วิชาขับรถ
วันที่ 8 กันยายน 2548 เวลา 8:10 น. ความยาว 28.27 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมคณะครูและนักเรียนราชินูทิศ ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๘ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๘

วิชาขับรถ

         โรคมะเร็งรู้สึกว่าเป็นเรื่องหนักมากนะถ้าว่าโรคมะเร็ง แต่ก่อนวัณโรค พอว่าวัณโรคนี้เหมือนว่าตัดหัวตับหัวปอดขาดสะบั้นไปเลยทั้งๆ ที่ยังไม่ตาย สะดุ้งเลย คนกลัวมาก คือถ้าเป็นวัณโรคแล้วไม่มีทางหาย ไม่มียารักษา อันนี้มะเร็งก็แบบเดียวกันเลย คือมะเร็งยังไม่หายขาดไม่ใช่เหรอ (ยังไม่มียาที่รักษาให้หายขาดครับ) อย่างนี้ละเหมือนกับวัณโรคแต่ก่อน พอว่าเป็นวัณโรคเท่านั้น เหมือนว่าหัวใจตับปอดขาดสะบั้นไปเลย ยังหายใจอยู่ก็ตาม คือความเสียใจ หมดหวังว่างั้นเถอะวัณโรค แล้วติดกันรวดเร็วด้วย วัณโรคนี้ติดรวดเร็ว

อันนี้ก็พูดได้อย่างชัดๆ เลย คือพ่อแม่ครูจารย์มั่น หลวงปู่มั่นเรานี้ละท่านเป็นวัณโรค เป็นโรคที่สังคมกลัวที่สุดว่างั้นเถอะ เพราะสมัยนั้นยังไม่มียาแก้ให้ตกไปได้ ท่านเป็นวัณโรคด้วย นี่ละทีนี้เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรา...วัณโรค อย่างอื่นก็พูดไม่ได้เลย นอกจากอำนาจแห่งบุญแห่งกรรม จะพูดได้เท่านั้น ร้อยทั้งร้อยไม่มีใครจะผ่านไปได้ถ้าลงได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับวัณโรค คลอเคลีย อย่างเรากับหลวงปู่มั่นนี้ ปากเรากับปากหลวงปู่มั่นคลอเคลียกัน เอาสำลีไว้ในมุ้งจับห่อมือเอาไว้กวาดเสลด คือมันเหนียวออกไม่ได้ เราต้องช่วย ปากเรากับปากท่านอยู่ด้วยกันตลอดเลย

ถ้าวันไหนหนาวมากวันนั้นนอนไม่ได้นะ ไอมาก ขากเสลดไม่ถอย เราก็คลอเคลียอยู่นี้ เอาสำลีพันมือแล้วกวาดเสลดออก เราไม่เคยสนใจกับวัณโรค ชีวิตจิตใจทุกอย่างอยู่กับท่านหมด บางคนจนเสียมารยาทก็มี นั่งอยู่ด้วยกันพอรู้ว่าท่านเป็นวัณโรค อู๊ย โดดไปข้างหลังเหมือนบ้า กลัวพิลึกพิลั่นวัณโรค กลัวขนาดนั้นละ ทีนี้เรากับพ่อแม่ครูจารย์มั่น ท่านเป็นวัณโรค เราไม่ได้เป็น เรียกว่าร้อยทั้งร้อยต้องติดเลยละลงขนาดนี้แล้ว ก็ปากท่านกับปากเราอยู่ด้วยกัน มือเรากับปากท่านอยู่ด้วยกันตลอด

ยิ่งวันไหนหนาวมากๆ แล้ววันนั้นไอมาก ขากเสลดขากไม่ออกเราต้องช่วย ช่วยตลอดเวลา พอท่านมรณภาพผ่านไปแล้ว เราก็เป็นอีตาบัวไม่เห็นตายวะ พูดให้มันชัดๆ เราไม่เคยสนใจกับวัณโรคณะแรกอะไรยิ่งกว่าพ่อแม่ครูจารย์มั่น หัวใจชีวิตของเราอยู่ในนั้นหมด ความรัก ความเทิดทูนสุดยอดอยู่ในนั้นหมด เพราะฉะนั้นเรื่องวัณโรคณะแรกอะไรอย่ามายุ่งกับเราว่างั้นเลย ก็ไม่เป็นเลย ธรรมดาไปเลย หายเงียบไปเลย

บางองค์ เราก็ไม่ได้อะไรละ ท่านอดไม่ได้มากระซิบถาม แล้วเป็นยังไงครูจารย์เกี่ยวกับเรื่องวัณโรค มันเป็นยังไง จะเป็นยังไง เดี๋ยวตีปากเอานะจะว่าไม่บอก คือพอเห็นเราคลอเคลียกับพ่อแม่ครูจารย์มั่นอย่างไม่สนใจกับวัณโรคนี้เลย เวลาท่านผ่านไปแล้ว พระมากระซิบถามด้วยเจตนาหวังดี แล้วเป็นยังไงอาการท่านอาจารย์ทุกสิ่งทุกอย่างปรกติอยู่เหรอว่างั้น เพราะธรรมดาโรคขนาดนี้แล้วจะไม่มีใครพ้นไปได้เลย เราว่าจะตีปากเอานะ หายเงียบ ไม่มีเลยนะเรา คือแต่ก่อนมันแก้ไม่ตก ยานี้ยังแก้ไม่ตก คนจึงกลัวกันมาก เหมือนมะเร็งทุกวันนี้ ใครเป็นเข้าเหมือนกับว่าโรคอันนี้โรคหมดหวังเลยเทียว วัณโรคก็แบบเดียวกันแต่ก่อน แล้วก็แก้ตก แล้วก็มาอยู่โรคมะเร็งยังแก้ไม่ตก

โรคไหนก็ให้จำนะลูกหลาน นี้เราพูดถึงเรื่องโรคที่โลกทั้งหลายเขากลัวกันมาก อย่างที่ว่าวัณโรคแต่ก่อนกลัวมาก แต่เวลานี้มะเร็งกลัวกันมากที่สุดเลย เขากลัวแต่โรคหยาบๆ อย่างนี้ละ โรคที่มันฝังตับฝังปอดฝังอยู่ในหัวใจ เป็นโรควัฏวน โรคเรื้อรังประจำหัวใจ คือโรคกิเลสตัณหา ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา มันเก่งกว่าโรคมะเร็งขนาดไหน มันดูกันหรือเปล่าเหล่านี้น่ะ หรือมีแต่สั่งสมขึ้นมาเรื่อยๆ เหรอ คนหนึ่งเต็มไปด้วยสิ่งเหล่านี้ มองดูคนเห็นแต่ความโลภ ราคะตัณหา ความโกรธ ความเคียดแค้นให้สมใจเต็มตัว มองหาคนไม่เห็น โรคนี้กลัวกันไหม พระพุทธเจ้า พระสาวกทั้งหลายท่านกลัวยิ่งกว่าพวกเรากลัววัณโรคและมะเร็งไปอีกร้อยเท่าพันทวี ท่านจึงสอนว่า

โก นุ หาโส กิมานนฺโท        นิจฺจํ ปชฺชลิเต สติ

อนฺธกาเรน โอนทฺธา           ปทีปํ น คเวสถ

ก็โลกสันนิวาสนี้มันเต็มไปด้วยโรคที่ว่านี่ โรคราคะตัณหา โรคความโลภไม่พอ ตายสักเท่าไรก็ตามให้ได้โลภก็พอใจ โกรธจนตัวตาดำตาแดง ราคะตัณหามีกี่ผัวกี่เมีย หมาเดือน ๙ เดือน ๑๒ สู้ไม่ได้มันก็ไม่กลัว มีแต่ทะเยอทะยาน พระพุทธเจ้าท่านว่าโรคเหล่านี้เป็นโรคที่ร้ายแรงมากทีเดียว บรรดาพระพุทธเจ้า พระสาวกทั้งหลาย ขยะ ถอยหลังกรูดๆ เลย แล้วพวกเธอทั้งหลายยังเป็นบ้ากันอะไร นี้แปลออกเป็นภาษาภาคปฏิบัติ

ก็เมื่อโลกสันนิวาสนี้มันร้อนไปด้วยฟืนด้วยไฟคือกิเลสตัณหาเหล่านี้ เผาลนอยู่ทั้งวันทั้งคืน เป็นความมืดบอดตลอดเวลาเต็มอยู่นี้ พวกเธอทั้งหลายยังหัวเราะรื่นเริงบันเทิงกันอยู่เหรอ ทำไมไม่เสาะแสวงหาที่พึ่ง ก็คือทำไมไม่เสาะแสวงหายาแก้คือธรรม เข้ามาแก้มัน จะปล่อยให้มันเรื้อรังอยู่อย่างนี้ตลอดเวลาเหรอ นี่ โก นุ หาโส กิมานนฺโท พระพุทธเจ้ากระตุกเอา เหมือนว่าทนไม่ไหวก็กระตุกเอาบ้าง มันรื่นเริงบันเทิงเป็นบ้ากันอะไร ความตายมันทับหัวอยู่ทุกคน นรกอเวจีที่เปลวฟืนเปลวไฟอยู่ในหัวใจที่พาดีดดิ้นอยู่เวลานี้ด้วยความเพลิดเพลิน เปลวไฟที่เกิดจากความเพลิดเพลินเวลานี้ มันจะเผาหัวใจของเราตลอดเวลา พากันรู้ตัวแล้วยัง ยังจะพากันรื่นเริงบันเทิงอยู่เหรอ ทำไมจึงไม่เสาะแสวงหาหยูกหายามาแก้มัน ยาก็มีอยู่ ผู้แนะนำสั่งสอนครูบาอาจารย์ก็มีอยู่ ทำไมจึงไม่สนใจกับหยูกกับยาคืออรรถคือธรรมคือครูบาอาจารย์ ยิ่งกว่าสิ่งเหล่านี้ที่เป็นฟืนเป็นไฟเผาอยู่ตลอดเวลาล่ะ ความหมายว่างั้นแปลออก

โรคอันนี้ร้ายแรงมาก สัตว์ทั้งหลายกระหยิ่มยิ้มย่องต่อมันตลอดเวลา เพราะฉะนั้นการตายกองกันจึงไม่มีสิ้นสุดยุติ ตั้งแต่กัปไหนกัลป์ใดมา ตายกองกัน ศพของเรานี้ก็ตายกองกันกับเรา และกองกันกับสัตว์ทั้งหลายที่เต็มอยู่ในโลกธาตุแห่งวัฏวนนี้ เต็มกันอยู่อย่างนี้ตลอดไป เพราะอันนี้เป็นเครื่องส่งเสริมให้เกิดให้ตายให้ทุกข์ลำบากอยู่ตลอดเวลา ไม่มีใครเสาะแสวงหายามาแก้มันพอได้รอดตัวไปได้ๆ ให้พากันพิจารณาทุกคน

มีแต่หวังจะมีความสุขความเจริญ หวังๆ ทั้งนั้นเรื่องหวัง แต่ความผิดหวังมันติดแนบๆ ได้พากันทราบหรือเปล่าล่ะ ตื่นขึ้นมาหวังแล้วจนกระทั่งนอนหลับ หมดหวัง เอาความนอนหลับมาเป็นเครื่องระงับกัน บางรายนอนไม่หลับจนเป็นบ้าไปเลยก็มี เพราะโรคอันนี้โรควุ่นวาย  โรคดีดโรคดิ้น  โรคไม่มีวันหยุดวันถอยกับฟืนกับไฟ  ไม่สนใจหาหยูกหายา ให้แก้ตัวนะ ให้พากันยับยั้งตัวเองทุกคนๆ

เหมือนเขาขับรถ เครื่องรถทุกสิ่งทุกอย่างเขามีเบรก มีคันเร่ง มีพวงมาลัยเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาไปตามสายทางที่ต้องการ ความช้าความเร็วดูจังหวะ ทางคดทางโค้ง ชุมนุมชน ทางสามแยกสี่แยก มีสัตว์หรือคนผ่านมา คนขับรถเขาจะดูตลอด แล้วเขาจะเหยียบเบรกหรือคันเร่งไปตามจังหวะ หมุนพวงมาลัยไปตามจังหวะ นี้เขาขับรถ รถก็ปลอดภัย แม้เช่นนั้นมันยังลงคลองได้อยู่..รถ ถ้าผู้ขับประมาทรถลงคลอง รถตายรถขึ้นมาได้ คนตายไม่มีขึ้น จมไปเลย นั่น นี่ละคนขับรถ

เราขับตัวของเรา ใจของเรานี้เป็นเหมือนคนขับรถ ร่างกายทุกสัดทุกส่วนที่จะเคลื่อนไหวไปมาที่ไหน ต้องส่ออยู่กับใจ ใจจะเป็นผู้พาหมุนให้ไป หมุนไปทางไหน ใจหมุนไปทางเสีย เสียไปตลอด ลงคลองไปเลย ถ้าใจหมุนไปในทางที่ถูกที่ดีก็เหมือนคนขับรถมือดี ก็ไปด้วยความแคล้วคลาดปลอดภัยสมมักสมหมาย นี่เราจะไปแบบไหนดูตัวของเรา ดูใจของเรา การขับรถคือเราขับตัวของเราเอง จะหมุนไปทางดีทางชั่วประการใดขึ้นอยู่กับเรา คือหัวใจเราเป็นผู้ขับ

ได้รับธรรมไปนี้ นี่วิชาขับรถ เข้าใจหรือเปล่าล่ะ ที่มาเรียนอยู่เวลานี้ฟังอยู่เวลานี้ วิชาขับรถ คือขับตัวของเราขับใจของเราด้วยอรรถด้วยธรรม ซึ่งเป็นธรรมชาติที่จะพาแคล้วคลาดปลอดภัย เราขับนี้ดูตัวเองไปเรื่อยๆ ไม่ค่อยผิดพลาดคนเรา ถ้ามีแต่ความเพลิดความเพลิน ตายง่ายไม่มีป่าช้า ยิ่งกำลังวัยคึกวัยคะนองนี้วัยบ้าทั้งนั้นแหละ พากันจำเอา มันวัยบ้า ครั้นเห็นผู้ชายตาอยากได้สักสิบตาก็ยังไม่พอ อยากจ้องดูแต่ผู้ชาย ไอ้ผู้ชายเห็นผู้หญิงก็จ้อง อยากได้สักร้อยตา มันมีแต่ตัวขยันทั้งนั้น ขยันจะเอาไฟเผากันไม่รู้จักประมาณ ทีนี้ยับยั้งไม่อยู่ก็วิ่งตามกัน ผู้หญิงวิ่งตามชาย ผู้ชายพันกับผู้หญิงไป ไม่มีความศักดิ์ศรีดีงามทั้งชายทั้งหญิง เลอะเทอะไปหมดด้วยกัน เข้าใจไหม ขับรถแบบนี้ขับรถลงคลอง คือปฏิบัติตัวแบบนี้ปฏิบัติเพื่อลงคลอง อย่าไปลงคลองนะ ทางไหนดิบไหนดีเรารู้อยู่ ยิ่งเวลานี้ก็มาฟังอรรถฟังธรรมจากครูอาจารย์ ท่านสอนวิชาขับรถคือการปฏิบัติต่อตัวของเราให้ดิบให้ดี

เรื่องความอยากความทะเยอทะยานมีอยู่กับทุกคน ความทะเยอทะยานคือกิเลส กิเลสอยู่ภายในมันดันออกมาตลอด ให้คิดให้ปรุง อยากรู้อยากเห็น อยากทุกอย่างคือกิเลส ไม่มีคำว่าอิ่มพอ ความหิวโหยอะไรไม่เกินกิเลส กิเลสนี้ไม่มีคำว่าอิ่มพอ หมุนไปเรื่อยๆ พาให้จมจนได้ ที่จอมปราชญ์ฉลาดแหลมคมท่านมาสอนมันไม่ยอมฟังเสียงนะ มันเอาความหูหนวกตาบอดชนเลย นักปราชญ์หลีกไม่ทัน ดีไม่ดีตกเหวตกบ่อไปก็ได้ แต่นักปราชญ์ท่านไม่ตก พวกเราน่ะตกเอง สอนเท่าไรมันก็ไม่ฟังๆ ท่านปล่อยเสียก็ตูมเลยๆ

ใครจะฉลาดแหลมคมยิ่งกว่าศาสดา ในโลกธาตุนี้มีพระพุทธเจ้าเท่านั้นสอนได้อย่างแม่นยำชี้นิ้วเลยไม่ผิด ลงศาสดาได้สอน คำว่าชี้นิ้วเลยไม่ผิด คือดูหัวใจเจ้าของ เราขึ้นเวทีมาแล้วที่มาสอนลูกหลานเวลานี้นะ เอาธรรมพระพุทธเจ้าวิชาพระพุทธเจ้าสอนวิธีปฏิบัติต่อตน เฉพาะอย่างยิ่งปฏิบัติต่อจิตใจ เอาอย่างนั้นละ ซัดกันจนจะเป็นจะตายก็เคยพูดแล้ว การฝึกหัดภาวนานั้นละการฝึกหัดที่ละเอียดลออในการฝึกหัดตน เราฝึกหัดนี้เราก็ขยับออกไปฝึกหัดความเคลื่อนไหวทางกายวาจา ความประพฤติหน้าที่การงานพอเหมาะพอดีกับสังคมยอมรับ แล้วก็เรียกว่าเป็นศีลธรรม อยู่ด้วยกันด้วยความสงบ ถ้าแหวกแนวไปจากนี้แล้วเขาจับยัดใส่คุกใส่เรือนจำ

ก็คนเหมือนกัน ทำไมจึงไปอยู่เป็นนักโทษเรือนจำคือเลว เลวเลยมนุษย์ไปเขาก็จับไปขังเอาไว้ เราก็ให้ดูของเราอย่าให้เลวเกินตัวของเราไป ถ้าอยู่ในตัวของเราขับขี่ก็ดูการเคลื่อนไหวไปมา ความประพฤติหน้าที่การงานของตัวอยู่สม่ำเสมอแล้ว เราก็เป็นคนอยู่ในสังคมที่ยอมรับด้วยดีด้วยกัน ถ้าแหวกสังคมไปแล้วเขาจับยัดใส่คุกเห็นไหมล่ะ นี่คนแหวกสังคมติดคุกติดตะรางเต็มในนั้น อยู่นั้นชื่อมันน้อยๆ เมื่อไร ชื่อนางสวรรค์ ชื่อนางบุญมา นายบุญมา นายพรหม นู่นน่ะเห็นไหมอยู่ในเรือนจำ

ครั้นเวลาไปถามทำไมชื่อว่าอย่างนั้นๆ แล้วทำไมจึงมาติดคุกอย่างนี้ เขาหาว่า มันลงเมื่อไร มันไม่ยอมลงกิเลสน่ะ ยังว่าเขาหาว่า แล้วความจริงเป็นยังไง ก็เป็นจริงๆ ละครับ นั่นเห็นไหม นี่ละกิเลสมันไม่ยอมใคร ติดคุกมันก็บอกว่าเขาหาว่า มันไม่ได้ทำความผิดเขาหาว่า นั่น นี่ละกิเลสไม่ยอมใคร ชอบยกยอที่สุดคือกิเลส ยกยอให้เป็นบ้าก็เป็นได้นะคนเรา

พอพูดอย่างนี้เราก็ระลึกถึงหมาตัวหนึ่งหูตูบ หมาตัวนั้นเตี้ยๆ อ้วนๆ หูตูบ รู้ภาษาคน เราพูดอย่างนี้มันรู้หมด มันนอนอยู่ เราเห็นด้วยตานะ เราไปฉันในบ้านเขา เขาบอกว่าหมาตัวนี้มันรู้ภาษาคน เราพูดอะไรมันนอนอยู่นี้มันฟังอยู่นะ มันรู้ว่างั้น มันมีสระเล็กๆ อยู่หน้าบ้านเขา เขาเลี้ยงปลาไว้เต็มอยู่ในสระนั้น หมาตัวนี้บอกให้ลงเล่นน้ำก็เล่น หาปลาก็หาว่างั้น บอกไปไหนได้หมด พอว่าเขาลุกคึกคักเขาจะโดดลงไปน้ำไปหาปลา นี่เขาได้ยินนะ เห็นชัดๆ เราดูอยู่นี่น่ะ เขาคึกคักเขาจะโดดลง โอ๊ย พูดเฉยๆ พูดเรื่องหาปลา ไม่ได้บอกลงไปหาปลาขึ้นมาเสีย ปุ๊บปั๊บขึ้นมา นั่นน่ะฟังซิ

ถ้าพูดยกยอนะ อู๊ย เขาดีหูตูบนี้อยากจะผึ่งขึ้นอีกนะเข้าใจไหม หูผึ่งเราไม่ลืม มันน่ารัก เขาพูดชมเชยมันนี่ โอ๋ย มันนอนนิ่งเพลินกินยาบ้ายอเข้าใจ เขาเพลินเขากินยาบ้ายอ ทีนี้พอพูดนั้นจบลงแล้วสุดท้ายเขาสรุปลงไปว่า พูดที่ว่าตำหนิเขานี่ไม่ได้เสียงดังนะ พอพูดยกยอเขาหมดเรียบร้อยแล้ว เขาสรุปความลงว่า ไอ้บ้าว่างั้นนะ ว่าไอ้บ้า ฮ่าเลยนะ ว่าไอ้บ้าเบาๆ นะ เราก็นั่งฟังอยู่เขาพูดไอ้บ้า ฮ่าๆ ลุกคึกคักขึ้นจริงๆ นะ โอ๋ย ว่าเฉยๆ นี่แหละ เราว่าเฉยๆ พูดหยอกเฉยๆ แหละ นอนลงอีก นั่น

เราจะไปไหนมาไหนเขาจะฟัง พอว่าเราไปนะเราเตรียมของ เขาขึ้นรถก่อนแล้วไปขึ้นรถก่อน เขาฟังอยู่แล้วนี่ เป็นอย่างนั้นนะ แล้วมันยังรู้ภาสีภาษา ไอ้นี่เจ้าของว่าบ้ามันรู้ตัวหรือเปล่าล่ะ ธรรมะท่านเตือนว่าบ้า ฮ่า หากัดธรรมนะพวกนี้น่ะ พวกกัดธรรมเข้าใจไหม ธรรมท่านเตือน ที่มันมีความดีบ้างพอยกยอธรรมท่านก็ยกยอให้ แต่ความชั่วมันมากท่านเอาเพียงเล็กน้อยนิดหน่อยไม่มาก พอถูกสรุปว่าไอ้บ้านี่ ฮ่าๆ พวกนี้พวก ฮ่าๆ ทั้งนั้นนะ ถ้ายกยอมันหูผึ่ง พอว่าไอ้บ้า เฮ่อๆ ขึ้นเลยเข้าใจหรือเปล่าลูกหลาน สูน่ะ พวกสูพวกเห่อๆ นะ เข้าใจหรือเปล่า

ให้ปฏิบัติตัวเองนะ บังคับตัวเองให้ดี ใจนี้รุนแรง เพราะกิเลสมันครอบอยู่ภายในเป็นพิษเป็นภัยเกือบว่าแทบทั้งนั้นเลย อำนาจของกิเลสมันรุนแรง เพราะฉะนั้นจึงต้องเอาธรรมเข้าจับ ธรรมเข้าไปชะล้าง ธรรมเข้าไปบังคับบัญชาก็พออยู่ได้ๆ ในกรอบแห่งความพอดีพองาม จึงต้องเอาธรรมเข้าไปบังคับตัวเอง ไม่บังคับไม่ได้นะ อย่างพระที่ท่านปฏิบัติจริงๆ รักศีลรักธรรม เคารพในศีลในธรรมจริงๆ ท่านเหมือนติดคุกติดตะรางนะ แต่เป็นด้วยความสมัครใจที่ท่านรักสงวนศีลธรรม ท่านไม่ยอมฝ่าฝืนเรื่องศีลเรื่องธรรม ทุกข์ขนาดไหนท่านยอมรับๆ ด้วยความพอใจ ท่านอยู่ได้สบาย เย็นใจๆ ตลอด นี่ละการบังคับตัวเอง

เรื่องกิเลสนี่มันฉุดมันลากไปทางที่จะให้ตกเหวตกบ่อ ธรรมฉุดลากขึ้นมาๆ ให้พากันเอาธรรมไปปฏิบัติ ถ้าไม่มีธรรมเป็นเครื่องกำกับรักษาปฏิบัติตัวเองแล้วจะเลวกันทั้งนั้น ไอ้ชื่อเสียงอะไรไม่มีปัญหาละ ตั้งฟากจรวดดาวเทียม แต่คนผู้เป็นเจ้าของชื่อเสียงนั้นมันอยู่ใต้ก้นนรกมีมากต่อมากนะ ทุกวันนี้ยิ่งเป็นบ้าตั้งชื่อตั้งเสียง ตั้งชื่อนี้ พอเราถามว่าชื่อว่าไง อย่าฟังธรรมดานะ ให้ไปรอฟังอยู่ฟากจรวดดาวเทียม ชื่อมันฟากจรวดดาวเทียม แล้วตัวไปไหนล่ะมีแต่ชื่อ อยู่ใต้ก้นนรกนู่นน่ะ ตัวกับคนไม่อยู่ด้วยกัน ชื่ออยู่ฟากจรวดดาวเทียม แต่ตัวคนอยู่ใต้ก้นนรก

อย่าให้เป็นพวกก้นนรกนะ ชื่ออยู่ฟากจรวดดาวเทียมใช้ไม่ได้นะลูกหลาน พากันจำไปปฏิบัติหน้าที่ของตน การระมัดระวังรักษาตนสำคัญมาก หัวใจนั่นละเป็นผู้ขับรถ คือขับขี่ตัวของเรา เอียงซ้ายเอียงขวาไปไหน สติปัญญาพินิจพิจารณาขับขี่ตนไปด้วยความราบรื่นดีงาม อย่างเป็นหนุ่มเป็นสาวนี้เวลาเราปฏิบัติตัวของเราดีก็เป็นศักดิ์ศรีดีงาม เป็นกุลสตรี เป็นสตรีที่มีสกุลมีศักดิ์ศรีดีงาม ถ้าปล่อยเนื้อปล่อยตัว เสียหมดใช้ไม่ได้นะ ขายก่อนซื้อสุกก่อนห่าม ขายก่อนซื้อเขายังไม่ได้ซื้อ ขายก่อนแล้วไม่ต้องคิดเงิน สุกก่อนห่าม ยังไม่พอจะสุกเลยยังไม่พอจะห่ามเลยมันสุกก่อนแล้ว สุกก็เน่าเฟะประเภทนี้ ให้สมควรพอสุกก็สุก บำรุงรักษาให้ดี

ผลหมากรากไม้พอแก่มันก็แก่ พอห่ามก็ห่าม พอสุกมันก็สุก อย่าเอาสุกก่อนห่ามมาใช้ บังคับให้มันสุกมันไม่สุก เน่าเฟะนะ นี่ตัวของตัวไม่ดี มีแต่ว่าดีเฉยๆ เอาความชั่วโปะเข้าไปก็มีแต่ชั่วตลอด ความดีไม่ปรากฏ ต้องเอาความดีงาม การฝึกฝนอบรมตนเองให้เป็นคนดี เข้าไปประกบกับตัวเอง แล้วจะดีงามไปตามๆ กันหมด ทุกอย่างเราอย่าเข้าใจว่าเราฉลาดเหนือโลกนะ มีคนโง่คนฉลาดอยู่ ใจของเราก็มีทั้งขณะที่โง่ขณะที่ฉลาด ส่วนมากมีความโง่ละมากกว่า จึงต้องเอาธรรมเข้าไปจับ ให้ใจมีความเฉลียวฉลาดรู้จักวิธีรักษาตัว ถ้าไม่รู้จักวิธีรักษาตัวจมได้ทั้งนั้นคนเรา จำเอานะลูกหลานทุกคนๆ เอาละเทศน์เท่านี้ละวันนี้พอ

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก