ แต่มันไม่ออกทางด้านปัญญา กิเลสมันก็ไม่ขาด กิเลสไม่ได้ถูกถอดถอนด้วยสมาธินะ สมาธินี้ตีกิเลสตะล่อมเข้ามาต่างหาก การถอดถอนกิเลสไม่ได้ถอดถอนด้วยสมาธินะ ให้มันเห็นชัดๆ ในเจ้าของซิ สงบเท่าไรก็ยิ่งจมนิ่งอยู่นั่นเลยนะ ไม่อยากไปไหน อยู่ไหนสบายหมดเลย อยู่ที่ไหนสบายหมดๆ เวลามันสงบเต็มที่ของมัน มันเหมือนหินหรือเหมือนภูเขา จิตเวลาสงบเต็มที่แล้วเหมือนภูเขาทั้งลูกแน่นปึ๋งเลย ความคิดความปรุงเหมือนมีอะไรมารบกวน ไม่อยากคิดอยากปรุง ติด ผู้ที่ไม่ได้ใช้ปัญญา ไม่มีผู้แนะนำสั่งสอนจะติดสมาธิจนกระทั่งวันตาย ถอนกิเลสไม่ได้นะ

ทีนี้เอาปัญญา ออกทางด้านปัญญา พอมีความสงบแล้วออกทางด้านปัญญา พิจารณาเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ เรื่องสกลกาย อสุภะอสุภัง ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา ทั้งภายนอกภายในนี้เรียกว่าปัญญา พิจารณาคลี่คลายลงไป ทีนี้ทางออกเริ่มละที่นี่ สงบแล้วทีนี้เริ่มออกหารายได้ พิจารณาไปตรงไหนมันค่อยรู้ค่อยเห็น ค่อยปล่อยค่อยวางไปด้วยปัญญา เป็นอย่างนั้น ทีนี้ก็ย้อนเข้ามาเห็นโทษของสมาธิ โอ๋ย อยู่ในสมาธินี่มันนอนตายอยู่เฉยๆ นั่นเห็นไหมล่ะ ไม่เห็นแก้กิเลสได้สักตัวเดียว ปัญญาต่างหากแก้กิเลส ทีนี้มันก็ไปทางด้านปัญญา เลยเถิดเหมือนกันนะ ถ้าไม่มีผู้เตือนเลยเถิดได้ ไม่ดี

พอถึงขั้นปัญญามันจะเพลินในการถอดถอนกิเลสเป็นลำดับลำดา พิจารณาเท่าไรยิ่งแจ่มแจ้งๆ ยิ่งถอดยิ่งถอนกิเลส ยิ่งเบาเข้าไปโดยลำดับ ใจยิ่งเบาหวิว ผิดกับสมาธิเป็นไหนๆ เบาด้วยปัญญา เพราะฉะนั้นเพื่อความถูกต้องดีงามสม่ำเสมอ เวลามันออกทางด้านปัญญามันเพลินนะ เพลินจนไม่หลับไม่นอนกลางคืนกลางวัน บางคืนตลอดรุ่ง ไม่ได้หลับเลย เพราะเพลินด้วยปัญญาฆ่ากิเลส ที่นี่เอาละนะ กลางวันก็ไม่พักกลางไหนก็ไม่ยอมพัก มันเพลินของมันอยู่นั้นด้วยการฆ่ากิเลส เพลินๆ

ทีนี้เวลาพิจารณาทางด้านปัญญาก็เรียกว่าทำงาน การทำงานปัญญาก็เอาสังขารออกใช้ แต่สังขารทางด้านปัญญา สังขารของกิเลสมี สังขารของธรรมมี มันเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า มันจะเหน็ดเหนื่อยที่หัวอกนี่นะ พอมันเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าแล้วพัก มันไม่อยากพักนะ มันบืนเลยจะออกพิจารณาเรื่อยๆ ต้องพัก พักยังไงไม่ได้ เอาพุทโธ นี่เราทำแล้วนะ มันเพลิน มันไม่อยากหยุด มีแต่จะฆ่ากิเลสตลอด เพลินด้วยการฆ่ากิเลส พัก งานการจะได้ผลมากน้อยเพียงไรถ้าไม่หยุดไม่พักตายได้  ต้องพัก เอา เสียเวล่ำเวลาด้วยการพัก เช่นพักผ่อนนอนหลับ หรือรับประทานอาหาร เอาพักบ้างไม่เป็นอะไร เพราะนี้เพื่อเอาผลจากกำลังของเราที่พักแล้วไปทำงาน

        ทีนี้เข้ามาสมาธิ บังคับนะ คือมันเพลิน เอาพุทโธ นั่นเห็นไหมล่ะ พุทโธเบื้องต้น ทีนี้กลับมาพุทโธเบื้องปลายนะ เวลาจะสงบใจต้องเอาพุทโธบังคับ พุทโธๆ ถี่ยิบเลย ถ้าว่าเผลอเราก็ไม่อยากพูดนะจิตขั้นนี้แล้ว พอจิตราๆ มือบ้างนี้ปัญญาจะออกแล้ว พออ่อนมือนิดหนึ่งปัญญาจะออก มันจะไม่อยู่ในสมาธิ ต้องบังคับให้อยู่สมาธิ เมื่อถูกบังคับแล้วจิตมันก็ลงแน่วเลย เข้าสู่สมาธิ ทีนี้พอจิตเข้าสู่สมาธิเหมือนถอดเสี้ยนถอนหนาม กายเบาใจเบา สบาย เบา นั่นพักแล้วนะนั่น แต่บังคับไว้นะ ถ้าปล่อยเมื่อไรมันจะออกทางด้านปัญญา เพราะทางด้านปัญญามีกำลังมากกว่าทางสมาธิ

        บังคับจนกระทั่งจิตมีกำลังเต็มที่แล้วรู้นะ จิตมีกำลังพักจากการพักในสมาธิเต็มที่แล้ว มันมีกำลัง พอถอยออกมานี้ผึงเลยที่นี่นะ นั่นละกำลังต่างกัน มีดเล่มนั้นแหละ คนๆ นั้นแหละ ไม้ท่อนนั้นแหละ แต่มีดได้ลับหินแล้ว คมกล้า เจ้าของก็มีกำลังแล้ว ฟันไม้ท่อนนั้นขาดสะบั้นไปเลย นั่นมันต่างกันนะ สติปัญญาได้รับการอบรมมาแล้วเป็นอย่างนั้น นี่ต้องพัก ถึงเวลาพักต้องพัก ไม่พักไม่ได้ ถึงมันจะเพลินในการพิจารณาทางด้านปัญญาขนาดไหนต้องพัก ถ้ารู้ว่าเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าทางด้านจิตใจให้พักเข้าสู่สมาธิ

จากนั้นก็ออกก้าวเดินปัญญานี้คล่องตัวไปเลย พอออกจากสมาธิแล้วมีกำลัง เฉียบแหลมก็เฉียบแหลม อย่างนั้นนะ เอาจนกระทั่งทะลุ ต้องเดินแบบนี้ เวลาเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าพัก เวลาพักแล้วได้กำลังแล้วออก ออกทางด้านปัญญา อย่างนั้นตลอดไป จนกระทั่งกิเลสขาดสะบั้นไปหมด ไม่ต้องมีใครบอกมันก็รู้เอง ไม่มีใครบังคับ สติปัญญาเป็นขั้นนั้นแล้ว เป็นขั้นมหาสติ-มหาปัญญา ขึ้นผาดโผนโจนทะยาน พุ่งๆ เลย

พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้ว มหาสติ-มหาปัญญาที่พุ่งๆ หยุดเอง สติปัญญานี้เป็นเครื่องมือทำงานฆ่ากิเลส พอกิเลสขาดไปแล้วสติปัญญาเป็นเครื่องมือมันก็ปล่อยของมันเองโดยหลักธรรมชาติ นี่ละการฝึกฝนอบรมจิตใจเป็นอย่างนั้น เราพูดให้ฝึกหัดสมาธิ ถ้าจิตมันวุ่นวายมากให้ภาวนาคำบริกรรมพุทโธ ถ้ามันอยากคิดมากๆ เอาพุทโธแน่นถี่ยิบ แล้วสติติดแนบไม่ให้มันคิด คิดทางกิเลสไม่ให้คิด ให้คิดทางธรรม เช่นพุทโธๆ เป็นต้น แล้วจิตจะค่อยสงบเข้าไป ก้าวเดินๆ จนกระทั่งจิตเป็นสมาธิแน่นปึ๋ง เอาละ จากนั้นแล้วออกทางด้านปัญญา

ปัญญานี้จะใช้อยู่ตั้งแต่เริ่มเป็นสมาธินะ ไม่ใช่สมาธิเต็มที่แล้วถึงจะใช้ปัญญา ใช้ตามภูมิของสมาธิ สมาธิได้ขั้นใดพอจิตสงบ คำว่าจิตสงบคือจิตอิ่มอารมณ์ มันไม่อยากคิดอยากปรุงอะไรๆ ให้พาคิดทางด้านปัญญา มันก็ทำงานตาม ถ้ามันอยากคิดอยากปรุงเราไปใช้ปัญญาเป็นสัญญาอารมณ์หายเงียบเลย ท่านจึงต้องสอนว่า สีลปริภาวิโต สมาธิ มหปฺผโล โหติ มหานิสํโส ศีลเป็นเครื่องอบรมสมาธิให้มีความแน่นหนามั่นคงได้ดี สมาธิปริภาวิตา ปญฺญา มหปฺผลา โหติ มหานิสํสา ปัญญาที่สมาธิอบรมแล้วย่อมมีผลมากอานิสงส์มาก คล่องตัว พูดง่ายๆ ปญฺญาปริภาวิตํ จิตฺตํ สมฺมเทว อาสเวหิ วิมุจฺจติ จิตที่ปัญญาซักฟอกเรียบร้อยแล้วย่อมหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงโดยชอบ ไม่ผิด นั่น

นี่ท่านแสดงไว้ พระพุทธเจ้าแสดงไว้เอง ดำเนินมันก็เป็นไปตามนั้นๆ เมื่อกิเลสพังหมดแล้ว มหาสติมหาปัญญาซึ่งเป็นเครื่องมือ มันก็ยุติเอง เหมือนเราวางเครื่องมือที่เราจับฟันอะไรอยู่นี่ วาง งานเสร็จแล้วปล่อยอย่างนั้นแหละ พูดไปๆ มันก็เหนื่อยเหมือนกันนะ วันนี้พูดธรรมล้วนๆ ไม่อยากให้มีอะไรเข้ามายุ่ง แหม วันไหนเกี่ยวกับเรื่องสกปรกโสมม การบ้านการเมืองคือการส้วมการถานนั้นแหละ เวลาเราไปชำระส้วมถานด้วยอรรถด้วยธรรมแนะนำสั่งสอน พวกกิเลสมันก็เห่าว้อๆ ขึ้นมา หาว่าหลวงตาไปเล่นการบ้านการเมือง ดูซิ เราอยากพูดให้มันเต็มยศว่าการบ้านการเมืองหีพ่อหีแม่สูยังไง เราอยากว่างั้นนะ สูไม่รู้หรือกูเอาน้ำมาดับไฟเผาหัวสูนั่นน่ะ เข้าใจไหม

นี่พูดเต็มยศของธรรม ไม่ได้ใส่ร้ายผู้ใด ไม่เป็นคำหยาบนะนี่ เอาน้ำหนักให้มันถึงกันเข้าใจไหม เขาหาว่าเล่นการบ้านการเมือง ธรรมะชำระสิ่งที่สกปรก สิ่งสกปรกที่ว่าการบ้านการเมืองสกปรกนั่น มันสกปรกเอาธรรมะชะล้าง เรียกว่าการแนะนำสั่งสอน ก็หาว่าไปเล่นการบ้านการเมือง อะไรมันก็ไม่ถึงใจๆ ต้องว่าการบ้านการเมืองหีพ่อหีแม่มึงยังไง กูสอนมึงให้ขึ้นจากหล่มลึกมึงยังไม่รู้อยู่เหรออยากว่าเข้าใจไหมล่ะ มันไม่หยาบเข้าใจไหมล่ะ กิเลสมันหยาบมาแต่ไหนแต่ไร ธรรมะไม่เคยหยาบ สอนโลกให้แก้กิเลสจะหยาบไปที่ไหนว่ะ พากันเข้าใจเอานะ มันหยาบขนาดไหนสกปรกขนาดไหนมันอยากให้ว่าสะอาดทั้งนั้น แต่ธรรมนี้ตรงไปตรงมา เอาละวันนี้พูดเท่านั้นละ

มาเมื่อวานนี้เหรอ (จะมาลาหลวงตาไปอินเดีย) อินเดีย ไปกี่คนกับใครต่อใครบ้าง (เป็นของคณะ) จะไปปลงธรรมสังเวชเหรอ ในเราไม่มีหรือที่จะปลงธรรมสังเวช มันอดอยากนักหนาหรือถึงได้โดดไปอินเดีย น่าโมโหพูดนี้กวนโมโหนะ คำว่าสลดสังเวช ชาติปิ ทุกขา ชราปิ ทุกขา มรณมฺปิ ทุกขํ ล้วนแล้วเป็นธรรมสังเวชในตัวของเราเอง นั่นก็เป็นสถานที่ปลูกศรัทธาของผู้ตั้งใจปฏิบัติธรรมเบื้องต้น ให้เกิดความเชื่อความเลื่อมใสในขั้นนั้น พอขั้นนั้นแล้วก็หมุนเข้ามาหาใจแล้วทีนี้อยู่กับใจหมด

อย่างที่ว่าสอนให้ไปเยี่ยมป่าช้า ให้ไปเยี่ยมป่าช้าอยู่ป่าช้า คือยังไม่เห็นป่าช้าภายใน ให้ไปดูป่าช้าภายนอกก่อน พระพุทธเจ้าสอนละเอียดลออมากนะ ให้ไปเยี่ยมป่าช้าภายนอกก่อน วิธีเยี่ยมป่าช้าแต่ก่อนเขาไม่มีเผากันนะ ในครั้งพุทธกาลไม่มีเผา ตายแล้วไปทิ้งเกลื่อนไว้เลย แล้วให้พระไปเยี่ยมป่าช้า ท่านสอนวิธีเข้าไปเยี่ยมป่าช้า นั่น เป็นยังไงพระพุทธเจ้า ไม่ได้บอกให้ไปเยี่ยมป่าช้าเฉยๆ นะ เวลาเข้าไปเยี่ยมป่าช้า ถ้าพึ่งเริ่มฝึกหัดให้ไปเยี่ยมป่าช้าที่ตายเก่าๆ เสียก่อน ยังเหลือแต่กระดูกกระเดี้ยวอะไรๆ ไปเยี่ยมพิจารณาอันนั้นก่อน แล้วขยับเข้ามาจนกระทั่งถึงป่าช้าผีสดๆ ตายสดๆ ร้อนๆ ให้ก้าวเข้ามานี้ นี่พระพุทธเจ้าให้เยี่ยม พอไปพิจารณาเหล่านั้นเข้าอกเข้าใจแล้ว มันวิ่งเข้ามาป่าช้าภายในนี้หมด ทีนี้หยุดป่าช้าภายนอกได้แล้วเอาป่าช้าภายในเข้าใจเหรอ นี่ได้ธรรมสังเวชทางนู้นแล้วให้เอาเข้ามานี้ให้ได้ธรรมสังเวช อย่าโดดออกไปอีกนะเข้าใจไหม ธรรมสังเวช เอาละที่นี่ให้พร

เทศน์ทุกวันนี้เราจะเทศน์ด้วยความจำไม่ได้นะ ไม่มีความจำ หมด ต้องเทศน์ด้วยความจริงออกนี้ๆ ก็พุ่งไปเลย อย่างที่เราเรียนมามากน้อยนี้หมดไปเลยๆ แต่เวลามันสัมผัสก็สัมผัสเพียงเล็กน้อยปั๊บเอามาพูดเล็กน้อยๆ เท่านั้น ไม่เหมือนความจริง ความจำนั้นเรียนแล้วหลงลืมได้ ความจริงไม่มีหลงลืม เอาอันนี้ละออกเทศน์ทุกวันนี้ ว่าอะไรขึ้นนี้เลย พอเทศน์จบแล้วหายเงียบเลย ไม่สนใจว่าเทศน์ของเก่าของใหม่นะ ผู้ที่ฟังจะทราบของเก่าของใหม่เอง ไอ้เราไม่ทราบเทศน์แล้วหาย หายไปเลยๆ นี่เทศน์จากหัวใจล้วนๆ เข้าใจไหมล่ะ เรียนมาดอกเตอร์เอามาแข่งดูซิน่ะ นี่ดอกเตอร์ ป.๓ เข้าใจหรือเปล่า ดอกเตอร์ ป.๓ เราเรียนเราเรียนโดยหลักธรรมชาติ ทีนี้ถ้าว่าดอกเตอร์เรามันเต็มอยู่ในหัวใจแล้วไม่สงสัย เราจบถ้าพูดเป็นชั้นนะ เราจบดอกเตอร์ทั้งสองดอกเตอร์เลย ดอกเตอร์ทางโลกก็จบ ดอกเตอร์ทางธรรมก็จบ ปล่อยหมดโดยสิ้นเชิงเรียกว่าจบ ดอกเตอร์มันได้ทั้งสองดอกเตอร์ ถ้าดอกเตอร์ทางธรรมปล่อยทั้งโลกทั้งธรรม ปล่อยโดยสิ้นเชิงไม่เหลือเลย

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก