เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘
หัวใจสวยงามแล้วพอ
พอพูดถึงเรื่องวัดนี้ไม่มีเณร ไม่รับเณร อย่างมากก็รับองค์สององค์ ไม่นาน แล้วก็มาเข้ากันได้ มีเณรองค์เดียวมันคงเหงาละท่า ไปเล่นกับพระไม่ได้ มันก็ทำบั้งไฟเล่นแล้วไปจุดในป่าลึกๆ แต่ก่อนมันเหมือนกว้าง พระไม่มาก เป็นทางจงกรมอยู่ลึกๆ เณรนี้มันคงเหงา มันทำบั้งไฟเล็กๆ ไปจุดคนเดียวลึกๆ ประมาณสองทุ่มมั้ง มันดลบันดาลอะไรก็ไม่ทราบ เราออกจากทางจงกรมแล้วก็ตรงเข้าไปนั้นเลย ซึ่งเราก็ไม่เคยไปนะ มันมีอะไรสะกิดใจลึกๆ เลยเดินเข้าไป เข้าไปจวนจะถึงตัวแล้ว ก็ไม่นึกว่ามีคนอยู่ที่นั่น เพราะทางจงกรมอยู่ลึกๆ กลางคืนไม่น่าจะมีใครมา เพราะกลางคืนสงัดพระท่านก็เดินจงกรมอยู่ข้างๆ กุฏิก็ได้ ส่วนมากจะไปเดินตอนกลางวันอาศัยร่มไม้ เราเข้าไปนั้นได้ยินเสียงไฟชิดๆๆ เอ้า มันอะไร
บั้งไฟเล็กๆ นั่นมันทำขึ้นนะ ทำให้สนใจ เอ๊ มันไฟอะไร เราก็ด้อมเข้าไปดูว่ามันเป็นอะไร สักเดี๋ยวมีอีกนะ ก็มันเตรียมไปพร้อม พอจุดนี่ปั๊บก็ไปจุดนี้ เราเข้าไปได้ยินเสียงชิดๆ ขึ้นอีก อ๋อ มันบั้งไฟน้อย คงเป็นเณรละ มันมีเณรเดียว เราเข้าไปพอมันเห็นเราเท่านั้นตัวสั่นเลยเทียว ทำอะไรเณร โอ๋ย ทำไปอย่างนั้นละ ตัวสั่นนะ เราก็ว่าต่อไปอย่ามาทำอย่างนี้นะ นี่ละมีเณรเดียวเท่านั้นมันก็ทำอย่างนั้น ไปทะลึ่งกับพระไม่ได้ท่านจะเขกกบาลละซี มันก็เล่นคนเดียวมัน จุดบั้งไฟขึ้น เราดูลักษณะกลัวมาก โศกเศร้าเหงาหงอยทั้งวัน เราก็เฉยเหมือนไม่มีเรื่องมีราวอะไร
จนเรื่องมันจางไปแล้วจึงเรียกเณรมาลงทัณฑกรรม ตามหลักพระวินัยก็มีนี่ ให้เอาดินมาถม แถวตะวันตกนี้มันต่ำๆ ข้างๆ ศาลานี่ มันเป็นหลุมเป็นบ่อ ให้ไปเอาดินข้างในเป็นจอมปลวก ขุดมา ให้มันทำวันละชั่วโมง ตอนบ่าย ๔ โมงไปขุดดินใส่บุ้งกี๋มาเทๆ ที่เป็นหลุม วันละชั่วโมงๆ ๓ วัน ให้พระควบคุมด้วยนะ มันจางไปแล้วละ จนมันหายไปแล้วที่ว่าท่านจะดุท่านจะอะไรท่านก็ไม่เห็นว่าอะไร คงคิดว่างั้น ตอนกำลังร้อนมากเราก็เฉยไม่สนใจ จนกระทั่งมันเย็นแล้วจึงไล่เอาดินมาถม ยกตัวอย่างเช่นเณรนี้แหละ มีเณรเดียวมันก็ทำของมันได้ เสร็จแล้วจึงมาถาม เณรทำบั้งไฟนี้ได้ยังไง บอกว่าตั้งแต่เป็นเด็กไปวัดกับพ่อ ไปช่วยพระท่านทำตะไล บั้งไฟอะไร ก็ไปดู เลยเอาตัวอย่างนั้นมาทำ อ๋อ เป็นอย่างนี้เอง เอาตัวอย่างมาทำ ว่างั้น ขบขันดีนะ นั่นละจึงไม่ได้รับเณร วัดนี้ไม่ค่อยมีเณร วัดไหนก็มักเป็นอย่างเดียวกัน ยิ่งอยู่ในป่าในเขา โอ๋ย ไม่มีเลยเณร
พูดเหล่านี้เราก็ไม่ลืมที่ว่าไอ้หมาดำหางกุดอยู่ที่สวนแสงธรรม เราก็ทราบแว่วๆ ทราบก็ทราบบ้าๆ บอๆ ไปอย่างนั้นแหละ ว่าไอ้ขาวกับไอ้ดำ ไอ้ขาวมันหางยาว ไอ้ดำหางกุด ดูเหมือนลูกแม่เดียวกันเท่ากัน ตัวหนึ่งมันตายเสียเขาบอก เราก็เข้าใจว่าไอ้ดำตายยังเหลือแต่ไอ้ขาว เชื่อฝังแล้วที่นี่ ไปก็เห็นไอ้ขาวตัวหนึ่งมาแทนแต่เป็นไอ้ขาวตัวเล็ก ไม่ใช่ตัวมันตาย เราก็นึกว่าเป็นตัวนี้ไปเสีย ไอ้ดำหางกุดนั้นเรานึกว่ามันตาย ตัวขาวไม่ตาย ความจริงตัวขาวตาย แต่ตัวขาวเล็กนี่มันแทนกันเสีย มันตัวพอๆ กัน นึกว่าตัวนั้นไม่ตาย แล้วก็ไปตายใจว่าไอ้ดำหางกุดนั้นตาย
แล้วอยู่ๆ เมื่อเช้าวานนี้ออกไปนู้นแต่เช้า ไปเห็นมันนอนอยู่ในโรงที่เขาทำงานอยู่นั้น โรงนอกกำแพงนี่ เห็นมันนอนอยู่ มันมองดูเราตาละห้อย ตาอ่อนๆ เอ๋ หมาตัวนี้ดูลักษณะ เรียกว่าอยากจะสนิทกับเรา เอ๊ มันจะมาสนิทกับเราได้ยังไง เราเดินไปเขาก็นอนดู ดูไปดูมา เอ๊ หมาตัวนี้ทำไมมันเหมือนไอ้ดำหางกุดที่สวนแสงธรรมนัก แต่เราก็ฝังใจว่าไอ้ดำมันตายไปแล้ว แล้วไอ้นี่ทำไมมันเหมือนกันนักหนา มันมีลักษณะสนิทกับเรา เราก็ยังไม่เข้าไปใกล้มัน แต่มันสนิท แต่ก่อนอยู่สวนแสงธรรมเราเคยเล่นกับมันจะว่าไง มันตายนู้นมาเกิดที่นี่เราไม่รู้ซิ ดูลักษณะมันจำเราได้นี่ แต่เราไม่อะไร มันก็ดูเรา ผ่านมาถึงมาถามเรื่องราว จึงรู้ว่าไอ้ดำตัวนี้คือไอ้ดำสวนแสงธรรมนั่นเอง ไม่ใช่ตัวนี้ตาย เป็นตัวขาวต่างหากตาย โอ๋ เป็นอย่างนี้เอง ขบขันเมื่อวานนี้
อย่างนั้นละความสำคัญผิด ไอ้ดำหางกุดนี่ในความเข้าใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่ามันตายไปแล้ว นึกว่าไอ้ขาวหางยาวยังอยู่ ก็พอดีไอ้ขาวหนึ่งแทนกันขึ้นมา ความจริงไอ้ขาวตายแล้ว มีไอ้ขาวตัวหนึ่งมันโตเท่ากับไอ้ดำ จึงนึกว่าเป็นตัวนั้น ไอ้ดำหางกุดนึกว่ามันตายไปแล้ว ที่ไหนได้มันมาอยู่ที่นี่ พระเอามาละท่า เห็นตัวนั้นตายมันเหงาเลยเอามา มันเหงาอะไรพระอยากเป็นเสี่ยวกับมันนั่นเอง หาเรื่องว่ามันเหงา ตัวเองเหงาไม่ได้เป็นเสี่ยวกับหมาค่อยยังชั่วหน่อย ขบขันดี เราไปตื่นหมาตัวนี้แหละเมื่อวานนี้ อย่างนั้นนะ ดูลักษณะ เอ๊ หมาตัวนี้ทำไมจึงเหมือนไอ้ตัวที่สวนแสงธรรมนักน้า แต่ไม่ได้ลงใจนะ เข้าใจว่าตัวสวนแสงธรรมตายไปแล้ว แล้วตัวนี้ทำไมเหมือนกันนักน้า ดูลักษณะมันกับเรา มันสนิทเรา เพราะเราเคยเล่นกับมันตอนอยู่สวนแสงธรรม แต่เราไม่ไปจับมัน มันดู ทุกอย่างมันอ่อนนิ่มกับเรา เราก็เดินผ่านไป มาทราบทีหลัง ที่ไหนได้ไอ้หูตูบหางกุดสวนแสงธรรมคือตัวนี้เอง เพราะฉะนั้นมันจึงสนิทกับเรา ก็มันเคยเป็นเสี่ยวกับเรามาแล้วแต่สวนแสงธรรม แต่เราจำไม่ได้เฉยๆ ขบขันดีนะ มีหลายตัวสวนแสงธรรม ไอ้ตัวเล็กหางกุดเป็นคู่เหมือนกัน ออกจากโน้นก็มาอยู่นี่ ออกจากนี้ก็ไปโน้น
เมื่อวานไปด่านทั้งสองด่าน ไม่ลงรถเลย ตั้งแต่นั่งรถปั๊บจนกระทั่งถึงกลับมาไม่ลงเลย พอไปถึงด่านก็เปิดท้ายรถให้เขาขนของลงตามจำนวนของแต่ละครอบครัวๆ ให้ครบกัน พอลงของเสร็จเรียบร้อยแล้วบึ่งเลยรถ เราไม่ลง มีแต่คนขับรถกับพระที่ไปด้วยลง เราไม่ลง พอลงเสร็จแล้วก็บึ่งรถเลย ไปด่านสุดท้ายนั่นก็ไม่ลง ด่านสุดท้ายคนเต็มอยู่นั่น เราเปิดข้างรถออก ขนของอยู่ข้างๆ คนยั้วเยี้ยๆ พอมองเห็นเรานี้รุมใส่เลยนะ นั่นเห็นไหม ทีวี เขาดูทีวี เขาสงสัยเราเมื่อไร เห็นเรานี้รุมเข้ามาเลย อ้าวไปยังไงมายังไง รุมมาหาอะไร เราว่างั้น แล้วอยู่ที่ไหน ถาม ว่าอยู่จังหวัดชลฯ แล้วจะไปไหน ว่าจะไปนครสวรรค์ แล้วที่เข้ามานี้มาอะไร อ้าว ก็หลวงพ่อออกทีวีทั่วประเทศ พอว่าอย่างนั้นคนหนึ่งปุ๊บเข้ามาที่เท้าเรา ผู้ชายหัวหน้าปุ๊บเข้ามา อยู่ๆ ก็มาจับขาเราดึงออกไปเอาไปเหยียบหัวเจ้าของ ถูหัวเจ้าของ
เอาไปเหยียบอะไร เท้านี้สำหรับเหยียบขี้ไม่ใช่สำหรับเหยียบหัว โอ๋ย ขอให้เหยียบ ยิ่งเอาหนักขึ้น อย่างนั้นนะ เขาจำได้ ของเล่นเมื่อไร เห็นที่ไหนจำได้ทั้งนั้น เมื่อวานนี้พรึบเลยเขามารุม เราก็ไม่ลงรถ ก็มีคนเดียวที่มาคว้าเอาเท้าของเราไปเหยียบหัวถูหัว เอาไปเหยียบทำไมถูทำไม เท้ามีไว้สำหรับเหยียบขี้ต่างหากนะ ไม่ได้เพื่อเหยียบหัวคน โอ๊ย ขอให้เหยียบบ้างเถอะ ยิ่งถูแรงขึ้น ว่าเท่าไรยิ่งถูแรง ออกจากนั้นเขาว่าจะไปนครสวรรค์ คงจะไปเที่ยวเพราะทางดี เวลานี้ทางสะดวกสบาย การไปมาหาสู่สะดวก เพราะฉะนั้นคนจึงมีโอกาสที่จะเที่ยวที่นั่นที่นี่ เรียกว่าทุกภาคประสานถึงกันหมดเลย เพราะการคมนาคมสะดวก แต่ก่อนแต่ละภาคๆ มันเหมือนคนละทวีป เดี๋ยวนี้ไม่ได้เหมือนคนละทวีป มันคนละฟากรั้วบ้านเท่านั้นเอง ใกล้นิดเดียวๆ ไปมาหาสู่กันสะดวกสบาย
เวลาไปก็ต้องดู คนเราไปต้องดู ตลอดขนบประเพณีเป็นยังไงๆ ถ้าหากว่าได้พักได้ค้างที่ไหน ความคิดความอ่านอย่างนี้ต้องมีด้วยกันทุกคนนั่นแหละ ขนบประเพณีของบ้านนี้เมืองนี้เป็นยังไงๆ อันใดที่ดีก็ยึดมาเป็นคติ อันใดไม่ดีก็ปล่อยให้ผ่านไปๆ การไปมาหาสู่ซึ่งกันและกันนี้เป็นเครื่องประสับประสานความรู้ความเห็นความเป็นไปต่างๆ ให้เข้าถึงใจของกันและกันได้ดี ยิ่งเป็นนักธรรมะเข้าไปหากันแล้ว ยิ่งสนิทได้เร็ว ธรรมะสำคัญนะ ไปที่ไหนซึมเข้าไปเลย.ประสานกันเพื่อความแน่นหนามั่นคง ความสนิทตายใจกัน
เราจึงอยากให้พี่น้องทั้งหลายเอาธรรมเข้าสู่ใจ ท่านทั้งหลายจะเห็นหน้าเขาหน้าเราเสมอกัน เห็นตัวเขาตัวเราเสมอกัน ฐานะของเขาของเราเสมอกัน ด้วยน้ำใจที่มีความจงรักภักดี ซื่อสัตย์สุจริตต่อกัน น้ำใจประสานไว้นะ สมบัติเหล่านั้นก็มากลายเป็นเครื่องประสานด้วยกันหมด นี่ธรรมไปที่ไหนเป็นอย่างนั้น ไม่มีคำว่าแตกว่าแยกว่ายุว่าแหย่ อันนี้เป็นข้าศึกของธรรม ไปที่ไหนยุแหย่ก่อกวนทำลาย เขาทำดีแล้วไปทับไปทุบไปจุดไปเผา นี่คือพวกเลวร้ายพวกอันตรายของสิ่งดีและคนดีทั้งหลาย ถ้าเป็นธรรมแล้วมีแต่ประสานๆ ทั้งนั้น
คิดดูซิอย่างที่เราไปเมื่อวานนี้ พอมองเห็นปั๊บจำได้หมดเลยนะ เขาดูในทีวี มาก็รุมมา คนนี้ก็มาคว้าเอาเท้าของเราไปถูหัว ฟังซิน่ะ เคยเห็นกันเมื่อไรตั้งแต่เกิดมา ทำไมเป็นอย่างนั้นได้ นี่เห็นไหมใจ เขาทราบทันทีว่าเราเป็นผู้นำพี่น้องชาวไทยเราออกช่วยเหลือโลก ประสานหัวใจเขาแล้วนั่น เราคนหนึ่งเป็นผู้อุ้มชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เขารู้ทันที เพราะฉะนั้นเขาจึงสนิทใจทันที จับฝ่าเท้าเราไปถูหัวเขา ถูทำไม เท้านี้สำหรับเหยียบขี้เหยียบอะไรต่างหาก อุ๊ย ขอถูหน่อย ยิ่งถูใหญ่ ซัดลงอย่างหนัก อย่างนั้นแหละ นี่ละน้ำใจ ธรรมเป็นอย่างนั้น ไปสนิทกันทันที ตายใจกันเลย จึงขอให้พี่น้องทั้งหลายนำธรรมเข้าสู่ใจทุกคน จะเห็นท่านเห็นเราเสมอกันไปหมดด้วยความประสานกัน
เรื่องเย่อหยิ่งจองหองเป็นเรื่องของกิเลสพองตัวเหมือนอึ่งอ่าง วัวนั่นเหมือนธรรม หากินเสมอไปเลย อึ่งอ่างเห็นไม่ใช่เหรอในนิทานอีสป เราอ่านตั้งแต่เป็นเด็ก อันไหนที่จำได้จำได้นะ เขามาเขียนเป็นบทสอนคน ครั้นบทเวลาดูแล้วที่ไหนได้มันมีอยู่ในชาดก ไปดูนั้น อ๋อ อันนี้เขาเอาออกจากนี้ไปสอนเด็กนักเรียน นิทานอีสป ที่เราจำได้ก็ มีชายคนหนึ่งขับเกวียนไปในป่า ล้อเกวียนนั่นตกหล่มลึก ควายลากไปไม่ไหว ก็ร้องโวยวายให้ใครต่อใครมาช่วย เวลานั้นเทวดาที่เป็นเจ้าป่า ก็อาจจะเป็นพวกคนอยู่ในป่านั่นละว่าเป็นเทวดาที่เป็นเจ้าป่า ออกมาช่วย มาช่วยก็ไม่ได้ช่วยธรรมดา ว่า เธอจงเฆี่ยนควายให้ควายบืนอย่างนี้ ล้อก็ขึ้นจากหล่มลึกได้ การจะร้องโวยวายไปเปล่าๆ ไม่มีใครจะช่วยเจ้าได้ นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า พึ่งตนเองนั้นแลเป็นอันดับหนึ่ง ดีกว่าไปพึ่งผู้อื่น นั่นเห็นไหมล่ะ ท่านสอนไว้อย่างนั้น นี่ไม่พึ่งตัวเอง โวยวายหาเทวดา เทวดาก็มาสอนเสียบ้าง เทวดาช่วยบอกวิธี พอเฆี่ยนควาย ควายก็บืนแล้วขึ้นได้เลยจากที่ติดอยู่นั้น นี่ก็นิทานอีสป
จำได้ตั้งแต่เป็นนักเรียน มันจำได้ก็เอามา เวลามาพูด มันออกมาจากชาดกทั้งนั้นนะ อย่างไก่แจ้ตัวหนึ่งคุ้ยเขี่ยหาอาหาร อยู่ในชาดก เวลาไปเจอในนู้นถึงรู้ว่า อ๋อ นี้ออกมาจากชาดกทั้งนั้น ออกมาเป็นนิทานอีสป จากนั้นก็มาไก่แจ้ตัวหนึ่งคุ้ยเขี่ยหาอาหาร ไปพบพลอยเม็ดหนึ่งงามดีมีค่ามาก จึงร้อยเปรยๆ ขึ้นว่า นี่ถ้าเจ้าของของเจ้ามาพบเจ้าเข้าเช่นนี้ เขาคงเก็บเจ้าไว้ไปฝังไว้ในหัวแหวนตามเดิม แต่นี้เจ้าไม่มีประโยชน์อะไรกับเรา สู้ข้าวสุกข้าวสารเมล็ดเดียวก็ไม่ได้ ว่าแล้วก็คุ้ยเขี่ยเลยไปในแปลงอื่นๆ ไม่สนใจกับพลอยนี้เลย นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ของดีย่อมเป็นประโยชน์แก่ผู้รู้จักใช้เท่านั้น นั่นเอาตรงนั้น นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คือสรุปก่อนจะมาสอน
ทีนี้ก็เอามาคิด ไก่แจ้ตัวหนึ่งก็คือเหล่านี้แหละไก่แจ้ มันคุ้ยเขี่ยหาอาหาร ไปพบพลอยมันก็ไม่สนใจ พบอรรถพบธรรมไม่สนใจ ลากเข้าไปภาวนามันโดดใส่หมอน สู้หมอนไม่ได้ นี่เห็นไหมล่ะ มันวิ่งใส่เสื่อใส่หมอน เสื่อขาดหมอนขาด เย็บเอาชุนเอา นอนไปเรื่อยไม่สนใจกับการภาวนา เพชรพลอยอยู่นั่นไม่เอานะ พวกนี้พวกไก่แจ้ทั้งนั้นแหละ ไก่แจ้ไก่จ้นเป็นไปด้วยกันหมดมันถึงพูดกันได้ใช่ไหมล่ะ นี่ละไก่แจ้ก็เป็นนิทานสอน คือคนที่ไม่สนใจกับสารประโยชน์อะไรเลย สนใจแต่หาอยู่หากิน ตื่นไปวันหนึ่งๆ เป็นบ้ากับมืดกับแจ้ง วันนั้นเดือนนั้นปีนี้ เพลินกับมืดกับแจ้งไปไม่ได้ดูตัวเองผิดถูกชั่วดีประการใด ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เพลินไปอย่างนั้นแหละพวกไก่แจ้ ถ้าไก่จ้นไก่ใหญ่แล้วก็หาเอาเหตุเอาผลมาใช้ทั้งนั้น เป็นอย่างนั้นนะ
นี่นิทานอีสปเอามาสอนพวกเรา มาในชาดกทั้งนั้น เวลาไปอ่านเราจึงได้เห็นในชาดก อ๋อ นี่ออกไปจากนี้ทั้งนั้นๆ นั่นละธรรมะเครื่องเตือนใจท่านนำมาสอนตั้งแต่เป็นเด็กนักเรียนมาจนกระทั่งถึงครู เอามาสอนตามขั้นตามภูมิ ใหญ่ก็สอนไปอีกภูมิหนึ่งๆ ผู้ที่ควรก้าวเข้าสู่สมาธิภาวนาก็ยิ่งสอนเข้าไป เร่งเข้าไปเรื่อย เป็นขั้นๆ พุ่งถึงที่สุดจุดหมายปลายทางได้เลย ไอ้พวกไก่แจ้มันก็นอนตายกองกันอยู่นั้นไม่ได้เรื่องได้ราว พวกไก่จ้นได้ทั้งนั้นแหละ ได้ๆ ทำเป็นผลเป็นประโยชน์ไป พวกไก่แจ้นี่ตายกองกัน ไม่สนใจ ไปวัดไปวาก็เก้งๆ ก้างๆ เราดุด้วยนะ เข้ามานี้เข้ามาเก้งๆ ก้างๆ แต่งเนื้อแต่งตัวเหมือนลิงเหมือนค่าง มาอะไรนี่ สถานที่นี่ไม่ใช่เรื่องอย่างนี้นะ ออกไปเดี๋ยวนี้ ไล่เลย ถ้าไปเจอกับเราก็จังๆ เลย ไม่ไว้หน้าใครนะ มันเหมือนลิงเหมือนค่าง ไม่เหมือนมนุษย์มนา
โลกเขามีความสูงความต่ำ ที่ควรไม่ควร..รู้ นี้ทำไมไม่รู้ เป็นคนทั้งคนทำไมเป็นอย่างนี้ นี่ขับออก มันจะคิดก็คิด ไม่คิดก็ช่างมัน ก็เราสอนให้คิด เราไม่ได้สอนเพื่อความเสียหายแก่คนนั้นนี่นะ สอนให้เป็นข้อคิดอ่านเอาไปพินิจพิจารณาดัดแปลงตนเอง ความหมายว่าอย่างนั้น ที่เข้ามาในวัดในวาแต่งตัวล่อนจ้อนมันดูไม่ได้นะมองดูแล้ว พระผู้ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ท่านรักษาเข้มงวดกวดขันเรื่องศีลเรื่องธรรมความดีงามทั้งหลาย เรามาจุ้นจ้านๆ เอาของเลอะๆ เทอะๆ มาปาใส่หน้าใส่ตาท่าน ท่านก็ดุเอาบ้างละซิ จะว่าท่านดุได้ยังไง ความเลวของเจ้าของมันเลวขนาดไหน ความดุของท่านไม่เสียหาย ท่านดุเพื่อดีต่างหาก ไอ้ความเลวของตัวเองที่เข้ามาจุ้นจ้านๆ ไม่ได้คิดอ่านไตร่ตรองอะไรเลย ด้วยความคึกคะนองจนเป็นนิสัยสันดานหน้าด้าน เข้ามาในวัดก็ไม่รู้วัดรู้อะไร นี่ละเอาเสียบ้างๆ ถ้ามาเจอเราแล้วโดนทุกรายแหละ ไม่ว่าสูงว่าต่ำแหละครั้นมาหาเราแล้ว เอาทั้งนั้น
ธรรมสูงขนาดไหนทำไมไม่เอามาใช้ เอามาใช้ทำไมมูตรๆ คูถๆ อย่างนี้ นั่นความหมายว่าอย่างงั้น เพราะฉะนั้นใครจะมาจุ้นๆ จ้านๆ ในวัดนี้ให้เตือนกันนะ ถ้าเจอกับเราเข้าไปเป็นอย่างนั้นแน่ๆ ขับเดี๋ยวนั้นเลยไม่ให้มา มาหาอะไร อยู่ที่ไหนมันก็มีอดอยากอะไรไอ้เรื่องมูตรเรื่องคูถสกปรกโสมม เรื่องดีงามไม่นำมาใช้ ว่าให้ซิ ถ้าเราไม่ว่าไม่มีใครว่านะ ที่ว่าเหล่านี้ไม่มีใครสอนไม่มีใครว่า แต่เรานี่เอาเลยไม่ไว้หน้าอินทร์หน้าพรหม เทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมกราบธรรมทั้งนั้น ธรรมเหนือโลกสอนโลกจะเป็นอะไรไป เราก็สอนอย่างนั้นต่างหาก
มันมาทุกแบบทุกฉบับจนค่ำแล้ว จนเดี๋ยวนี้ตั้งกฎปากเปล่านี่ละดุเอา ตั้งแต่ ๕ โมงเย็นลงไปแล้ว อย่าเข้ามาจุ้นจ้าน มาก็ถาม มาอะไร สมมุติว่าขับรถเข้ามา มาอะไร นี่ผิดเวลาแล้วนะนั่น กลับเดี๋ยวนี้ไล่เลย มาจุ้นจ้านอะไรมาเที่ยวอะไร สถานที่นี่ไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวเล่นนี่นะ ความเพลิดเพลินเป็นเรื่องของสกปรก ไปออกไป ไล่เรื่อย ถ้าเป็นคนยั้วเยี้ยๆ เข้ามาก็แบบเดียวกัน ถ้าเป็นขับรถเข้ามาถามเหตุถามผลเสียก่อน ไม่งั้นจุ้นจ้านหมดนะ โอ๊ย เลอะเทอะไปหมด
พอพูดอันนี้ก็เอาอีกแล้วนี่ ก็ไปเห็นธรรมาสน์ใหญ่อยู่ที่อาสน์สงฆ์ที่ศาลาใหญ่หลังนั้น ธรรมาสน์ใหญ่เอามาจากไหนก็ไม่ทราบ นี่จี้พระแล้วให้เอาออกหนี เรื่องของกิเลสตัณหาเรื่องที่จะมาทับมาถมมามาก วัตถุนี่มากที่สุดเลยมองไม่ทันนะ มันจะมาเหยียบธรรม วัตถุเหยียบธรรม วัตถุมีมากธรรมเสื่อมๆ จนกระทั่งไม่มีธรรมนะ ธรรมแท้สง่าอยู่ภายในจิตไม่จำเป็นต้องหาอะไรมาประดับ สวยงามอยู่ในนี้หมดเลยธรรมเป็นอย่างงั้น อันนี้เอานั้นมาประดับอันนี้มาประดับขนเข้ามาๆ ไล่ออก เช่นอย่างเก้าอ้งเก้าอี้นี่ไล่ออกนะ ไม่งั้นเต็มหมดนะในวัดนี่ เราไม่เอา ไล่ออกเลย ขนมาให้ขนกลับคืนไม่เอา เล่นอ่อนๆ ไม่ได้กับพวกนี้ นี่ก็เอาธรรมาสน์ใหญ่อันหนึ่งมา เอามาจากไหนก็ไม่รู้ กำลังบอกพระให้เอาหนีไปไหนเอาไปนะอย่าเอามาขวางในนี้นะ
พวกวัตถุมันเร็วที่สุดนะมากีดมาขวาง เทศน์ๆ ที่ไหนก็ได้อย่างเดี๋ยวนี้หาธรรมาสน์ที่ไหน ก็เทศน์ได้อยู่ พระพุทธเจ้าหาธรรมาสน์ที่ไหนกระเทือนทั่วแดนโลกธาตุ อันนี้เห็นที่ไหนมีแต่ธรรมาสน์ ประดับประดาตกแต่ง ไอ้เรื่องโลกนี้เร็วที่สุดนะ รวดเร็วมากทีเดียวมองไม่ทัน มองอยู่ตลอดมองไม่ทัน นี่เห็นไหมอยู่ขอบสระยังมีอะไรเก้าอี้ยาวหรืออะไรมีอยู่สักอันสองอันอยู่ตามนั้น มาเมื่อไรก็ไม่รู้ เราไม่เห็นนะถ้าเห็นหน้าผากแตกพูดจริงๆ มันมายุ่งอะไร สถานที่ท่านรักษาของท่านมีอยู่มาทำลายทำไม นี้เป็นเรื่องของโลกจุ้นๆ จ้านๆ หาความสนุกสนานรื่นเริงบันเทิง ไปที่ไหนความรื่นเริงบันเทิงออกหน้าออกตาไป นี่ไม่ใช่สถานที่รื่นเริงบันเทิงแบบสกปรกนะ สถานที่รื่นเริงบันเทิงในธรรมทั้งหลายเพื่อความสงบร่มเย็นต่างหาก นั่นท่านว่าอย่างนั้น
นี่เห็นอยู่เก้าอี้เก้าแอ้อะไรเข้ามาจุ้นจ้าน ใครเอามาเก้าอี้จะปาใส่หน้าผากมันนะ มายุ่งทำไม ขนเข้ามา ถ้าต้องการความสะดวกสบายอย่าเข้ามาในสถานที่นี้ด้วยความสบายแบบนี้นะ ทุกข์ก็ทุกข์ไป ขอให้ใจได้เป็นสุขด้วยการฝึกทรมานกิเลสตัวเสนียดจัญไรนี้เป็นที่พอใจ ท่านทำอย่างนั้นต่างหากนะวัดนี้ ดูไม่ได้นะเวลานี้ มองไม่ทัน เช่นอย่างเราไปกรุงเทพนี้ สิ่งก่อสร้างหรืออะไรข้างหลังนี้มันขึ้นแยะนะ เราอยู่นี้ทำไม่ได้ มีแต่ขโมยทำกันเวลาเราไม่อยู่ สร้างนั้นสร้างนี้ขึ้นมาแถวนี้เราไม่เห็นนะนี่ เวลาเราไม่อยู่หมอบ เวลาเราอยู่หมอบ เหมือนไม่มีหูมีตานะ หลับหูหลับตา พอเราไปเป็นบ้าเข้าไปอีก ที่ซิมันน่าโมโหน่ะ กลับมานี้เต็มไปหมดๆ
เราต้องการอะไรสิ่งเหล่านี้ ดูแต่หัวใจเท่านั้น ให้หัวใจสวยงามแล้วพอ พอหมดไม่มีอะไรเสมอ ใจสวยงาม อย่าเอามาอวดเก่ง เหล่านี้มีแต่ส้วมแต่ถานแต่มูตรแต่คูถ อย่าเอามาอวดธรรมนะ ธรรมเลิศเลอไม่งั้นสอนโลกไม่ได้ เป็นที่ตายใจของโลกไม่ได้ อันนี้ใครตายใจกับมันได้ไหม มันเลอะเทอะมากขึ้นทุกวันๆ วัดนี้จนมองไม่ทัน มาจากทางไหนต่อทางไหนเป็นไปอย่างนั้น เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านี้
ผู้กำกับ : ลูกศิษย์อยู่ในนี้เขาขอถามปัญหาธรรมะดังต่อไปนี้นะครับ
ข้อที่ ๑. ภาวนาพุทโธในช่วงแรกยังไม่ชัดเจน ลอยไปมา อยากทราบว่า จะกำหนดปักลงจุดใดจุดหนึ่งได้หรือไม่ครับ
หลวงตา : ก็ปักลงพุทโธ สติตั้งอยู่นั้นซิ มันอยู่ในกายนั่นน่ะ นั่นละจุดมั่นคงอยู่ตรงนั้น คือมั่นคงอยู่กับพุทโธกับสติ ติดกับอยู่ในร่างกายเป็นองค์อริยสัจตรัสรู้ได้ทั้งนั้น ถ้าอยู่ในตรงนี้เอ้าอยู่ไหนอยู่เลย ให้พุทโธติดกับสติติดอยู่นั้นละ นั่นละองค์อริยสัจ อยู่ในท่ามกลางภาชนะคือร่างกายถูกต้องหมด
ผู้กำกับ : ข้อ ๒. ครับ ภาวนาแล้วเห็นร่างกายของตัวเองเป็นโครงกระดูก เห็นตับ ปอด หัวใจ แล้วจะพิจารณาอย่างไรต่อไปครับ
หลวงตา : พิจารณาให้มันแตกแยกกระจัดกระจายออกไป เป็นป่าช้าผีดิบผีแห้งไป เข้าใจไหมล่ะ มันแตกกระจัดกระจายเหมือนป่าช้า ทีแรกไปเผาก็เป็นอย่างหนึ่ง พอออกจากนั้นมันก็แตกกระจัดกระจาย เป็นเศษกระดูกกระเดี้ยวกลายเป็นดินเป็นน้ำไปเท่านั้นละ ให้แยกแตกกระจายไปแล้วตั้งขึ้นมาใหม่ พิจารณาใหม่ ตั้งขึ้นเรื่อยๆ การพิจารณาอสุภะอสุภังนี้สำคัญมาก พอมันตั้งขึ้นมามันแตก แตกตั้งขึ้นมาใหม่พิจารณาอีก จนกระทั่งมันชำนาญ เวลามันชำนาญพิสดารมากนะ มองเห็นที่ไหนนี่จ้าไปหมดเลย
ผู้กำกับ : ข้อ ๓. ครับ สมัยเป็นนักเรียนแพทย์ เคยได้ทำคลอดเด็กก่อนกำหนด(โดยฉีดน้ำเกลือเข้าไปในมดลูก) ช่วงที่ภาวนาก็อุทิศส่วนบุญกุศลให้เด็กดังกล่าว แล้วก็ขออโหสิกรรม อยากทราบว่าเด็กคนนั้นจะได้รับการอโหสิกรรมหรือไม่ครับ
หลวงตา : รับไม่รับช่างเถอะ เราอโหสิกรรมแล้ว จะไปปู้ยี้ปู้ยำอะไรก็แล้วแต่เขา เข้าใจ อย่างนี้ก็มาถาม ดีที่เรายังตอบให้ เอ้าว่าไป
ผู้กำกับ : ข้อสุดท้ายเขาบอกว่า พิจารณาจะให้เด็กคนนั้นเป็นอสุภะนี้จะทำยังไงครับ พิจารณาเด็กคนที่อโหสิกรรมให้นี่ จะพิจารณาให้เป็นอสุภะจะให้ทำยังไง
หลวงตา : พิจารณาเด็กคนนั้นก็ได้ พิจารณาผู้ใหญ่ของเราเป็นอสุภะก็ได้ เป็นเหมือนกันนั่นแหละ พิจารณาได้ทั้งข้างนอกข้างในไม่ขัดข้อง พิจารณาเด็กก็ได้ พิจารณาผู้ใหญ่ก็ได้ พิจารณาเขาก็ได้เราก็ได้ เป็นอสุภะกองอสุภะเหมือนกันหมดนั่นละ นอกจากมันไม่พิจารณานั่งหลับตาอยู่เฉยๆ เท่านั้นเองมันถึงไม่รู้
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |