การเล่นไม่มีคำว่าถือสีถือสา
วันที่ 15 เมษายน 2548 เวลา 8:45 น.
สถานที่ : ศาลา สวนแสงธรรม กรุงเทพฯ
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)

ค้นหา :

 

เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม กรุงเทพฯ

เมื่อเช้าวันที่ ๑๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๘

การเล่นไม่มีคำว่าถือสีถือสา

 

         เงียบปิดปาก เปิดหูเปิดใจฟังเสียงอรรถเสียงธรรม วันนี้เป็นวันสงกรานต์ครบรอบในวันนี้สามวัน วันสงกรานต์ท่านทั้งหลายถือเป็นเรื่องเล็กน้อยเหรอ วันสงกรานต์ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนะ ทั่วประเทศไทยเรานี้มีวันสงกรานต์ทั่วหน้ากันหมด วันสงกรานต์คือวันประสานความสนิทสนมกลมกลืน ความสามัคคีซึ่งกันและกัน การถือเนื้อถือตัวปัดออกหมด ไม่ให้เข้ามาในวงสงกรานต์คือวงสนิทสนม ไม่มีชาติชั้นวรรณะสูงต่ำยศถาบรรดาศักดิ์ สมบัติเงินทองข้าวของปัดออกหมด ให้เหลือตั้งแต่ที่เราพูดเมื่อวานหรือวันไหน ให้เหลือแต่นายเห็ม

         นายอำเภอเห็มแกเป็นนายอำเภอ ทีนี้เวลาแกเข้าไปเล่นสงกรานต์กับเขานี่แกเอาเสื้อนายอำเภอไปห้อยไว้ต้นเสา แกก็สั่งเสียกับเสื้อของแก นายอำเภอเห็มอยู่นี่นะ แกบอกอย่างนั้น นายอำเภอเห็มอยู่ที่นี่ คือเสื้อเครื่องแบบแกนั่นละ เอาไปห้อยไว้ที่ต้นเสา นายอำเภออยู่นี่นะ นายเห็มจะเล่น พอว่างั้นนายเห็มก็ฟาดนัวเนียเลย ไม่มีสูงมีต่ำเข้าได้หมด นี่นายเห็มเป็นตัวอย่างอันดีงามของประเทศไทยเราทั้งชาติ เวลาเล่นกันสนุกสนานกันอย่าไปถือสีถือสากัน จะขาดความสนิทสนมกลมกลืนซึ่งกันและกันในเวลาเล่นเช่นนั้น

         การเล่นไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เป็นการประสานน้ำใจต่อกัน ให้ได้เห็นความสนิทสนม ความไม่ถือเนื้อถือตัวต่อกัน ประสานทั่วประเทศไทย นี่ละเรื่องการเล่นสงกรานต์ คือสละทุกสิ่งทุกอย่าง ทิฐิมานะ ฐานะสูงต่ำอะไรปัดออกหมด ให้เหลือแต่นายเห็ม นายอำเภอเห็มปัดออกให้ไปอยู่ต้นเสา ทีนี้นายเห็มออกเล่นนะ ฐานะสูงต่ำซึ่งเทียบกับนายอำเภอเห็มนั่นน่ะให้ไปห้อยไว้ต้นเสาให้หมด แล้วออกเล่นกัน ให้เล่นแบบไม่ถือสีถือสา เป็นความสนิทสนมกันทั้งหญิงทั้งชาย ฐานะสูงต่ำไม่ให้มี มีแต่ความเล่นกัน

         นี่คือประสานความสมานสามัคคี ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน การไม่ถือเนื้อถือตัวซึ่งกันและกันนี้มีคุณค่ามากนะ การถือเนื้อถือตัวเย่อหยิ่งจองหองอย่างนั้นไม่ได้มีคุณค่า เป็นข้าศึกต่อความสมานสามัคคีต่อกันและกัน ไม่ดี ให้พึงทราบว่าการเล่นเป็นอย่างนั้น การเล่นคือการสมานสามัคคี เป็นน้ำหนึ่งใจเดียว ไม่มีคำถือสีถือสากันเลย เวลานั้น เล่นแบบสนุกสนาน ประสานความสามัคคี เป็นมิตรไมตรีกันได้อย่างแน่นหนามั่นคงและตลอดกาลนาน ให้พากันจำเอาไว้

         ผู้ที่เล่นก็ให้เล่นอย่างนั้น และผู้ที่จริงต่ออรรถต่อธรรมในวันโอกาสอำนวยเช่นนี้ก็เข้าหาศีลหาธรรมทำความสงบใจแก่ตน เพราะใจนี้มันเลยสงกรานต์ไปละ สงกรานต์ของมันตลอดเวลาใจนี้น่ะ ใจทุกคนเป็นสงกรานต์ตลอดเวลา แม้แต่ใจพระใจเณรเราอยู่ในวัดมันก็เป็นสงกรานต์ไปกับโลกเขา เลยโลกเขาไปอีก กิเลสตัวนี้มันอยู่ที่ไหนมันจะแสดงตัวของมันออกให้เห็นชัดเจน ถ้าธรรมอยู่ที่ไหนจะงามตา การเล่นด้วยความสมานสามัคคี ไม่ถือเนื้อถือตัวนี้ก็เป็นธรรมต่อกัน ให้ท่านทั้งหลายจำเอาไว้

         การเล่นจึงไม่ใช่เป็นเรื่องเล็กน้อย เป็นคติอันดีงามมาตั้งแต่โบร่ำโบราณเราจนกระทั่งบัดนี้ ให้พากันสืบทอดด้วยความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว ไม่ถือเนื้อถือตัวต่อกันนี่เป็นความถูกต้อง แล้วผู้ที่เสาะแสวงหาอรรถหาธรรมในวันว่างเช่นนี้จะเข้าวัดเข้าวา อยู่ในบ้านในเรือน ให้ทำความสงบใจ ใจนี้เป็นตัวสงกรานต์ใหญ่ละ มันดีดมันดิ้นทั้งวันทั้งคืน สงกรานต์เราประกาศสามวันนี้เพียงย่อยๆ นะ สงกรานต์ในหัวใจเราทุกคนนี้มันเก่งมากนะมันดีดมันดิ้นตลอดเวลา

         วันเช่นนี้ให้ทำความสงบใจสำหรับผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรม ทำใจให้สงบ ใจนี้เป็นตัวลิเกละคร เป็นตัวสงกรานต์ใหญ่ละ ให้ระงับมันด้วยธรรม ทำความสงบ เช่นจิตตภาวนาระงับได้ดี ไม่มีอะไรที่จะระงับเรื่องคึกคะนองของสงกรานต์ในหัวใจของสัตว์โลกยิ่งกว่าธรรมไปได้เลย ให้นำธรรมเข้าไปสงบ มันจะคึกจะคะนองเหมือนม้าแข่งก็ตามเถอะเหนือธรรมไปไม่ได้ ธรรมจับเข้าไปนี้อยู่หมัดเลย ธรรมจึงเป็นของจำเป็น ท่านจึงเรียกว่าโลกุตรธรรม แปลว่าธรรมเหนือโลก เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง ธรรมปราบได้หมดถ้านำมาปราบ นอกจากให้กิเลสเข้าไปปราบธรรมเสีย มุดมอดไปหมดไม่มีเหลือในหัวใจ อันนั้นมันก็กรรมของสัตว์

         มันมีอยู่สองวันวันสงกรานต์ ผู้เสาะแสวงหาหรือผู้รื่นเริงบันเทิง ชอบทางนั้นก็ไปทางนั้น ด้วยความสมานสามัคคีกันเป็นประโยชน์ทางหนึ่งแก่ชาติของตน และผู้ที่จะมุ่งอรรถมุ่งธรรมก็มุ่งอรรถมุ่งธรรม เข้าวัดเข้าวา ฟังธรรมจำศีล เจริญเมตตาภาวนา อยู่ในที่สงบสงัด ดูหัวใจตัวมันคึกมันคะนองมากๆ ตัวสงกรานต์ไม่มีเลิกมีแล้วคือหัวใจเรา ให้เอาคำภาวนาไปจับมันเท่ากับน้ำดับไฟ ความดีดความดิ้นของใจนั้นจะค่อยสงบลงด้วยธรรมๆ คือน้ำดับไฟ

         จะเป็นคำบริกรรมคำใดก็ได้ ผู้ที่อยู่ในคำบริกรรมคือผู้อยู่ในความสงบแล้วไม่ได้บอกละท่านเข้าใจเองเรื่องเหล่านี้ แต่ผู้ยังไม่มีหลักมีเกณฑ์ให้เอาภาวนาเป็นหลักใจ ระงับดับความคิดความปรุงของเราที่มันออกตลอดเวลาให้เข้าสู่ความสงบ แล้วเย็นใจ ความเย็นใจคือน้ำดับไฟจากธรรม ธรรมเรียกว่าน้ำดับไฟ ให้สงบเย็นลงได้ ธรรมจึงเป็นความจำเป็นที่จะต้องติดแนบอยู่กับทุกรูปทุกนามในนามเราเป็นชาวพุทธ อย่าปล่อยปละละเลยธรรม ถ้าปล่อยไปมากไปน้อยเหลิงไปเรื่อยๆ แล้วหาราค่ำราคาไม่ได้ สุดท้ายก็เป็นสัตว์ไม่มีเจ้าของเป็นอันตรายได้ตลอดเวลา

         คือไม่มีสติไม่มีปัญญารักษาตัว ใจของเราก็ไม่มีเจ้าของ เมื่อใจมีสติ-ปัญญา สติธรรม ปัญญาธรรม เป็นเครื่องกำกับรักษาอยู่แล้วใจก็มีเจ้าของ รู้ผิดถูกชั่วดี อันใดที่จะเป็นภัยงดคิด งดพูด งดทำ นั่น ออกมาเป็นระยะๆ นี่เรียกว่าธรรมกำกับใจ เราเป็นลูกชาวพุทธอย่าลืมเนื้อลืมตัวจนเกินไป นี่หลวงตาพูดจริงๆ กับบรรดาพี่น้องทั้งหลายให้สมใจที่ได้ออกช่วยพี่น้องทั้งหลายด้วยความเสียสละทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีอะไรเสียดายยิ่งกว่าการเทิดทูนชาติ ศาสนา นี้เต็มหัวใจของเรา ใครมาแตะไม่ได้อันนี้

         เพราะฉะนั้นจึงได้ออกสนามอยู่เรื่อยๆ ต้านทานกับสิ่งเลวร้ายทั้งหลายที่จะมาทำลายสามมหากษัตริย์นี้องค์เอกในชาติไทยเรา ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ นี่เรียกว่าแก้วอันล้ำค่าในเมืองไทยของเรา นี้เราพยายามรักษาเสมอ เพราะฉะนั้นการแนะนำสั่งสอน การดุด่าว่ากล่าว การต้านทานทั้งหลายนี้เพื่อรักษาสมบัติอันล้นค่านี้ไว้นั่นเอง เราไม่ได้ไปคึกคะนองแบบโลกๆ เขา เป็นธรรมทั้งนั้น จะดุจะด่าเด็ดเดี่ยวเฉียบขาดขนาดไหนเพื่อรักษาสมบัติอันล้นค่านี้โดยถ่ายเดียว เราไม่ได้มาแตะในสิ่งที่มีคุณค่าอยู่แล้ว อันใดเป็นภัยในสิ่งที่มีคุณค่าเราปัดออกๆ มีหนักมีเบาตามแต่เหตุการณ์ที่เข้ามาหนักเบามากน้อยเพียงไร การรับ-การต้านทานกันจะมีตามนั้นๆ หนักเบาไปตามๆ กันนี่เรียกว่ารักษาตัว

         เรารักษาใจของเรา เวลาคลื่นกิเลสมันมากๆ มันฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมมาก เอาพุทโธหรือเอาคำบริกรรมบทใดก็ตามสำหรับผู้ที่อยู่ในขั้นเริ่มแรก บีบเข้าไป ใจนี้มันคิดมาตั้งแต่วันเกิด วันนี้มันก็คิดตั้งแต่เช้าแล้ว ไม่ทราบมันคิดตั้งแต่เมื่อไร พอตื่นนอนมาคิดพับแล้ว นี่กิเลสจูงไปตลอด ทีนี้จะเอาธรรมเป็นเบรกห้ามล้อ เอาภาวนาเข้าไปพุทโธๆ จับปั๊บไม่ให้มันคิด มันจะเป็นยังไง นี่การฝึกเจ้าของให้ได้หลายขั้นหลายภูมิ เราแสดงนี้แสดงหลายขั้นหลายภูมิ ขั้นที่เราจะเอามันอย่างหนักเพราะมันผาดโผนโจนทะยานด้วยความคิดความปรุงฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมมาก เราก็ต้องเอาให้หนักทีเดียว เอาถึงขนาดไม่ยอมให้คิด

         วันนี้เป็นยังไงเป็นกัน จะไม่ให้มันแย็บออกมาได้เลย คือความคิดนั้นเป็นเรื่องของกิเลสล้วนๆ ออกมาจาก อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา เมื่ออวิชชาเป็นกิเลสสังขารความคิดความปรุงก็เป็นกิเลส แสดงออกท่าใดทางใดเป็นกิเลสทั้งนั้นทำลายเราได้ทั้งหมด เราก็เอาคำบริกรรมพุทโธดับลงไป เป็นน้ำดับไฟ เอาไม่ให้คิด โอ๋ยไม่ใช่เล่นนะ ถ้าเรายังไม่เคยฝึกทรมานจิตตัวคะนองนี้ ให้ฝึกดังที่หลวงตาว่าซิ หลวงตาผ่านมาแล้ว ไม่ใช่ธรรมดานะ ผ่านมาถึงขนาดที่ว่าเหมือนว่านักมวยเขาจะต่อยกัน ลงใจแล้วว่าวันนี้เราจะตั้งสติ เพื่อหาเหตุผลกลไกของความฟุ้งซ่านของใจที่มันคิดมันปรุงอยู่ตลอดเวลานี้ให้ได้ วันนี้จะไม่ยอมให้มันคิดออกไปไหน ให้คิดอยู่กับคำว่าพุทโธ

         พุทโธเป็นความคิดของธรรม ไม่ใช่ความคิดของกิเลส เอาพุทโธติดแนบ สติบังคับไว้เลย เหมือนว่าระฆังดังเป๋ง ดังเป๋งคือตั้งสติ ความหมายว่างั้น ซัดกันเลยกับความคิดความปรุง โห เวลามันดันออกนี้เหมือนอกจะแตกนะ เห็นชัดเจน เราเป็นผู้ทำเอง แล้วนำเหตุการณ์ทั้งหลายเหล่านี้มาสอนพี่น้องทั้งหลายด้วยความถูกต้องเพราะเราผ่านมาแล้ว วันแรกนี่เหมือนอกจะแตก คือความคิดความปรุงมันดันขึ้นมา ดันขึ้นมา หนัก ทีนี้คำว่าพุทโธกับสติเอากันหนักเหมือนกัน

         จึงสรุปได้เลยว่า กิเลสมันจะหนาขนาดไหนก็ตามเถอะขอให้มีสติบังคับไว้ แล้วกิเลสมันจะล้นฝั่งไปไม่ได้ มันต้องอยู่อย่างนั้น หมอบ สติบังคับๆ มันดันเข้ามาจนอกจะแตกในวันแรกนะ ก็ไม่ให้เผลอเลย ไม่เผลอทั้งวัน ไม่ยอมให้เผลอ เอากันหนักขนาดนั้น พอวันที่สองมาค่อยๆ เบาลง ที่มันดันอยากคิดอยากปรุงเบาลงๆ แต่สติไม่มีเผลอ ไม่มีเผลอตลอดเวลา ตื่นนอนปั๊บติดปุ๊บ...สติ จนกระทั่งหลับไปด้วยกัน ตื่นมาปั๊บจับปุ๊บ นี่เรียกว่าต่อยกันแล้ว นักมวยเข้าวงในกัน ไม่ยอมให้เผลอ เผลอไม่ได้กิเลสเอาหงายเลยนะ

         เอาไม่ได้กี่วันนะ แล้วมันก็เห็นประจักษ์ ความอยากคิดอยากปรุงที่มันท่วมท้นภายในหัวใจของเรามันจะค่อยลดตัวลง ลดตัวลง วันแรกนี้อกจะแตก มันดันออกมามันจะคิด ไม่ให้คิด วันหลังนี่ค่อยผ่อนลง พอสามวันสี่วันไปแล้วเบาลงๆ ความคิคความปรุงไม่มากวน มีแต่คำบริกรรมกับสติเด่นขึ้นๆ นี่ละรักษาใจ ใจก็สะดวกสบาย วันนั้นใจผ่องใส จนกระทั่งพุทโธๆ ติด ไม่หยุดไม่ถอย ไม่ยอมให้เผลอ เข้าสู่ความสงบ จิตเข้าสู่ความสงบ เราจะปรุงพุทโธนึกพุทโธเหมือนที่เรานึกบริกรรมแต่ก่อนไม่ออกเลยนะ  หมด

         นี่เรียกว่าจิตเข้าสู่ความละเอียด เหลือแต่ความรู้ที่ละเอียดสุดอยู่ในนั้น จนกระทั่งเจ้าของเกิดความสงสัย เอ๊ คำบริกรรมพุทโธเรากำหนดเรียบร้อยแล้วว่าไม่ให้เผลอจนกระทั่งบัดนี้เป็นเวลาหลายวัน แล้วก็ติดมาเป็นลำดับ แต่วันนี้ทำไมปรุงไม่ได้ ปรุงไม่ได้เลย เหลือแต่ความรู้ที่ละเอียดสุดอยู่ในนั้น ปรุงยังไงก็ไม่ออก ปรุงเรื่องอะไรก็ไม่ออก แล้วเกิดความสงสัย ถึงจะสงสัยก็ไม่ยอมให้เผลอ ทีนี้ เอ้า ถ้าหากว่ามันปรุงไม่ได้ ให้สติจับความรู้ที่ละเอียดนั้นแทนพุทโธ เอาสตินี้จับความรู้ที่ละเอียดแทนพุทโธ คอยดูมันจะเป็นยังไง คือจิตเข้าสู่ความสงบปรุงมันจึงไม่ออก

         พอได้จังหวะก็เหมือนคนตื่นนอนเด็กตื่นนอน กระดุกกระดิกขึ้นมา พอพุทโธใส่เข้าไปได้ นึกพุทโธออกเอาพุทโธติดเข้าไปเลย ทีนี้พอรู้เรื่องของมันแล้ว พอมันเข้าสู่ความสงบมันหมดนะความคิดปรุง ไม่มี อยู่นั้นเสียก่อน ให้สติอยู่กับจิตดวงละเอียดนั้น พอมันคลี่คลายออกมาจากความสงบ นึกพุทโธได้เอานึกติดกันไปๆ จิตเลยมีความสง่างามขึ้นมา ความผลักความดันเหมือนอกจะแตกหายไป หายไปเลย เหลือแต่ความว่างอยู่ภายในจิตใจ สง่างาม

         นี่การฝึกจิต เวลาหนักก็ให้รู้ในตัวเอง เวลาเบาก็มี หนักก็มี นี่ได้ผ่านมาแล้วที่มาสอนพี่น้องทั้งหลาย ไม่ได้มาด้นเดาเกาหมัดมาสอนนะ สอนอย่างจริงจัง จึงไม่สะทกสะท้านในการสอนโลก ในชีวิตของเราคราวปฏิบัติในนามของพระนี้ เราไม่สงสัย การแนะนำสั่งสอนพี่น้องทั้งหลายทุกขั้นทุกภูมิของธรรม ถอดออกมาจากหัวใจที่เป็นผลเกิดขึ้นมาจากการปฏิบัติชอบของเรา เราจึงไม่สงสัย สอนได้อย่างฉะฉาน ว่างั้นเลย ถ้าพูดแบบโลกฉะฉาน แต่จิตที่ว่าฉะฉานมันเลยนั้นอีกนะ อัดตรงไหนอั้นตรงไหน  ว่างั้นเลย

         เปิดกิเลสออก ม้วนเสื่อลงไปหมดแล้วมันว่างหมดโลกธาตุ จะเอาอะไรมากีดมาขวางหัวใจ แล้วใจจะติดอะไร จะติดเขาติดเราที่ไหน ส่วนมากโลกมันติดเขาติดเรา เมื่อติดเขาติดเราแล้วก้าวไม่ออก เกรงใจนั้นเกรงใจนี้ ลูบหน้าปะจมูกไปเสีย แต่ธรรมเมื่อไม่ติดเขาติดเราแล้วพุ่งเลยๆ ตามหลักความจริงล้วนๆ นี่นำธรรมเหล่านี้มาสอนพี่น้องทั้งหลาย เป็นยังไงพอที่จะเชื่อถือได้ไหม ให้พิจารณา ถ้าพอที่จะเชื่อถือได้ให้ยึดไปปฏิบัติได้ตามกำลังของตน

         อย่าปล่อยทิ้งเปล่าๆ นะ ตามนิสัยที่เลื่อนลอยๆ ครูบาอาจารย์ใดสอนก็เท่ากัน มันเป็นเหล็กก้นเตาไม่มีค่าอะไรแล้ว นายช่างเหล็กมาจากที่ไหนก็ไม่มีคุณค่ามีราคา เพราะเหล็กมันไร้ค่าไร้ราคาไปแล้ว นี่เราถ้าลองหมดค่าหมดราคา พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์กี่หมื่นกี่แสนกี่ล้านๆ พระองค์ก็ไม่มีค่า เพราะเราหมดค่าแล้ว แต่นี้เรายังมีค่าอยู่ให้ฝึกฝนอบรมตนเองนะ ไม่เช่นนั้นจะตายทิ้งเปล่าๆ ใจดวงนี้ไม่เคยตายจำให้ดี ใจทุกคนๆ ตลอดถึงสัตว์จะไม่มีคำว่าตาย

         เกิดตายๆ นี้หมายความว่าพอร่างนี้หมดสภาพเรียกว่าตาย จิตดวงนี้ออกแล้ว ออกแล้วไปสู่ร่างนั้น ออกแล้วไปสู่ร่างนั้นตามแต่บุญกรรมของตนที่มีมากน้อยในทางใด  ถ้ากรรมของตนมีทางชั่วมากมันก็ดึงลง กรรมนี่ดึงลง ถ้ากรรมดีก็หนุนขึ้นๆ นี่ใจดวงไม่ตาย จนกระทั่งชำระให้หมดจดโดยสิ้นเชิง กรรมดี-กรรมชั่วหมดโดยสิ้นเชิง ไม่มีเหลืออยู่ในใจ เพราะกรรมดี-กรรมชั่วก็เป็นสมมุติ จิตนี้หลุดพ้นเข้าสู่วิมุตติโดยสิ้นเชิงแล้ว ไม่มีสมมุติใดเข้าไปเกี่ยวข้อง จึงไม่มีอะไรกวนใจ

         นี่เป็นจิตที่บริสุทธิ์เต็มที่ ไม่ตายถึงขั้นบริสุทธิ์ก็เป็นธรรมธาตุไป จิตที่เคยเวียนว่ายตายเกิดไปยุติกันที่ธรรมธาตุนะ หมดจดโดยสิ้นเชิง จากการฝึกการทรมาน ถ้าไม่ฝึกไม่ทรมานก็จะตายกองกันอยู่อย่างนี้พวกเรา เชื่อแต่กิเลสตัณหามันลากไปหลุมนั้นลากไปเหวนี้ ลากไปนรกขุมนั้นขุมนี้ไป ไม่ได้เกิดประโยชน์นะ อาศัยธรรมฉุดขึ้นลากขึ้น มันอยากไปถ้าเป็นของไม่ดีไม่ไป นั่นฝึกกัน อยากทำเป็นของไม่ดีไม่ทำ นี่เรียกว่าฝืนกัน เอาธรรมฝืนกิเลสแล้วก็ได้เป็นประโยชน์แก่เรา ให้พากันจำ

         วันนี้เป็นวันครบรอบสงกรานต์แล้ว การเล่นกันให้ถือเป็นประจำตามประเพณีของเรา เวลาเล่นกันอย่าไปถือสีถือสากัน เสียศักดิ์ศรีแห่งการเล่นซึ่งเป็นการสมานน้ำใจซึ่งกันและกัน ปัด ปัดออกหมด ทิฐิมานะสูงต่ำ มั่งมีดีเด่น ยศถาบรรดาศักดิ์ปัดออกให้หมด ให้เหลือแต่เห็ม นายอำเภอเห็มให้อยู่บนต้นเสา มีแต่นายเห็มเล่นนัวเนียเลย  อันนี้ให้เหลือแต่นายเห็มนะ เข้าใจไหม หลวงตาบัวที่สอนอยู่นี้เป็นนายของนายเห็ม เอาละเท่านั้นวันนี้ ทีนี้จะให้พร

         สมบัติมีค่าของใครที่ไปลืมไว้ในห้องน้ำให้มาเอา โฆษณาตะกี้นี้เป็นของใคร สมบัติที่มีค่าใครลืมในห้องน้ำ แต่จะบอกว่าสมบัตินั้นสมบัตินี้ไม่ได้ ให้เจ้าของเป็นผู้เสียหายแล้วให้ติดตามเข้าไป อ้างหลักเกณฑ์เข้าไป เมื่อตรงกันกับสมบัติที่เก็บไว้ก็มอบให้กันทันที จึงไม่บอกสุ่มสี่สุ่มห้า พวกที่สวมรอยมันเยอะ สวมรอยอันธพาล โจรมารในวงศาสนามี อยู่ในวัดในวาของเรามันก็แทรกอยู่ในนี้ กินตับกินปอดศาสนา กินตับกินปอดในวงงานอยู่ตลอด นึกว่าหลวงตาบัวไม่รู้เหรอ

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก