เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๘
เทศน์จนกระทั่งวันตาย
ผู้กำกับ ปัญหาธรรมะของสันติครับ ข้อหนึ่ง หนูเริ่มเดินจงกรมเวลา 00.43 น.วันที่ 5 มิ.ย. ไม่มีเจตนาจะส่งจิตออกข้างนอก แต่จิตออกเอง มีสติรู้ตามดูจิต มีความรู้สึกแปลกๆ หันไปมองข้างหลังตกใจมาก เพราะมีผีสมัยแมนจูเรียไว้ผมเปียยาวๆ ใส่หมวกจีน สวมเสื้อยาวสีดำ มีเขี้ยว ๔ เขี้ยว ปากมีเลือดแดง เล็บมือยาว หน้าเศร้าๆ บางตัวกระโดดตามหลัง และบางตัวกระโดดข้างหน้า และกระโดดรอบๆ ตัวหนู หนูรู้สึกกลัวมาก เพราะเห็นทั้งกลางวันกลางคืน และเห็นสิ่งที่น่ากลัวอีกแยะ เป็นเวลาสิบกว่าวันแล้ว พยายามดึงจิตกลับมาทุกๆ ครั้ง แต่ก็ดึงไม่ได้ จิตและกายเหนื่อยมาก เพราะอย่างนี้หนูจึงเชื่อหลวงตาที่ว่าไม่ให้ภาวนาส่งจิตออกนอก เพราะเป็นอันตราย จะดึงจิตกลับไม่ได้ก็ยิ่งน่ากลัว จิตก็ยิ่งไปไกล หนูหาวิธีโดยหยุดภาวนา แต่ก็ได้ฟังเทศน์ของหลวงตาในวิทยุอยู่ตลอดไม่ได้นอน จนกระทั่งจิตกับเสียงเป็นอันเดียวกัน หลังจากนั้นจึงบังคับจิตได้ ถ้าผีมาอีกหนูขออนุญาตส่งมาให้พระเพราะที่วัดนี้มีพระแยะ หนูไม่เอาแล้ว
หลวงตา แล้วพระท่านไม่กลัวเหรอ เหอ ส่งมาอะไร ตั้งแต่อยู่ในวัดมันก็มากต่อมากแล้วผี พระท่านกลัวมากต่อมากแล้ว จะส่งผีที่ไหนมาอีก เอ้าว่าไป
ผู้กำกับ ข้อที่สองครับ เวลานั่งภาวนาไม่รู้สึกตัว รู้แต่ผู้รู้อยู่อย่างเดียว ขณะนั้นมีความรู้สึกว่าตัวลอยขึ้นและกลับลงมา บางครั้งเอนไปทางซ้ายบ้างทางขวาบ้าง นับเป็นสิบครั้ง หนูรู้สึกจิตพยายามจะไปแต่ไปไม่ได้ บางครั้งเวลานอนก็เป็น ขาขยับไปมา มือก็ขยับไปมา หัวก็ขยับไปมา อาการแบบนี้เป็นบ่อยๆ หนูควรจะทำอย่างไรเจ้าคะ
หลวงตา ให้ตั้งใจให้มีความสงบ ไม่ปล่อยให้มันออกเพ่นพ่านนั่นละดี เรื่องอย่างนี้เป็นอาการของจิตที่ออกข้างนอก แล้วมีข้างนอกเข้ามาเกี่ยวข้องก็พันกันไป ความสงบใจนั้นละเหมาะที่สุดสำหรับนักภาวนา ความรู้ความเห็นนี้ก็ไม่เห็นจำเป็นอะไรจะต้องมาเล่าอะไรอย่างนี้ พระท่านรู้สักเท่าไรๆ ไม่ใช่เป็นเรื่องละกิเลส ถอดถอนกิเลส ท่านไม่ค่อยพูดแหละ ท่านจะพูดในวงธรรมะที่ถอดถอนกิเลส อย่างนี้เป็นปลีกเป็นย่อยแต่เป็นภัยได้มาก ท่านจึงไม่ค่อยจะสนใจ พอเห็นก็ถอยจิตเข้ามาเสียไม่ต้อนรับพูดง่ายๆ ว่างั้น ถ้าไปเกี่ยวข้องกับมันก็ไปใหญ่ละเรื่องอย่างนี้
เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องภายนอกแต่มีภัย ถ้าหลงตามมันเป็นภัย ถ้ารู้ตามมันแล้วจะเล่นกับมันบ้างก็ได้ ไม่เล่นก็ได้ ถอยจิตเข้ามาปั๊บเสีย เรียกว่าไม่ต้อนรับแขก ถอยปั๊บเข้ามาปิดประตูกึ๊ก แขกเต็มอยู่ข้างนอกไม่มีความหมาย เข้าใจ เรื่องการภาวนาเป็นเรื่องเล็กน้อยเมื่อไร พิสดารมากทีเดียว พอพูดอย่างนี้เข้าใจทันทีๆ เลย ก็มันผ่านมาเสียพอแล้ว แต่เคยมาพูดให้ฟังไหมล่ะ ไม่พูด ไม่เห็นจำเป็นอะไรจะต้องพูด พูดหาอะไร พูดเฉพาะสิ่งที่จะเป็นประโยชน์แก่โลกแก่สงสาร ธรรมะท่านสอนอย่างนั้น หลักใหญ่อยู่ตรงนี้ ท่านไม่ได้พรรณนาเรื่องนอกเรื่องนาอะไรไป ยิ่งกว่าการละ การถอดถอนกิเลสที่เป็นภัยแก่จิตใจของเราอยู่เป็นประจำ อันนี้ท่านเน้นหนักๆ อยู่ในจุดนี้มาก
อย่าไปยุ่งรุ่มร่ามกับข้างนอกมากนักนะ ให้พิจารณาอาการของจิตมันแสดงอะไรให้ดู มันเกิดมันดับๆอยู่ในจิตนี้น่ะ ไปดูอะไรนอกนัก หางมเงาโน้นงมเงานี้ ตัวของตัวที่คว้าโน้นคว้านี้ ไม่ดูตัวเองที่คว้าโน้นคว้านี้ ดูเข้ามาซิ ให้สงบเข้าภายในซิ สงบแล้วก็พิจารณา อะไรมันยังเหลือที่ควรจะพิจารณาสืบต่ออะไร ตามมันไป พิจารณาให้รู้ อะไรมันรู้แล้วมันปล่อยของมันไป มันก็เข้าใจๆ
ผู้กำกับ เขาแก้ด้วยตัวเองไม่ได้ แต่ถ้ามากราบเรียนหลวงตาแล้วก็เข้าใจและแก้ได้
หลวงตา ก็อย่างว่าแหละ เรื่องเหล่านี้มันเรื่องยุ่มย่ามข้างนอก กวนนะ ถ้าถอยเข้ามาข้างใน พิจารณาอยู่ในอาการของจิตทุกอย่าง มันแย็บออกไปปั๊บรู้ปั๊บ ดับปุ๊บๆ แล้วดูอาการของจิตนี้ เป็นเรื่องละกิเลสถอนกิเลสอยู่ในตัว ถ้ามันออกมาปั๊บตามมันไปนี้ ไม่ใช่ละนะนี่ เพลินไปกับมัน ดีไม่ดีเสริมกิเลสมากเข้าๆ เรื่องอย่างนี้มันมีมากมาย เวลาพูดอย่างนี้ก็จะพูดเสียบ้าง พระพวกเดียวกันนี้แหละสององค์ องค์หนึ่งไปอยู่ถ้ำนั้น องค์หนึ่งมาอยู่ถ้ำนี้ ไปภาวนา จะเอาตัวชัดเจนมาเลย นี่นิทานสดนะ ท่านก็ไม่เคยพูด แต่เมื่อมันหยาบหยามเข้ามาๆ ก็ต่อยรับกันบ้างซิ
ไปนั่งภาวนาอยู่ในถ้ำนั้นได้สามคืนโดดมา นัดกันว่าเท่านั้นวันเท่านี้วันถึงจะมาพบกัน แต่ยังไม่ถึงไหนอยู่ได้สามคืนโดดออกมา แล้วก็โดดไปหาองค์ที่อยู่ถ้ำนั้น ทำไมไปอยู่กำหนดเท่านั้นวันเท่านี้วันถึงจะมา แล้วมาทำไมอย่างนี้ล่ะเพิ่งได้สามคืน มันอยู่ไม่ได้ เป็นอะไรอยู่ไม่ได้ เอาละนะที่นี่นะ ผู้หญิงคนหนึ่งมีท้องมันไปปีนเก็บผลไม้ ตกลงมาเลยตายอยู่ที่นั่น อยู่แถวใกล้ๆ ถ้ำนั่นแหละ ตายแล้วเลยเป็นเปรตอยู่นั่น เวลาพระมา ตีนมันเกาะเพดานถ้ำ หัวมันหย่อนลงมา มันมากอดพระ พระถองไล่เท่าไรมันก็ไม่ยอม แผ่เมตตามันก็ไม่ยอม มีแต่กอดแต่พันพระอย่างเดียว ท่านทนไม่ไหว สุดท้ายลืมตาอยู่มันก็มาอยู่เห็นอยู่ อย่าว่าแต่หลับตาเลย ลืมตามันก็เห็น ทนไม่ได้ทนได้สามคืนจึงเปิดมานี้ละ
หือ มันเป็นอย่างนั้นเชียวหรือ เอ้า ผมจะไปทดลองดู ลองไปดูซิน่ะ นี่คือความรู้เหมือนกัน เข้าใจไหม มันยอมรับกันทันที พอมาได้สองคืนองค์นี้ก็เผ่น มันเป็นยังไง โอ๋ย อย่างว่านั้นเลย ผมทนได้สองคืน ท่านนับว่าเก่งกว่าผมได้สามคืน นั่น เปรตมันเป็นอย่างนั้น ผู้หญิงตายมีท้อง เห็นผลไม้ละซีเลยปีนขึ้นไปเก็บ แล้วตกลงมาตายอยู่นั้น ก็มีอย่างนั้นละโลกสงสารเต็มไปหมด นอกจากไม่พูด เรื่องของมันก็ให้เป็นเรื่องของมันไปเสียเท่านั้นเอง เรื่องของเราที่จะแก้กิเลส จะไปหลงตามมันก็ให้เป็นเรื่องของเราไป ปัดออกๆ พิจารณาตัวนี้ตัวมันดิ้นมันดีดออกไปรับสิ่งต่างๆ ตัวนี้ไม่ออกมันก็อยู่สบาย สงบเย็นลงไป นี่ละการภาวนาให้สงบลงที่หัวใจ สงบลงไปออกรู้นั้นรู้นี้ไม่เรียกว่าสงบ
นี่เห็นไหมที่เคยเล่าให้ฟังว่า ไล่แม่แก้วลงภูเขา ร้องไห้ลงไป ก็อย่างนี้เอง สอนเท่าไรก็ไม่ฟังๆ ให้ออกบ้างไม่ออกบ้างได้ไหม สอนลงมาเป็นระยะๆ จนกระทั่งยังไงก็ไม่ได้ๆ แสดงว่าแกเชื่อเรื่องความรู้ความเห็นของแกมากกว่าเชื่อเรา หนักเข้าๆ บังคับเลย เอา ไม่ให้ออกบอกงั้น เอาไปปฏิบัติ คราวนี้คราวเด็ด ไม่ให้ออกได้ไหม ลงแล้วให้อยู่ เมื่อมันอยู่แล้วจะอธิบายต่อไปอีก มันยังไม่ลงจุดที่จะอธิบายต่อไป ยังเป็นบ้าอยู่ข้างนอก ไล่เข้าก็ไม่เข้า บอกไม่ให้ออก เอาอย่างเด็ด กลับไปมาอีก บอกออกอีกๆ ก็ไล่ลงภูเขาละซิ
สถานที่นี่ไม่มีบัณฑิตนักปราชญ์ มีแต่คนโง่เขลาเบาปัญญา ใครเป็นนักปราชญ์ไป ไล่ ร้องไห้ลงภูเขาที่อยู่ห้วยทราย วัดอยู่ทางนี้ตีนเขา เราอยู่บนเขา ตีนเขาพระมากอยู่ เราขึ้นอยู่บนภูเขากับเณรหนึ่ง สำนักชีเขาอยู่ฟากบ้านทางโน้น วัดเราอยู่ฟากบ้านทางนี้ ตอนวันพระเขายกขบวนไปแหละ ตอน ๔ โมงเขาไป ๕ โมงกว่าๆ หรือจวน ๖ โมงเขาก็กลับมาเป็นประจำ
นี่พูดถึงเรื่องมันดื้อนะ ไม่ใช่เล่นนะจิตนี่ ดื้อจนไม่ฟังเสียงเราเลย ว่าถือเป็นครูเป็นอาจารย์ เวลาฟังไม่ฟังเสียง เชื่อความรู้เจ้าของมากกว่าเชื่อครูบาอาจารย์นั่นซิ ถึงขนาดไล่ลงภูเขา ร้องไห้ลงไป เราเฉย น้ำตานี้ไม่มีประโยชน์อะไร เอาตรงนั้นนะ น้ำตานี้ไม่มีประโยชน์ ไล่ลงไปหมดท่าแล้วก็ จึงได้มายอมรับ เอ้า ย่นมา ทีนี้มายอมรับ เราก็ว่าเราเป็นอย่างนั้นๆ ถึงขนาดท่านไล่ลงภูเขา ไม่มีที่พึ่งแล้วที่นี่ ว้าเหว่ ยุ่งไปหมด ก็เราหวังจะพึ่งครูอาจารย์องค์นี้ ถูกท่านไล่ลงภูเขาแล้วเราจะทำยังไง ก็เลยย้อนมาเห็นโทษตัวเอง นี่ก็เป็นเพราะเรานั่นแหละไม่ฟังเสียงท่าน ท่านก็เอาเสียบ้าง เพราะท่านห้ามมาเป็นวรรคเป็นตอนๆ จนกระทั่งถึงที่สุดที่จะเอากันอย่างจริงจัง ยังไม่ลงอีก ไม่ลงท่านก็ไล่ลงภูเขา
เอ้า ถ้าหากว่าเชื่อครูอาจารย์ก็ฟังท่านบ้างซิ ท่านสอนว่ายังไงให้ปฏิบัติตามท่านบ้างซิ จะเชื่อแต่ความรู้ของตัวเอง ทำอยู่อย่างนี้ ไปทีไรก็ไปคุยให้ท่านฟัง ท่านรำคาญท่านก็ไล่ลงภูเขาละซิ เอา ปฏิบัติตามท่านซิถ้ายอมรับว่าเป็นครูเป็นอาจารย์ ปฏิบัติตามก็ลงจ้าเลยเชียว นั่นเห็นไหมล่ะ พอลุกขึ้นจากที่แล้วกราบไปหาภูเขา บ่ายวันหลังไปเลย ไม่รอให้ถึงวันเสาร์วันอาทิตย์แหละ สี่วันกลับไปเราไม่ลืมนะ ธรรมดาแปดวัน วันพระไปทีหนึ่ง อันนั้นสี่วันเท่านั้นกลับมา เรากำลังปัดตาดอยู่ตอน ๔ โมงเย็น พอโผล่ขึ้นมา ขึ้นมาอะไรอีก เอาอีก มาหาอะไร ไปลงไป โอ๊ย เดี๋ยวๆ ให้พูดเสียก่อนๆ มีอะไรเอ้าว่ามา เราปัดกวาดกับเณรอยู่ข้างบน เขาก็ขึ้นไป เลยนั่งที่นั่น เราก็วางไม้กวาดที่นั่น ซัดกันที่นั่นเลย แกก็ไปเล่าให้ฟังอย่างนั้นๆ ก็อย่างนั้นละซิ เราก็อธิบายต่อ ทีนี้ก็จ้าไปเรื่อยๆ นั่นเห็นไหมล่ะ
นี่ละเรื่องความเชื่อตัวเองยิ่งกว่าครูอาจารย์เสียได้อย่างนี้ ถึงขนาดไล่ลงภูเขาร้องไห้ไป อันนี้พ่อแม่ครูจารย์มั่นท่านก็เล่าให้ฟัง แกก็เล่าให้ฟังเรื่องพ่อแม่ครูจารย์มั่น เวลาท่านไปท่านวิตกวิจารณ์กับแกนี่ละ ตอนนั้นแกกำลังเป็นสาวอยู่ ท่านว่าถ้าเป็นผู้ชายจะบวชเณรให้แล้วเอาไปด้วย แต่นี้เป็นผู้หญิงมันลำบากลำบน เอา อยู่ไปเสียก่อนเถอะ กรรมมีก็เสวยไปก่อน มันหากจะมีครูบาอาจารย์มาสอนแหละ ท่านว่าจะมีครูบาอาจารย์มาสอนแหละ ทีนี้ไปสุดเหวี่ยงก็อย่างว่าแหละ ความรู้ของแกออกเปิดเปิง เรื่องเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมที่ไหนแกรู้หมด
คือพ่อแม่ครูจารย์มั่นท่านห้ามนะ นี่เวลาเราไปให้หยุดภาวนานะ อย่าภาวนา บาปมีบุญมี กรรมของใครของเราเสวยไปเถอะ มันหากจะมีครูบาอาจารย์มาสอนแหละ ท่านว่างี้ มาแกก็มีครอบครัว จากนั้นก็ออกบวช ออกบวชมันก็ไปแบบนี้ ท่านห้ามไม่ให้ภาวนา แต่มันอยากภาวนาเป็นกำลัง ทนไม่ไหว แกว่า ตกลงก็ภาวนาระวังเอา ว่างั้นนะ แกว่าระวังเอา ทีนี้ภาวนามันก็เป็นอย่างว่า ก็เพราะความระวังเอานั่นละพอทรงตัวอยู่ได้ พอดีเราก็ไปที่นั่น จึงไปเจอกันอย่างว่า ถึงขนาดได้ไล่ลงภูเขา จากนั้นพอยอมรับแล้วก็จ้าขึ้นเรื่อยๆ พุ่งเลย
เราไปปี พ.ศ.๒๔๙๔ มั้งไปห้วยทราย ๒๔๙๓ ลงจากภูเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ แล้วก็ย้อนมาจำพรรษาที่วัดหนองผือ มาสนองคุณของพี่น้องชาวหนองผือที่มีคุณมากต่อพระเจ้าพระสงฆ์ทั้งหลาย มีจำนวนเท่าไร บ้านมี ๗๐ หลังคาเรือน พระไปจำนวนเท่าไรเขาเลี้ยงดูได้หมด ทีนี้เวลาครูอาจารย์มรณภาพจากไปนี้ พ่อแม่ครูจารย์มั่นจากไปแล้ววัดร้างเลย เราก็จะไปจำพรรษาที่วาริชภูมิกับท่านเพ็งนี่แหละ บนเขา..ถ้ำ เราเคยไปอยู่แล้ว เราจะไปจำพรรษาที่นั่น ไปได้สองสามวันเท่านั้นแหละ เขาก็ไปเล่าเรื่องให้ฟัง เลยโดดจากภูเขาลงมาจำพรรษาที่หนองผือ เรื่องราวเป็นอย่างนั้น
ปี๒๔๙๓ ไปจำหนองผือ ปี ๒๔๙๔ ไปจำห้วยทราย ๒๔๙๔-๒๔๙๗ สี่ปีจำพรรษาที่นั่น ๙๔ ไปเอากันหนักนะ ๙๔ ย่าง ๙๕ เอากันอย่างหนักทีเดียว พอ ๙๕ แกก็ผ่านได้ เห็นไหมล่ะ ก็อย่างนั้นแหละ สองปีนะแกเร็วอยู่ เราไป ๙๔ เอากันอย่างชุลมุน ถึงขนาดไล่ลงภูเขา พอ ๙๕ แกก็ผ่านได้ นันว่าแกเร็วอยู่นะ นี่ละถ้าลงเป็นอย่างนั้นนะ ถ้าไม่ลงก็เป็นบ้าอยู่งั้นแหละ แกพูดชัดๆ อย่างนี้แหละ เอาขนาดไล่ลงภูเขา ร้องไห้ลงไป เราไม่สนใจ ไม่มีอะไรเหนือธรรม น้ำตามีค่าอะไร น้ำตาออกจากความโง่เขลาเบาปัญญาของตัวเอง ไม่ใช่น้ำตาออกจากปัญญาความเฉลียวฉลาด น้ำตาพุ่งอย่างพระพุทธเจ้าตรัสรู้สาวกตรัสรู้ธรรมน้ำตาพังออกมา นั่นน้ำตาที่มีค่ามาก น้ำตาอย่างนี้ไม่มีค่า นั่นเป็นอย่างนั้นซิ
โยมสันติ เมื่อก่อนร่างกายขยับแต่จิตนิ่ง บางครั้งร่างกายนิ่งแต่จิตขยับขึ้นลงซ้ายขวา ข้างบนข้างล่าง
หลวงตา ดูหลักมันไว้ จับไว้ ความรู้อยู่ที่นี่มันจะเอนไปไหนมันก็ลงมาหาความรู้ ตั้งความรู้ไว้ ไม่ให้มันออกมันก็ไม่ออก หลักจริงๆ คืออยู่กับความรู้ มีสติบังคับอยู่กับความรู้ ไม่ให้มันเคลื่อนไหวออกมันก็ไม่ออก เข้าใจเหรอ
โยมสันติ ปัจจุบันนี้ทั้งจิตทั้งร่างกายเดี๋ยวไปข้างบนเดี๋ยวลงข้างล่าง ซ้ายบ้างขวาบ้างครับ
หลวงตา เรื่องการภาวนามีทุกแบบนั่นแหละ แต่จะมาเล่าให้ฟังทุกแบบมันไม่อยากฟังนะเรา คือมันไม่รู้กี่แบบกี่ฉบับที่เป็นอยู่ในวงเวทีภาวนา มันจะออกทุกแบบทุกฉบับให้เราพิจารณารอบคอบในตัวของเรา เช่นอย่างว่าตั้งสติให้ดี อย่าหนีหลักผู้รู้ นี่ละสำคัญ ถ้าไม่หนีหลักผู้รู้แล้วมันจะเอนไปไหนมันก็สงบเข้ามา ถ้าหลักผู้รู้เอนไปตามมันไปเรื่อย เข้าใจเหรอ
โยมสันติ เดี๋ยวนี้เป็นอะไรก็เป็น แต่ว่ามีสติ.....
หลวงตา เออมันจะไปไหนไป สติให้ตั้งอยู่กับจิตนะ อย่าให้หนีจากนี้ไม่เป็นไร ไม่เสีย ถ้าเอนไปเมื่อไรไปละ คืบคลานไปเรื่อยๆ เห็นไม่เห็นมันก็รู้มันก็ปรุงก็แต่งมันของมันไปเรื่อย รู้ไปเรื่อยเห็นไปเรื่อย ถ้าตั้งเอาความรู้ไว้ สติบังคับไว้นี้มันก็ไม่ออก มันก็อยู่กับความรู้ ความรู้นี้ก็เด่น นั่นเรียกว่าเป็นธรรมขึ้นภายในใจ
ผู้กำกับ ข้อสามสุดท้ายของสันติครับ หลายวันมานี้เวลานั่งนอนภาวนาความรู้สึกตัวมีอยู่ หูได้ยินเสียงข้างนอก แต่จิตเฉยๆ ไม่สนใจอะไร เหมือนไม่มีงานทำ บางทีนอนไม่หลับเพราะว่าจิตเฉยๆ หนูต้องทำอย่างไรต่อไปเจ้าคะ
หลวงตา ขี้เกียจตอบ นอนไม่หลับก็อย่าหลับซี เราก็เคยนอนไม่หลับ ว่าอะไรเมื่อคืนนี้ตีหนึ่งยังลงไปเดินจงกรม เราก็นอนไม่หลับ แต่เราไม่เห็นเป็นบ้า ธาตุขันธ์มันปั่นป่วน กำลังจะตีหนึ่งนอนไม่หลับ มันกวนอยู่ในธาตุในขันธ์ ลงเดินจงกรมตีหนึ่ง เอาแน่กับมันได้เมื่อไรเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ เอาธาตุเอาขันธ์มาเป็นอุปสรรคยุ่งไปหมด ใจก็เลยว้าเหว่ไป ใช้ไม่ได้
ผู้กำกับ คำถามจากเว็บไซค์หลวงตาครับ คนที่ ๑ ลูกพิจารณาทุกข์ที่เกิดจากการนั่ง ไล่หาต้นตอของทุกข์ตามอุบายที่องค์หลวงปู่เคยสอน ไล่ลงไปตั้งแต่หนัง เนื้อ กระดูก คนตายไม่เห็นมีทุกข์ แต่เราไม่ตาย ทำไมจึงทุกข์เอานักหนา ปวดแสบปวดร้อน เฉพาะบริเวณที่ปวด พิจารณาว่าทุกข์เกิดมาจากอะไร จนจิตหดรวมเข้ามารู้เฉพาะหน้า คล้ายมองเห็นเป็นจุดๆ หนึ่ง เหมือนจิตไม่เกาะเกี่ยว ทุกข์ก็เริ่มเบา จึงพิจารณาขันธ์ ๕ และปัจจยาการ ที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ทั้งปวง ปวดกระดูกหลังจนต้องยืดตัวขึ้น ทุกข์ที่ปวดแสบปวดร้อนก็เลยกระเพื่อมขึ้นมาใหม่ ได้แต่น้ำตาซึมกับทุกข์ที่เกิดนี้
ลูกขอกราบเรียนถามว่า ขณะที่จิตหดรวมเข้ามารู้เฉพาะหน้า ลมก็ยังปรากฏอยู่ แล้วน้อมเอาสิ่งที่มองเห็นคล้ายเป็นจุดๆ หนึ่ง ซึ่งไม่รู้คืออะไร แต่ก็น้อมมาเป็นจุดเพื่อทำลาย โดยพิจารณาสาวถึงปัจจยาการ ลูกเข้าใจว่ากำลังของลูกยังไม่เพียงพอ ยังต้องเพียรฝึกให้มาก จึงกราบเรียนขออุบายจากองค์หลวงปู่พิจารณาธรรมเพิ่มเติมครับ
หลวงตา ที่พิจารณานี่ถูกต้องแล้วนะ พิจารณาไล่ไปมันทุกข์ตรงไหนๆๆ ทุกข์ตรงไหนไล่เข้าไปๆ มันก็มาจนตรอกที่จิตซึ่งไปหมายเข้านั่นแหละ พอมาถึงจิตนี่แล้วอันนั้นก็ดับไปหมด ไม่มีอะไรเหลือ จิตก็รู้ตัวแล้วก็แน่วเลย พิจารณานี้ถูกต้องแล้ว ถ้าไล่เข้ามานี้จะเพื่อความสงบแหละ ถ้าไล่เรื่องทุกข์เรื่องอะไรมันเกิดที่หนังที่เนื้อ ที่เอ็นที่กระดูก หรือเกิดที่ตรงไหนๆ ไล่มันเข้าไป ถ้าว่าเกิดที่หนังเนื้อเอ็นกระดูกตายแล้วเอาไปเผาไฟเขาว่าไง เขาไม่เห็นบ่นว่าทุกข์ว่ายากลำบาก ว่าร้อนว่าหนาว เวลามีชีวิตอยู่มันเป็นอะไร มันเป็นอะไรก็ไล่เข้ามาถึงจิต
นี่ละเรียกว่าไล่หาสัจจธรรม สัจจธรรมอยู่กับเรา ความจริง เมื่อมันเข้าใจนี่แล้วสิ่งเหล่านั้นมันก็ระงับของมันลงไป เข้าใจ พิจารณาอย่างนี้ถูกต้องแล้ว ให้ไล่เข้ามา มันทุกข์ตรงไหนไล่ เราอยากให้ทุกข์หายไม่ได้นะ มันจะเกิดมากเกิดน้อยอย่าไปอยากให้มันหาย มันยิ่งทวีนะ พิจารณาตามความจริง มันทุกข์ตรงไหนมาก ดูทุกข์ให้มากด้วยสติด้วยปัญญาฟัดกันลงไปนั้น เดี๋ยวมันก็จางลงเข้าใจๆ ปั๊บๆ ทีนี้พอเข้าใจนี้มันก็เข้าใจไปตามๆ กันหมด เพราะเป็นอาการอย่างเดียวกัน เข้าใจเหรอ
นี่ละการพิจารณา ถ้าพิจารณาอย่างนี้แล้วจะได้หลัก ใครไล่เบี้ยเรื่องความทุกข์ทั้งหลายที่มันเกิด เกิดขึ้นมามากๆ กลัวแต่จะตายคนนั้นไม่ได้เรื่องนะ ล้มเหลว ไม่ต้องกลัวตาย คำว่าเกิดตายมีอยู่กับทุกคนนั่นแหละ ผู้ภาวนาก็มี ผู้ไม่ภาวนาก็มี เราภาวนาเพื่อให้รู้เรื่องของมัน เรื่องความตายเป็นอะไร อะไรตายแน่ ไล่หามัน ทีนี้ทุกข์นั้นไล่เข้าไปหามันก็ไม่มี หนังก็เป็นหนังธรรมดา หนังรองเท้าเห็นไหมล่ะ ใส่เหยียบขวากเหยียบหนาม เหยียบขี้เหยียบอะไรมันก็ไม่เห็นว่าอะไร หนังว่าอยู่กับเราทำไมมันไม่เป็นอย่างนั้นล่ะ พิจารณาอย่างนั้นซิ
เนื้อก็เหมือนกัน เนื้อเป็ดเนื้อไก่เอามากินไม่เห็นเป็นอะไร เนื้อเราทำไมใครแตะไม่ได้ เดี๋ยวเจ็บนั้นทุกข์นี้ กระดูก-เอ็นไล่เข้าไปให้มันเห็นทุกสัดทุกส่วน คืออันนี้มันมีสักแต่ว่าสภาพอันหนึ่งเท่านั้น จิตเข้าไปยึดอยู่ในนั้น พอจิตเข้าใจแล้วจิตถอยออกมาสิ่งเหล่านั้นก็เป็นความจริงของเขาอยู่ตามเดิม เข้าใจเหรอ มีเท่านั้นละ
ผู้กำกับ คนที่ ๒ รู้สึกจะเป็นประโยชน์ต่อทั่วไปครับ
ลูกกราบขอความกรุณาจากพระคุณท่าน เมตตาช่วยเหลือยกจิตยกใจเยาวชนของชาติด้วย เนื่องจากในยุคนี้ เด็กไม่ค่อยเชื่อฟังพ่อแม่ เถียงครูอาจารย์ มีความประพฤตินอกกรอบศีลธรรม พูดจาไม่สุภาพ ก้าวร้าว แต่งกายไม่สมควร และมีการเลียนแบบในสิ่งที่ไม่ดี แต่กลับเห็นว่าเท่ เก๋ใก๋ และเป็นกันมากๆ ทำให้เป็นกังวล และเป็นห่วงอนาคตของเด็กที่จะโตเป็นผู้ใหญ่ของชาติว่าจะเป็นอย่างไร เหมือนมีใครบางกลุ่มต้องการให้สังคมและประเทศชาติเป็นแบบนี้ แทรกเข้าไปในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเพลง การแต่งเนื้อแต่งตัว การสื่อสารต่างๆ สถานบันเทิงมอมเมาเยาวชน ด้วยเห็นแก่เงินเป็นที่ตั้ง ไม่เห็นแก่ส่วนรวม พ่อแม่หัวใจแทบสลาย ไม่รู้ว่ากำลังสู้อยู่กับอะไร
รัฐบาลเคยบอกว่าให้ความสำคัญกับการพัฒนาคน แต่ต่างคนต่างทำ ไม่มีพลังเพียงพอ ลูกมองไม่เห็นใครแล้ว ก็เห็นแต่ความเมตตากรุณา ความเด็ดเดี่ยวของพระคุณท่านกับผลงานที่ผ่านมาต่อคนในชาติ ขอได้โปรดช่วยสงเคราะห์เยาวชนของชาติ เฉกเช่นการช่วยชาติศาสนาที่ผ่านมา เพื่อให้เป็นผลในรูปธรรมด้วยเถิด กราบเรียนด้วยความเคารพอย่างสูง (จาก แม่ที่เฝ้ารอการกลับมาเป็นคนดีของลูก)
หลวงตา อันนี้มันก็มีอยู่ทั่วไป ก็เพราะการไม่ระมัดระวัง การปล่อยเนื้อปล่อยตัวทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่มันก็เลอะเทอะไปหมด ถ้าต่างคนต่างเข้มงวดกวดขันตั้งแต่เด็กถึงผู้ใหญ่จนกระทั่งถึงข้าราชการงานเมือง วงรัฐบาล ตั้งเนื้อตั้งตัวที่จะปฏิบัติปรับปรุงตัวเองให้เป็นคนดี และเป็นตัวอย่างแก่คนอื่นได้ มันก็ดีไปทั่วหน้ากันนั่นแหละ ถ้าต่างคนต่างปล่อยเนื้อปล่อยตัว บ่นเท่าไรว่าเท่าไรก็เท่าเดิม ยิ่งทวีรุนแรงมากขึ้น เพราะเวลานี้คนเราปล่อยเนื้อปล่อยตัวมาก ทางด้านอรรถด้านธรรมถือเป็นข้าศึกไปแล้วเวลานี้ ด้านอรรถด้านธรรมเป็นสิ่งชะล้างสิ่งสกปรก กลายเป็นข้าศึกต่อความสกปรกไปแล้ว ความสกปรกไม่ยอมรับ ดีอยู่ตั้งแต่ความสกปรกของตัวเอง สกปรกขนาดไหนก็ว่าดีๆ
นี่ละคนที่ทำผิดได้มากตลอด ไม่มีเวลายับยั้งชั่งตัวได้ ก็คือเห็นความสกปรกของตัวว่าเป็นของดี ถ้าเห็นความสกปรกเป็นของสกปรกตามธรรมที่ท่านสอนไว้แล้ว ธรรมท่านเป็นข้าศึกต่อใครล่ะ ความสกปรกนั่นเป็นข้าศึกต่อเรา คือกิเลส นั่นละ ถ้าแก้ตรงนี้มันก็แก้ได้ละซิ ก็ไม่เห็นหรือธรรมเขาคัดค้าน พวกเปรตพวกผีว่ามันชัดๆ อย่างนี้ คัดค้านต้านทานธรรม เอาธรรมเป็นข้าศึกต่อเขาเอง แล้วเอาธรรมเป็นผู้ต้องหาเวลานี้ กีดกันท่านั้นท่านี้ เรื่องอรรถเรื่องธรรมสอนโลกให้เป็นคนดีมามากต่อมากแล้ว เรื่องความสกปรกรกรุงรังของกิเลสไปสอนใครให้เป็นคนดี แม้แต่เจ้าของก็เลอะเทอะพอแล้ว แล้วจะไปสอนใครให้เป็นคนดีเพราะอำนาจของกิเลสนี้ไม่เคยมี นี่ละที่โลกเดือดร้อนทุกวันนี้เพราะเชื่อกิเลสมากกว่าเชื่อธรรม ถ้าธรรมออกมาสอนก็มีกีดมีกันทุกสิ่งทุกอย่างดังที่เห็นนี่ เห็นไหมล่ะ เขาออกทางวิทยุ บังคับให้อยู่ในระดับนั้นระดับนี้ สุดท้ายเทศน์ให้ได้ไม่เกิน ๑๕ กิโล อย่างนี้ซิฟังซิน่ะ ไอ้มูตรคูถส้วมถานนั่นน่ะมันไปสั่งสอนอบรมธรรมของพระพุทธเจ้าที่กระเทือนโลกมานานให้ปฏิบัติตามมัน พวกมูตรพวกคูถนั่นเวลานี้ มันน่าสลดสังเวชไหม
ธรรมเป็นสิ่งที่เลิศเลอมาดั้งเดิม สอนคน คนชั่วขนาดไหนก็ตามดีได้ ถ้าเอาธรรมเข้ามาสอน ปฏิบัติตามธรรมแล้ว ถ้าไม่ยินดีในธรรม ยินดีแต่ความชั่วแล้วเลวไปตลอด ยังเหลือแต่ลมหายใจฝอดๆ เท่านั้น ตายแล้วก็จมเลย เจ้าของว่าจะขึ้นฟ้าขึ้นเมฆที่ไหนก็ตามแต่จิตใจที่ต่ำทรามแล้วจมทั้งนั้นแหละ ไม่มีใครเกินพระพุทธเจ้าเรื่องความแม่นยำในการสอนโลก สวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว ฝืนไปเท่าไรคนนั้นก็ฝืนตัวเอง ทำลายตัวเองนั้นแหละ ก็มีเท่านั้น
เวลานี้กำลังข้าศึกศัตรูของธรรม สิ่งเลวร้ายสิ่งสกปรกทั้งหลายกำลังรุมตีธรรมนะเวลานี้ ออกทุกแบบทุกฉบับ รุมตีธรรม ธรรมเป็นผู้ต้องหาไปแล้วเวลานี้ ไอ้พวกกิเลสตัณหาเหมือนคนในคุกในเรือนจำ มาแผ่อำนาจบังคับประชาชนทั้งหลายด้วยอำนาจป่าเถื่อนสกปรกของมัน เวลานี้คนชั่วความชั่วกำลังระบาดสาดกระจายออกมาตีพวกคนดิบคนดีผู้มีศีลธรรมทั้งหลายให้หมอบราบให้มัน เป็นอย่างนั้นนะเวลานี้ ฟังเอาดูเอา กิริยาที่ออกนี้การที่จะส่งเสริมศาสนาเราไม่ค่อยเห็นมี มีแต่การเหยียบย่ำทำลายแบบนั้นแบบนี้มาโดยลำดับลำดา
เราฟังอยู่ตลอดเวลา การฟังนี้ฟังด้วยจิตเหนือโลกแล้ว ไม่ใช่ธรรมดานะ มันจะออกมาแบบไหนๆ ฟังหมด เหนืออยู่ตลอดเวลา มันออกมาสกปรกแบบไหน แผ่พังพานมาแบบไหนมันก็รู้หมดเรื่องของกิเลสแผ่พังพาน เหมือนอึ่งอ่างกับวัว เข้าใจไหมล่ะ อึ่งอ่างตัวเท่ากำปั้น วัวตัวใหญ่ขนาดไหน เขามาหากินตามภาษาของเขาวัวก็ดี วัวเท่ากับธรรม มีความหนักแน่นมั่นคงใหญ่โตครอบโลกธาตุคือธรรม อึ่งอ่างได้แก่กิเลสของพวกเรา พองแข่งกับธรรมแล้วสุดท้ายอึ่งอ่างนั่นละท้องระเบิดท้องแตก อันนี้ความชั่วช้าลามกมันจะระเบิดหัวอกมันเอง ไม่ระเบิดใครละ
ธรรมท่านเหมาะสมทุกสิ่งทุกอย่างมาตั้งกัปตั้งกัลป์แล้ว จะไปแก้ไขดัดแปลงท่านให้เป็นอะไรอีก ไม่มี นอกจากแก้ไขดัดแปลงเราให้เป็นไปตามธรรมเท่านั้นถึงจะเป็นคนดีได้ ถ้ายังฝืนถือว่าของชั่วนี่เป็นของดีตลอดไปจะเลวตลอดไปคนเรา หาความดีไม่ได้เลย พากันจำเอานะ เราก็ไม่เคยเห็นแต่ก่อน บวชมานี้ได้ ๗๒ ปี ลืมแล้วละ บวชตั้งแต่ปี ๒๔๗๗ วันที่ ๑๒ พฤษภาคม จนกระทั่งถึงบัดนี้นับดูซิกี่ปี เราก็ไม่เคยเห็นเรื่องโลกทั้งหลาย เฉพาะอย่างยิ่งในเมืองไทยเรา ที่จะมาเที่ยวคัดค้านต้านทานอรรถธรรมที่ครูบาอาจารย์แนะนำสั่งสอนซึ่งเป็นธรรมที่เลิศเลอพอแล้ว และให้ปฏิบัติตามกิเลสตัณหา ตามส้วมตามถาน นี่เราก็ไม่เคยเห็น เวลานี้เห็นแล้วนะ
มันลากอรรถลากธรรมซึ่งเป็นของสะอาดหมดจดงดงามล้นโลกล้นสงสาร มาเข้าสู่ในส้วมในถาน ท่านจะเข้ามาได้ยังไง ก็ท่านเป็นธรรม อันนั้นเป็นส้วมเป็นถาน มันไม่ได้เหมือนกันนี่นะ ส้วมถานให้เป็นส้วมเป็นถานไปซี ธรรมเป็นธรรมอยู่คนละวรรคละตอน มันก็ไม่คละเคล้า ไม่เกิดเรื่องเกิดราวขึ้นมา อันนี้ความสกปรกเข้ามาบีบบังคับอรรถธรรมให้ปฏิบัติตามตัวเองที่สกปรกสุดยอดแล้วให้เป็นอย่างนั้น จะเรียกว่าสะอาดสุดยอดด้วยความสกปรกของมันนั่นแหละ จะเป็นไปได้ยังไง เป็นไปไม่ได้ เราพูดจริงๆ
สำหรับเรานี้เราพูดจริงๆ พูดอยู่เหนือโลก หัวใจเหนือโลกหมดแล้ว ใครพูดแบบไหนๆ มันรู้หมด กิเลสมันออกฤทธิ์ใดแบบไหนๆ มันรู้ทันทีๆๆ รู้หมด จนกระทั่งถึงเข้ามากีดกันการเทศนาว่าการให้เท่านั้นเท่านี้ แล้วก็มีกฎหมงกฎหมายกฎหมอยเข้ามาเป็นมาตรานั้นมาตรานี้ จะปรับอย่างนั้นจะจำอย่างนี้แล้วบอกมาๆ เราอดสังเวชไม่ได้นะ มาแผ่พังพาน ประสากิเลส ฟาดหัวมันขาดสะบั้นลงไปแล้วแสนสง่าผ่าเผยอยู่ในหัวใจดวงนี้แล้วมันจะมาอวดดีได้ยังไง เวลานี้กำลังพองตัวนะกิเลส พองสุดยอด เรานี้ไม่เคยพอง ไม่เคยยุบไม่เคยยอบ ไม่เคยกล้าไม่เคยกลัวกับสิ่งใด มีแต่พิจารณาด้วยความสลดสังเวชในสิ่งที่น่าสสดสังเวชเท่านั้นเอง
เรื่องที่จะห้ามไม่ให้เทศน์นี้เราจะเทศน์จนกระทั่งวันตาย ธรรมพระพุทธเจ้าเทศน์มาตั้งกัปตั้งกัลป์ สอนโลกขนสัตว์โลกให้พ้นจากทุกข์มาตั้งกัปตั้งกัลป์ มีจำนวนมากขนาดไหน ไอ้ประเภทที่มากีดมากันมาขวางมาบีบบี้สีไฟมันเอาใครให้พ้นจากทุกข์ได้บ้าง ใครถือมันเป็นสรณํ คจฺฉามิ มีไหม แต่ตัวมันเองก็กำลังจะจมมันเป็นสรณะของมันได้ยังไง แล้วยังมาประกาศตนโอ่อ่าฟู่ฟ่าให้เขานับถือลือหน้าได้ยังไง ไม่มีใครนับถือ นอกจากหมา หมาก็ไม่นับถืออีกด้วยนะ อย่าว่าอะไรเลย เอาตัวอย่างเช่นไอ้หยองนั่นน่ะ มันนับถือตั้งแต่เศษผ้า เห็นไหมนั่นกำลังฟัดกับผ้าอยู่นั่นกับฆราวาส มันแย่งเศษผ้ากัน ก็มีเท่านั้นไอ้ปุ๊กกี้ จะให้ไปกราบคนประเภทนี้ไม่มีใครกราบ พิจารณาเสียทุกคนนะ
มันกำลังหึกเหิมมากนะพวกชั่วช้าลามกนี่ ตามตีตามต้อนตามทำลายความดีคนดี อรรถธรรมอะไรที่ดีมันไปเที่ยวจุดเที่ยวเผาไปหมด พวกเปรตพวกผี พวกนรกอเวจี ในสัตว์มนุษย์ทั้งเป็นที่มีชีวิตหายใจฝอดๆ อยู่นี้แหละ มันกำลังแสดงฤทธิ์ ฤทธิ์ไหนก็ฤทธิ์เถอะฤทธิ์เหล่านี้จะไปหาตัวของมันทั้งหมด ไม่ไปหาใครเลยนะ กมฺมสฺสโกมฺหิ กมฺมทายาโท กมฺมโยนิ กมฺมพนฺธุ กมฺมปฏิสรโณ ยํ กมฺมํ กริสฺสามิ กลฺยาณํ วา ปาปกํ วา ตสฺส ทายาโท ภวิสฺสามิ เรามีกรรมเป็นของตน มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่ให้ดีให้ชั่ว อะไรๆ เกิดจากกรรมนี้ทั้งนั้น กรรมเหล่านี้เป็นของเราทั้งหมด ทำดีทำชั่วผู้ใดจะมาแบ่งเบาไปไม่ได้เลย นี่กรรมเป็นของมันทุกคนที่ทำชั่ว กรรมเป็นของเราทุกคนที่ทำดี ให้พากันจำไว้นะ
เชื่อพระพุทธเจ้าต้องเชื่ออย่างนี้ซิ ถ้าเชื่อพวกเปรตพวกผีจมไปด้วยกันนะ จำให้ดี เรานี้เทศน์ตลอด เอาธรรมพระพุทธเจ้ามาเทศน์ ไม่อยู่ในวงเหล่านี้ วงเรือนจำของวัฏจักรเราไม่อยู่ ความสกปรกไม่มีอะไรเกินวัฏจักร เราไม่อยู่ ธรรมอันนี้เป็นธรรมที่พ้นแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง นำมาสอนโลกที่สกปรกอยู่ในส้วมในถานลากขึ้นๆ ใครจะเชื่อก็เอา ไม่เชื่อก็จำเป็นกรรมของสัตว์เท่านั้น แล้วมันยังมาโอ้มาอวดมากีดขวางธรรมไม่ให้แสดง โอ้ไปเถอะอวดไปเถอะ จะแสดงเต็มเหนี่ยวของเรา ตามทางของศาสดาทุกพระองค์ท่านดำเนินมาอย่างนี้ สอนโลกโลกได้รับความสุขความเจริญ พ้นจากทุกข์ไปมากมายเพราะธรรมพระพุทธเจ้า ไม่ใช่พ้นจากทุกข์ไปเพราะการกีดการขวางของกิเลสตัวสกปรกมอมแมมนี้นะ พากันจำเอา ให้พากันก้าวเดิน
เขาจะเอาไปไหนก็ไปเถอะสำหรับหลวงตาบัวนี้ยันได้เลย อย่าว่าแต่จะมาห้ามเฉยๆ จะมาทั้งปรับทั้งไหม ทั้งติดคุกติดตะราง เอา เข้าไหนเข้าเลยหลวงตาบัว จะไปเทศน์อยู่ในเรือนจำ เข้าใจไหม ลากเข้าในเรือนจำจะเทศน์ในเรือนจำ ไปที่ไหนจะตามเทศน์มันตลอด ธรรมะต้องเป็นธรรมะอย่างนั้นซี จะไปเป็นนักโทษได้หรือ อยู่ในเรือนจำก็เทศน์อยู่ในเรือนจำสอนนักโทษ สูนี่ๆ มันต้องอย่างนั้นซี เอาละพอ
เลยไม่ทราบว่าพูดเรื่องอะไรต่ออะไรยุ่งไปหมดเราก็ดี ทั้งจะไปติดคุกติดตะราง ทั้งจะไปเทศน์อยู่ในเรือนจำ ว่าอะไรอีกล่ะ ขนาดนั้นละ ไม่เคยสะทกสะท้านกับสามแดนโลกธาตุที่เป็นโลกส้วมโลกถาน ธรรมะคืออย่างนั้นเอง ใครจะว่าอะไรเราไม่เคยสนใจ มันต่างกันยังไงบ้าง หัวใจดวงเป็นธรรมธาตุกับหัวใจที่จมอยู่ด้วยกิเลสมูตรคูถทั้งหลายนี่ มันต่างกันอย่างนั้น ใครจะมาขู่อะไรก็ขู่เถอะ ว่างั้นเถอะน่ะ ไอ้เรื่องขู่ให้ขู่มาเถอะว่างั้นเลย ทางเทศน์จะไม่ถอย แต่งเครื่องไว้ให้ดีนะเทศน์หลวงตาบัว ถ้าเขาเอาไปในเรือนจำให้เอาเครื่องไปในเรือนจำจะไปเทศน์ในเรือนจำ เข้าใจเหรอ ถ้าติดคุกเราจะไปเทศน์อยู่ในคุก ไปที่ไหนเราจะไปเทศน์ที่นั่นๆ เข้าใจเหรอ แต่พวกนรกจกเปรตที่ทำบาปทำกรรมมากๆ ตกนรกแล้วเราไม่ตามไปเทศน์หัวมันละ ตั้งแต่เทศน์อยู่มนุษย์มันก็ไม่ฟัง มันลงนรกจำเป็นอะไรไปเทศน์ให้มันฟังวะ เอาละพอ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz
|